antalya escort bayan escort antalya antalya bayan escort
free hd porn
freier porno porno gratis
mengen escort bartin escort erzincan escort erzincan escort esenler masaj salonu erzincan masaj salonu goksun masaj salonu esenler masaj salonu biga masaj salonu erzincan masaj salonu ezine masaj salonu can escort
แสดงกระทู้ - แบดบอย
-->

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - แบดบอย

หน้า: [1] 2
1
ปัจจัยเสี่ยงของการรับเชื้อเอชไอวี  ต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน 3 ประการ คือ

          1. ต้องได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยต้องมาจากแหล่งที่มีปริมาณเชื้อมากพอที่จะทำให้ติด ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด

          2. เชื้อที่จะทำให้ติดต่อได้นอกจากเรื่องปริมาณแล้วเชื้อต้องมีคุณภาพและแข็งแรง เช่น ในเลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด มีสภาพที่พอเหมาะที่จะทำให้ เชื้อเติบโตได้แต่ถ้าไปอยู่ในน้ำลาย น้ำตา เชื้อไวรัสจะอยู่ในสภาพที่ เป็นกรด เป็นด่าง ทำให้ ไม่มีคุณภาพ เติบโตไม่ได้ หมดความสามารถที่จะทำให้ติดต่อได้

          3. ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัส ส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันหรือการร่วม เพศ ซึ่งเป็นการส่งต่อเชื้อกันโดยตรงเช่นในกรณีการร่วมเพศ ถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุช่องคลอด หรือถ้าผู้หญิงมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกาย ทางเยื่อบุ ที่ปลายและเยื่อบุในท่อปัสสาวะของ องคชาติ และต้องดูโอกาสความเป็นไป ได้ที่จะเกิดขึ้นจริงด้วย

          คนส่วนใหญ่จะกังวลกับการติดเชื้อเอชไอวี จากช่องทางที่ไม่มีหรือมีโอกาสเสี่ยงน้อยมากๆ และมักจะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เช่นการช่วยคนประสบอุบัติเหตุ การสัมผัสกับเลือดตามแต่จะสมมติกัน แต่มักจะไม่คิดถึงช่องทางที่ทำให้ ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีจากวิถีชีวิตและพฤติกรรมทางเพศที่กระทำอยู่เป็นประจำ ทั้งที่มี ข้อมูลยืนยันชัดเจนว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ติด จากการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้ป้องกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก   AIDS ACCESS FOUNDATION

Report by www.livcapsule.com

2
Clinic สุด Seed / “รุก-รับ” แบบไหนเสี่ยง “เอดส์” สุด
« เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2016, 12:19:43 »
จากการสำรวจสถานการณ์โรคเอดส์ในไทย พบว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 9,000-10,000 คน สาเหตุของการติดเชื้อร้อยละ 85 มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกัน ส่วนกลุ่มที่มีการติดเชื้อมากที่สุด หากไม่นับการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันแล้ว กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายนี่เองที่มีการติดเชื้อมากที่สุด
สอดคล้องกับ พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ แพทย์ประจำศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ที่บอกว่า ไม่ว่าคุณจะมีเพศสัมพันธ์ทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือแม้แต่ทางปากหรือออรัลเซ็กซ์ ก็ควรที่จะมาตรวจเชื้อหาเอชไอวี โดยเฉพาะกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ซึ่งมีการร่วมรักกันผ่านทางทวารหนัก มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดในผู้หญิงถึง 10 เท่า เนื่องจากทวารหนักมีความเปราะบางกว่าช่องคลอด
“จากการศึกษาพบว่า กลุ่มคู่ต่างคือฝ่ายหนึ่งมีการติดเชื้อเอชไอวี ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีการติดเชื้อนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย หรือชายมีเพศสัมพันธ์กับหญิงนั้น หากผู้ติดเชื้อเป็นฝ่ายรุก ส่วนผู้ไม่ติดเชื้อเป็นฝ่ายรับ เมื่อมีการหลั่งน้ำภายในทวารหนักของฝ่ายชายหรือในช่องคลอดของฝ่ายหญิง ฝ่ายรับจะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีมากกว่า แต่หากผู้ติดเชื้อเป็นฝ่ายรับ ส่วนผู้ไม่ติดเชื้อเป็นฝ่ายรุก กรณีเช่นนี้ฝ่ายรุกจะมีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่า”
       
        อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายรุกที่ไม่ติดเชื้อจะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีน้อยกว่า แต่ พญ.นิตยา บอกว่า ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสติดเชื้อเลย ดังนั้น การป้องกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ซึ่งพื้นฐานในการป้องกันคือการใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะสามารถช่วยป้องกันโรคได้ และอีกแนวทางหนึ่งที่มีผลการศึกษาชัดเจนแล้วว่า การรักษาด้วยการรับยาต้านไวรัส สามารถป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีได้ ไม่ว่าจะเป็นจากแม่ไปสู่ลูก หรือจากคู่รักไปสู่คู่รัก
       
        พญ.นิตยา อธิบายว่า การรับยาต้านไวรัสจะเป็นการกดเชื้อไวรัสในร่างกายลง ซึ่งเมื่อกดเชื้อไวรัสจนไม่พบในกระแสเลือด โอกาสในการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นจึงน้อย และยิ่งมารับยาต้านไวรัสเร็วเท่าไรก่อนภูมิคุ้มกันหรือค่า CD4 ของร่างกายจะต่ำลง ก็จะยิ่งลดโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อได้มากขึ้น ซึ่งจากการวิจัยโครงการ HPTN 052 โดยศึกษาอาสาสมัครคู่ต่างกว่า 1,700 คู่ ใน 9 ประเทศ รวมทั้งไทย พบว่า กลุ่มที่กินยาต้านไวรัสเร็ว ก่อนที่ค่า CD4 จะตก มีการติดเชื้อไปสู่คู่รักเพียง 0.0-0.4 คน ใน 100 คนต่อปีเท่านั้น คือต่ำกว่า 0-1% ส่วนกลุ่มที่กินยาต้านไวรัสเมื่อภูมิคุ้มกันต่ำกว่า 250 ซึ่งถือว่าป่วยแล้ว พบว่าป้องกันได้แต่น้อยกว่า โดยมีโอกาสติดเชื้อไปสู่ผู้อื่นอยู่ที่ 1.1-2.5 คน ใน 100 คนต่อปี
       
        เรียกได้ว่าการกินยาต้านไวรัสเร็วก่อนค่า CD4 จะตก ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์ไปสู่คนอื่นได้มากกว่าการกินยาต้านไวรัสเมื่อค่า CD4 ตกแล้วสูงถึง 96% แต่ที่จะลืมไม่ได้เลยคือ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ คนหนึ่งจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะต้องสวมถุงยางอนามัยป้องกัน และผู้ติดเชื้อเอชไอวี หากคุณรักตัวเองและคู่รักของคุณก็ควรกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เพื่อให้ไวรัสในร่างกายของคุณไม่ไปติดหรือไม่ไปทำร้ายคนที่คุณรักต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   manager.co.th

Report by www.livcapsule.com


3
 มีความเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉินหลายประการ ซึ่งสาวๆมักเข้าใจผิดหรือไม่เคยรู้มาก่อนเลย การใช้ยาคุมฉุกเฉินจะมีประโยชน์หากสาวๆใช้อย่างถูกต้อง

1. ยาคุมฉุกเฉิน เพื่อคุมกำเนิดระยะยาวได้ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง หากสามีภรรยาที่ยังไม่พร้อมมีบุตรแต่ต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว มีวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่าเช่น การรับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติชนิดเม็ด โดยรับประทานทุกวันวันละ 1 เม็ด นอกจากนี้ การรับประทานยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำจะพบอาการข้างเคียงสูง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกกะปริดกะปรอย รวมทั้งพบความเสี่ยงในการเกิดอุบัติการณ์การตั้งครรภ์นอกมดลูกเพิ่มขึ้น
2.ยาคุมฉุกเฉิน เป็นยาทำแท้ง ความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด ยาคุมฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เท่านั้น นั่นคือต้องได้ยาเข้าไปในร่างกายก่อนที่จะมีการฝังตัวของไข่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก เแต่หากไข่ที่ผสมกับอสุจิได้ฝังตัวที่ผนังมดลูกไปแล้ว ยานี้จะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น ยานี้จึงไม่ใช่ยาทำแท้ง
3. ยาคุมฉุกเฉิน ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด การใช้ยาคุมฉุกเฉินนั้นไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่สามารถคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
4.ยาคุมฉุกเฉิน อาจทำให้ทารกพิการได้หากรับประทานไปโดยไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้มีรายงานว่า ไม่พบทารกพิการจากมารดาที่รับประทานยาโดยไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ women.mthai.com

Report by www.livcapsule.com



4
สำหรับเซ็กส์แล้ว ถ้าเราไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด ทางที่ดีที่สุดก็คือการเซฟเซ็กส์ ป้องกัน และคุมกำเนิดนั่นเอง ซึ่งทั่วไปแล้วทางเลือกของผู้ชายเราก็มีอยู่แค่ทางเดียวนั่นก็การสวมถุงยางอนามัย
ต่อไปนี้ผู้ชายเราสามารถเลือกได้ เพราะทางเลือกใหม่ของเราก็คือ ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย นั่นเอง
เมื่อถ้าเราจะพูดถึงเรื่องเซฟเซ็กส์สำหรับผู้ชายแล้ว มันก็คงมีแค่ทางเลือกเดียว นั่นก็คือ ถุงยางอนามัย นั่นเอง ส่วนฝ่ายผู้หญิงแล้วมีทางเลือกหลายทางอยู่ ไม่ว่าจะเป็นถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง และที่เป็นที่นิยมกันมาในหมู่ผู้หญิงนั่นก็คือ ยาคุมกำเนิด สำหรับผู้หญิงหรือที่เราเรียกกันย่อๆ ว่ายาคุมนี่แหละ ซึ่งมีทั้งกินทั้งฉีด ซึ่งก็มีที่พูดคุยกันออกมาเหมือนกันสำรหรับ ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย แต่มันก็เงียบหายไปตลอด จนกระทั่งถึงวันนี้!!! เพราะตอนนี้มีการทำวิจัยสำหรับการทำ ยาคุมกำเนิดผู้ชาย อยู่ ซึ่งพูดกันง่ายๆ เลย ยาตัวนี้จะมีหน้าที่เข้าไป หยุดยั้งภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ชายที่กินยาแข้าไปแบบชั่วคราว
ซึ่งตอนนี้สูตรตัวยาตัวอย่างก็ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว 2 ตัวระหว่าง H2-gamendazole และ JQ1 ซึ่งคำถามก็คือตอนนี้ทางนักวิจัยจะเลือกพัฒนาสูตรยาตัวไหนให้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง
H2-gamendazole
•   มีหน้าที่ทำให้สเปิร์มโตเร็วขึ้นกว่ากำหนดในอัณฑะ แต่ตัวยา H2-gamendazole จะมีหน้าที่ทำให้มันโตได้ไม่เต็มที่ โตได้ไม่สุดนั่นเอง ซึ่งสเปิร์มที่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ก็จะถูกดูดกลับไปเพื่อผลิตใหม่ที่อัณฑะนั่นเอง
JQ1
•   มันจะมีหน้าที่เข้าไปบดบังหน้าที่ bromodomain ที่ชื่อว่า BRDT ในอัณฑะ ซึ่งทำให้เซลล์เพศไม่สามารถสร้างสเปิร์มได้นั่นเอง
ซึ่งตอนนี้เหมือนกับทางนักวิจัยจะมีแนวโน้มว่าเลือกที่จะพัฒนา H2-gamendazole ให้สมบูรณ์และสามารถพัฒนาต่อจนกลายเป็น ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย ตัวแรกของโลกได้นั่นเอง เอาเป็นว่าตอนนี้ที่เรารู้ นั่นก็คือคงอีกไม่นานเกินรอแน่นอน รับรองได้ใช้กันแน่ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   men.mthai.com

Report by www.livcapsule.com


5
“โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” เป็นโรคที่เกิดจากการร่วมเพศกับผู้ที่มีโรคนี้อยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือเกิดขึ้นจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกันหรือใช้ห้องสุขา สระว่ายน้ำร่วมกัน
          โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเดิมเรียกว่า “กามโรค” เป็นโรคที่เกิดจากการร่วมเพศกับผู้ที่มีโรคนี้อยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือเกิดขึ้นจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกันหรือใช้ห้องสุขา สระว่ายน้ำร่วมกัน (ยกเว้นอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมทางเพศ เช่น อวัยวะเพศชายเทียมที่ใช้ในการร่วมเพศครั้งเดียวกัน)
          ความเสี่ยงของการติดต่อกามโรคจะมากน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคต่ำได้แก่ การกอดจูบลูบคลำภายนอก การสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน ส่วนกิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ การร่วมเพศทางปาก ทางช่องคลอดและทางทวารหนัก โดยที่การร่วมเพศทางทวารหนักมีอัตราการเสี่ยงต่อการติดโรคมากที่สุดเพราะมักมีการถลอกของอวัยวะเพศชายและผิวทวารหนักเป็นช่องทางให้เชื้อกามโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
          การใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันกามโรคได้ดี โดยต้องมีการใช้อย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่ร่วมเพศ และต้องสวมใส่ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง มีการหล่อลื่นที่ดีเพื่อป้องกันถุงยางฉีกขาด ถุงยางอนามัยป้องกันกามโรคบางชนิดได้ไม่ดีนัก เช่น หูดหงอนไก่ โรคเริม เพราะอาจติดต่อบริเวณที่สัมผัสได้ โดยเฉพาะส่วนที่ถุงยางคลุมไม่ถึง ถุงยางอนามัยสตรีป้องกันกามโรคได้ดีกว่าถุงยางชาย เพราะมีบริเวณครอบคลุมมากกว่าและฉีกขาดยากกว่า การใส่ถุงยางชายหลายชั้นอาจทำให้การแตกรั่วฉีกขาดยากขึ้น แต่ทำให้ความรู้สึกในการร่วมเพศลดลง
          โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดอาการได้หลายระดับ ตั้งแต่รุนแรงน้อยไปจนถึงทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งแบ่งได้ ดังนี้
          1) ไม่มีอาการ ได้แก่ โรคเอดส์ระยะแรก โรคตับอักเสบจากไวรัสบีและโรคซิฟิลิส ซึ่งทั้งหมดสามารถตรวจได้จากการเจาะเลือด ถ้าพบว่าเลือดบวกหมายถึงมีการติดเชื้อ ถ้าได้ผลบวกไม่ได้หมายความว่าไม่ติดเชื้อแต่อาจจะยังอยู่ในระยะแฝงหรือระยะฟักตัว โรคเอดส์อาจใช้เวลาถึง 3 เดือน จึงจะทำให้เลือดเป็นผลบวกได้ ในกรณีที่สงสัยจึงต้องทำการเจาะเลือดตรวจซ้ำหลายครั้ง
          โรคเอดส์และโรคตับอักเสบจากไวรัสบีในระยะสุดท้ายจะทำให้มีอาการต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายมาก และผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตในที่สุด ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อไวรัส ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ในกรณีที่เลือดบวก หากผู้ป่วยสามารถดูแลร่างกายให้แข็งแรงและไม่รับเชื้อเพิ่มก็อาจมีสุขภาพเป็นปกติ
เหมือนคนทั่วไปได้เป็นเวลานาน ซึ่งในปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่ใช้ร่วมกันหลายขนานสามารถควบคุมการติดเชื้อไม่ให้กำเริบไปจนมีอาการได้ แต่ยังไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หายขาด
          ซิฟิลิสเป็นกามโรคที่สำคัญในอดีตก่อนที่จะมีโรคเอดส์ แต่ในปัจจุบันยาปฏิชีวนะ สามารถรักษาให้หายขาดได้ หรืออย่างน้อยควบคุมยับยั้งการกำเริบของโรคนี้ได้ และไม่แสดงอาการรุนแรงเหมือนในอดีต มักตรวจพบในสตรีที่มาเจาะเลือดขณะฝากครรภ์หรือผู้ป่วยที่เจาะเลือดตรวจก่อนรับการผ่าตัด
          2) กลุ่มหนองแท้และหนองในเทียม กลุ่มนี้มีอาการเด่นคือ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศหรือช่องทางที่ร่วมเพศ ในเพศหญิงพบว่ามีหนองไหลออกจากช่องคลอดหรือช่องปัสสาวะและมีอาการแสบเวลาปัสสาวะ ในเพศชายจะมีอาการหนองไหลจากท่อปัสสาวะและมีปัสสาวะแสบขัดลำกล้องมากกว่าในเพศหญิง เนื่องจากท่อปัสสาวะยาวกว่า ในรายที่ร่วมเพศทางปากอาจพบมีการอักเสบและมีหนองในช่องปากและต่อมทอนซิล ในรายที่มีการร่วมเพศทางทวารหนักอาจพบมีหนองปนกับอุจจาระ โดยทั่วไปมักเกิดอาการเหล่านี้ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังการร่วมเพศที่ติดเชื้อ ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะ
          3) กลุ่มที่มีติ่งเนื้อหรือตุ่มนูนที่อวัยวะเพศ โรคที่สำคัญคือ หูดหงอนไก่และหูดข้าวสุก โดยหูดหงอนไก่เป็นกามโรคที่พบบ่อยในปัจจุบันและมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันได้ แต่วัคซีนยังมีราคาแพงและควรฉีดก่อนมีการร่วมเพศครั้งแรกเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ทั้งสองโรคจะมีอาการคล้ายกันคือมีตุ่มนูนบริเวณอวัยวะเพศ มักมีหลายตุ่ม ขนาดเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 เซนติเมตร ไม่เจ็บ ยกเว้นจะมีการอักเสบจากการเกา หูดหงอนไก่มีผิวขรุขระเป็นหนาม คล้ายกับหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ
          หูดข้าวสุกมีผิวเรียบแต่ละตุ่มมีรูตรงกลาง ซึ่งเมื่อสุกดีจะบีบของเหลวข้น ๆ ออกจากรูได้คล้ายข้าวสุก ในบางรายติ่งเนื้อหรือตุ่มขนาดเล็กหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ถ้าติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมาก หรือกระจายเป็นวงกว้าง การใช้ยา
รักษาหูดจี้สัปดาห์ละหนึ่งหรือสองครั้งจะได้ผลดี ถ้าใช้ยาเกินหนึ่งเดือนแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์อาจใช้วิธีทางศัลยกรรม เช่น การตัดออก การจี้ด้วยไฟฟ้า การจี้ด้วยความเย็น
          เหล่านี้คือกลุ่มอาการที่พบได้บ่อย ฉะนั้น หากจะมีเพศสัมพันธ์ควรรู้จักข้อมูลเหล่านี้ไว้และรู้จักป้องกันไว้ดืที่สุด
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.นพ.สัญญา ภัทราชัย ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 Report by www.livcapsule.com


6
ดอกเตอร์โรเบิร์ต แกลโล (Robert Gallo) อาจจะเป็นชื่อที่คุณไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาคือนักวิจัยชีวการแพทย์ผู้ซึ่งนำทีมวิจัยศึกษาสาเหตุของโรคเอดส์ ในปี 1984  เขามีชื่อเสียงจากการค้นพบว่าไวรัส HIV เป็นสาเหตุหลักของโรคระบาดที่ทำให้อ่อนกำลังอย่างเอดส์ จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีวิธีการจัดการกับไวรัส HIV อย่างไรก็ตาม หลังจาก 30 ปีของการค้นพบนั้น ดอกเตอร์แกลโลก็ยังไม่ได้หยุดการค้นคว้าวิจัยที่จะต่อสู้กับไวรัสตัวนี้ ปัจจุบันนี้เขาเป็นถึงผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไวรัสวิทยามนุษย์ (IHV) และเขากำลังจะเริ่มการทดสอบทางคลินิกครั้งแรกสำหรับวัคซีนโรคเอดส์ซึ่งเป็นโครงการที่วิจัยมากว่า 15 ปีแล้ว
การค้นหาสำหรับวัคซีนที่จะต่อสู้กับไวรัส HIV และโรคเอดส์นั้นมีมากว่าสิบปีแล้ว วัคซีนประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ซึ่งติดเชื้อได้ในรูปถูกทำให้อ่อนแอลงหรือโปรตีนบนพื้นผิวของจุลินทรีย์เหล่านั้น วัคซีนได้กลายมาเป็นอาวุธที่มีประสิทภาพสูงมากที่สุดในการต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียและโรคที่เกิดจากไวรัสมากมาย โรคฝีดาษได้ถูกกำจัดออกจากโลกใบนี้ด้วยการค้นพบของวัคซีนซึ่งได้ช่วยกว่าล้านชีวิตในตอนนั้น อย่างไรก็ตามเชื้อไวรัส HIV ยังคงไม่มีวัคซีนไหนที่สามารถต่อสู้ได้
ตอนนี้สถาบันวิจัย IHV ในเมืองบอลติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ กำลังหวังว่าการทดลองทดสอบวัคซีนครั้งนี้จะสำเร็จ ระบบภูมิคุ้มกันมนุษย์ดูเหมือนจะไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อจากไวรัส HIV ได้ ดังนั้นจึงยังไม่เคยมีใครหายจากการติดเชื้อนี้เลย ยกเว้นหนึ่งเคสในอดีต  เป็นอะไรที่ท้าทายมากในการคิดค้นวัคซีนนี้ เนื่องจากว่าไวรัส HIV มีความสามารถในการกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วและหลบหนีจากระบบภูมิคุ้มกันได้
เมื่อไวรัส HIV ทำให้คนติดเชื้อ โปรตีนบนพื้นผิวของไวรัสจะทำการจับกับส่วนของโปรตีนตัวอื่นที่ชื่อว่า หน่วยรับ CD4  ซึ่งพบได้ในเม็ดเลือดขาว โดยการใช้ตำแหน่งนี้ โปรตีนของไวรัสสามารถที่จะจับกับหน่วยรับตัวที่สองซึ่งเรียกว่า co-receptor ได้ เมื่อมันได้จับกับหน่วยรับทั้งสองแล้ว มันก็จะสามารถที่จะทำให้เม็ดเลือดขาวติดเชื้อและสามารถจำลองตัวเองออกมาได้
เช่นเดียวกันกับวัคซีนตัวอื่น การทดลองฉีดวัคซีนป้องกันโรคเอดส์นี้ซึ่งถูกเรียกว่า วัคซีน “full-length single chain” ประกอบไปด้วยโปรตีนบนพื้นผิวของไวรัส HIV ซึ่งถูกตัดต่อเพื่อที่มันจะสามารถเชื่อมต่อกับบางส่วนของหน่วยรับ CD4 ได้ จุดประสงค์ของวัคซีนตัวนี้ก็เหมือนกับวัคซีนทั่วไปนั่นคือการสร้างแอนติบอดีซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นโดยระบบภูมิคุ้มกันซึ่งจะคอยล่าและกำจัดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย แอนติบอดีนี้เองจะจับกับโปรตีนบนพื้นผิวของ HIV ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นการเปลี่ยนแปลงที่จะลงหลักปักฐานกับหน่วยรับบนเม็ดเลือดขาว และในตอนนั้นเองมันจะทำให้กระบวนการจับกับหน่วยรับนี้ล้มเหลว ส่งผลให้การติดเชื้อถูกยุติก่อนที่ไวรัสจะจำลองตัวเองได้
วัคซีนตัวนี้ได้ถูกวิจัยนำโดย จอร์จ ลิวอิส (George Lewis) อาจารย์จุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา ณ สถาบันวิจัย IHV และเป็นผู้อำนวยการของหน่วยวิจัยวัคซีนอีกด้วย การทดลองทางคลินิกในมนุษย์ครั้งนี้เป็นที่รู้กันว่าอยู่ในขั้นแรกของการศึกษา (phase I study) ซึ่งโดยปกติแล้ววัคซีนทั่วไปก็ต้องใช้เวลานานมากในการวิจัยและพัฒนากว่าจะสามารถนำมาใช้ได้ สถาบันวิจัย IHV ต้องการที่จะทำให้มั่นใจจริงๆ ถึงประสิทธิภาพและศักยภาพของวัคซีนตัวนี้ก่อนที่จะนำไปทดลองกับมนุษย์ ดอกเตอร์แกลโลเองก็ยืนกรานว่าเขาต้องการ “คำตอบที่มากกว่านี้ก่อนจะไปถึงมนุษย์”
โรคเอดส์และโรคต่างๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HIV ฆ่าคนไปแล้วกว่า 1.2 ล้านคนในปี 2014 จากข้อมูลของ World Health Organization หากวัคซีนนี้สามารถใช้ได้จริง แน่นอนว่าอาจจะเปลี่ยนโลกใบนี้ได้เลยทีเดียว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   postjung.com / aroundscience.com

Report by www.livcapsule.com



7
รายงานฉบับใหม่ของธนาคารโลกเรื่อง Scaling up HIV Treatment for MSM in Bangkok: What Does it Take? พบว่ากรุงเทพมหานครกำลังประสบปัญหาการระบาดของเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายรักชาย การเพิ่มการให้บริการและกระตุ้นให้กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มชายรักชาย เข้ารับบริการตรวจและรักษาเชื้อเอชไอวีฟรีและเป็นความลับนั้นจะช่วยหยุดยั้งการระบาดและลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวกับเชื้อเอชไอวีได้ถึงครึ่งใน 10 ปีข้างหน้า
โครงการแก้ปัญหาการระบาดของเชื้อเอชไอวีในไทยที่ผ่านมามุ่งเป้าไปที่หญิงขายบริการกับผู้ซื้อบริการ และดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี การดำเนินการเพื่อรับมือกับการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายรักชายยังคงมีอย่างจำกัด ส่งผลให้กลุ่มชายรักชายในไทยยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระดับสูงมาโดยตลอดและยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจำนวนชายรักชายที่ติดเชื้อเอชไอวีในกรุงเทพฯ จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 21 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 28 ในปี 2555 จากจำนวนประชากรชายรักชายทั้งเมืองราว 120,000-250,000 คน
รายงานฉบับใหม่นี้ได้เสนอกลยุทธ์ด้านสุขภาพและสาธารณสุข เพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิตและลดอัตราการติดเชื้อรายใหม่ได้ถึงครึ่งภายในปี 2565 รายงานการวิจัยนี้จัดทำขึ้นโดยธนาคารโลก ภายใต้ความร่วมมือจากสภากาชาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS)—โดยได้เรียกร้องให้มีการเข้ารับบริการตรวจและรักษามากขึ้น คลีนิคเพื่อสุขภาพสาธารณะมีพร้อมให้บริการอยู่แล้วโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและเป็นความลับ
"การตรวจและรักษาเชื้อเอชไอวี/เอดส์สามารถช่วยชีวิตคน รักษาสุขภาพ และป้องกันการติดเชื้อใหม่ได้” นายอูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว“การที่มีบริการตรวจและรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามสถานพยาบาลและสถานีอนามัยชุมชนต่าง ๆ มากมายสามารถช่วยให้ไทยชะลอ หรือแม้กระทั่งหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายรักชายและกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ในกรุงเทพมหานครได้ เราต้องเริ่มทำเดี๋ยวนี้”
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชายรักชายที่เข้ารับการตรวจเชื้อเอชไอวีมีจำนวนน้อย ในขณะที่กรุงเทพมหานครมีคลินิกและบุคลากรทางการแพทย์มากพอที่จะรองรับการตรวจและรักษาชายรักชายทุกคน ขณะนี้มีเพียง 1 ใน 5 ของกลุ่มชายรักชายที่เข้ารับการรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัส (ART) เท่านั้น ทั้งที่พวกเขาสามารถรับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
“ยิ่งคุณไปตรวจเชื้อเอชไอวีเร็วเท่าไร ก็ยิ่งเข้ารับการรักษาและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วเท่านั้น”ดร.สุเมธ องค์วรรณดี ผู้อำนวยการ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าว “เมื่อคุณรู้สถานะของตนเองแล้ว เชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ก็เหมือนโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่คุณเพียงต้องกินยาทุกวันและดูแลสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง”
รายงานฉบับนี้เสนอว่าหากใช้บริการจากสถานพยาบาลที่มีอยู่แล้วอย่างเต็มศักยภาพ ชายรักชายอีกราว 43,000 คนจะได้รับการตรวจเชื้อเอชไอวี และผู้ติดเชื้อจำนวน 5,100 คนจะได้รักษาด้วยยาต้านไวรัสภายในปี 2565  ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนชายรักชายในกรุงเทพฯ ที่จะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 44 ได้ภายในปี 2565 โดยใช้งบประมาณเท่าเดิม หากเพิ่มงบลงทุนอีก 55.3 ล้านเหรียญภายในทศวรรษหน้า กรุงเทพมหานครจะบรรลุการรักษาอย่างถ้วนหน้าตามระยะเวลาเดิมโดยสามารถให้การรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัสในกลุ่มชายรักชายได้อีก 12,600 คน
รายงานได้ระบุตัวอย่างแนวคิดริเริ่มที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนผู้เข้ารับการตรวจจากคลินิกสาธารณะ อาทิ การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรกับผู้ป่วยเพื่อส่งเสริมให้อยากเข้ามารับการตรวจและติดตามผล เว็บไซต์ Gay Bangkok ที่รณรงค์ให้ชายรักชายมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยและตรวจหาเชื้อเอชไอวี รวมทั้งยังได้จัดให้มีคลินิกเคลื่อนที่ตอนกลางคืนไปประจำตามจุดต่างๆ ที่กลุ่มชายรักชายนิยมไป และจัดศูนย์ตรวจอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวของชายรักชายในกรุงเทพฯ เพื่อความสะดวกในการตรวจ
“การที่จะยกระดับความพยายามเพื่อยุติการระบาดของเอดส์ทั่วโลกให้ได้ภายในพ.ศ.2573 นั้น จำต้องอาศัยการด้าน    ชีวการแพทย์ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการปรับโครงสร้างเข้าด้วยกัน” นายเดวิด วิลสัน ผู้อำนวยการโครงการเอดส์โลกของธนาคารโลก กล่าว“ด้วยมีโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ที่พร้อมด้วยคุณภาพที่มีอยู่แล้ว กรุงเทพมหานครมีโอกาสที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วย 5,000 รายและลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ถึงครึ่งภายในปี 2565 และสามารถเป็นแบบอย่างให้เมืองอื่นๆ ต่อไป”
รายงานการวิจัยนี้เรียบเรียงโดยทีมนักวิจัยจากสถาบันเคอร์บีในสังกัดมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์ สภากาชาดไทย และธนาคารโลก รายงานการวิจัยฉบับนี้ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์แลนเซ็ต
ขอขอบคุณข้อมูลจาก    worldbank.org

Report by www.livcapsule.com


8
โรคหนองใน และสาเหตุการเกิดโรค

          โรคหนองใน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โรคหนองในแท้ หรือ โกโนเรีย (Gonorrhoea) เกิดจากการติดเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีรูปร่างค่อนข้างกลม อยู่กันเป็นคู่หันด้านเว้าเข้าหากัน ดูคล้ายเมล็ดกาแฟหรือเมล็ดถั่ว ย้อมสีแกรมติดสีแดง เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก Mucous Membrance เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา คอ เป็นต้น โดยเชื้อนี้มีระยะฟักตัวเร็ว คือประมาณ 1-10 วัน

          ส่วน โรคหนองใน อีกประเภท คือ โรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethritis) หรือ NSU เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อโรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่หนองในแท้

 การติดต่อ โรคหนองใน
          โรคหนองใน ไม่ว่าจะ โรคหนองในแท้ หรือ โรคหนองในเทียม สามารถติดต่อกันจากการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอด หรือทางทวารหนัก รวมทั้งหากมีการร่วมเพศทางปาก ก็อาจทำให้ติดโรคที่ลำคอได้
          นอกจากนี้ โรคหนองในเทียม ยังเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ , การอักเสบของต่อมลูกหมาก, ท่อปัสสาวะตีบ, การอักเสบของหนังหุ้มอวัยวะเพศ หรือการใส่สายสวนปัสสาวะ
          ส่วนการจับมือ หรือนั่งฝาส้วมเดียวกัน ไม่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อ หนองใน ได้เนื่องจากเชื้อโรคชนิดนี้ เมื่อออกจากร่างกายคนแล้วจะตายค่อนข้างง่าย ดังนั้นโอกาสที่จะติดต่อกันทางอื่น นอกจากทางเพศสัมพันธ์เป็นไปได้ยากกว่า

 อาการของผู้ป่วย โรคหนองใน
           ผู้ชาย : ในผู้ชายที่เป็น หนองใน จะมีอาการปัสสาวะขัดอย่างรุนแรง และมีหนองสีเหลืองข้น ไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ มักเกิดอาการหลังรับเชื้อไปแล้ว 2-5 วัน ถ้าไม่รักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลุกลามไปยังต่อมลูกหมาก ทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ฯลฯ ซึ่งทำให้เป็นหมันได้
           ผู้หญิง :  ในผู้หญิงที่เป็น หนองใน ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ จนกระทั่ง 10 วันไปแล้ว จะมีอาการตกขาว มีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะแสบขัด เพราะเกิดการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ และปากมดลูก ถ้าไม่รีบรักษาเชื้อโรคจะลุกลาม ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ต่อมบาร์โธลินอักเสบ เป็นฝีบวมโต การอักเสบในอุ้งเชิงกราน ปีกมดลูกอักเสบ การอุดตันของท่อรังไข่ ซึ่งทำให้เป็นหมันหรือตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ นอกจากนี้ หากหญิงมีครรภ์เป็น โรคหนองใน เวลาคลอดอาจทำให้เด็กทารกติดเชื้อเกิดอาการตาอักเสบได้ และหากรักษาไม่ทัน จะทำให้เด็กตาบอดได้
          ส่วนอาการของ หนองในเทียม จะคล้ายกับอาการผู้ป่วย หนองในแท้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า และระยะฟักตัวของ โรคหนองในเทียม จะนานกว่า โรคหนองใน

 การวินิจฉัย โรคหนองใน
          การวินิจฉัยว่าเป็น โรคหนองใน หรือไม่นั้น แพทย์จะนำหนอง หรือปัสสาวะ มาตรวจ PCR จากนั้นจะนำมาย้อมหาเชื้อ และนำไปเพาะเชื้อ เพื่อตรวจสอบ ทั้งนี้แพทย์จะนำการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคอื่น ๆ ร่วมด้วย
          ส่วนการวินิจฉัย โรคหนองในเทียม จะต้องอาศัยการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการมาร่วมด้วย

 การรักษา โรคหนองใน
          ผู้ที่เป็น โรคหนองใน มักจะเป็น โรคหนองในเทียม ด้วย ดังนั้นจึงต้องรักษาอาการไปพร้อม ๆ กัน โดยการใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin และ Quinolone อาจเป็นชนิดรับประทานหรือชนิดยาฉีด ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Cefixime, Ceftriaxone, Ciprofloxacin, Ofloxacin, Levofloxacin เป็นต้น
          ทั้งนี้ การรักษา หนองใน จะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ที่จะต้องรับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่ง และปฏิบัติตน รวมทั้งตรวจซ้ำตามแพทย์แนะนำ และหากใครเป็น โรคหนองใน ควรพาคู่สามี และภรรยา ไปตรวจรักษาด้วย

 โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ
          ในผู้ชาย อาจเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ คือ
            การอักเสบของอัณฑะ Epididymitis ซึ่งหากไม่รักษาอาจจะทำให้เป็นหมัน
            ข้ออักเสบ Reiter's syndrome (arthritis)
            เยื่อบุตาอักเสบ Conjunctivitis
            ผื่นที่ผิวหนัง Skin lesions
            หนองไหล Discharge

          ส่วนผู้หญิง อาจมีอาการดังต่อไปนี้
            อุ้งเชิงกรานอักเสบPelvic Inflammatory Disease (PID)อาจจะทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก
            ปวดท้องน้อยเรื้อรัง Recurrent PID อาจจะทำให้เป็นหมัน
            ท่อปัสสาวะอักเสบ Urethritis
            ช่องคลอดอักเสบ Vaginitis
            แท้ง Spontaneous abortion (miscarriage)

 การป้องกัน โรคหนองใน
          การป้องกัน โรคหนองใน ที่ดีที่สุด คือ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ หากมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่า มีเชื้อหรือไม่ ให้สวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันตัวเอง นอกจากนี้ ควรมีสามีหรือภรรยาเพียงคนเดียว หรือลดปัจจัยเสี่ยงในการติดต่อ โรคหนองใน และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม

Report by www.livcapsule.com



9
โรคซิฟิลิส  (Syphilis)  เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Pallidum ผ่านการร่วมเพศทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด ซึ่งระยะของโรคซิฟิลิสมี 4 ขั้น ได้แก่ ระยะแรกที่ติดเชื้อ จะมีแผลขนาดเล็กที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งหากไม่รีบรักษาให้หาย มันจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะกระจายไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จากนั้นในระยะที่สาม โรคซิฟิลิสจะไม่แสดงอาการออกมาสักเท่าไร และหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อถึงระยะสุดท้าย มันจะทำให้สมองติดเชื้อ หูหนวก และตาบอดเลยทีเดียว
     นอกจาก โรคเอดส์ หนองใน แล้ว ซิฟิลิส (Syphilis) ก็เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัวอีกโรคหนึ่ง  ที่ว่าน่ากลัวก็เพราะเชื้อจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นได้ชัด แต่สามารถติดต่อกันได้ และเป็นเรื้อรังนานกว่า 2 ปีเลยทีเดียว แถมเมื่อรักษาหายแล้ว ยังอาจกลับมาเป็นได้ใหม่ด้วย
 คนเราสามารถรับเชื้อซิฟิลิสได้ 3 ทาง คือ
           1. ทางเพศสัมพันธ์ โดยติดต่อผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
           2. ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก
           3. จากแม่สู่ลูก โดยหากมารดาเป็นซิฟิลิส จะถ่ายทอดโรคนี้สู่ทารกในครรภ์ได้ โดยเรียกเด็กที่เป็นซิฟิลิสจากสาเหตุนี้ว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis) จะแสดงอาการหลังคลอดได้ 3-8 สัปดาห์ และเป็นอาการเล็กน้อยมาก จนแทบไม่ทันได้สังเกต เช่น มีตุ่มผื่นขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มาออกอาการมาก ๆ เข้าเมื่อตอนโต ซึ่งก็เข้าสู่ระยะที่สี่แล้ว หรือบางคนอาจแสดงอาการพิการออกมาให้เห็นได้ชัด
 จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น ซิฟิลิส
          การจะพิสูจน์ว่าเป็น ซิฟิลิส หรือไม่ สามารถทำโดยนำน้ำเหลืองจากแผล หรือผื่นที่ปรากฎบนตัวผู้ป่วยไปส่องกล้อง เพื่อหาตัวเชื้อโรค หรืออาจจะเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิสก็ได้
 แล้วจะป้องกัน ซิฟิลิส ได้อย่างไร
          ที่ทำได้และง่ายที่สุดในการป้องกันเจ้าโรค ซิฟิลิส นี้ก็คือ ควรป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อจะมีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หากจะแต่งงานต้องจูงมือคนรักไปตรวจเลือดก่อนแต่งงาน เพื่อว่าหากพบใครเป็นโรคนี้จะได้รักษาให้หายขาดก่อน
          นอกจากนี้ใครที่มีอาการผิดปกติ ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรค ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้รักษาโรคได้ทันท่วงที ก่อนจะสายจนเกินเยียวยา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   tnews.co.th

Report by www.livcapsule.com


10
HPV Vaccine
1. หากจะฉีดในกลุ่มหญิง ชาย ชายรักชาย ที่มีอายุมากกว่า 13 ปี ต้องฉีด 3 เข็ม ภายใน 1 ปี  ถ้าอายุต่ำกว่า 13 ปี ฉีดแค่ 2 เข็มห่างกัน 6 เดือน และจะป้องสูงสุดในกลุ่มประชากรที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน หรือ เวอจิ้นสุดๆแต่ถ้าในกรณีที่ใครมีผลการตรวจมะเร็งปากมดลูก และทวารหนักผิดปกติ สามารถลดการเป็นหูดซ้ำ เป็นมะเร็งปากมดลูก และทวารหนัก 65%
2. ผู้ชายก็สามารถฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ได้เหมือนกัน
วัคซีน HPV ที่แนะนำฉีดคือวัคซีนที่สามารถป้องกัน HPV ทั้ง 4 สายพันธุ์ คือ 6 11 16 18 มีบริการทุกโรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน (บางแห่งนะ) และคลิีนิคนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย
เข็มละ 2100 บาท และมักจะมีคนถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองมีเชื้อ HPV
3. ถ้าเป็นผู้หญิง ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมากมดลูก
ชายรักชายตรวจคัดกรองมะเร็งปากทวารหนัก
ส่วนในผู้ชายรักต่างเพศ ยังไม่มีการตรวจแพร่หลายในแง่การบริการ ส่วนใหญ่จะตรวจในงานวิจัย เพราะค่าใช้จ่ายสูง แต่จะตรวจได้หรือไม่ได้ ก็แนะนำฉีดวัคซีนป้องกันไปเลย เพราะบางรายมีเชื้อ HPV แต่ไม่มีอาการก็มีครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก   Bangkok-Health-HUB

Report by www.livcapsule.com


11
Clinic สุด Seed / โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์-ในคอ
« เมื่อ: 22 ธันวาคม 2015, 12:33:55 »
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในคอ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญคือการปฎิบัติเพศสัมพันธ์โดยใช้ปากสัมผัสอวัยวะเพศ ซึ่งนิยมกันในประเทศทางตะวันตกได้แพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทย ส่วนใหญ่ของปัญหานี้ จะเกิดจากการสัมผัสระหว่างช่องคอและอวัยวะเพศชาย จึงเป็นปัญหาที่พบบ่อย ในคน 2 กลุ่ม คือ
ก.ชายรักร่วมเพศ
ข.หญิงที่มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปากสัมผัสอวัยวะเพศชายบ่อยๆ
สำหรับการติดต่อของโรคจากอวัยวะเพศหญิงไปสู่ช่องคอนั้นเกิดได้บ้าง แต่น้อยมาก สาเหตุของโรคทางเพศสัมพันธ์ในคอที่พบบ่อย ได้แก่
1. โรคหนองใน
2. โรคเริม
3. โรคหนองในเทียม
4. โรคอินเฟคเชียส โมโนนิวคลีโอสิส(Infectiousmononucleosis)
5. โรคติดเชื้อราแคนดิดา
โรคหนองในในคอ
โรคหนองในในคอ เป็นปัญหาสำคัญของชายรักร่วมเพศและหญิงโสเภณี ระยะฟักตัวของโรคตั้งแต่ได้รับเชื้อจนมีอาการนั้นไม่แน่นอน เนื่องจากอาการแสดงมีความแตกต่างกันได้มาก ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยจะมีเชื้อมานานโดยไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ระคาย หรือเจ็บคอแต่เพียงเล็กน้อย มีน้อยรายที่จะพบอาการอักเสบและเจ็บคอมาก ถ้ามีอาการมากอาจคลำได้ต่อมน้ำเหลืองโตที่คอ ในบางรายอาจมีไข้ขึ้น
ตำแหน่งที่เป็นได้บ่อยที่สุดคือ ต่อมทอนซิลและคอหอย เนื่องจาก ส่วนมากของผู้ป่วยจะไม่มีอาการอยู่ได้นาน ๆ จึงสามารถแพร่โรคให้ผู้ที่ตนมี เพศสัมพันธ์ทางปากได้ และในหลายรายเชื้อที่คอจะแพร่ไปตามกระแสเลือด ทำให้เกิดโรคหนองในชนิดแพร่กระจาย มีไข้ขึ้น ปวดข้อ และผื่นตามผิวหนัง การวินิจฉัย
เนื่องจากการวินิจฉัยหนองในในคอโดยอาศัยอาการ หรือการตรวจดูเพียงอย่างเดียวนั้นมีความผิดพลาดสูง การตรวจเชื้อโดยวิธีการทาง ห้องปฏิบัติการจึงมีความสำคัญมาก การตรวจเชื้อทำได้ 2 วิธีคือ
1 . การย้อมเชื้อ การย้อมเชื้อจากต่อมทอนซิลและคอหอยนั้นจะแปรผล ยากมาก แม้จะมีความชำนาญในการตรวจมาก ก็ยังมีความแม่นยำน้อยกว่า 50% ทั้งนี้เพราะอาจมีเชื้อน้อยจนตรวจไม่พบ และในช่องคอจะมีเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติอยู่มาก และบางชนิดรูปร่างจะเหมือนกับเชื้อหนองในจนแยกไม่ออก
2. การเพาะเชื้อ การเพาะเชื้อสำหรับหนองในจากคอหอยและทอนซิล เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยการติดเชื้อบริเวณนี้ การเพาะเชื้อหนองใน ต้องอาศัยวุ้นเลี้ยงเชื้อชนิดพิเศษ ซึ่งจะมียาปฏิชีวนะบางอย่างซึ่งจะทำลายเชื้อ ปนเปื้อนจากช่องคอชนิดอื่น ๆ ทำให้เชื้อหนองในเจริญขึ้นมาได้ ในปัจจุบัน การเพาะเชื้อด้วยวิธีการดังกล่าวมีบริการเฉพาะศูนย์กามโรคของกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข หน่วยกามโรคของโรงพยาบาลใหญ่ และสถานพยาบาลของเอกชนเฉพาะด้านที่มีมาตรฐานสูงเท่านั้น
การรักษา
โรคหนองในในคอมีความยากลำบากในการรักษากว่าหนองในในอวัยวะสืบพันธุ์ ยาที่ใช้ได้ผลเป็นยาฉีดซึ่งราคาแพงมาก ในปัจจุบันมียาฉีดเพียงชนิดเดียวซึ่งพิสูจน์ว่าได้ผลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ การรักษาจึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ทางกามโรค หรืออายุรแพทย์ (โรคติดเชื้อ) และมีการประเมิน ผลว่าหายแน่นอนหรือไม่
โรคเริมในช่องปากและคอ
ในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปากสัมผัสอวัยวะเพศอาจจะเกิดโรคที่ช่องปากหรือช่องคอได้ ในกรณีที่ไม่เคยได้รับเชื้อและไม่มีความต้านทาน ระยะฟักตัวจะสั้นประมาณ 1 สัปดาห์และมีอาการรุนแรงเริ่มจากรู้สึกไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ๆ เจ็บในช่องปาก และคอมาก ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มแดง ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสและแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ ภายใน 1-2 วัน บางครั้งแผลจะติดต่อกันจนเป็นแผลกว้าง แผลเหล่านี้มีอาการแสบและเจ็บปวดมาก ต่อมนํ้าเหลืองที่คอมักจะโตเจ็บ อาการมักจะเป็นอยู่ 2-3 สัปดาห์จึงค่อย ๆ หายไป เชื้อไวรัสบางส่วนจะหลบอยู่ที่ปมประสาทหน้าหู และจะเป็นขึ้นมาได้เป็นครั้งคราว เมื่อร่างกายมีความเครียดทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ การเป็นซ้ำอาการมักไม่รุนแรง โดยจะเริ่มจากเจ็บๆ คันๆ บริเวณนั้นและจะเกิดตุ่มแดงซึ่งจะกลายเป็นตุ่มนํ้าใสและแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ อยู่เป็นกลุ่ม การเป็นซ้ำมักจะเกิดเฉพาะตรงขอบริมฝีปากที่เยื่อบุ ช่องปากต่อกับผิวหนัง และมักจะเป็นอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์จึงจะหาย
การวินิจฉัย
คล้ายโรคเริมที่อวัยวะเพศ ส่วนมากแล้วจะวินิจฉัย ได้ชัดเจนเมื่อโรคเริ่มเป็นในระยะแรก แต่ถ้าเป็นมาหลายวันแล้วจะแยกกันยากจากแผลอักเสบในช่องปากจากสาเหตุอื่น ๆ
การรักษา
ในปัจจุบันมียารักษาโรคเริมที่ได้ผลดีมากสำหรับผู้เป็นครั้งแรก จึงควรรีบพบตจแพทย์ แพทย์ทางกามโรค อายุรแพทย์ (โรคติดเชื้อ) หรือแพทย์เวชปฎิบัติทั่วไปโดยเร็ว ถ้าอาการอักเสบรุนแรงและคิดว่าอาจจะเป็นโรคเริมในคอ หากเป็นมาเกิน 5 วันการใช้ยาดังกล่าวจะไม่ได้ผล
ในพวกที่เป็นซ้ำนั้นการใช้ยาทาเฉพาะที่ (ชนิดเดียวกับโรคเริมที่อวัยวะเพศ) ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โรคหายเร็วขึ้นและไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใกล้ชิด แต่ยาดังกล่าวนี้จะไม่อาจป้องกันการเกิดซ้ำได้
โรคหนองในเทียม
การติดเชื้อหนองในเทียมโดยเฉพาะคลามัยเดียนั้นเกิดได้ในคอ แต่ส่วนมากแล้วจะไม่มีอาการและจะไม่อาจวินิจฉัยได้เลยถ้าไม่มีการตรวจหาเชื้อดังกล่าว คนที่มีเชื้อจะเป็นพาหะแพร่โรคให้ผู้ที่ตนมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปากด้วย เชื้อดังกล่าวจะหายไปได้เองหากไม่ได้รับการรักษาหรือไม่นั้นยังไม่มีหลักฐานยืนยัน
โรคอินเฟคเชียส โมโนนิวคลีโอสิส(Infectious Mono- nucleosis)
เชื้อไวรัส เอบสไตน์-บาร์ (Ebstein-Barr) ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกับ เฮอร์ปีส ซิมเพล็กช์ ไวรัสสามารถติดต่อได้จากการหายใจเอาละอองเสมหะเข้าไปหรือสัมผัสกับนํ้าเมือกหรือนํ้าลายในช่องปากของผู้ป่วย ดังนั้นจึงติดต่อได้จากการจูบปาก หรือใกล้ชิดกับผู้เป็นโรค โรคนี้มักพบในวัยหนุ่มสาว ระยะฟักตัว 4-7 สัปดาห์ โดยเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ไข้สูง เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองคลำได้โตทั่ว ๆ ไป อาจมีอาการตัวเหลือง ตับ ม้ามโต ปอดอักเสบ หรืออาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ ส่วนมากโรคมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปได้เองใน 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจจะเป็นอยู่ 2-3 เดือน การวินิจฉัยที่แน่นอนต้องอาศัยการตรวจเลือด ดูจำนวนเม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติ และการตรวจแอนติบอดีชนิด Heterophile
โรคติดต่อเชื้อราแคนดิดาในคอ
ส่วนมากแล้วการติดเชื้อราแคนดิดาในคอจะเกิดในคนที่มีความต้านทาน ลดตํ่าลง เช่น เป็นโรคเลือด เป็นโรคมะเร็ง เป็นเบาหวาน ลักษณะจะเป็นฝ้าขาว บนเยื่อบุซึ่งมีการอักเสบแดงเล็กน้อย จะขูดฝ้าขาวเหล่านี้ออกได้ง่ายคล้ายคราบนม ในคนที่เกิดเชื้อราซํ้า ๆ ในช่องปากและคอ ควรต้องตรวจอย่างละเอียดเพื่อหาว่ามีโรคภายในที่ทำให้ความต้านทานโรคของร่างกายลดลงหรือไม่ ในชายรักร่วมเพศ ถ้าพบเชื้อราแคนดิดาในช่องปากและช่องคอจะต้องนึกถึงโรคพร่องภูมิต้านทาน (โรคเอดส์) และควรมีการตรวจเลือดหาโรคดังกล่าวทันที
เชื้อราแคนดิดาบางทีอาจจะอาศัยอยู่ในคอโดยไม่ทำให้เกิดอาการ แต่อาจแพร่โรคผ่านทางนํ้าลายให้ผู้อื่นได้ พบว่าในสตรีที่เป็นตกขาวจากเชื้อราบ่อย ๆ สามีมักจะมีเชื้อราชนิดนี้ในน้ำลายและช่องคอ แต่ไม่มีอาการและอาจแพร่โรค กลับมาสู่ภรรยาได้อีก จึงควรได้รับยาฆ่าเชื้อราไปพร้อม ๆ กัน ยารักษาเชื้อราในคอปัจจุบันที่ดีที่สุดได้แก่ ยารับประทานคีโตโคนาโชล (Ketoconazole) วันละ 2 เม็ด นานประมาณ 1 สัปดาห์ ยานี้ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่ง และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   healthcarethai.com

Report by www.livcapsule.om


12
คนที่สัมผัสกับโรคเอดส์หรือคนที่ได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าไปในร่างกายไม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อเอดส์เสมอไปขึ้นกับจำนวนครั้งที่สัมผัสจำนวนและความดุร้ายของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกายและภาวะภูมิต้านทานของร่างกายถ้ามีการติดเชื้ออาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายรูปแบบหรือหลายระยะตามการดำเนินของโรค

ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
ภายใน2-3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10-14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6-8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลยเพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่ามีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวกซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้วร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์เรียกว่าแอนติบอดีย์(antibody)เป็นเครื่องแสดงว่าเคยมีเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายมาแล้วแต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัวและสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมา เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน6เดือนโดยในระหว่างนั้นก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาและห้ามบริจาคโลหิตให้ใครในระหว่างนั้นผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตได้โดยโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป ซึ่งบางรายอาจคลำพบเอง หรือไปหาแพทย์แล้วแพทย์คลำพบ ต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด1-2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง(รูปที่ 2) ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากที่คอต่อมน้ำเหลืองที่โตยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง แต่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบมีความสำคัญน้อยกว่าที่อื่นเพราะพบได้บ่อยในคนปกติทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลืองที่โตเหล่านี้

ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์
เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก(รูปที่ 3), งูสวัด(รูปที่ 4), เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง(รูปที่ 5) จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์

ระยะที่ 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้วผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆและเป็นมะเร็งบางชนิดเช่นแคโปซี่ซาร์โคมา(Kaposi'ssarcoma)และมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาสหมายถึงการติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำไม่ก่อโรคในคนปกติแต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลงเช่นจากการเป็นมะเร็งหรือจากการได้รับยาละทำให้เกิดวัณโรคที่ปอดต่อมน้ำเหลืองตับหรือสมองได้ รองลงมาคือเชื้อพยาธิที่ชื่อว่านิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ ซึ่งทำให้เกิดปอดบวมขึ้นได้(ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ต่อมาเป็นเชื้อราที่ชื่อ คริปโตคอคคัสซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ซึมและอาเจียน นอกจากนี้ยังมีเชื้อฉกฉวยโอกาสอีกหลายชนิด เช่นเชื้อพยาธิที่ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง และเชื้อซัยโตเมก กะโลไวรัส (CMV) ที่จอตาทำให้ตาบอด หรือที่ลำไส้ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดเป็นต้นในภาคเหนือตอนบน มีเชื้อราพิเศษ ชนิดหนึ่งชื่อ เพนนิซิเลียว มาร์เนฟฟิโอ ชอบทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนัง(รูปที่ 6) ต่อมน้ำเหลืองและมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตแคโปซี่ ซาร์โค มา เป็นมะเร็งของผนังเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะพบตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงๆ แดงๆ บนผิวหนัง คล้ายจุดห้อเลือด หรือไฝ ไม่เจ็บไม่คันค่อยๆ ลามใหญ่ขึ้น ส่วนจะมีหลายตุ่ม(รูปที่ 7) บางครั้งอาจแตกเป็นแผล เลือดออกได้ บางครั้งแคโปซี่ซาร์โคมา อาจเกิดในช่องปากในเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 6 เดือน นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์เต็มขั้นอาจมีอาการทางจิตทางประสาทได้ด้วยโดยที่อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัย เนื่องจากสมองฝ่อเหี่ยว หรือมีอาการของโรคจิต หรืออาการชักกระตุก ไม่รู้สึกตัว แขนขาชาหรือไม่มีแรง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวคล้ายไฟช๊อตหรือปวดแสบปวดร้อน หรืออาจเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 5-6 ของผู้ที่ติดเชื้อจะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน2-4 ปี จากโรคติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่เป็นมาก รักษาไม่ไห หรือโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่จะรักษาอย่างได้ผล หรือเสียชีวิตจากมะเร็งที่เป็นมากๆ หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด พบว่ายาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ในประเทศตะวันตกสามารถยืดชีวิตคนไข้ออกไปได้10 - 20 ปีและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรืออาจอยู่จนแก่ตายได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก   somdej17.moph.go.th

Report by www.livcapsule.com


13
หมั่นสังเกตอวัยวะเพศของตัวเอง เพื่อดูว่ามีอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือไม่

อวัยวะเพศหญิง
หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามได้
1.   ตกขาวมากผิดปกติ
2.   ตกขาวมีกลิ่นเหม็น สีเปลี่ยนไป และมีฟอง
3.   คันที่อวัยวะเพศ
4.   ปัสสาวะปวดแสบ
5.   มีตุ่มใส/จุด/แผลที่อวัยวะเพศ
6.   รู้สึกเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์
7.   ปวดท้องน้อยมาก โดยไม่ใช่การปวดประจำเดือนตามปกติ
ไม่ควรซื้อยากินหรือยาเหน็บเองเมื่อมีอาการผิดปกติ เพราะอาจไม่ตรงกับอาการที่เป็นอยู่ และรักษาไม่หายขาด

อวัยวะเพศชาย
หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เชื้อโรคลุกลามได้
1.   มีน้ำหนองไหล
2.   มีอาการบวม
3.   รู้สึกคัน
4.   ปัสสาวะแสบขัด และ/หรือบ่อยๆ 
5.   น้ำปัสสาวะขุ่น
6.   มีเนื้องอก
7.   รู้สึกเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์
 ไม่ควรซื้อยากินหรือยาทาเองเมื่อมีอาการผิดปกติ เพราะอาจไม่ตรงกับอาการที่เป็นอยู่ และรักษาไม่หายขาด
การดูแลอวัยวะเพศหญิง
การเลือกและดูแลชุดชั้นใน
เลือกผ้าฝ้ายเนื้อบางเบาเพื่อช่วยลดความอับชื้น ควรซักแล้วตากให้โดนแดด หรือ รีด/เป่า ด้วยความร้อน ให้แห้งสนิทก่อนนำไปเก็บ

2. การทำความสะอาดอวัยวะเพศ
ทำความสะอาดตอนอาบน้ำ โดยใช้น้ำธรรมดาและสบู่ ไม่ควรสวนล้างช่องคลอดโดยใช้น้ำหรือน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเด็ดขาด เพราะทำให้สภาพแวดล้อมภายในช่องคลอดเปลี่ยนไป จนอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น หลังทำความสะอาดแล้ว ควรซับด้วยผ้าฝ้าย และตากผ้าให้แห้ง จะได้ไม่อับชื้นขนอ่อนๆ ที่หัวหน่าวช่วยป้องกันกลิ่นของอวัยวะเพศ ไม่ควรถอนทิ้ง โกน หรือย้อมสี แต่สามารถเล็มตัดแต่งให้สวยงามได้เมื่อใช้ห้องน้ำสาธารณะ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำฉีดทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่ให้ใช้กระดาษทิชชูซับให้แห้ง การทำความสะอาดทวารหนัก ควรใช้กระดาษทิชชูเช็ดจากหน้าไปหลัง เพื่อป้องกันการเปรอะเปื้อนที่อวัยวะเพศ ควรหลีกเลี่ยงการให้ผ้าอนามัยแบบสอดเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองติดเชื้อ
3. เมื่อมีเพศสัมพันธ์
ทำความสะอาดอวัยวะเพศก่อนมีเพศสัมพันธ์ ควรให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และยังช่วยให้ช่องคลอดไม่หมักหมมจากน้ำอสุจิที่ตกค้างอยู่ ลดโอกาสการติดเชื้อรากรณีที่ใช้เจลหล่อลื่น หลังเสร็จกิจควรล้างเจลหล่อลื่นออกให้หมดด้วยน้ำสะอาด
การดูแลอวัยวะเพศชาย
การเลือกและดูแลชุดชั้นใน
ควรเลือกกางเกงในที่ตัดเย็บด้วยเนื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
ควรเปลี่ยนกางเกงในทุกวัน ไม่ควรนำกลับมาใส่ซ้ำ
ไม่ควรนุ่งกางเกงในที่รัดแน่นเกินไป หรือเปียกชื้น

การทำความสะอาด
ทุกครั้งที่อาบน้ำต้องปลิ้นหนังหุ้มปลายออกมาเพื่อทำความสะอาดชำระคราบไคลที่หมักหมมอยู่ภายใต้หนังหุ้มปลายออกหรือที่เรียกว่า “ขี้เปียก“
 หลังทำความสะอาดแล้ว ควรซับด้วยผ้าฝ้าย และตากผ้าให้แห้ง จะได้ไม่อับชื้น
 ขนอ่อนๆ ที่หัวหน่าวช่วยป้องกันกลิ่นอวัยวะเพศ ไม่ควรถอนทิ้ง โกน หรือย้อมสี แต่สามารถเล็มตัดแต่งให้สวยงามได้
ปัสสาวะควรถ่ายจนหมด จะได้ไม่หมักหมม ก่อให้เกิดการติดเชื้อต่างๆ ได้
ไม่ใช้กางเกงใน กางเกง ผ้าเช็ดตัว ผ้าขาวม้า  ปะปนกับคนอื่น เพราะอาจทำให้เราติดเชื้อได้

เมื่อมีเพศสัมพันธ์
ทำความสะอาดอวัยวะเพศก่อนมีเพศสัมพันธ์
ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
กรณีที่ใช้เจลหล่อลื่น หลังเสร็จกิจควรล้างเจลหล่อลื่นออกให้หมดด้วยน้ำสะอาด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก   lovecarestation.com

Report by www.livcapsule.com


14
Clinic สุด Seed / การติดเชื้อ HPV ในผู้ชาย
« เมื่อ: 17 ธันวาคม 2015, 12:40:34 »
Genital human papillomavirus (HPV) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด
เชื้อนี้ก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขค่อนข้างมาก โดยพบว่าการติดเชื้อบางชนิดจะมีความสัมพันธ์กับมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อนี้พบได้บ่อยในผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เพราะเชื้อนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
สำหรับผู้ชายการติดเชื้อชนิดนี้จะทำให้เกิดโรคหูดที่อวัยวะเพศ และที่ทวารหนัก
พบการติดเชื้อ HPV ในผู้ชายบ่อยแค่ไหน
•   ประมาณร้อยละ1 ของวัยเจริญพันธุ์จะเคยเป็นโรคหูดหนึ่งครั้ง
•   มะเร็งอวัยวะเพศชายพบได้น้อย โดยเฉพาะผู้ที่ได้ขลิบอวัยวะเพศแล้ว
•   มะเร็งที่ทวารหนักก็พบได้น้อย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะพบมะเร็งมากกว่าผู้ที่มีภูมิปกติ
ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย หรือมีเพศสัมพันธุ์ทั้งชายและหญิง จะมีโอกาสเกิดมะเร็งได้สูงกว่าผู้ชายทั่วไป 17 เท่าถึงแม้ว่าจะพบการติดเชื้อได้บ่อยในผู้ชาย แต่ส่วนใหญ่ไม่เกิดอาการ และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่จะมีการติดเชื้อบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคหูด หรือมะเร็ง
อาการและอาการแสดงของโรคติดเชื้อ HPV ในผู้ชายเป็นอย่างไร
อาการของหูด
•   มีก้อนหูดขึ้นที่ หัวอวัยวะเพศ ผิวหนัง อัณฑะ
•   หูดอาจจะมีลักษณะเป็นเนื้อนูนขึ้นมาบางๆ หรือเป็นแบบหงอนไก่
•   หูดจะปรากฎขึ้นหลังสัมผัสเชื้อไม่กี่สัปดาห์
อาการของมะเร็งทวารหนัก
•   อาจจะไม่มีอาการอะไร
•   หรืออาจจะมาด้วยเรื่องเลือดออก คัน หรือมีกลิ่นเหม็นหรือน้ำเหลืองไหล
•   หรือมาด้วยเรื่องก้อนต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
•   หรืออาจจะมีอาการท้องผูก อุจาระมีขนาดเล็ก

อาการของมะเร็งอวัยวะเพศ
•   ผิวหนังจะซีดและหนาตัวขึ้นมา และมีก้อน
•   มีก้อนขึ้นมา และอาจจะมีแผล มักจะไม่เจ็บปวด
•   อาจจะไม่มีอาการจนกระทั่งมะเร็งลุกลามไปทั่ว
การติดต่อ
ผู้ชายจะได้รับเชื้อนี้จากการมีเพศสัมพันธุ์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก โชคไม่ดีที่ไม่มีการตรวจหาว่าใครติดเชื้อHPV ในระยะเริ่มต้น และก็ไม่มีการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นเหมือนมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นคุณผู้ชายต้องป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ HPV และมั่นตรวจหาว่ามีหูดขึ้นที่อวัยวะเพศหรือที่ทวารหนักหรือไม่
การรักษาโรคติดเชื้อ HPV
ยังไม่มียาที่รักษาการติดเชื้อ HPV การรักษาส่วนใหญ่ก็รักษาตามอาการ หากมีหูดก็เอาออกทั้งการใช้ยาจี้ หรือการผ่าตัดเหมือนของผู้หยิง
ใช้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่
ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าวัคซีนนี้สามารถได้ประโยชน์ในผู้ชาย ดังนั้นจึงไม่แนะนำ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Siamhealth

Report by www.livcasule.com


15
Clinic สุด Seed / เอดส์มีอาการอย่างไร
« เมื่อ: 17 ธันวาคม 2015, 12:36:16 »
เอดส์มีอาการอย่างไร
คนที่สัมผัสกับโรคเอดส์หรือคนที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อเอดส์เสมอไปขึ้นกับจำนวนครั้งที่สัมผัสจำนวนและความดุร้ายของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกายและภาวะภูมิต้านทานของร่างกายถ้ามีการติดเชื้ออาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายรูปแบบหรือหลายระยะตามการดำเนินของโรค

ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
ภายใน2-3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10-14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6-8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลยเพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่ามีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวกซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้วร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์เรียกว่าแอนติบอดีย์(antibody)เป็นเครื่องแสดงว่าเคยมีเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายมาแล้วแต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัวและสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมา เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน6เดือนโดยในระหว่างนั้นก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาและห้ามบริจาคโลหิตให้ใครในระหว่างนั้นผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตได้โดยโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป ซึ่งบางรายอาจคลำพบเอง หรือไปหาแพทย์แล้วแพทย์คลำพบ ต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด1-2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง(รูปที่ 2) ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากที่คอต่อมน้ำเหลืองที่โตยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง แต่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบมีความสำคัญน้อยกว่าที่อื่นเพราะพบได้บ่อยในคนปกติทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลืองที่โตเหล่านี้

ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์
เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก(รูปที่ 3), งูสวัด(รูปที่ 4), เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง(รูปที่ 5) จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์

ระยะที่ 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้วผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆและเป็นมะเร็งบางชนิดเช่นแคโปซี่ซาร์โคมา(Kaposi'ssarcoma)และมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาสหมายถึงการติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำไม่ก่อโรคในคนปกติแต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลงเช่นจากการเป็นมะเร็งหรือจากการได้รับยาละทำให้เกิดวัณโรคที่ปอดต่อมน้ำเหลืองตับหรือสมองได้ รองลงมาคือเชื้อพยาธิที่ชื่อว่านิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ ซึ่งทำให้เกิดปอดบวมขึ้นได้(ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ต่อมาเป็นเชื้อราที่ชื่อ คริปโตคอคคัสซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ซึมและอาเจียน นอกจากนี้ยังมีเชื้อฉกฉวยโอกาสอีกหลายชนิด เช่นเชื้อพยาธิที่ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง และเชื้อซัยโตเมก กะโลไวรัส (CMV) ที่จอตาทำให้ตาบอด หรือที่ลำไส้ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดเป็นต้นในภาคเหนือตอนบน มีเชื้อราพิเศษ ชนิดหนึ่งชื่อ เพนนิซิเลียว มาร์เนฟฟิโอ ชอบทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนัง(รูปที่ 6) ต่อมน้ำเหลืองและมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตแคโปซี่ ซาร์โค มา เป็นมะเร็งของผนังเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะพบตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงๆ แดงๆ บนผิวหนัง คล้ายจุดห้อเลือด หรือไฝ ไม่เจ็บไม่คันค่อยๆ ลามใหญ่ขึ้น ส่วนจะมีหลายตุ่ม(รูปที่ 7) บางครั้งอาจแตกเป็นแผล เลือดออกได้ บางครั้งแคโปซี่ซาร์โคมา อาจเกิดในช่องปากในเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 6 เดือน นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์เต็มขั้นอาจมีอาการทางจิตทางประสาทได้ด้วยโดยที่อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัย เนื่องจากสมองฝ่อเหี่ยว หรือมีอาการของโรคจิต หรืออาการชักกระตุก ไม่รู้สึกตัว แขนขาชาหรือไม่มีแรง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวคล้ายไฟช๊อตหรือปวดแสบปวดร้อน หรืออาจเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 5-6 ของผู้ที่ติดเชื้อจะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน2-4 ปี จากโรคติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่เป็นมาก รักษาไม่ไห หรือโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่จะรักษาอย่างได้ผล หรือเสียชีวิตจากมะเร็งที่เป็นมากๆ หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด พบว่ายาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ในประเทศตะวันตกสามารถยืดชีวิตคนไข้ออกไปได้10 - 20 ปีและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรืออาจอยู่จนแก่ตายได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก   somdej17.moph.go.th

Report by www.livcapsule.com


16
Clinic สุด Seed / โรคภูมิแพ้อสุจิ
« เมื่อ: 15 ธันวาคม 2015, 19:43:28 »
เคยมีรายงานแล้วว่าพบผู้ป่วยชายหลายคนมีอาการ ภูมิแพ้อสุจิ ตัวเอง หรือที่เรียกกันแบบทางการว่า Post-orgasmic illness syndrome (POIS) อาการทั่วไปคือ หลังจากที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ ผู้ป่วยจะมีไข้ คัดจมูก แสบตา และเหนื่อยล้าอย่างหนัก อาการเหล่านี้อาจจะอยู่ได้นานเป็นสัปดาห์นั่นเอง
 
ในตอนแรกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็คิดว่าอาการ ภูมิแพ้อสุจิ เหล่านี้เกิดจากสภาวะทางจิตที่มีผลต่อร่างกาย แต่งานวิจัยชิ้นล่าสุดของ ศาสตราจารย์ มาเซล วอลดิงเกอร์ (Marcel Waldinger) แห่ง Utrecht University ในประเทศเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าอาการ ภูมิแพ้อสุจิ ตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน เหมือนกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ ไม่ใช่อาการทางจิตที่ผู้ป่วยคิดไปเอง โดย ทีมวิจัยของ ศาสตราจารย์ มาเซล ได้ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วย ภูมิแพ้อสุจิ POIS จำนวน 45 คน ในจำนวนนี้มี 33 คนยินยอมให้นักวิจัยทดสอบอาการภูมิแพ้ด้วยวิธีเอาเข็มที่จุ่มสารละลายเจือจางของน้ำอสุจิตัวเองจิ้มเข้าผิวหนังที่แขน (skin prick test) ผลออกมาว่า 29 จาก 33 คน แสดงอาการแพ้ ซึ่งสามารถแปลความได้ว่า ภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อน้ำอสุจิจริงๆ

นอกจากนี้เมื่อทีมวิจัยใช้วิธีการรักษาอาการภูมิแพ้แบบที่เรียกว่า hyposensitization therapy กับผู้ป่วย 2 คน คือ เริ่มแรกฉีดสารละลายน้ำอสุจิที่เจือจางมากๆ เข้าไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นทุกๆ เดือน ก็พบว่าภายในระยะเวลา 1 และ 3 ปี ผู้ป่วยมีอาการแพ้ลดลง นี่เป็นอีกหลักฐานที่ชี้ว่าอาการ ภูมิแพ้อสุจิ เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันเหมือนกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ และสามารถรักษาให้อาการบรรเทาได้ด้วยวิธีเดียวกัน ตอนนี้ทีมวิจัยของ ศาสตราจารย์ มาเซล ก็ดำเนินการรักษาผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป ขณะเดียวกันก็พยายามหาคำตอบด้วยว่า “ทำไมผู้ป่วยถึงไม่มีอาการ ภูมิแพ้อสุจิ ที่อยู่ในอัณฑะ แต่จะแพ้ก็ต่อเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิเท่านั้น?”

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก   ห่วงใยดอทคอม

Report by  www.livcapsule.com


17
ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด
ถุงยางอนามัย เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ดี มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ ถ้าใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน ไม่เสื่อม ไม่รั่ว ไม่ซึม ใช้อย่างถูกวิธีและใช้อย่างสม่ำเสมอ จะมีอัตราตั้งครรภ์ 3 ราย ใน 100 ราย ที่ใช้ใน 1 ปี นี่พูดตามทฤษฎีนะครับ แต่ในทางปฏิบัติจริง พบว่ามีอัตราตั้งครรภ์ สูงถึง 10-15 ราย ใน 100 ราย ใน 1 ปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ??
สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย
ท้องได้ไง ก็ใช้ถุงยางแล้ว ..อ้าวทำไมปัสสาวะถึงแสบๆ ก็ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว การล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย ย่อมทำมาซึ่งความหายนะอันใหญ่หลวงที่หลายๆคนเคยประสพมาแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอ
2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน การใส่ที่ไม่เว้นส่วนติ่งไว้(คือดึงมาจนสุดไม่เหลือติ่ง) ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม(กรณีให้สาวใส่ให้) การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอนสมอ การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นานจนนกเขาหลับ การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด(หกปากถ้ำ)
3. การแตกของถุงยางอนามัย แม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัยแม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
การแตกของถุงยางอนามัย
แม้ได้ใช้อย่างถูกวิธี ระมัดระวังอย่างดี ก็ยังแตกได้ครับ มีรายงานตั้งแต่ร้อยละ 1 ถึง 12 เฉลี่ยก็ร้อยละ 5 แต่ถ้าร่วมเพศทางทวารหนัก จะหนักกว่านี้ จากการศึกษาของอีตา steiner แกพบว่า ครึ่งหนึ่งจะแตกตรงส่วนปลายปิด หนึ่งในสี่แตกตรงตัวถุง และอีกหนึ่งในสี่ แตกตรงปลายเปิด แต่ที่สำคัญคือ กว่าจะรู้ว่าแตก ก็เสร็จกิจไปแล้ว ถึงสองในสามของการแตก นี่ซิ ซวยชนิดไม่บอก
แล้วมันแตกได้ยังไง
1. ใช้ไม่ถูกวิธี
2. พฤติกรรมทางเพศ ที่ไม่เหมาะสม เช่น ร่วมเพศอย่างเมามันรุนแรง ยาวนาน หรือมีการเสียดสีอย่างมาก หรือช่องคลอดที่แห้งยังไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ หรือช่องคลอดแห้งในสตรีวัยทอง
3. การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม สารหล่อลื่นที่ใช้กับถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ จะต้องมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำหรือซิลิโคนเท่านั้น ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากน้ำมันหรือ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันโดยเด็ดขาด (petroleum and derivatives) รวมทั้งน้ำมันพืชด้วยนะครับ ยางกับน้ำมันไม่ถูกกันครับ จาการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่า ความแข็งแรงของถุงยางอนามัยลดลงถึงร้อยละ 90 เมื่อถุงยางอนามัยสัมผัสกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (เพียงแค่15นาที)
อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ต้องสังวรไว้ก็คือความเชื่อที่เคยเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่สามารถล้างออกด้วยน้ำได้ ก็สามารถใช้ได้กับถุงยางอนามัยนั้น ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะมีผลิตภัณฑ์บางชนิดมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันอยู่ด้วยก็มี
4.ใช้ขนาดของถุงยางอนามัยไม่เหมาะสม ในเมืองไทย มี 2 ขนาด คือขนาด 49 มิลลิเมตร และขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาดที่เหมาะสมกับคนไทยคือ ขนาด 49 มิลลิเมตร
5. คุณภาพของถุงยางอนามัยไม่ดี ปกติถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทย เขาก็ผลิตดี ได้มาตรฐาน ISO กันทั้งนั้น มีอายุเก็บไว้ได้นานถึง 5 ปี นับแต่วันที่ผลิตถ้าเก็บไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่ที่คุณภาพมันแย่ ก็มักเกิดขึ้นหลังจากผลิตออกมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เก็บไว้แล้วโดนแสงอุลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์(ตั้งโชว์ไว้หน้าร้าน) หรือโดนแสงนีออนนานๆ ความร้อน ความชื้น โอโซน ความเค็มของอากาศชายทะเล ล้วนเป็นเหตุให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนหมดอายุได้ทั้งสิ้น แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือพวกที่ชอบพกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าตังนี่ซิ แค่เดือนเดียวก็หมดสภาพแล้วครับ
แล้วที่โรงงานผลิตออกมาห่วยๆ มีไม๊…ก็มีครับ แต่ก็น้อยยยยมากกกกก เช่น ความหนาของผิวยางไม่สม่ำเสมอ มีฟองอากาศ เป็นรอยพับย่น มีเศษวัสดุแปลกปลอม รอยตำหนิเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการแตกของถุงยางอนามัยได้เช่นกัน
สารฆ่าเชื้ออสุจิ
ในสมัยปัจจุบันมีหลายบริษัทได้เพิ่มสารฆ่าตัวอสุจิเคลือบถุงไว้ด้วย ด้วยหวังว่าถ้าเกิดเผื่อถุงยางแตก หรือรั่วก็ยังพอมียาตัวนี้ช่วยฆ่าเชื้ออสุจิด้วย แม้ไม่มากนักก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สารที่ใช้มีหลายประเภท แต่ที่นิยมกันมากเป็นสารประเภท surfactant หรือ surfactant active เป็นสารเคมีในกลุ่ม detergent สารเคมีประเภทนี้ฆ่าตัวอสุจิโดยการจู่โจมเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของตัวอสุจิชำรุด เกิดการรั่วไหลของส่วนประกอบภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย ตัวที่นิยมใช้กันมากที่สุด(หรือเกือบทั้งหมด) ได้แก่ สาร nonoxynol-9 มีชื่อทางเคมีว่า nonylphenoxyl-polyethoxye-thanol (ต่อมาก็มีการพัฒนามาใช้ nonoxynol-11้ ) ต่อมาพบว่าสารนี้สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคได้ รวมทั้งเชื้อเอดส์ด้วย ได้มีการทดลองในหลอดทดลอง โดยเอาเชื้อเอดส์ และเซลล์ที่ติดเชื้อเอดส์มาผสมกับตัวยาnonoxynol-9 ผลปรากฏว่า เชื้อตายหมดภายในไม่กี่วินาที
ขอขอบคุณข้อมูลจาก นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ และ clinicrak

Report by www.livcapsule.com


18
ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่กลับไม่ค่อยชอบใช้กัน บ้างก็อ้างว่า ไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่ถุงยางอนามัยนั้นทำมาจากยางธรรมชาติแท้ๆ อย่าว่าแต่พกถุงยางอนามัยเลย แม้แต่จะซื้อถุงยางอนามัยก็ยังอาย ก็ไม่รู้จะไปอายอะไรกัน พึงระลึกเสมอว่า "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยนั้นคือคนที่มีความรับผิดชอบ" รับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อคู่ของตัว เพราะถุงยางอนามัยนั้นนอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย ป้องกันตัวเองที่จะไม่รับเชื้อและป้องกันไม่แพร่เชื้อไปยังคู่ของตัวเอง
ความนิยมและอัตราการใช้ถุงยางอนามัย
ความนิยมใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดมีอัตราแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการใช้สูงเกือบร้อยละ 20 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาใช้ไม่ถึงร้อยละ 5 ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก มีการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการคุมกำเนิดสูงถึง ร้อยละ 80 ในช่วง10ปีที่ผ่านมา
แล้วบ้านเราล่ะ แต่ก่อนนี้มีการใช้น้อยมาก แต่ตั้งแต่เจ้าเอดส์ระบาดนี่ คนไทยใช้ถุงยางอนามัยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะไม่ใช้ได้ยังไงละครับ ถ้าไม่ใช้หญิงบริการจะไม่ยอมให้อึ๊บโดยเด็ดขาด อยากอึ๊บก็เลยจำต้องใช้ แต่การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดในคนทั่วไปก็ยังมีน้อย ก็ด้วยเหตุผลทางค่านิยมที่รังเกียจกลัวคนจะรู้ว่าตัวเองพกถุงยางอนามัย "อาย" ว่างั้นเถอะ เราคงต้องเปลี่ยนค่านิยมอันนี้เสียใหม่แล้วครับ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ชนิดทูอินวัน อย่าลืมนะครับ "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยคือคนที่มีความรับผิดชอบ"
ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์
คุณทราบหรือไม่ว่าถุงยางอนามัยเนียะ จัดเป็นเครื่องมือแพทย์นะครับ และเป็นเครื่องมือแพทย์อันเดียวที่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์แต่ก็สามารถใช้ได้ เมื่อถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ก็ต้องมีกฎหมายรับรอง ต้องมีประกาศมาตรฐาน ควบคุมการผลิต กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเป็นกฎกระทรวงฉบับที่ 11 พ.ศ. 2535 ว่าให้ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด หรือใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ชนิดของถุงยางอนามัย
ถุงยางอนมัยที่มีการผลิตจำหน่ายในโลกนี้มี 3 ชนิดตามวัสดุที่ใช้
1. ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom)
วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียก caecum มีใช้ในอเมริกา ราว ร้อยละ 5 เขาว่าใช้แล้วรู้สึกสบายยามสวมใส่ ไม่รัดรูป ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์สามารถสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ และความชุ่มชื่นจากสารคัดหลั่งสามารถซึมผ่านเนื้อเยื่อได้ แต่เนื่องจากผิวของวัสดุมีรูพรุนเล็กๆที่ขวางได้เฉพาะตัวอสุจิเท่านั้น จึงไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ skin condom มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร และไม่สามารถยืดตัวได้ (แต่มีความอ่อนนุ่ม) จึงสวมใส่แบบหลวมๆ ไม่รัดแนบแน่นแบบที่ทำจากยางธรรมชาติ ขนาดความกว้างเมื่อวางแบนราบ มีตั้งแต่ 62 มิลลิเมตร ถุง 80 มิลลิเมตรถุงยางชนิดนี้ไม่มีการผลิตจำหน่ายในเมืองไทย ไม่ต้องถามหากันนะครับ (อ้อ..ราคาแพงมากด้วยครับ)
2. ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom)
จากวัสดุที่ทำนี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่า "ถุงยางอนามัย" ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดค้นชื่อนี้ ชอบครับ ถุงยางที่ถูกสุขอนามัย สะอาด ตรงและเหมาะสมจริงๆ แต่คนไทยไม่ชอบยาวๆ (ทีอย่างอื่นละก็เรียกร้องจะเอาแบบยาวๆ..เนาะ) กลับเรียกไปต่างๆนานา ปลอก นวม เสื้อ เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย ฯลฯ ฝรั่งก็มีชื่อเรียก นอกจาก Condom แล้ว ก็เรียก sheath, prophylactic, French letter, English cape เป็นต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาตินี้มีราคาถูกกว่า บางกว่า ยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบทำจากลำไส้สัตว์ จึงมีขนาดความกว้างน้อยกว่า การสวมใส่ก็กระชับรัดแนบเนื้อ สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อการคุมกำเนิดและป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย
3. ชนิดที่ทำจากPolyurethane (ถุงยางพลาสติก)
ปัจจุบันได้มีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น สาร Polyurethane เพราะถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติก็มีข้อด้อย เช่นแพ้ รั่วได้ ใช้สารหล่อลื่นบางชนิดไม่ได้ กลิ่นไม่ค่อยชวนดมเรียกถุงยางอนามัยชนิดนี้ว่า ถุงยางพลาสติก (plastic condom) แต่เขาว่าถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ คงทนกว่าแบบยางธรรมชาติ สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้ เท่าที่มีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ใช้ชื่อ AVANTI เป็นของ DUREX
แบบของถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยเมื่อเป็นสินค้าก็ย่อมมีการตลาด จึงต้องมีแบบต่างๆ ให้ลูกค้าเลือกมากมาย ตามความต้องการของลูกค้ารวมทั้งทำเพื่อเป็นจุดขายเพื่อการโฆษณาด้วย ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติชนิดเข้มข้นมีรูปแบบที่เกี่ยวกับลักษณะสำคัญ 6 เรื่องคือ
1. สารหล่อลื่น มีทั้งแบบแห้งคือไม่มีสารหล่อลื่น และแบบที่มีสารหล่อลื่น แบบที่มีสารหล่อลื่นก็ยังแบ่งเป็นแบบสารหล่อลื่นธรรมดา และแบบที่มีตัวยาฆ่าเชื้อ เช่น nonnoxynol-9 หรือ N-9 เป็นต้น
2. ลักษณะของก้นถุง แบ่งเป็นแบบก้นถุงมนแบบถุงกาแฟ (plain) และแบบถุงมีกระเปาะ หรือติ่ง (reservoir-ended or teat) เพื่อเป็นที่เก็บน้ำอสุจิ ซึ่งแบบนี้จะเป็นที่นิยมมากกว่า และวิธีการสวมใส่ก็แตกต่างกัน
3. รูปทรงของถุง แบ่งเป็นแบบทรงกระบอกตรงๆ (straight) และแบบลูกคลื่น (rippled)
4. ลักษณะผิว แบ่งเป็นแบบผิวเรียบ (smooth) และแบบผิวไม่เรียบ (textured)
5. สี อันนี้คงรู้จักกันดี มีทั้งแบบสีธรรมชาติของยาง หรือ เจ็ดสีมีชัย ประกายรุ้ง
6. กลิ่นและรส มีให้เลือกทั้งกลิ่นรสมินต์ กลิ่นสตรอเบอรี่ กลิ่นมะนาว บางยี่ห้อมีกลิ่นทุเรียนด้วย การเติมกลิ่นและรสนี้เพื่อคนที่ใช้การร่วมเพศทางปาก (oral sex)
ขนาดของถุงยางอนามัย
คุณภาพมาตรฐานและข้อกำหนดของถุงยางอนามัยตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขปี 2535 ได้กำหนดประเภทของถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ เป็น 13 ประเภท ตามขนาดความกว้าง คือตั้งแต่ขนาด 44 มิลลิเมตร จนถึงขนาด 56 มิลลิเมตร และกำหนดความยาวของถุงยางวัดจากปลายเปิดจนถึงปลายปิดไม่รวมส่วนที่เป็นติ่งหรือกระเปาะ ต้องไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ซึ่งกำหนดตามมาตรฐานขององค์การกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO) ปี ค.ศ. 1990
สำหรับตลาดในเมืองไทยเท่าที่มีจำหน่าย ก็มีอยู่ 2 ขนาด คือขนาดใหญ่กับขนาดยักษ์ (คนไทยไม่ชอบอะไรที่เล็กๆ)
ขนาดใหญ่ (ความจริงมันก็ขนาดเล็กนั่นแหละ) หรือขนาด 49 มิลลิเมตร มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น วัดจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่ง 49 มิลลิเมตร มีขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ขนาดนี้เหมาะกับคนไทยมากที่สุด
ขนาดยักษ์ หรือขนาด 52 มิลลิเมตร ความกว้างเมื่อวางแบนราบ เท่ากับ 52 มิลลิเมตร ความยาวเท่ากับ 180 มิลลิเมตร
ความหนาของถุงยางอนามัย
อย่างที่พูดไว้ข้างต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากลำไส้สัตว์หนาตั้ง 0.15 มิลลิเมตร แต่สำหรับถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติจะบางกว่านั้นมาก เพราะเหนียวและยืดได้มากกว่า ของญี่ปุ่นทำได้บางที่สุดในโลก คือ บางแค่ 0.02 มิลลิเมตร ส่วนของอเมริกากำหนดมาตรฐานไว้ที่ ไม่น้อยกว่า 0.03 มิลลิเมตร ของอังกฤษเจมส์บอนด์ กำหนดไว้หนาไม่เกิน 0.04 มิลลิเมตร ขององค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ ระหว่าง 0.05 - 0.08 มิลลิเมตร แล้วของพี่ไทยล่ะ… ไม่มีครับ ไม่มีกำหนดความหนาไว้ในประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2535 แต่เท่าที่เคยมีการกำหนดมาตรฐานของถุงยางอนามัยที่ประกาศในการจัดซื้อถุงยางอนามัยไว้ใช้ในโครงการวางแผนครอบครัว เมื่อปี 2526 ได้กำหนดความหนา ไม่มากกว่า 0.06 มิลลิเมตร เอาไว้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ และ clinicrak

Report by www.livcapsule.com


19
Clinic สุด Seed / โรคเริมที่ปาก Herpes labialis
« เมื่อ: 12 ธันวาคม 2015, 19:48:02 »
โรคเริมที่ปาก Herpes labialis
เป็นการติดเชื้อไวรัส herpes ที่ริมฝีปาก โดยจะมีตุ่มใสที่ริมฝีปาก เหงือก จะมีอาการปวด
เริมที่ปาก herpes labialis
เป็นการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes โดยมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆเล็ก บริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อครั้งแรก อาจจะไม่มีอาการหรือเกิดตุ่มใส เชื้อนั้นจะไปยังปมประสาท และอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนมีภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะแบ่งตัว และทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด หายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใส อาจมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากนำมาก่อนได้ในผู้ป่วย บางรายอาการครั้งแรกจะรุนแรง มีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด ถูกแสงแดด ฯลฯ เชื้อไวรัสนี้จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคเป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่ในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้
การติดต่อ
การติดต่อเชื้อนี้จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงเช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมกัน เช่น การใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากได้รับเชื้อ 7-10 วันจะเริ่มเกิดอาการแสบร้อนและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย
อาการ
o   เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน คันๆบริเวณปากก่อนเกิดผื่น 2 วัน
o   ต่อมาเกิดตุ่มใสที่ปากหรือริมฝีปาก ตุ่มอาจจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
o   อาจจะมีไข้ต่ำๆ
การวินิจฉัย
o   จากลักษณะเฉพาะของผื่น
o   จากการเพาะเชื้อ
o   จาการตรวจ Tznack test
การรักษา
o   เมื่อเกิดอาการครั้งแรกในระยะตุ่มน้ำใส ควรรับไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยถูกต้องแน่นอน ซึ่งอาจได้รับยาที่ช่วยให้อาการระยะเฉียบพลันดีขึ้น
 
o   รักษาความสะอาดของร่างกายรวมทั้งล้างมือให้สะอาดทันทีหลังจับต้องแผล เพราะอาจจะนำเชื้อไปสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้
 
o   หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น เช่น การจูบ ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำเพาะมีโอกาสติดเชื้อง่าย
 
o   ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
o   ให้ทำความสะอาดผื่นด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ
o   การรับประทานยาฆ่าเชื้ออาจจะทำให้หายเร็วขึ้น
โรคแทรกซ้อน
o   ตาบอดได้หากเชื้อนี้เกิดที่ตา
o   เชื้อนี้แพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง
o   มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผื่น
o   มีการกลับเป็นซ้ำของผื่น
o   ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้อนี้อาจจะทำให้เสียชีวิต
การป้องกัน
o   ระวังการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นเริมและยังมีผื่นในระยะติดต่อ
o   อย่าใช้ของร่วมกัน
o   หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก HealthFood

Report : www.livcapsule.com



20
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญกับ ‘การระบาดที่ซ่อนเร้น’ ของเชื้อเอชไอวีในหมู่วัยรุ่น โดยมีการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ประมาณ 50,000 รายในกลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-19 ปีในพ.ศ. 2557 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 15 ของการติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้ปัจจุบันมีวัยรุ่นติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 220,000 รายในภูมิภาคนี้ โดยในเมืองใหญ่ ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร ฮานอย และจาการ์ตานับเป็นศูนย์กลางของการติดเชื้อรายใหม่
แม้ว่าอัตราการติดเชื้อโดยรวมจะลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในหมู่วัยรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กหนุ่มรักร่วมเพศและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย การติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับพฤติกรรมเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย เช่น การมีคู่นอนหลายคน และการไม่ใช้ถุงยางอย่างสม่ำเสมอ
ข้อมูลเหล่านี้ระบุอยู่ในรายงานฉบับใหม่ ‘วัยรุ่น: ภายใต้เรดาร์ของการรับมือกับปัญหาโรคเอดส์ในเอเชียแปซิฟิก’ ซึ่งเผยแพร่ในวันนี้โดยคณะทำงานร่วมประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่าด้วยเรื่องเยาวชนกลุ่มเสี่ยง ซึ่งมียูนิเซฟ ยูเอ็นเอดส์ และองค์กรอื่น ๆ เป็นสมาชิก*
“ช่วงวัยรุ่นเป็นเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านและความเสี่ยง โดยเด็กๆ ต่างเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่” ดาเนียล ทูล ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกล่าว “ยูนิเซฟกำลังดำเนินงานร่วมกับรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลได้ทำหน้าที่ปกป้องสุขภาพอันดีของวัยรุ่น ซึ่งรวมถึงการจัดบริการตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยงและการรักษา”
วัยรุ่นที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี คือ กลุ่มชายรักร่วมเพศ ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย คนข้ามเพศ ผู้ใช้ยาเสพติดโดยการฉีด และผู้ใช้และขายบริการทางเพศ ทั้งนี้ปัญหาโรคเอดส์ซึ่งเป็นภัยคุมคามด้านสาธารณสุข จะไม่มีทางหมดไปภายในพ.ศ. 2573 หากไม่มีการแก้ปัญหาการระบาดในหมู่วัยรุ่น
ในการแก้ไขปัญหานี้ รายงานดังกล่าวเสนอให้รัฐบาลทุกประเทศพัฒนาการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัยรุ่นให้ดีขึ้น พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และพัฒนาระบบกฏหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับวัยรุ่นโดยตรง ตลอดจนจัดการเรียนการสอนเพศศึกษาที่มีเนื้อหาครอบคลุมในโรงเรียนและผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ รวมถึงให้ข้อมูลแก่วัยรุ่นเกี่ยวกับสถานที่ตรวจหาเชื้อเอชไอวี วิธีการตรวจหาเชื้อ การใช้ถุงยาง และการรักษาวัยรุ่นที่ติดเชื้อ
รายงานชี้ว่าสิ่งสำคัญคือวัยรุ่นต้องรู้ว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ และต้องเข้ารับการรักษาหากจำเป็น อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นในหลายประเทศถูกปฏิเสธจากการรับบริการในศูนย์ตรวจหาเชื้อเอชไอวี โดยมีเพียง 10 ประเทศในภูมิภาคเท่านั้นที่มีกฏหมายและนโยบายที่อนุญาตให้วัยรุ่นเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีและเข้ารับบริการที่เกี่ยวข้องได้ 
”เราอยากให้วัยรุ่นทุกคน ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหนหรือเป็นใคร มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์” สตีฟ เคราส์ ผู้อำนวยการโครงการช่วยเหลือในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกขององค์การยูเอ็นเอดส์ กล่าว “แต่สิ่งนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีสิทธิที่จะได้รับบริการด้านเอชไอวีที่ครอบคลุม ทั้งในส่วนของการป้องกันและอนามัยเจริญพันธุ์ ดังนั้นเราต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีอุปสรรคใดมาขวางกั้นพวกเขา”
นอกจากอุปสรรคด้านกฏหมายแล้ว วัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีมักต้องเผชิญกับการถูกตีตราและการถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ซึ่งอาจทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้ารับการรักษา การแก้ไขปัญหานี้ทำได้โดยให้วัยรุ่นมีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดบริการที่ตรงกับตามความต้องการของพวกเขา
“วัยรุ่นเองต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการติดเชื้อเอชไอวี” นิลุกา เปเรรา จากองค์กร Youth Voices Count กล่าว “เราต้องหยุดเมินเฉยต่อกลุ่มวัยรุ่นเพียงเพราะพวกเขาเข้าถึงได้ยาก แต่เราต้องร่วมกันขจัดปัญหาการถูกตีตราและการรังเกียจเดียดฉันท์ที่วัยรุ่นติดเชื้อต้องเผชิญแม้จากเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขเอง เราต้องรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาอย่างจริงจัง”
รายงานยังพบว่า:
    •    กลุ่มวัยรุ่นผู้ติดเชื้อเอชไอวีพบมากที่สุดใน 10 ประเทศ คือ กัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย พม่า ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม โดยคิดเป็นร้อยละ 98 ของวัยรุ่นอายุระหว่าง 10 – 19 ปี ที่ติดเชื้อเอชไอวีทั้งหมดในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก
    •    ในกลุ่มประเทศที่มีข้อมูลนั้น ปาปัวนิวกีนีและฟิลิปปินส์มีอัตราวัยรุ่นติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั้งหมดของประเทศ
    •    ในประเทศฟิลิปปินส์ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ที่มีอายุระหว่าง 15-19 ปีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จากประมาณ 800 รายในปี 2553 เป็น 1,210 รายในปี 2557
    •    ในภูมิภาคเอเซียใต้ การตายจากโรคที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีในวัยรุ่นอายุระหว่าง 10-19 ปี เพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่า จากประมาณ 1,500 รายในปี 2544 เป็น 5,300 รายในปี 2557 สำหรับเอเซียตะวันออกและแปซิฟิกนั้น อัตราการตายเพิ่มจาก 1,000 ราย เป็น 1,300 รายในช่วงเวลาเดียวกัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   unicef.org/Thailand

Report by www.livcapsule.com


21
โอกาสเสี่ยงของการรับเชื้อเอชไอวี จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับปัจจัยอะไรบ้าง

          ถ้าเราจะเสี่ยงต้องมี 3 องค์ประกอบครบถ้วนคือ

          1. ต้องได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยต้องมาจากแหล่งที่มีปริมาณเชื้อมากพอที่จะทำให้ติด ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด

          2. เชื้อที่จะทำให้ติดต่อได้นอกจากเรื่องปริมาณแล้วเชื้อต้องมีคุณภาพและแข็งแรง เช่น ในเลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด มีสภาพที่พอเหมาะที่จะทำให้ เชื้อเติบโตได้แต่ถ้าไปอยู่ในน้ำลาย น้ำตา เชื้อไวรัสจะอยู่ในสภาพที่ เป็นกรด เป็นด่าง ทำให้ ไม่มีคุณภาพ เติบโตไม่ได้ หมดความสามารถที่จะทำ ให้ติดต่อได้

          3. ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัส ส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันหรือการร่วมเพศ ซึ่งเป็นการส่งต่อเชื้อกันโดยตรงเช่นในกรณีการร่วมเพศ ถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุช่องคลอด หรือถ้าผู้หญิงมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกาย ทางเยื่อบุ ที่ปลายและเยื่อบุในท่อปัสสาวะของ องคชาติ และต้องดูโอกาสความเป็นไป ได้ที่จะเกิดขึ้นจริงด้วย

          คนส่วนใหญ่จะกังวลกับการติดเชื้อเอชไอวี จากช่องทางที่ไม่มีหรือมีโอกาสเสี่ยงน้อยมากๆ และมักจะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เช่นการช่วยคนประสบอุบัติเหตุ การสัมผัสกับเลือดตามแต่จะสมมติกัน แต่มักจะไม่คิดถึงช่องทางที่ทำให้ ติดเอดส์จากวิถีชีวิตและพฤติกรรมทางเพศที่กระทำอยู่เป็นประจำ ทั้งที่มี ข้อมูลยืนยันชัดเจนว่ากว่า 80เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ติด จากการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้ป้องกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก icare.kapook

Report by www.livcapsule.com


22
Dr. Hiroyuki Gatanaga และคณะทำการตรวจตัวอย่างเลือด 1,434 ตัวอย่าง จากผู้ ที่ติดเชื้อเอชไอวี และไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ ผลการตรวจพบว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสสูตรที่มี tenofovir disoproxilfumarate (TDF) หรือ lamivudine ตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม Nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NRTIs) มีอุบัติการณ์การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ต่ำกว่ากลุ่มที่ได้รับยาต้านไวรัสสูตรที่ไม่มี TDF หรือ lamivudine และกลุ่มที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัสเลย (0.669, 6.726 และ 5.263 ต่อ 100 คนต่อปี ตามลำดับ) Dr. Hiroyuki Gatanaga ยังเสริมว่าการใช้ยาต้านไวรัสสูตรที่มี TDF หรือ lamivudine เสมือนเป็นการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ก่อนจะได้รับเชื้อ

อย่างไรก็ตามพบว่าการดื้อยาต้านไวรัสสูตรที่มี lamivudine ส่งผลกระทบต่อการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อย่างมาก โดยมีความชุกของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ถึงร้อยละ 50 ต่างจากการใช้ยาต้านไวรัสสูตรอื่นหรือไม่ใช้เลยซึ่งมีความชุกเพียง ร้อยละ 7.1 ดังนั้น Dr. Hiroyuki Gatanaga ได้แนะนำการหลีกเลี่ยงการดื้อยาดังกล่าว โดยแนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัสสูตรที่มี TDF แทน lamivudine

Dr. Gatanagaกล่าวว่า แพทย์บางกลุ่มพยายามหลีกเลี่ยงการให้ยาต้านไวรัสสูตรที่มี NRTIs เพื่อเลี่ยงการเกิดพิษจากการใช้ยา แต่การเลี่ยงดังกล่าวไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ได้

ที่มา : mahidol.ac.th

Report : www.livcapsule.com



23
Clinic สุด Seed / ถุงยางรั่วซึมได้จริงหรือ???
« เมื่อ: 09 ธันวาคม 2015, 12:38:46 »

ถุงยางรั่วซึมได้จริงหรือ???

เคยมีหลายคนเข้ามาถามหมอซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ถุงยางมันรั่วซึมได้อะป่าว

เชื้อเอชไอวีมีขนาดเล็กกว่าตัวอสุจิ ถึง ๓๐ เท่า จึงมีข้อสงสัยกันว่าเชื้อเอชไอวีจะสามารถเล็ดลอดผ่านผนังถุงยางได้หรือไม่

สถาบันสุขภาพแห่งชาติและสหพันธ์ผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา จึงได้ค้นคว้าและทำการทดลองพบว่า แม้ผนังถุงยางจะถูกขยายถึง ๒,๐๐๐ เท่า ก็ยังไม่เห็นการรั่วซึม

เมื่อขยายผนังถุงยางเป็น ๓๐,๐๐๐ เท่า ซึ่งเป็นกำลังขยายที่สามารถมองเห็นตัวเชื้อเอชไอวีได้นั้น พบว่า ผนังถุงยางมีลักษณะเป็นหลุมเล็กๆ แต่ก็ไม่เห็นรอยรั่วซึม

ถึงแม้เชื้อเอชไอวี จะมีขนาดเล็กมาก แต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้ตามลำพัง ต้องอาศัยเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งมีอยู่ในอสุจิ น้ำในช่องคลอด เป็นที่อยู่ หากใช้ถุงยางอนามัย ในการมีเซ็กส์ จะช่วยเก็บกักน้ำอสุจิ
และน้ำในช่องคลอด ป้องกันไม่ให้ผ่านเข้าไปในอวัยวะเพศแต่ละฝ่ายได้

ที่สำคัญ เซลล์เม็ดเลือดขาวมีขนาดใหญ่กว่าผนังถุงยาง จึงไม่ต้องกังวลว่าเชื้อเอชไอวีซึ่งเกาะอยู่บนเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเล็ดลอด ผ่านถุงยางได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  กลุ่มกำลังใจ
 
Report by  www.livcapsule.com


24
พญ.นิตยา ไขข้อข้องใจให้ฟังว่า ปัจจุบันไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ มีแฟน หรือแต่งงาน ในผู้ที่ติดเชื้อ HIV เนื่องจากการกินยาต้านไวรัส ภายในระยะเวลา 6 เดือน หรือ 12 เดือน พบว่า ผลการตรวจเลือดแทบจะ 100% นั้น ไม่มีเชื้อ HIV อยู่ในเลือดแล้ว เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะถ่ายทอดเชื้อไปให้คนอื่นแทบเป็นศูนย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ต้องใส่ถุงยางอนามัย เพราะอย่างไรก็ดี สิ่งที่ยังคงน่าวิตกกังวลอีกเรื่องคือ การถ่ายทอดหรือรับเชื้ออื่นเข้ามาร่วมด้วย เช่น หนองใน หนองในเทียม ซิฟิลิส ฯลฯ   
แพลนอย่างไรให้เชื้อ HIV ไม่ตกสู่ลูก...?
พญ.นิตยา กล่าวต่อว่า ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เมื่อแต่งงานและวางแผนจะมีลูกด้วยกัน ก็สามารถทำได้ ตามวิธีต่างๆ ดังนี้ ในกรณีที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายติดเชื้อ HIV วิธีที่ 1 คือ ผู้หญิงจะต้องกินยาต้านไวรัสให้เชื้อถูกกดทับลงไปสนิท หรือไม่พบเชื้อ HIV ในเลือดอีก จากนั้นสามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ต้องใส่ถุงยางอนามัย เพื่อให้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก่อนมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายก็ต้องกินยาป้องกันเชื้อ HIV ชื่อว่า “PrEP” ควบคู่ไปด้วย โดยกินวันละ 1 เม็ด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2-3 สัปดาห์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ 3-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันเชื้อ HIV จากฝ่ายหญิง ส่วนวิธีที่ 2 คือ เก็บน้ำเชื้ออสุจิของผู้ชาย และฉีดเข้าไปในช่องคลอดผู้หญิง สำหรับกรณีที่ผู้ชายเป็นฝ่ายติดเชื้อ HIV วิธีที่ 1 คือ นำน้ำเชื้ออสุจิมาปั่นล้าง และตรวจก่อนว่าไม่มีเชื้อ HIV แล้ว จึงจะสามารถฉีดเข้าไปในช่องคลอดผู้หญิงเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น อย่างไรก็ตาม ลูกจะได้รับเชื้อ HIV ด้วยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้หญิง หากผู้หญิงไม่มีเชื้อ ลูกก็จะไม่ได้รับเชื้อแน่นอน ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องป้องกันไม่ให้ผู้หญิงติดเชื้อจากผู้ชายในระหว่างมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ซึ่งปัจจุบันก็มีคู่รักหลายร้อยคู่ที่มีลูกกันด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ ฉะนั้นจะเห็นว่า การติดเชื้อ HIV ไม่ได้เป็นปัญหาในการมีลูกหรือทำลายชีวิตคู่
ดื่มน้ำร่วมแก้ว กินอาหารร่วมช้อน กับ ผู้ติดเชื้อ HIV ได้หรือไม่?
นอกจากนี้ ปัญหาอีกอย่างที่หลายคนยังคงสงสัย คือ ผู้ติดเชื้อ HIV จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติหรือไม่? พญ.นิตยา อธิบายให้ฟังว่า หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่มียาต้านไวรัส ผู้ที่รู้ตัวว่าติดเชื้อ HIV จะเครียดและกังวลว่าจะสามารถอยู่ได้อีกกี่ปี เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจใหม่ว่า ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถมีอายุไขเท่ากับผู้ที่ไม่มีเชื้อ ขึ้นอยู่กับว่า รู้ตัวเร็ว และเข้าสู่กระบวนการรักษาได้เร็วหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้น การที่ผู้ติดเชื้อ HIV รู้ตัวเร็ว กินยาต้านไวรัสได้เร็ว ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม การติดต่อของเชื้อ HIV ยังคงติดต่อ 3 ทางเท่านั้น คือ ทางเพศสัมพันธ์ เลือด และแม่สู่ลูก นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่วิธีการของการจะติดเชื้อที่จะเกิดในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารช้อนเดียวกัน ดื่มน้ำร่วมแก้ว การจูบ หรือแม้แต่ยุงกัดผู้ติดเชื้อ HIV แล้วไปกัดอีกคน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ปัจจัยหรือสาเหตุให้มีการติดเชื้อ HIV เกิดขึ้น
“ทั้งนี้ แม้ผลเลือดจะพบว่า ระดับภูมิคุ้มกันตก จนเชื้อ HIV ถึงขั้นเข้าสู่ระยะที่สองและสามแล้ว แต่กระบวนการรักษาโดยการกินยาต้านไวรัสในปัจจุบัน ก็สามารถฟื้นกลับมาสู่ภาวะสงบได้ เพราะเชื้อเหล่านี้ สามารถย้อนจากระยะที่สามมาสู่ระยะที่สองและหนึ่งได้ แต่อาจมีบางรายที่ป่วยหนักถึงขั้นเชื้อราขึ้นสมอง กรณีนี้ก็ยากที่จะเยียวยาเช่นเดียวกับโรคอื่นๆ แต่ก็เกิดขึ้นเป็นส่วนน้อย เพราะฉะนั้น เชื้อ HIV ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด” พญ.นิตยา กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก  thairath.co.th

Report by www.livcapsule.com



25
Clinic สุด Seed / เริมอวัยวะเพศ
« เมื่อ: 01 ธันวาคม 2015, 15:04:14 »
เริมอวัยวะเพศ
เริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยขึ้น ประกอบกับเป็น โรคที่ไม่หายขาด จึงมีจำนวนคนที่เป็นโรคนี้สะสมมากขึ้นทุกปี การติดเชื้อเริมส่วนใหญ่ติดจากการร่วมเพศ เชื้อไวรัสติดเข้าสู่ร่างกาย ทางแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อบุอ่อนๆ แล้วอาจไม่แสดงอาการ แต่กลับไปแฝงตัวที่ปมประสาทรับความรู้สึก ( Sensory nerve ganglion) เชื้อจะจะยึดปมประสาทนี้เป็นที่มั่น ตลอดไป แต่อาจถูกกระตุ้นให้กลับมาก่อโรคที่ผิวหนังได้เป็นครั้งคราว และระหว่างที่มีรอยโรคอยู่ ก็สามารถที่จะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นที่ไป สัมผัสได้ แต่ที่ร้ายกว่านั้น หญิงที่มีเชื้อเริมที่ปากมดลูก หรือช่องคลอด มีเกือบครึ่งที่ไม่มีอาการอะไรผิดปกติแสดงออกมา ให้เห็น ดังนั้นหญิงเหล่านี้จึงมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปให้ชายที่มี เพศสัมพันธ์ด้วยได้โดยไม่รู้ตัว

ตัวเชื้อ
เริมเกิดจากเชื้อไวรัส (Herpes simplex virus HSV) ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ HSV-1 และ HSV-2 แต่เดิมนั้น HSV-1 พบได้ในส่วนบนของ ร่างกาย และ HSV-2 เป็นตรงส่วนล่างของร่างกาย แต่ระยะหลัง พฤติกรรมทางเพศของคนเปลี่ยนไป มีเพศสัมพันธ์ทางปาก ( Oral sex) กันมากขึ้น เชื้อทั้งชนิด HSV-1 และ HSV-2 จึงผสม ปนเป ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น ว่าบนหรือล่างอีกต่อไป แต่ที่ร้าย ไปกว่านั้น เชื้อ HSV-2 ยังมีแบ่งเป็นอีกหลายสายพันธุ์ (strain) และ เชื้อแต่ละสายพันธุ์ก็ไม่ญาติดีต่อกัน เคยเป็นสายพันธุ์หนึ่งหนึ่งแล้วก็ ไม่ได้มีภูมิต้านทานต่ออีกสายพันธุ์ ดังนั้นเมื่อเป็นสายพันธุ์หนึ่งแล้วก็ ยังมีโอกาสติดอีกสายพันธุ์ได้อีก

อาการ
อาการของเริมแบ่งเป็นสองแบบ คือแบบเป็นครั้งแรกกับแบบที่เป็นซ้ำ ถ้าเป็นครั้งแรก อาการจะรุนแรงและใช้เวลานานกว่าจะหาย แต่ถ้าเป็น แบบเป็นซ้ำ อาการจะน้อยกว่าและจะหายเร็วกว่าอาการที่เป็นครั้งแรก มักจะแสดงอาการ 3 – 7 วันหลังจากรับเชื้อ ถ้าเป็นหญิงอาการ จะรุนแรงมาก มีการอักเสบที่ช่องคลอด ปากมดลูก และท่อปัสสาวะ ผู้ป่วยจะปวดอย่างมากปัสสาวะอย่างยากลำบาก บางคนปวดถึงกับ น้ำตาเล็ด จะตรวจภายในก็ได้แค่ดูภายนอก จับต้องไม่ได้เลย พร้อม กับเห็นตุ่มน้ำใสๆ เล็ก อยู่เป็นกลุ่มๆ กระจัดกระจายไปในบริเวนนั้น และตุ่มน้ำใสเหล่านี้ก็จะแตกภายใน 24-48 ชั่วโมง ทำให้เห็นเป็นรอย แผลตื้นๆ หลายตุ่มอาจแตกรวมกันเป็นแผลใหญ่ อวัยวะเพศบวม มีตกขาว บางคนถึงกับปัสสาวะไม่ออก นอกจากนี้ยังปวดระบม มีไข้ ปวดศรีษะ ปวดเมื่อตามตัว อาการนี้จะเป็นอยู่ 2 – 3 สัปดาห์จึงค่อย ทุเลาลง ถ้าไม่มีเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมก็จะค่อยๆ หายตกสะเก็ด เมื่อหายก็จะหายอย่างสนิท สนิทชนิดไม่รู้มาก่อนว่าเคยเป็น ส่วนผู้ชาย (ตัวก่อเรื่องนั่นแหละ) อาการครั้งแรกก็รุนแรง แต่ก็ไม่เท่า กับหญิง มีตุ่มน้ำใสๆ เกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ และถ้ามีการติดเชื้อ ในท่อปัสสาวะด้วยก็จะมีอาการแสบเวลาปัสสาวะ และจะกลายเป็น
หนองในเทียมที่ไม่หายขาดไป ส่วนพวกรักร่วมเพศก็อาจพบ ตุ่มน้ำใสๆ เกิดรอบทวารหนักได้เช่นกัน อาการเป็นซ้ำ หลังจากรับเชื้อครั้งแรกแล้ว สองในสามของผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก แต่อาการต่างๆ จะน้อยลง และระยะเวลาที่เป็นก็จะสั้นลง ประมาณ 7 – 10 วันก็หาย บางรายที่เป็นบ่อยๆ สามารถบอกตัวเองได้ก่อนมีอาการจริง อาจมี อาการเจ็บ คันหรือปวดหน่วง รู้เลยว่าอีกวันสองวัน เพื่อนเก่าจะมาแล้ว เหตุกระตุ้นให้เป็นซ้ำ ยังไม่รู้แน่ชัด แต่พบว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พักผ่อน ไม่พอ นอนดึก งานยุ่ง เครียด หรือบางรายเวลามีรอบเดือน ก็จะกลับเป็นซ้ำได้อีก รับเชื้อแล้วไม่มีอาการแปลว่าไม่ติดใช่ไหม ไม่ใช่ครับ ได้มีการศึกษาโดยการเพาะเชื้อ พบว่าเกือบ 50 % ของหญิงที่มีเชื้อ HSV ในช่องคลอด โดยไม่มีอาการของโรค ดังนั้นหญิง เหล่านี้ที่รับฝากเชื้อที่ปากมดลูกหรือที่ช่องคลอดโดยไม่มีอาการจึง อาจสามารถแพร่เชื้อไปสู่ชายได้ ส่วนผู้ชายที่มีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ก็มี แต่น้อย ประมาณแค่ 1 %

เริมทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกหรือเปล่า
เปล่าเลยครับ เริมเป็นจำเลยมาหลายสิบปี ที่เคยเชื่อกันว่าเริมเป็น สาเหตุให้เกิดมะเร็งปากมดลูกนั้น ไม่จริงแล้วครับ เดี๋ยวนี้พบว่า สาเหตุ มะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อ HPV ก็เชื้อที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่นั่น แหละครับ

คนโสดเป็นได้ไหม
เป็นได้ครับ เคยเจอหลายรายที่เป็นหญิงสาวโสดไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แต่เป็นเริมที่อวัยวะเพศ เข้าใจว่าเป็นเริมที่ริมฝีปาก มือไปจับแล้วมาเกาบริเวณอวัยวะเพศ ทำให้ติดได้เหมือนกัน

เริมกับการตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเริม ก็นับเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง เคยมีรายงาน การศึกษาถึงผลกระทบของการเกิดโรคเริมอวัยวะเพศในระหว่างการตั้งครรภ์ พบว่าเชื้อเริมสามารถติดจากแม่โดยผ่านทางกระแสเลือดได้ เหมือนกัน ทำให้แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนดได้ ดังนั้นถ้าเป็นเริม ระหว่างตั้งครรภ์ แพทย์จะเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจดูว่าทารก ติดเชื้อหรือไม่ แต่ที่สำคัญกว่านั้น ในช่วงคลอด ถ้าแม่เป็นเริม โอกาสที่ลูกจะสัมผัส เชื้อและติดถึงลูกมีอยู่สูง แพทย์จึงใช้วิธีผ่าท้องคลอดแทน 90 % ของ ทารกที่เป็นเริมติดตอนคลอด ดังนั้นถ้าคุณเคยเป็นเริมที่อวัยวะเพศ หรือสามีเคยเป็น เวลาที่คุณไปฝากครรภ์ ก็ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย

การรักษา
การรักษาก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือรักษาตามอาการ และรักษาเฉพาะ การรักษาตามอาการ ก็คือ ถ้าปวดก็ให้ยาแก้ปวด และให้ยาปฏิชีวนะ ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ล้างแผลด้วยน้ำเกลือวันละ 2 – 3 ครั้ง แต่ในรายที่ปวดมาก หรือปัสสาวะไม่ออก การนั่งแช่น้ำอุ่น (Hot sitz bath) ก็สามารถบรรเทาอาการได้ โดยนั่งแช่น้ำอุ่นใน กะละมัง ครั้งละ 10 –15 นาที วันละ 2 – 3 ครั้ง การรักษาเฉพาะ ได้มีความพยายามจะหายามารักษา แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะเชื้อนี้เป็นไวรัส ไม่มียาที่จะฆ่าได้ ยาที่ใช้ในปัจจุบันคือ Acyclovir ซึ่งใช้มาเป็นสิบปี ก็ยังใช้ได้อยู่ ทั้งแบบกิน และแบบครีม แบบครีมมีไว้ใช้กับเริมที่ปาก (Oral Herpes) ไม่แนะนำให้ใช้กับเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) ส่วนแบบกินมีทั้งแบบ 200 มิลลิกรัม และ 400 มิลลิกรัม ปัจจุบันได้มีการพัฒนายาตัวนี้ขึ้นมาเป็นยาใหม่ๆ ที่มีขายคือ Valacyclovir ( ชื่อการค้า Valtrex ) Famciclovir ( ชื่อการค้า Famvir ) ข้อดีกว่ายาตัวเก่าคือการดูดซึมได้ดีกว่า และไม่ต้องกินหลายครั้งมากในแต่ละวัน แต่ก็ยังไม่มีรายงานวิจัย ความปลอดภัยที่ใช้กับหญิงตั้งครรภ์
การป้องกัน
ในกรณีที่เป็นหรือเคยเป็น คือรู้ตัวเอง ก็งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ มีรอยโรคอยู่ จนกว่าจะหายสนิท คือไม่เห็นรอยโรคแล้ว ถ้าจำเป็น…. ก็ต้องใช้ถุงยางอนามัย ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่สมรส แม้ไม่เห็นรอยโรคหรือ ไม่เห็นสิ่งปกติ ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าคุณจะปลอดภัย ก็คงต้องใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะเราไม่รู้ว่า เขาเป็นแบบมีเชื้อแต่ไม่ได้ แสดงอาการหรือเปล่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก   the-than.com

Report by www.livcapsule.com


26
“โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” เป็นโรคที่เกิดจากการร่วมเพศกับผู้ที่มีโรคนี้อยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือเกิดขึ้นจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกันหรือใช้ห้องสุขา สระว่ายน้ำร่วมกัน
          โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเดิมเรียกว่า “กามโรค” เป็นโรคที่เกิดจากการร่วมเพศกับผู้ที่มีโรคนี้อยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือเกิดขึ้นจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกันหรือใช้ห้องสุขา สระว่ายน้ำร่วมกัน (ยกเว้นอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมทางเพศ เช่น อวัยวะเพศชายเทียมที่ใช้ในการร่วมเพศครั้งเดียวกัน)
          ความเสี่ยงของการติดต่อกามโรคจะมากน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคต่ำได้แก่ การกอดจูบลูบคลำภายนอก การสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน ส่วนกิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ การร่วมเพศทางปาก ทางช่องคลอดและทางทวารหนัก โดยที่การร่วมเพศทางทวารหนักมีอัตราการเสี่ยงต่อการติดโรคมากที่สุดเพราะมักมีการถลอกของอวัยวะเพศชายและผิวทวารหนักเป็นช่องทางให้เชื้อกามโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
          การใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันกามโรคได้ดี โดยต้องมีการใช้อย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่ร่วมเพศ และต้องสวมใส่ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง มีการหล่อลื่นที่ดีเพื่อป้องกันถุงยางฉีกขาด ถุงยางอนามัยป้องกันกามโรคบางชนิดได้ไม่ดีนัก เช่น หูดหงอนไก่ โรคเริม เพราะอาจติดต่อบริเวณที่สัมผัสได้ โดยเฉพาะส่วนที่ถุงยางคลุมไม่ถึง ถุงยางอนามัยสตรีป้องกันกามโรคได้ดีกว่าถุงยางชาย เพราะมีบริเวณครอบคลุมมากกว่าและฉีกขาดยากกว่า การใส่ถุงยางชายหลายชั้นอาจทำให้การแตกรั่วฉีกขาดยากขึ้น แต่ทำให้ความรู้สึกในการร่วมเพศลดลง
          โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดอาการได้หลายระดับ ตั้งแต่รุนแรงน้อยไปจนถึงทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งแบ่งได้ ดังนี้
          1) ไม่มีอาการ ได้แก่ โรคเอดส์ระยะแรก โรคตับอักเสบจากไวรัสบีและโรคซิฟิลิส ซึ่งทั้งหมดสามารถตรวจได้จากการเจาะเลือด ถ้าพบว่าเลือดบวกหมายถึงมีการติดเชื้อ ถ้าได้ผลบวกไม่ได้หมายความว่าไม่ติดเชื้อแต่อาจจะยังอยู่ในระยะแฝงหรือระยะฟักตัว โรคเอดส์อาจใช้เวลาถึง 3 เดือน จึงจะทำให้เลือดเป็นผลบวกได้ ในกรณีที่สงสัยจึงต้องทำการเจาะเลือดตรวจซ้ำหลายครั้ง
          โรคเอดส์และโรคตับอักเสบจากไวรัสบีในระยะสุดท้ายจะทำให้มีอาการต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายมาก และผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตในที่สุด ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อไวรัส ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ในกรณีที่เลือดบวก หากผู้ป่วยสามารถดูแลร่างกายให้แข็งแรงและไม่รับเชื้อเพิ่มก็อาจมีสุขภาพเป็นปกติ
เหมือนคนทั่วไปได้เป็นเวลานาน ซึ่งในปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่ใช้ร่วมกันหลายขนานสามารถควบคุมการติดเชื้อไม่ให้กำเริบไปจนมีอาการได้ แต่ยังไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หายขาด
          ซิฟิลิสเป็นกามโรคที่สำคัญในอดีตก่อนที่จะมีโรคเอดส์ แต่ในปัจจุบันยาปฏิชีวนะ สามารถรักษาให้หายขาดได้ หรืออย่างน้อยควบคุมยับยั้งการกำเริบของโรคนี้ได้ และไม่แสดงอาการรุนแรงเหมือนในอดีต มักตรวจพบในสตรีที่มาเจาะเลือดขณะฝากครรภ์หรือผู้ป่วยที่เจาะเลือดตรวจก่อนรับการผ่าตัด
          2) กลุ่มหนองแท้และหนองในเทียม กลุ่มนี้มีอาการเด่นคือ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศหรือช่องทางที่ร่วมเพศ ในเพศหญิงพบว่ามีหนองไหลออกจากช่องคลอดหรือช่องปัสสาวะและมีอาการแสบเวลาปัสสาวะ ในเพศชายจะมีอาการหนองไหลจากท่อปัสสาวะและมีปัสสาวะแสบขัดลำกล้องมากกว่าในเพศหญิง เนื่องจากท่อปัสสาวะยาวกว่า ในรายที่ร่วมเพศทางปากอาจพบมีการอักเสบและมีหนองในช่องปากและต่อมทอนซิล ในรายที่มีการร่วมเพศทางทวารหนักอาจพบมีหนองปนกับอุจจาระ โดยทั่วไปมักเกิดอาการเหล่านี้ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังการร่วมเพศที่ติดเชื้อ ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะ
          3) กลุ่มที่มีติ่งเนื้อหรือตุ่มนูนที่อวัยวะเพศ โรคที่สำคัญคือ หูดหงอนไก่และหูดข้าวสุก โดยหูดหงอนไก่เป็นกามโรคที่พบบ่อยในปัจจุบันและมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันได้ แต่วัคซีนยังมีราคาแพงและควรฉีดก่อนมีการร่วมเพศครั้งแรกเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ทั้งสองโรคจะมีอาการคล้ายกันคือมีตุ่มนูนบริเวณอวัยวะเพศ มักมีหลายตุ่ม ขนาดเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 เซนติเมตร ไม่เจ็บ ยกเว้นจะมีการอักเสบจากการเกา หูดหงอนไก่มีผิวขรุขระเป็นหนาม คล้ายกับหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ
          หูดข้าวสุกมีผิวเรียบแต่ละตุ่มมีรูตรงกลาง ซึ่งเมื่อสุกดีจะบีบของเหลวข้น ๆ ออกจากรูได้คล้ายข้าวสุก ในบางรายติ่งเนื้อหรือตุ่มขนาดเล็กหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ถ้าติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมาก หรือกระจายเป็นวงกว้าง การใช้ยา
รักษาหูดจี้สัปดาห์ละหนึ่งหรือสองครั้งจะได้ผลดี ถ้าใช้ยาเกินหนึ่งเดือนแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์อาจใช้วิธีทางศัลยกรรม เช่น การตัดออก การจี้ด้วยไฟฟ้า การจี้ด้วยความเย็น
          เหล่านี้คือกลุ่มอาการที่พบได้บ่อย ฉะนั้น หากจะมีเพศสัมพันธ์ควรรู้จักข้อมูลเหล่านี้ไว้และรู้จักป้องกันไว้ดืที่สุด
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.นพ.สัญญา ภัทราชัย ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 Report by www.livcapsule.com

27
โรคนี้คือ ภาวะที่มีการอักเสบของส่วนปลายของอวัยวะเพศชาย (ส่วนหัว) โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ช่วงอายุของผู้ชาย โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการติดเชื้อราแคนดิด้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการมีสิ่งระคายเคืองบริเวณส่วนปลายของอวัยวะเพศดังกล่าว หรือเกิดจากโรคผิวหนังบางอย่างเป็นสาเหตุเป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็สามารถรักษาให้หายได้

โรคนี้เป็นภาวะที่มีการอักเสบที่ส่วนหัว หรือส่วนปลายของอวัยวะเพศชาย และโดยมากหนังหุ้มปลายที่บริเวณใกล้เคียงบริเวณที่อักเสบดังกล่าวก็มักจะอักเสบด้วย

โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก และพบได้ในทุกช่วงอายุของผู้ชาย แต่จะพบบ่อยมากในเด็กชายที่อายุต่ำกว่า 4 ปี และผู้ใหญ่ชายที่ไม่ได้รับการขลิบหนังหุ้มปลายของอวัยวะเพศ โรคนี้พบได้น้อยมากในผู้ชายที่ได้รับการทำการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศแล้ว

โรคนี้มีอาการอย่างไร
อาการที่พบบ่อยของโรคนี้ก็คือ อาการแดง ระคายเคือง และปวดที่บริเวณหัวของอวัยวะเพศชาย บางรายก็มีอาการแค่จุดเล็กๆ บางรายก็มีอาการมากคือเป็นทั้งหัวของอวัยวะเพศเลยก็มี และมีอาการแดง บวม และเจ็บปวดมากก็ได้ บางครั้งอาจจะมีหนองหรือน้ำเหลืองข้นๆ ออก มาจากบริเวณที่มีการอักเสบด้วย คนไข้อาจจะไม่สามารถถลกหนังหุ้มปลาย ของอวัยวะเพศลงกลับคืนได้ เพราะเจ็บ และบางครั้งอาจจะมีภาวะเจ็บปวดเวลาปัสสาวะได้ด้วย

อะไรเป็นสาเหตุของโรคนี้
โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
•   การมีสุขอนามัยที่ไม่ดี
•   การมีสุขอนามัยที่ไม่ดีร่วมกับ การมีหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศที่ไม่เปิดหรือแน่นเกินไป ตามปกติบริเวณหัวของอวัยวะเพศ บริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศจะมีการสร้างสารสีขาวๆ เหมือนเนยเป็นก้อนๆ ขึ้นมาเราเรียกสิ่งนี้ว่า ขี้เปียก หรือ Smecma Smecma นี้ตามปกติในคนที่หนังหุ้มปลายเปิดและมีการล้างทำความสะอาดหัวอวัยวะเพศอยู่ เป็นประจำเราจะไม่พบเหลือให้เห็น แต่ในคนที่ยังมีมันเหลืออยู่และมีสุขอนามัยไม่ดี ก็จะเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ แต่มักจะเป็นการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อที่ไม่ใช่เชื้อโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ เชื้อโรคบางชนิดจะมี และอยู่อาศัยอยู่ที่บริเวณปลายอวัยวะเพศอยู่ตามปกติ แต่ในปริมาณน้อยๆ เช่นเชื้อราแคนดิด้า แต่ถ้ามีภาวะหมักหมมสกปรกจะทำให้เชื้อเพิ่มปริมาณขึ้นมาก และเกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้
•   เชื้อแบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อให้เกิดการอักเสบที่หัวของอวัยวะเพศชาย ได้ และผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อพวกนี้ได้ แต่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ถ้ามีภาวะที่มีการอักเสบที่เกิดจากการแพ้ หรือระคายเคืองอยู่ก่อนแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานและ มีการควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ดี ทำให้มีน้ำตาลในปัสสาวะสูง น้ำตาลในปัสสาวะที่เลอะเทอะที่ปลายอวัยะเพศ จะเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อแบคทีเรียทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
•   โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดสามารถ ก่อให้เกิดโรคอักเสบที่หัวของอวัยวะเพศชายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดท่อปัสสาวะอักเสบ เช่น โรคเริมจากเชื้อ Herpes, การติดเชื้อ Clamydia, การติดเชื้อ Gonorrhoea อาการของท่อปัสสาวะอักเสบก็คืออาการแสบท่อปัสสาวะขณะที่ปัสสาวะ หรือมีหนองออกมาจากท่อปัสสาวะ
•   ภาวะภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง ผิวหนังบริเวณหัวของอวัยวะเพศนั้นค่อนข้างบอบบาง และง่ายแก่การกระตุ้นให้แพ้ เมื่อโดนกับสารเคมีหรือสารบางอย่าง จะเกิดภาวะการอักเสบขึ้นได้ เช่น ถ้าเราไม่ถลกหนังหุ้มปลายขึ้นเพื่อล้างส่วนที่อยู่ใต้ต่อหนังหุ้มปลาย ของอวัยวะเพศ เซลล์ผิวหนังเก่าๆ ที่หลุดลอก น้ำปัสสาวะที่เลอะเทอะ และเศษเนื้อเยื่อต่างๆ ที่ตายแล้ว เหงื่อ จะหมักหมมสะสมอยู่บริเวณนั้น และระคายเคืองต่อหัวของอวัยวะเพศ ทำให้เกิดการอักเสบได้
สบู่บางชนิด หรือสารที่ใช้ทำความสะอาดผิวบางอย่าง อาจจะระคายเคืองผิวที่หัวของอวัยวะเพศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการล้างหรือฟอกมากจนเกินไป
•   ถุงยางอนามัย, สารฆ่าเชื้ออสุจิในถุงยางอนามัย, สารหล่อลื่นในถุงยางอนามัย, หรือสารหล่อลื่นที่ใช้ต่างหากระหว่างร่วมเพศ อาจจะระคายเคืองต่อหัวของอวัยวะเพศได้
•   สารเคมีอื่นๆ ที่อาจจะระคายเคืองหัวของอวัยวะเพศได้อีก เช่น น้ำยาฟอกทำความสะอาดมือที่ติดที่มือแล้วเราล้างออกไม่หมด แล้วเราเผลอไปจับอวัยวะเพศในขณะที่เข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ หรือสารเคมีที่ใช้ใส่ผ้าให้นุ่มขณะที่ซักผ้าที่ยังตกค้างอยู่ที่ผ้า เพราะล้างออกไม่หมด แล้วยังติดอยู่ที่กางเกงในเมื่อสัมผัสกับอวัยวะเพศก็จะเกิดการอักเสบและ ระคายเคืองได้
•   โรคผิวหนังบางอย่างอาจจะก่อให้เกิดโรคหัวของอวัยวะเพศชายอักเสบได้ หรือ อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่า เป็นโรคที่เกิดที่หัวของอวัยวะเพศชายอักเสบโดยตรง โดยไม่ใช่โรคผิวหนังชนิดนั้นก็ได้เช่น โรคสะเก็ดเงินที่เกิดรอยโรคที่อวัยวะเพศ
เราจะวินิจฉัยโรคหัวของอวัยวะเพศชายอักเสบได้อย่างไร?
การวินิจฉัยโรคนี้มักจะค่อนข้างง่าย เพราะเราจะเห็น รอยแดงและอักเสบที่ปลายของอวัยวะเพศ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบนั้น อาจจะต้องสืบหาต่อด้วยการตรวจแลปส์ หรือการตรวจพิเศษบางอย่างเพิ่มเติมเช่น การป้ายหนองไปตรวจหาเชื้อ หรือการตรวจเลือดของผู้ป่วยหาโรคเบาหวาน การตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ส่งปรึกษาแพทย์ทางด้านโรคผิวหนัง ถ้าสงสัยโรคผิวหนังที่จำเพาะเจาะจงในบางราย (แต่น้อยมาก) อาจจะจำเป็นต้องตัดชิ้นเนื้อของผิวหนังเพื่อไปตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษาโรคนี้
1.   หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ในขณะที่มีการอักเสบ และใช้ Emollient Cream หรือ Ointment ทำความสะอาดแทนสบู่
2.   ใช้น้ำอุ่นทำความสะอาดเบาๆ แล้วซับให้แห้งอย่างนุ่มนวล
3.   การรักษาจำเพาะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค เช่น ถ้าการอักเสบเกิดจากการติดเชื้อราแคนดิด้า การรักษาก็คือการใช้ยาฆ่าเชื้อรา ถ้าสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การรักษาจำเพาะก็คือ การใช้ยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดนั้นๆ ถ้าสาเหตุเกิดจากโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การรักษาก็คือ การใช้ยาที่จำเพาะต่อโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์นั้นๆ
4.   การใช้สเตอรอยด์ครีมอ่อนๆ ทาบริเวณที่อักเสบ ในกรณีที่สาเหตุของการอักเสบนั้นเกิดจากกลไกของการแพ้ หรือภูมิแพ้ แต่ในบางครั้งเราใช้ครีมที่มีสเตอรอยด์อ่อนๆ ผสมกับยาปฏิชีวนะทาในบริเวณที่อักเสบ เพื่อช่วยในการลดการอักเสบในระยะแรกๆ ของการรักษาได้ ในโรคที่มีการติดเชื้อใดๆ เป็นต้นเหตุ แต่เราจะไม่ใช้สเตอรอยด์เดี่ยวๆ ในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เพราะมันจะทำให้การติดเชื้อนั้นแย่ลง
5.   ถ้าท่านมีการอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศซ้ำบ่อยๆ และท่านมีภาวะหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่เปิด (Phimosis) แนะนำให้ทำการผ่าตัดขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศออก

การป้องกันโรคนี้
1.   ล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศอย่างสะอาดหมดจด (ถลกหนังหุ้มปลายลงเพื่อล้างด้านในด้วย) อย่างนุ่มนวลทุกครั้งที่อาบน้ำ และทำให้แห้งทุกครั้งก่อนที่จะใส่กางเกง
2.   ถ้าการอักเสบนั้นสัมพันธ์กับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัย หรือถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ใช้ชนิดที่ทำมาสำหรับผู้ที่มีผิวหนังแพ้ง่าย
3.   ล้างมือทุกครั้งก่อนจับอวัยวะเพศเพื่อปัสสาวะ ถ้าคุณทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่อาจจะระคายเคืองอวัยวะเพศ
4.   ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนใหม่ ที่อาจจะไม่แน่ใจว่าปลอดภัยจากเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก medicarezine.com

Report by www.livcapsule.com

28
เร็วๆ นี้นักวิทยาศาสตร์พบลามะมีความสามารถทนทานต่อเชื้อเอชไอวีได้ เนื่องจากลักษณะของสารภูมิต้านทานในตัวมันสามารถต่อต้านเชื้อได้มากกว่า 95% ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ เปิดทางสู่ความเป็นไปได้ใหม่ในการค้นคว้าวิจัยวัคซีน-รักษาโรคเอดส์
26 ก.พ. 2558 สัตว์หน้าตาทะเล้นอย่างลามะที่อยู่ในแถบอเมริกาใต้ฝั่งตะวันตกกลายเป็นความหวังใหม่ของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามค้นคว้าวัคซีนต้านไวรัสเอชไอวีและช่วยเหลือในการป้องกันหรือรักษาโรคเอดส์ เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบว่าตัวลามะมีความสามารถในการต้านทานเชื้อเอชไอวีได้
ทีมนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) วิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด และศูนย์ไวรัสวิทยาสัตว์ของอาร์เจนตินา ร่วมกันศึกษาพบว่าเมื่อลามะตัวหนึ่งได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าไปแล้วมันสามารถสร้างสารภูมิต้านทาน (antibody) ที่สามารถยับยั้งไวรัสสายพันธุ์เอชไอวีได้มากกว่าร้อยละ 95 โดยมีการเผยแพร่งานวิจัยผ่านวารสาร PLOS ตั้งแต่เมื่อเดือน ธ.ค. 2557
จากงานวิจัยดังกล่าวทำให้เห็นว่าลามะมีความสามารถในการต้านทานเชื้อได้ดีกว่าคน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานว่าเหตุใดสารภูมิต้านทานในตัวคนถึงไม่สามารถยับยั้งเชื้อเอชไอวีได้ดีในระดับนี้ จนกระทั่งในงานวิจัยล่าสุดมีการตรวจสอบเลือดของลามะ 3 ตัวหลังมีการให้เชื้อเอชไอวีก็พบว่าสารภูมิต้านทานของลามะมีความแตกต่างจากของคนตรงที่มีลักษณะเป็นโปรตีนห่วงโซ่เดี่ยว (Single chain of proteins) ทำให้ตั้งเป้าหมายต่อต้านไวรัสได้แม่นยำ ต่างจากสารภูมิต้านทานของคนที่มีทั้งห่วงโซ่สายสั้นและห่วงโซ่สายยาวที่ระดมกำจัดไวรัสแปลกปลอมทั้งหมดโดยไม่เน้นความแม่นยำเท่าทำให้ไม่สามารถกำจัดไวรัสเอชไอวีได้ดีเท่า
นอกจากลามะแล้ว สัตว์ในตระกูลใกล้เคียงกันอย่างอัลปากาก็มีความสามารถต่อต้านไวรัสคล้ายๆ กัน โดยมีแพทย์ในเปรูกำลังทดลองการป้องกันหรือรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีด้วยการใข้สารภูมิต้านทานของอัลปากา
อย่างไรก็ตาม ทีมทดลองเรื่องเชื้อเอชไอวีกับลามะกล่าวว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบความหวังในการสร้างวัคซีนต้านเอชไอวีหรือการรักษาโรคเอดส์ และกระบวนการทดลองยังอยู่ในระดับสถานปฏิบัติการเท่านั้นพวกเขายังต้องค้นคว้าต่อไปอีกมากในเรื่องนี้ แต่ก็ถือเป็นการเปิดทางสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ซึ่งในตอนนี้มีอยู่ 5 สถานศึกษาในเปรูที่กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับการต้านทานโรคของอัลปากาและลามะ
ในแง่ความเป็นห่วงว่าสัตว์ที่นำมาทดลองจะได้รับอันตรายหรือไม่ ผู้วิจัยก็รับรองว่าลามะที่นำมาทดลองถูกฉีดไวรัสเข้าไปในจำนวนที่ไม่มากพอจะทำให้พวกมันเป็นโรคได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   prachatai.com

Report by www.livcapsule.com

29
มีหลักเกณฑ์ในการใช้ถุงยางอนามัย ดังนี้
1. ถ้าใช้อย่างถูกต้องตามวิธีการใช้และเลือกใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพมาตรฐานของ อย. รวมทั้งเก็บอย่างถูกวิธีแล้ว ความปลอดภัยสูงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
ควรเลือกถุงยางอนามัยชนิดที่เคลือบผิวด้านนอกด้วยสารฆ่าเชื้อที่มีชื่อว่า non oxonal-9 หรือ non oxonal-11 จะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น

2. ถ้าฝ่ายหญิงมีแผลในปากที่มีเลือดออก หรือมีฟันผุอยู่ ซึ่งคงจะดูยาก โอกาสที่จะติดเชื้อก็จะสูงกว่า ผู้หญิงที่ไม่มีแผล
อย่างไรก็ตามในการให้ผู้หญิง มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก (ออรัลเซ็กส์) ฝ่ายชายก็ควรจะสวมถุงยางอนามัยเพื่อการป้องกันเช่นเดียวกับการร่วมเพศ

3. ได้แก่การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งในการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะโดยวิธีใด ไม่อย่างนั้นคงต้องให้คู่นอนใช้มือช่วยทำให้จึงจะปลอดภัย รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์โดยที่อวัยวะเพศไม่สัมผัสกับเยื่อเมือกของ ฝ่ายหญิงด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก doctor.or.th

Report by www.livcapsule.com

30
ปัจจุบัน ความรู้เรื่องโรคเอดส์ก้าวหน้ามากขึ้น มียาต้านไวรัสเอชไอวีมากกว่า 30 ชนิด มีการคิดค้นวัคซีน ยาหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อเอชไอวี ฯลฯ ราคายาต้านไวรัสเอชไอวีที่เคยแพงลิบลิ่วก็ค่อย ๆ ถูกลง
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ถ้าพูดถึงโรคเอดส์ คงไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีจะมีโอกาสรอดชีวิต แม้จะมีการคิดค้นยาต้านไวรัสเอชไอวีตัวแรกได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ก็ตาม
ปัจจุบัน ความรู้เรื่องโรคเอดส์ก้าวหน้ามากขึ้น มียาต้านไวรัสเอชไอวีมากกว่า 30 ชนิด มีการคิดค้นวัคซีน ยาหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อเอชไอวี ฯลฯ ราคายาต้านไวรัสเอชไอวีที่เคยแพงลิบลิ่วก็ค่อย ๆ ถูกลง ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น
นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ ที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ในอดีต ไม่มียาต้านไวรัสเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ได้แต่รอวันตายเพียงอย่างเดียว ไม่มีทางรักษา ปัจจุบัน ถ้าผู้ป่วยมีวินัย กินยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเคร่งครัด ภายใต้การดูแลของแพทย์ ก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ยืนยาว ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป แต่ในอนาคตผู้ป่วยอาจไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ถ้าตรวจพบเร็ว รักษาทันที 9 สัปดาห์หลังรับเชื้อเอชไอวี และกินยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ”
นับเป็นอีกหนึ่งข่าวดีของผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อหลายประเทศได้ทยอยเผยแพร่งานวิจัยการรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ ซึ่งตอนนี้ทั่วโลกมีรายงานว่ามีผู้ป่วยที่หายจากโรคเอดส์แล้ว 20 กว่าคน
ที่โด่งดังสุด คือกรณีของ ทิโมธี บราวน์ ที่นอกจากจะเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์ ยังเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัยอิลอยด์ชนิดเฉียบพลันด้วย บราวน์ได้รับการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวโดยการใช้เคมีบำบัด เพื่อทำลายระบบภูมิคุ้มกันเดิมและสร้างระบบภูมิคุ้มกันขึ้นใหม่ด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกผู้อื่น ผลจากการปลูกถ่ายไขกระดูก ทำให้บราวน์หายจากโรคเอดส์ แต่การปลูกถ่ายไขกระดูก ไม่สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยเอชไอวีอย่างกว้างขวางได้ เพราะการจะหาผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกที่เข้ากันได้และเป็นผู้ที่มียีนต้านทานเชื้อเอชไอวีด้วย เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
ในประเทศไทยเอง ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรกให้มีโอกาสหายขาดได้ โดยผู้ป่วยจะต้องตรวจพบเร็ว จะให้กินยาทันที ก็จะมีโอกาสรักษาหายได้ โดยคำว่ารักษาในที่นี้หมายถึงร่างกายควบคุมไม่ให้เชื้อเอชไอวีทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกายได้เอง โดยไม่ต้องกินยาทุกวันทั้งชีวิตเหมือนผู้ป่วยเอดส์ทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมดสิ้น 100 เปอร์เซ็นต์
“ขณะที่งานวิจัยของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กำลังอยู่ในขั้นทดลอง ได้พบกรณีศึกษาผู้ป่วยคนหนึ่งที่ตัดสินใจหยุดยาเองเมื่อ 7 ปีก่อน หลังจากกินยาต่อเนื่องมานาน 11 ปี ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ ผลจากการตรวจเลือดไม่พบเชื้อเอชไอวี ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นความหวังใหม่ของผู้ป่วยโรคเอดส์” นายแพทย์มนูญ กล่าวเพิ่มเติม
ผู้ป่วยดังกล่าวเข้ารับการรักษาเมื่อปี พ.ศ. 2539 หลังจากตรวจพบเชื้อเอชไอวี ได้รับการรักษาทันที โดยได้กินยาต่อเนื่องนาน 11 ปี ก่อนตัดสินใจหยุดกินยาด้วยตัวเอง เพราะปัญหาส่วนตัวบางประการ
ผ่านไป 7 ปี ผู้ป่วยกลับมาพบแพทย์ใหม่ เพราะต้องการรักษาโรคเบาหวาน ผลการตรวจเลือดพบว่าไม่พบเชื้อเอชไอวี แม้ผลเลือดจะยังเป็นบวกอยู่ แสดงให้เห็นว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกัน สามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้ ไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต
ผู้ป่วยรายนี้ได้พูดถึงความรู้สึกเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยไทยรายแรกที่หายจากโรคเอดส์ ว่า “ดีใจเมื่อรู้ว่าเรื่องของผมได้กลายเป็นกรณีศึกษา และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยคนอื่น ๆ ได้ สำหรับผู้ป่วยคนอื่น ขอให้อย่าท้อแท้ เรายังทำอะไรได้อีกเยอะ ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ ก็ต้องรักษา ภายใต้การดูแลของแพทย์ ต้องกินยาอย่างเคร่งครัด เปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองใหม่ โรคเอดส์สามารถรักษาให้หายได้”
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีบทสรุปว่าผู้ป่วยต้องกินยานานแค่ไหน และอะไรเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ป่วยหายขาดจากโรคเอดส์ สามารถหยุดทานยาได้แล้ว แต่การพบผู้ป่วยที่หยุดกินยานานถึงเจ็ดปี โดยไม่กลับมาเป็นซ้ำ และสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ โดยไม่ต้องกินยา ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นความหวังให้กับผู้ป่วยรายอื่น ๆ ว่าในอนาคตอาจรักษาให้หายขาดได้เหมือนกัน
แต่ที่สำคัญคือ จะต้องรู้เร็ว กินยาเร็วและนานพอ ถึงจะรักษาให้หายขาดได้.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   thaiaidssociety.org

Report by www.livcapsule.com


31
Clinic สุด Seed / หนองในแท้-เทียม
« เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2015, 12:05:33 »
หนองในแท้-เทียม

หนองในแท้ (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยในช่วง 20 -30 ปีก่อน เรียกว่าเป็นพระเอกเลยทีเดียว จวบจนมีโรคเอดส์เข้ามา มีการรณรงค์ให้ใช้ ถุงยางอนามัยมากขึ้น โรคหนองในก็หายหน้าหายตาไปนาน จวบจนช่วงกลาง ปี 2546 เริ่มพบหนองในแท้มากขึ้นพร้อมกับข่าวร้ายที่ตามมาด้วย คือเชื้อนี้ดื้อยากินจนไม่อาจใช้ยากินรักษาได้อีกต่อไป

หนองในแท้ (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษา หายขาดได้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae สามารถเกิดได้ ทั้งที่อวัยวะสืบพันธุ์ มดลูก ปากมดลูก ช่องท้อง ในช่องปาก ทวารหนัก หรือแม้แต่นัยน์ตาทารกแรกเกิด
สำหรับผู้หญิงบางคนรับเชื้อมาแล้วไม่มีอาการหรือมีตกขาวเล็กน้อย ไปซื้อยากินเองอาการสงบลงทำให้เข้าใจว่าไม่เป็น จะมาทราบอีกครั้งก็เมื่อ มันลามเข้ามดลูก ไปสู่ปีกมดลูก ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ปีกมดลูกอักเสบ ทำให้เกิดท้องนอกมดลูก หรือเป็นหมันในที่สุด

อาการและการแสดง

ฝ่ายชาย หลังรับเชื้อมา 2 - 5 วันก็จะมีอาการปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหล จากท่อปัสสาวะ แต่บางรายอาจรวดเร็วทันตาเห็น ไหลในวันรุ่งขึ้นก็เคยเจอ หรือ บางรายอาจนานเป็นเดือนแล้วจึงค่อยมีอาการก็มี แต่ก็เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ มักราว 2 - 5 วันนั่นแหละ มีหลายรายยังซื้อยากินเองแล้วอาการสงบไป ผ่านไปเป็นสัปดาห์ มาอีกทีก็เกิดโรคแทรกซ้อน อัณฑะบวมยากต่อการรักษา
หรือบางรายอาจถึงกับเป็นหมันไปก็มี ส่วนฝ่ายหญิง บางรายอาจไม่มีอาการ รับเชื้อมาไว้เฉยๆก็เจอบ่อยๆ จะมาทราบอีกครั้งก็เมื่อชายที่มามีเพศสัมพันธ์ด้วยเกิดการติดเชื้อไป ส่วนคนที่รับเชื้อแล้วมีอาการ อาการที่เป็นก็เช่น ปัสสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะ มีเลือด มีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์ มีตกขาวสีเหลืองออกเขียวเป็นต้น ส่วนรายที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เมื่อติดเชื้อก็จะมีอาการคันหรือระคายเคือง ที่ทวารหนัก อาจมีเมือกหรือหนองออกมาทางทวารหนักเช่นเดียวกับในท่อปัสสาวะ
มีคนเข้าใจผิดมากๆหลายราย ที่เข้าใจว่าเวลาไปเที่ยวไม่ใช้อวัยวะสอดใส่ แต่ให้หญิงบริการใช้ปากกับอวัยวะเพศของตนแล้วจะปลอดภัย
คนที่เข้าใจอย่างนี้แสบมาแยะแล้ว เพราะในลำคอของหญิงบริการเหล่านี้ มีเชื้อโรคหนองในแท้อาศัยพักอยู่ เพราะเธอก็ไปใช้ปากให้กับผู้ใช้บริการราย อื่นมาก่อน เมื่อมาใช้ปากกับท่าน เชื้อหนองในเลยกระโดดมาติดอวัยวะของท่าน
แบบนี้มาฉีดยาแยะแล้วนะครับ จะใช้ปากก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยนะครับ

การตรวจวินิจฉัย

การตรวจวินิจฉัยไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์ เห็นคนไข้บ่อยๆ
บางครั้งแค่ฟังประวัติและเห็นลักษณะหนองก็บอกได้แล้วว่าใช่หรือไม่ใช่ ส่วนการตรวจยืนยัน คือการเอาหนองมาย้อมเชื้อส่องกล้องดู
นอกจากการวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ถ้าตรวจหาเชื้อไม่เจอ แต่สงสัยมากๆ ก็อาจเอาหนองมาเพาะเลี้ยงเชื้อก็ได้ ใช้เวลา 2 - 3 วันก็รู้ผล หรือปัจจุบันจาก น้ำปัสสาวะหรือของเหลวจากปากมดลูกก็อาจนำมาตรวจหา DNA ของเชื้อก็ยังได้

ถ้าไม่รักษา อะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าไม่รักษา (หรือรักษาเองอาการสงบไป) เชื้ออาจลามลงอัณฑะทำให้อัณฑะ อักเสบบวมเจ็บเป็นเหตุให้เป็นหมันหรืออาจลามเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดข้ออักเสบ ลิ้นหัวใจอักเสบ หรือแม้แต่เยื่อหุ้มสมองอักเสบได้
อาการแทรกซ้อนสำหรับฝ่ายหญิงคือทำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเชิงกราน หรือปีกมดลูกอักเสบ บางรายเป็นก้อนหนองที่ปีกมดลุกก็เคยมีให้เห็น ทำให้ท่อตีบตันอาจทำให้เป็นท้องนอกมดลูกตามมา หรืออาจเป็นหมันไปเลยก็ได้ ซึ่งจะนำมาสู่ปัญหาสาธารณสุขต่อไป แต่ที่น่าเป็นห่วงกังวลกว่านั้นก็คือ เมื่อท่านติดเชื้อหนองในได้ ท่านก็อาจติดเชื้อ hiv ได้เช่นกัน เพราะเมื่อเธอรับเชื้อหนองในมาได้ เธอก็อาจรับเชื้อ hiv มาด้วยได้เช่นกัน

การรักษา
ในตำรากล่าวถึงยารับประทานหลายตัวสามารถรักษาหนองในแท้ได้ แต่ในทางปฏิบัติจริงเชื้อเหล่านี้ดื้อยา จนไม่อาจใช้เป็นแนวทางรักษาได้แล้ว ต้องใช้ยาฉีดอย่างเดียว ดังนั้นถ้าท่านไปมีเพศสัมพันธ์แล้วมีอาการที่สงสัยว่า
จะเป็นหนองในแท้ อย่ามัวเสียเวลาซื้อยากินเอง มิฉะนั้นเชื้อจะหลบจนท่าน ตายใจว่าหายแล้ว สุดท้ายจะเกิดภาวะแทรกซ้อนจนยากจะเยียวยาได้
 
หนองในเทียม
หนองในเทียมเป็นหนึ่งในสี่ของโรคที่พบบ่อยในคลินิกกามโรคชาย (หนองในแท้ หนองในเทียม โรคเริม และหูดหงอนไก่) อาจมาเดี่ยวๆ โรคเดียว หรือมาพร้อมกับโรคหนองในแท้ก็ได้ หนองในเทียมส่วน ใหญ่จะรักษาหายด้วยยากิน แต่ก็มีคนไข้ส่วนหนึ่งที่รักษาหายยาก (มีไม่ถึง 10 %) จัดอยู่ในประเภทหนองในเทียมที่รักษายาก เมื่อมีการอักเสบในท่อปัสสาวะ เอาหนองหรือของเหลวจากท่อ ปัสสาวะมาตรวจย้อมแล้วส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ (หรือตรวจด้วยวิธีอื่น) ถ้าไม่พบเชื้อหนองในแท้ (gram negative dipplococci) เราจะจัดให้อยู่ในกลุ่มหนองในเทียม ทั้งหมด เพราะการรักษาไม่ต่างกัน หนองในเทียมมีชื่อภาษาอังกฤษหลายชื่อ เช่น NGU, NSU, PGU แต่ละชื่อมีความแตกต่างกันเล็กน้อย

NGU (Non-Gonococcal Urethritis) ในผู้ชาย เมื่อตรวจหนองแล้ว พบว่ามีการอักเสบ แต่ไม่พบเชื้อหนองในแท้ แต่อาจพบเชื้ออื่นเช่น Chlamydia หรือ ureaplasma หรือเชื้ออื่นๆ

NSU (Non-Specific Urethritis) หมายถึง ท่อปัสสาวะอักเสบ จะไม่พบเชื้อใดๆ อาจอักเสบอาจเกิดจากการสวนท่อปัสสาวะ
เคล็ดจากการมีเพศสัมพันธ์ แพ้ยา แพ้อาหารทะเล หรือเกิดจาก การบาดของผลึกอาหารบางอย่าง

PGU (Post-Gonococcal Urethritis) หมายถึง การอักเสบใน ท่อปัสสาวะหลังรักษาหนองในแท้หายแล้ว

ตัวต้นเหตุ
จากข้อความที่เกริ่นข้างต้นคงพอจะทราบแล้วว่า หนองในเทียมมี ทั้งประเภทที่มีเชื้อและไม่มีเชื้อ ประเภทที่มีเชื้อ ก็มีได้หลายเชื้อ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว หรือเชื้อรา ซึ่งเชื้อส่วนใหญ่ (เกินครึ่ง) ที่ตรวจพบคือเชื้อ Chlamydia trachomatis และ Ureaplasma urealyticum ส่วนโรคเริมหรือพยาธิในช่องคลอด (Trichomanas vaginalis) ก็อาจทำให้เกิดหนองในเทียมได้
ติดมาได้ยังไง
ส่วนใหญ่ติดจากการร่วมเพศ ไม่ว่าจะเป็น ทางปาก ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก ก็ติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น ผู้ชายหลายคนอาจคิดว่า การให้ผู้หญิงใช้ปากโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยจะไม่ทำให้ติดโรค ถือเป็นความเข้าใจที่ผิด ! นอกจากสาเหตุหลักนี้แล้ว สาเหตุอื่น ที่ทำให้ติดโรคได้เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การอักเสบของต่อมลูกหมาก เคล็ดจาการมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง แพ้ยา หรือแพ้สารอาหารบางอย่าง

นานแค่ไหนถึงมีอาการ
หลังรับเชื้อมาแล้วหนึ่งถึงสามสัปดาห์ หรือบางรายอาจนานเป็นเดือน หนองในเทียมจะเริ่มแสดงอาการ ส่วนหนองในแท้จะแสดงอาการเร็วกว่าหนองในเทียม โดยจะแสดง อาการภายใน 3-4 วัน

มีอาการอะไรบ้าง
ในผู้ชาย อาการมักเกิดหลังติดเชื้อประมาณ 1-3 สัปดาห์ โดยจะมีอาการแสบที่ปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัดเล็กน้อย บางรายอาจคันหรือระคายเคืองท่อปัสสาวะ หรือปวดหน่วงตรงฝี เย็บใกล้ทวารหนัก มีหนองซึม ลักษณะเป็นมูกใสหรือมูกขุ่น (หนองในแท้ หนองจะมีลักษณะข้นกว่า) มีออกเพียงเล็กน้อย ในระยะแรกอาจรู้สึกแสบๆในท่อปัสสาวะ และมีมูกออกเล็กน้อย เฉพาะในช่วงเช้าเท่านั้น ต่อมาจะเริ่มแสดงอาการมากขึ้น ในผู้หญิง มักไม่แสดงอาการ อาจมีเพียงตกขาวผิดปกติ หรือปัสสาวะแสบเล็กน้อยในบางครั้ง เด็กแรกเกิดที่แม่มีเชื้อหนองในเทียม โดยเฉพาะเชื้อ Chlamydia อาจมีอาการตาแดงตาอักเสบหรือปอดบวมได้

หมอตรวจยังไง
สำหรับผู้ชาย นำสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะมาย้อมสี ส่องดูด้วย กล้องจุลทรรศน์ ถ้ามีสารคัดหลั่งน้อย หมออาจเอาลวดแหย่เข้าไป ในท่อปัสสาวะเพียงตื้นๆ เพื่อเอาสารคัดหลั่งมาตรวจ แต่ถ้าใครมีหนองหรือเมือกให้เห็น ก็เอาแผ่นกระจกป้ายแล้วนำมา ย้อมสี ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ การตรวจเพียงแค่นี้ก็นับว่าเพียงพอ แล้วสำหรับการวินิจฉัย แต่ถ้ารักษาแล้วยังไม่ดีขึ้นหรือไม่หาย ก็ต้องตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีการอื่น เช่น เพาะเชื้อ ตรวจ PCR เป็นต้น นอกจากนี้หมออาจตรวจปัสสาวะ วิธีนี้เรียกว่า TWO GLASS TEST เพื่อดูว่า การอักเสบลุกลามไปถึงท่อปัสสาวะ ส่วนต้นหรือส่วนโคนแล้วหรือยัง

สำหรับผู้หญิง ตรวจภายในธรรมดาๆโดยเอาสารคัดหลั่งมาตรวจ หาเชื้อหนองในเทียม แต่ปกติแล้ว ผู้หญิงจะตรวจพบยากกว่าผู้ชาย จึงมักนิยมรักษาฝ่ายหญิงไปพร้อมๆ กับฝ่ายชาย (ยากินที่ใช้รักษาเป็นยาชนิดเดียวกับที่ใช้รักษาผู้ชาย) ปัจจุบันในประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐนิยมตรวจหาเชื้อ Chlamydia trachomatis ด้วยวิธี PCR เป็นการตรวจสารคัดหลั่งจาก ปากมดลูกหรือตรวจจากน้ำปัสสาวะ (ตรวจได้ทั้งชายและหญิง) แต่การตรวจแบบนี้ยังมีราคาแพงและยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศ ไทย ส่วนใหญ่วิธีนี้นิยมใช้กันในโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือคลินิกเฉพาะ ทางบางแห่งเท่านั้น ถ้าไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ชาย จะมีโรคแทรกซ้อนตามมา ที่พบบ่อยคือ หนองในลงไข่ อัณฑะอักเสบ ถ้ายังไม่ใส่ใจ ปล่อยทิ้งไว้นาน หรือมัวแต่ซื้อยากินเอง อาจทำให้เป็นหมัน ไม่มีผู้สืบสกุล สูญพันธุ์ได้ (ฮา) โรคอื่นที่อาจตาม มาคือ โรค Reiter's syndrome มีอาการ 3 อย่างร่วมกัน คือ ไขข้ออักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ และมีปัสสาวะแสบ ขัด ผู้หญิง เป็นฝ่ายที่น่าสงสาร เพราะอาจไม่รู้ตัวว่ามีเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อ Chlamydia ที่พ่อเจ้าประคุณสามีเอามาฝาก โดยไม่บอก ถ้าทิ้งไว้ไม่รักษา อาจเกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกราน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ผลที่ตามมาคือ อาจมีลูกยาก เป็นหมัน หรือท้องนอกมดลูกได้ง่าย ถ้าท้องในมดลูกก็อาจแท้งได้ง่าย ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการตรวจคัดกรองเชื้อ Chlamydia เป็นประจำ โดยเฉพาะหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อายุน้อยมีความเสี่ยงสูง ที่จะได้รับเชื้อ (โดยไม่แสดงอาการและไม่รู้ตัว)

แล้วจะรักษายังไง
หนองในเทียมใช้ยากินเป็นหลัก และมักต้องกินยาวนาน บางรายอาจ นานถึง 2 - 3 สัปดาห์ ดังนั้นจึงต้องตั้งใจกิน กินให้หมด หมอให้มากิน ไม่ได้ให้มาเก็บ แล้วจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร มีสามีหรือภรรยาคนเดียว รักเดียวใจเดียวว่างั้นเถอะ แม้แต่กิ๊กก็อย่าไว้ใจ แสบมาแยะแล้ว ถ้ามีความจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และทุกช่องทาง ทั้งช่องบนและช่องล่าง ถ้าคุณเป็นโรคหนองในเทียมให้งดการมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้ช้ำมากขึ้น และเพื่อป้องกันการรับเชื้อเพิ่ม อย่าลืมรักษาคู่นอนด้วย มีกี่คน บ้านเล็กบ้านใหญ่ ต้องรักษาให้ครบทุกคน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก the-than.com/health

Report by www.livcapsule.com


32
Clinic สุด Seed / เริมและงูสวัด ต่างกันอย่างไร
« เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2015, 15:51:46 »
เริมและงูสวัด ต่างกันอย่างไร

ส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินคำว่า "โรคเริม" "โรคงูสวัด" กันบ้างพอสมควร และส่วนมาก จะค่อนข้างรู้จัก หรือเคยได้พบ ได้เห็น คนที่เป็นโรคเริม มากกว่าเคยเห็น โรคงูสวัด ความรู้สึกของคนทั่วไป จะค่อนข้างกลัวต่อการเป็นโรคงูสวัด มากกว่า เพราะบางท่านอาจจะเคยได้ยินคนสมัยก่อน เขาพูดกันว่า ให้ระวังให้ดีนะถ้าเกิดเป็นโรคงูสวัด แล้วพันครบรอบเอวขึ้นมาเมื่อไร ละก้อ ให้เตรียมตัวจองวัดได้เลย ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่

น่ากลัวหรือไม่
ส่วนท่านที่เคยเป็นโรคเริม หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคเริม คงจะค่อนข้าง เบื่อหน่ายกับการ กลับเป็นซ้ำได้อีกของโรคเริมนี้ บางท่านเป็นผื่น ตุ่มใส ไปซื้อยาทาที่ร้านขายยา ให้แพทย์ตี๋จัดยาให้ แพทย์ตี๋บาง ร้านบอกว่า คุณเป็นโรคเริม แต่บางร้านบอกว่า คุณเป็นโรคงูสวัด อย่า กระนั้นเลยเรามาดูรายละเอียดกันดีกว่านะคะ ว่าโรคเริม และโรคงูสวัด นี้ มีหน้าตาเป็นอย่างไรและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

โรคเริม (Herpes simplex)
โรคเริมเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ"H. simplex" ซึ่งเชื้อ ไวรัสตัวนี้มีอยู่ 2 ชนิด
ลักษณะผื่น --จะพบกลุ่มของตุ่มน้ำใสอยู่บนผิวหนังที่มีสีค่อนข้างแดง ประมาณ 1-2 วัน จากนั้นตุ่มน้ำใสนี้ จะแตกออก และตกสะเก็ดแต่บาง รายอาจเป็นนานกว่านั้นเกือบถึง 1 สัปดาห์

อาการ -- ระยะแรก จะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย จากนั้นจึงพบกลุ่มของ ตุ่มน้ำใสดังกล่าว ต่อมาจะรู้สึกเจ็บแสบร้อนคันเล็กน้อย ตำแหน่งที่พบ

ชนิดที่ 1 มักจะพบที่บริเวณริมฝีปาก ทั้งบนและล่าง หรือมุมปาก พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
ชนิดที่ 2 มักจะพบที่บริเวณอวัยวะเพศ พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

การติดต่อ --เริมทั้ง 2 ชนิดนี้ ติดต่อกันได้ ทางการสัมผัส โดยตรง (direct contact) เช่น การใช้แก้วน้ำร่วมกัน การจูบกัน และติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ เป็นต้น

ปัญหาที่เกิดขึ้น -- เชื้อไวรัสเริมนี้อาจเกิดเป็นซ้ำได้อีก ไม่มีทาง หายขาดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสเริมนี้จะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ ในปมประสาท (ganglion) ของคุณ วันดีคืนดีก็จะคืบคลานออกมาทำ ให้คุณกลับเป็นเริมซ้ำได้อีก และมักจะเป็นเริมซ้ำที่บริเวณเดิม หรือ ใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิมเสมอ

เมื่อใดจะเกิดเป็นเริมซ้ำได้อีก
1. การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
2. ความเครียด วิตกกังวล เช่น ทำงานหนัก ใกล้สอบ เป็นต้น
3. ความเจ็บป่วย ช่วงที่สุขภาพอ่อนแอ ทรุดโทรม ไม่ค่อยสบาย จะกลับเป็นเริมได้อีก
4. อากาศร้อน

วิธีการรักษา
1.ยาทากลุ่มอะไซโคลเวีย (acyclovir)
2. ยากินกลุ่มอะไซโคลเวีย
3. หายเองได้ ถ้านอนหลับพักผ่อนเพียงพอ อาจหายเองได้ใน 2-3 วัน

โรคงูสวัด (Herpes zoster)
โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ "วีแซดวี" (varicella-zoster virus) เป็นคนละโรคกับโรคเริม คนที่เป็นโรคงูสวัด ะต้องเคยเป็นอีสุกอีใส มาก่อน เมื่อภูมิต้านทานอ่อนแอลง จึงกลายเป็นโรคงูสวัด และโรคงูสวัดจะเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิตนี้ ซึ่งต่างกับโรคเริมที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก (ยกเว้น ผู้ที่มีความต้านทานต่ำมาก ๆ เช่น เอดส์ ฯลฯ อาจกลับมาเป็นโรคงูสวัดซ้ำได้อีก)
ลักษณะผื่น ระยะแรกจะรู้สึกปวดแสบ ปวดร้อน หรือคันบริเวณที่เป็น ต่อมา 1-2 วัน จะเห็นมีกลุ่มของตุ่มน้ำใสเกิดขึ้น อยู่บนพื้นผิวหนังที่ มีสีแดง และกลุ่มของตุ่มน้ำใสนี้จะวางเรียงตัวกันเป็นเส้นตามแนวของ เส้นประสาทที่ผิวหนัง (ตามแนว dermatome) เพราะฉะนั้น จะเห็นเป็น ขวางตามลำตัวด้านหน้า ด้านหลัง รอบเอว ตามแนวเส้นประสาทตาม ยาวที่แขนและขา รือตามแนวเส้นประสาทที่บริเวณใบหน้า นัยน์ตา หู ศีรษะ เป็นต้น

งูสวัด ไม่สามารถจะพันตัวเรา จนครบรอบเอว ได้เพราะแนวเส้นประสาทของตัวเรา จะมาสิ้นสุดที่บริเวณกึ่ง กลางลำตัวเท่านั้น ในคนธรรมดาที่มีภูมิต้านทานปกติงูสวัดจะไม่ ลุกลามเข้ามาแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่ง ของร่างกาย (ยกเว้นในกรณีที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น

ถ้าเกิดเป็นงูสวัด ก็อาจเป็นข้ามแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่งของ ร่างกายได้ หรือเป็นงูสวัดทั่วร่างกายได้]

อาการ
จะมีอาการ ปวดมาก เจ็บแสบร้อน บางคนคันร่วมด้วย เป็นไข้ได้ บางคนปวดจนทรมานมาก นอนไม่หลับ กลุ่มของตุ่มน้ำในนี้ จะเริ่มแห้ง และตกสะเก็ดจางหายไปใช้ระยะเวลาประมาณ 7-14 วัน

ปัญหาที่เกิดขึ้น

ที่สำคัญได้แก่ อาการปวดตามแนวเส้นประสาทระยะจากที่โรคงูสวัด หายแล้ว (post herpetic neuralgia) คืออาการปวดเจ็บแสบร้อนตาม แนวเส้นประสาทนี้ ถึงแม้ว่า ผื่นงูสวัดหายไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีอาการ ปวดแสบร้อนอยู่ บางท่านเป็นอยู่หลายเดือนทำให้ทรมานพอสมควร มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป

วิธีรักษาโรคงูสวัด
1. รักษาตามอาการ คือ กินยาระงับอาการปวด อาการคัน เช่น ยาพาราเซตามอล ยาไอคาแรค ยาพอนสแตน ยาคลอเฟนนิรามีน ฯลฯ
2. ยากินกลุ่มฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งราคาค่อนข้างแพงมาก ควรอยู่ใน ดุลพินิจของแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง แต่ได้ผลดีมาก ช่วยระงับอาการได้รวดเร็ว และทำให้ระยะเวลา ของโรคสั้นลง เช่น กลุ่มยาอะไซโคลเวีย โซวิแรกซ์ วาลเทรกซ์ แฟมเวีย ไวลิม ไวโรแรกซ์ เป็นต้น
3. ยาทากลุ่มฆ่าเชื้อไวรัส เป็นกลุ่มยาอะไซโคลเวีย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก   the-than.com/health
Report by www.livcapsule.com


33
กรมควบคุมโรค เตือนผู้ใช้บริการสปาเถื่อนที่แฝงการค้าบริการทางเพศ อาจติดโรคทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรง และเอดส์ ถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากพบมีสปาแอบแฝง สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีได้ทันที...

หลังจากที่ทางทีมข่าวไทยรัฐทีวีได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสปาเถื่อน ที่มีการแอบแฝงขายบริการทางเพศ รวมถึงไม่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ในย่านเมืองทองธานี

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเตือนผู้ใช้บริการสปาเถื่อนว่า หากใช้บริการทางเพศ จะทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคเอดส์ ซิฟิลิส กามโรค และโรคร้ายแรงที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง อาจเสี่ยงถึงขั้นชีวิตได้ ด้านสุขอนามัย หากที่นอนมีการทำความสะอาดไม่ถูกหลักอนามัย อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อรา และเป็นแหล่งอาศัยของแมลงนำโรค ก่อให้เกิดโรคผิวหนัง หรือแม้แต่อ่างอาบน้ำและน้ำก็เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคเช่นกัน แต่อาจจะมีโอกาสเสี่ยงน้อยกว่า หากน้ำที่ใช้ในการให้บริการเป็นน้ำที่มีการปนเปื้อน พร้อมฝากให้ประชาชนช่วยสอดส่อง หากพบสปาที่เข้าข่ายมีการค้าประเวณี และไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจสปา สามารถเข้าแจ้งความกับตำรวจ หรือกระทรวงสาธารณสุขได้

รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือ สบส. กล่าวว่า สำหรับร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ นวดเพื่อสุขภาพ นวดเพื่อเสริมสวย หรือที่เรียกว่าสปา ได้ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขผลักดันร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อมีมติเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบในร่างกฎหมาย เพื่อส่งไปยังรัฐสภาเพื่อพิจารณาออกไปเป็นกฎหมายและบังคับใช้ต่อไป
ขอขอบข้อมูลจาก  thairath.co.th

Report by www.livcapsule.com


34
“โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” เป็นโรคที่เกิดจากการร่วมเพศกับผู้ที่มีโรคนี้อยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือเกิดขึ้นจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกันหรือใช้ห้องสุขา สระว่ายน้ำร่วมกัน
          โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเดิมเรียกว่า “กามโรค” เป็นโรคที่เกิดจากการร่วมเพศกับผู้ที่มีโรคนี้อยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือเกิดขึ้นจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันร่วมกันหรือใช้ห้องสุขา สระว่ายน้ำร่วมกัน (ยกเว้นอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมทางเพศ เช่น อวัยวะเพศชายเทียมที่ใช้ในการร่วมเพศครั้งเดียวกัน)
          ความเสี่ยงของการติดต่อกามโรคจะมากน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคต่ำได้แก่ การกอดจูบลูบคลำภายนอก การสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน ส่วนกิจกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ การร่วมเพศทางปาก ทางช่องคลอดและทางทวารหนัก โดยที่การร่วมเพศทางทวารหนักมีอัตราการเสี่ยงต่อการติดโรคมากที่สุดเพราะมักมีการถลอกของอวัยวะเพศชายและผิวทวารหนักเป็นช่องทางให้เชื้อกามโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
          การใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันกามโรคได้ดี โดยต้องมีการใช้อย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่ร่วมเพศ และต้องสวมใส่ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง มีการหล่อลื่นที่ดีเพื่อป้องกันถุงยางฉีกขาด ถุงยางอนามัยป้องกันกามโรคบางชนิดได้ไม่ดีนัก เช่น หูดหงอนไก่ โรคเริม เพราะอาจติดต่อบริเวณที่สัมผัสได้ โดยเฉพาะส่วนที่ถุงยางคลุมไม่ถึง ถุงยางอนามัยสตรีป้องกันกามโรคได้ดีกว่าถุงยางชาย เพราะมีบริเวณครอบคลุมมากกว่าและฉีกขาดยากกว่า การใส่ถุงยางชายหลายชั้นอาจทำให้การแตกรั่วฉีกขาดยากขึ้น แต่ทำให้ความรู้สึกในการร่วมเพศลดลง
          โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดอาการได้หลายระดับ ตั้งแต่รุนแรงน้อยไปจนถึงทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งแบ่งได้ ดังนี้
          1) ไม่มีอาการ ได้แก่ โรคเอดส์ระยะแรก โรคตับอักเสบจากไวรัสบีและโรคซิฟิลิส ซึ่งทั้งหมดสามารถตรวจได้จากการเจาะเลือด ถ้าพบว่าเลือดบวกหมายถึงมีการติดเชื้อ ถ้าได้ผลบวกไม่ได้หมายความว่าไม่ติดเชื้อแต่อาจจะยังอยู่ในระยะแฝงหรือระยะฟักตัว โรคเอดส์อาจใช้เวลาถึง 3 เดือน จึงจะทำให้เลือดเป็นผลบวกได้ ในกรณีที่สงสัยจึงต้องทำการเจาะเลือดตรวจซ้ำหลายครั้ง
          โรคเอดส์และโรคตับอักเสบจากไวรัสบีในระยะสุดท้ายจะทำให้มีอาการต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายมาก และผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตในที่สุด ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อไวรัส ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ในกรณีที่เลือดบวก หากผู้ป่วยสามารถดูแลร่างกายให้แข็งแรงและไม่รับเชื้อเพิ่มก็อาจมีสุขภาพเป็นปกติ
เหมือนคนทั่วไปได้เป็นเวลานาน ซึ่งในปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่ใช้ร่วมกันหลายขนานสามารถควบคุมการติดเชื้อไม่ให้กำเริบไปจนมีอาการได้ แต่ยังไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หายขาด
          ซิฟิลิสเป็นกามโรคที่สำคัญในอดีตก่อนที่จะมีโรคเอดส์ แต่ในปัจจุบันยาปฏิชีวนะ สามารถรักษาให้หายขาดได้ หรืออย่างน้อยควบคุมยับยั้งการกำเริบของโรคนี้ได้ และไม่แสดงอาการรุนแรงเหมือนในอดีต มักตรวจพบในสตรีที่มาเจาะเลือดขณะฝากครรภ์หรือผู้ป่วยที่เจาะเลือดตรวจก่อนรับการผ่าตัด
          2) กลุ่มหนองแท้และหนองในเทียม กลุ่มนี้มีอาการเด่นคือ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศหรือช่องทางที่ร่วมเพศ ในเพศหญิงพบว่ามีหนองไหลออกจากช่องคลอดหรือช่องปัสสาวะและมีอาการแสบเวลาปัสสาวะ ในเพศชายจะมีอาการหนองไหลจากท่อปัสสาวะและมีปัสสาวะแสบขัดลำกล้องมากกว่าในเพศหญิง เนื่องจากท่อปัสสาวะยาวกว่า ในรายที่ร่วมเพศทางปากอาจพบมีการอักเสบและมีหนองในช่องปากและต่อมทอนซิล ในรายที่มีการร่วมเพศทางทวารหนักอาจพบมีหนองปนกับอุจจาระ โดยทั่วไปมักเกิดอาการเหล่านี้ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังการร่วมเพศที่ติดเชื้อ ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะ
          3) กลุ่มที่มีติ่งเนื้อหรือตุ่มนูนที่อวัยวะเพศ โรคที่สำคัญคือ หูดหงอนไก่และหูดข้าวสุก โดยหูดหงอนไก่เป็นกามโรคที่พบบ่อยในปัจจุบันและมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันได้ แต่วัคซีนยังมีราคาแพงและควรฉีดก่อนมีการร่วมเพศครั้งแรกเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ทั้งสองโรคจะมีอาการคล้ายกันคือมีตุ่มนูนบริเวณอวัยวะเพศ มักมีหลายตุ่ม ขนาดเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 เซนติเมตร ไม่เจ็บ ยกเว้นจะมีการอักเสบจากการเกา หูดหงอนไก่มีผิวขรุขระเป็นหนาม คล้ายกับหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ
          หูดข้าวสุกมีผิวเรียบแต่ละตุ่มมีรูตรงกลาง ซึ่งเมื่อสุกดีจะบีบของเหลวข้น ๆ ออกจากรูได้คล้ายข้าวสุก ในบางรายติ่งเนื้อหรือตุ่มขนาดเล็กหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ถ้าติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมาก หรือกระจายเป็นวงกว้าง การใช้ยา
รักษาหูดจี้สัปดาห์ละหนึ่งหรือสองครั้งจะได้ผลดี ถ้าใช้ยาเกินหนึ่งเดือนแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์อาจใช้วิธีทางศัลยกรรม เช่น การตัดออก การจี้ด้วยไฟฟ้า การจี้ด้วยความเย็น
          เหล่านี้คือกลุ่มอาการที่พบได้บ่อย ฉะนั้น หากจะมีเพศสัมพันธ์ควรรู้จักข้อมูลเหล่านี้ไว้และรู้จักป้องกันไว้ดืที่สุด
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.นพ.สัญญา ภัทราชัย ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 Report by www.livcapsule.com

35
หน่วยงานด้านสาธารณสุขประจำรัฐนิวเซาท์เวลส์ ของออสเตรเลียเปิดเผยว่าทันตแพทย์ 12 คนที่เข้าทำการผ่าตัดคนไข้4 รายต้องสงสัยว่าทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออุปกรณ์ไม่เหมาะสม จึงแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการทันตกรรมราว 11,000 คน เข้ารับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี และเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ บี และซี ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านเลือดและสารคัดหลั่งที่ติดอยู่บนอุปกรณ์ที่ไม่สะอาดเหล่านั้น อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าวแต่ทันตแพทย์ 6 คนถูกพักงาน และอีก 6 คนถูกตั้งเงื่อนไขต่างๆในการขอต่อใบอนุญาติ

นายเจเรมี แม็คอะนัลตี้ ผู้อำนวยการสำนักงานสาธารณสุขประจำรัฐ นิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย สั่งระงับใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ของทันตแพทย์ 6 ราย และสั่งสอบการทำงานของทันตแพทย์อีก 6 รายจากคลินิกทันตกรรมในนครซิดนีย์ ซึ่งข่าวมิได้ระบุชื่อ เมื่อ 2 ก.ค. หลังผลตรวจสอบเรื่องร้องเรียนจากผู้เข้ารับบริการในคลินิกทันตกรรมพบว่า ทันตแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกไม่ปฏิบัติตามกฎการรักษาความสะอาดและความปลอดภัยในการทำฟันและผ่าตัดในช่องปาก ส่งผลให้ผู้ที่เข้ารับบริการเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ ที่ติดต่อผ่านทางเลือดและของเหลว ซึ่งรวมถึงเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์ และไวรัสตับอักเสบชนิดเอ, บี และซี
 
แม้นายแม็คอะนัลตี้จะยืนยันว่า โอกาสที่ผู้เข้ารับบริการทันตกรรมจะติดโรคร้ายแรงมีความเป็นไปได้ต่ำ แต่ขณะเดียวกันก็ได้แนะนำให้ประชาชนราว 11,000 คน ที่ใช้บริการของคลินิกทันตกรรมที่ถูกร้องเรียนนับจากเดือน พ.ย.2557 เป็นต้นมา เข้ารับการตรวจเลือดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อโรคร้ายใดๆ ขณะที่สภาวิชาชีพทันตแพทย์รัฐนิวเซาท์เวลส์เผยว่า ผู้ตรวจสอบพบคลินิกที่มีปัญหาไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรฐานในการทำความสะอาดอุปกรณ์ซึ่งใช้ใน การผ่าตัดและทำฟัน โดยนายโรเบิร์ต สตาร์คเคนเบิร์ก ทันตแพทย์อายุ 75 ปี หนึ่ง ในผู้ถูกร้องเรียน ยอมรับว่า การล้างเครื่องมือแพทย์จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน เพราะมีผู้รอรับบริการจำนวนมากในแต่ละวัน จึงอาจละเลยขั้นตอนบางอย่างไป
ที่มา : news.truelife.com

Report by www.livcapsule.com

36
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประกาศให้ APCOcap ซึ่งได้พัฒนาจากสารผสมเสริมฤทธิ์ของสารสกัดที่ได้จาก มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่งและบัวบกของเป็นนวัตกรรมของชาติ
หลังได้รับการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ว่าสามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาว T helper 17, T helper 1, T helper 9 และทดสอบเชิงคลินิกแล้วว่าสามารถเพิ่ม CD 4 ลดปริมาณไวรัส ขจัดผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านไวรัส แก้ไขอาการติดเชื้อฉวยโอกาส ใช้ได้อย่างต่อเนื่องระยะยาวปราศจากผลข้างเคียง สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยติดเชื้อ HIV
โดยศาสตราจารย์ พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIIM กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยในภาคเหนือ ที่บ้านแม่ออน ที่อำเภอสารภีและดอยสะเก็ด รวมถึงเด็กติดเชื้อในบ้านแกร์ด้า จ.ลพบุรี ผลปรากฎว่า สามารถเพิ่ม CD 4 ได้ร้อยละ 32 ภายใน 3 เดือน เพิ่มขึ้นรัอยละ 59 ภายใน 6 เดือน และภายใน 1 ปี เฉลี่ยร้อยละ 67
โดยในกรณีศึกษาในผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้ใช้ยาต้าน พบว่ามี CD 4 อยู่ในระดับปกติและจำนวนไวรัสลดลงต่ำกว่า 40 copies/ml. ภายใน 1 ปี
อย่างไรก็ตามในวันที่ 8 ก.ย.นี้ จะเดินทางไปเผยแพร่นวัตกรรมดังกล่าวในการประชุมวิทยาศาสตร์นานาชาติ HIMSS AsiaPac 15 ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อดึงผู้ประกอบการที่มีการจัดกิจกรรม CSR ในการสนับสนุนให้นำนวัตกรรมนี้ ไปดูแลเด็กที่ติดเชื้อในอินโดนีเซียและมาเลเซีย เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก กองข่าวไอทีและนวัตกรรม

Report : www.livcapsule.com

37
Clinic สุด Seed / หูดหงอนไก่
« เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2015, 15:23:55 »
หูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ติดกันง่ายมาก พบมากถึงร้อยละ 1 ในประชากร โดยเฉพาะในคนวัย 20-24 ปี ร้อยละ 90 เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีชนิดที่ 6 และ 11 โรคนี้จากการตรวจเชื้อพบว่าผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย แต่พบว่าผู้ชายออกหูดหงอนไก่มากกว่าผู้หญิง นั่นหมายความว่าคนติดเชื้ออาจจะไม่ออกหูดก็เป็นไปได้ นอกจากพบหูดหงอนไก่ที่ปากมดลูก      ช่องคลอด อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก รอบๆ ทวารหนัก ในหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีเชื้อหูดหงอนไก่แล้ว ยังพบหูดหงอนไก่ที่รอบๆ ทวารหนัก และในทวารหนักในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังกับคนที่เป็นหูดหงอนไก่ นอกจากนั้นยังพบหูดหงอนไก่ที่ริมฝีปาก ช่องปาก ต่อมทอนซิล ลำคอ กล่องเสียงและหลอดลม ในคนที่ทำรักด้วยปากกับคนที่มีเชื้อ และในทารกที่คลอดทางธรรมชาติจากมารดาที่เป็นหูดหงอนไก่
หลังจากสัมผัสหูดหงอนไก่ผ่านเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะติดโดยการแนบผิวหนังต่อผิวหนัง หรือติดจากเชื้อหูดหงอนไก่ที่อยู่ในน้ำเมือกของช่องคลอดหรือน้ำอสุจิ หูดหงอนไก่จะแทรกซึมเข้าไปในผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณที่ชื้นและเยื่อบุ มันจะฝังตัวอยู่ในนั้น นานเป็นเดือนเป็นปีหรือหลายๆ ปี ร้อยละ 70 ของคนที่สัมผัสเชื้อหูดหงอนไก่ จึงมีอาการของหูดหงอนไก่
การวินิจฉัยหูดหงอนไก่ ต้องไปพบแพทย์ ในบางรายอาจไม่มีอาการใดๆ ในบางรายอาจคัน เจ็บ มีเลือดออก คลำเจอหูด ฯลฯ หากสงสัยว่าเป็นหูดหงอนไก่เป็นในลำคอ ควรไปพบแพทย์หูคอจมูก แพทย์สามารถวินิจฉัยจากลักษณะของหูดหงอนไก่ซึ่งอาจจะเป็นแฉกๆ ขรุขระขึ้นเป็นชั้นๆ เหมือนหงอนไก่หรือกะหล่ำดอก หรือเป็นหูดหงอนไก่ชนิดแบนราบ สีของหูดหงอนไก่นั้นส่วนใหญ่สีชมพู แดง ดำ หรือสีเนื้อ หากมองไม่เห็นชัดการใช้ 5% น้ำส้มสายชูทา จะเห็นหูดหงอนไก่เป็นสีขาวเด่นชัด หากลักษณะของก้อนเนื้อที่เห็นไม่สามารถวินิจฉัยว่าเป็นหูดหงอนไก่ แพทย์อาจตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจยืนยันทางพยาธิวิทยา
หากเป็นหูดหงอนไก่ในช่องปาก ต่อมทอนซิล ลำคอ กล่องเสียง หลอดลม ในลำไส้ส่วนทวารหนัก อาจใช้การผ่าตัด หรือจี้ทำลายหูดหงอนไก่ด้วยความร้อนหรือความเย็น

สรุปบทความหูดหงอนไก่
   การออรัลเช็กช์สามารถติดเชื้อหูดหงอนไก่ได้ไหม
ตอบ สามารถติดเชื้อได้
   การออรัลเช็กช์สามารถติดเชื้อหูดหงอนไก่บริเวณไหนได้บ้าง
ตอบ อาจติดเชื้อที่ริมฝีปาก ช่องปาก ต่อมทอนซิล ลำคอ กล่องเสียง และหลอดลม
   หูดหงอนไก่จะแสดงอาการออกมาหลังจากได้รับเชื้อมาตอนไหน
ตอบ หูดหงอนไก่มีระยะฟักตัว ประมาณ 1 ถึง 6 เดือน หลังรับเชื้อมาแล้ว บางราย 1 สัปดาห์ก็แสดงอาการ บางรายเป็นเดือน ค่อยแสดงอาการ แต่หลายรายก็ไม่แสดงอาการเลยก็มี
   หูดหงอนไก่มีลักษณะอย่างไร ในกรณีที่ขึ้นบริเวณช่องปาก และ ลำคอ
ตอบ ลักษณะอาจจะเป็นแฉกๆ ขรุขระขึ้นเป็นชั้นๆ เหมือนหงอนไก่หรือกะหล่ำดอก หรือเป็นหูดหงอนไก่ชนิดแบนราบ สีของหูดหงอนไก่นั้นส่วนใหญ่สีชมพู แดง ดำ หรือสีเนื้อ หากสงสัยว่าเป็นหูดหงอนไก่ในลำคอ ควรไปพบแพทย์หูคอจมูก แพทย์สามารถวินิจฉัยจากลักษณะของหูดหงอนไก่ได้
   การรักษาหูดหงอนไก่สามารถหายเองได้ไหม และการรักษาควรรักษาด้วยวิธีใด
ตอบ หูดหงอนไก่ในบางคนอาจหายไปเองได้แต่เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ต้องรักษาซึ่งมีหลายวิธี เช่น ใช้ยาทา สารเคมีจี้ ใช้ไฟฟ้าจี้ หรือผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาโดยคำนึงถึงอาการของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก warts59.wordpress.com

Report by www.livcapsule.com


38
โอกาสเสี่ยงของการรับเชื้อเอชไอวี จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับปัจจัยอะไรบ้าง

          ถ้าเราจะเสี่ยงต้องมี 3 องค์ประกอบครบถ้วนคือ

          1. ต้องได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยต้องมาจากแหล่งที่มีปริมาณเชื้อมากพอที่จะทำให้ติด ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด

          2. เชื้อที่จะทำให้ติดต่อได้นอกจากเรื่องปริมาณแล้วเชื้อต้องมีคุณภาพและแข็งแรง เช่น ในเลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด มีสภาพที่พอเหมาะที่จะทำให้ เชื้อเติบโตได้แต่ถ้าไปอยู่ในน้ำลาย น้ำตา เชื้อไวรัสจะอยู่ในสภาพที่ เป็นกรด เป็นด่าง ทำให้ ไม่มีคุณภาพ เติบโตไม่ได้ หมดความสามารถที่จะทำ ให้ติดต่อได้

          3. ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัส ส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันหรือการร่วม เพศ ซึ่งเป็นการส่งต่อเชื้อกันโดยตรงเช่นในกรณีการร่วมเพศ ถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุช่องคลอด หรือถ้าผู้หญิงมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกาย ทางเยื่อบุ ที่ปลายและเยื่อบุในท่อปัสสาวะของ องคชาติ และต้องดูโอกาสความเป็นไป ได้ที่จะเกิดขึ้นจริงด้วย

          คนส่วนใหญ่จะกังวลกับการติดเชื้อเอชไอวี จากช่องทางที่ไม่มีหรือมีโอกาสเสี่ยงน้อยมากๆ และมักจะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เช่นการช่วยคนประสบอุบัติเหตุ การสัมผัสกับเลือดตามแต่จะสมมติกัน แต่มักจะไม่คิดถึงช่องทางที่ทำให้ ติดเอดส์จากวิถีชีวิตและพฤติกรรมทางเพศที่กระทำอยู่เป็นประจำ ทั้งที่มี ข้อมูลยืนยันชัดเจนว่ากว่า 80เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ติด จากการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้ป้องกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก icare.kapook.com

Report by www.livcapsule.com

39
1.   โรคหนองในเทียม (Chlamydia)
          โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศที่พบมากที่สุดในโลก ซึ่งโอกาสที่จะติดโรคนี้เกิดขึ้นได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ทั้งทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก โดยบางคนที่ติดเชื้อดังกล่าวอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะแสดงอาการ ซึ่งอาการของโรคหนองในเทียมในเพศชายที่เห็นได้ชัดคือ รู้สึกเจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะ มีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ และอัณฑะบวม อย่างไรก็ดี แม้พบว่าอาการต่าง ๆ หายไปแล้ว ก็ควรรีบรักษาให้หายขาด เพราะเชื้อโรคยังอยู่ในร่างกายและพร้อมจะกำเริบอยู่เสมอนั่นเอง
2.   โรคหนองในแท้ (Gonorrhoea)
          โรคหนองในแท้จะติดต่อกับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อ Neisseria Gonorrhoea อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด โดยผู้ชายส่วนใหญ่ที่ติดโรคนี้จะแสดงอาการออกมาให้เห็น แต่บางคนจะมีอาการทันที เช่น รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และอัณฑะอักเสบ ทั้งนี้ทั้งนั้น โรคหนองในแท้จะเกิดขึ้นพร้อมกับโรคหนองในเทียมเสมอ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดพร้อมกันทั้งสองโรคได้
3.   โรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส (Trichomoniasis)
ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ติดโรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส โดยมากจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลยในช่วงแรก แต่ในรายที่แสดงอาการ จะรู้สึกคันหรือแสบบริเวณอวัยวะเพศ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และทำให้เป็นโรคท่อปัสสาวะอักเสบด้วย
4.   โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
          เรียกได้ว่าเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) เป็นเชื้อที่น่ากลัวที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์นั่นเอง ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีก็คือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัย นอนกับคนที่ไม่ใช่คู่ของตน และเที่ยวสถานบริการ รวมถึงเด็กในครรภ์สามารถติดจากแม่ที่เป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้วได้ โดยเชื้อดังกล่าวจะแสดงอาการระยะแรกหลังจากติดเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ คือผู้ป่วยจะมีไข้สูงหรือรู้สึกเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่มันจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี ที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเสียหายทั้งหมด ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น วัณโรค มะเร็ง และความจำเสื่อม เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ช่วยชะลออาการของโรคนี้ได้
5.  โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Herpes)
          โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Herpes Simplex Viruses ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคดังกล่าว เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย อย่างไรก็ดี ผู้ชายมักจะพบตุ่มใส ๆ ขึ้นมากมายบริเวณต่าง ๆ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ก้น ถุงอัณฑะ ทวารหนัก ผิวหนังที่ขาอ่อน และภายในท่อปัสสาวะ รวมถึงโรคเริมที่ปากสามารถติดต่อด้วยการจูบได้ ทั้งนี้ โรคเริมเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ เพราะเชื้อของมันจะซ่อนในร่างกายและจะกำเริบขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ
6.  โรคหูดที่อวัยวะสืบพันธุ์ (Genital Warts)
          เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Human Papillomavirus ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อหรือสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อตัวนี้โดยตรง ซึ่งมีคนจำนวนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ติดเชื้อดังกล่าวหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการทั่วไปของโรคหูดที่เห็นได้ชัดเจนคือ แผลหูดจะมีลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อนูนและตะปุ่มตะป่ำเกิดขึ้นที่อวัยวะสืบพันธุ์หรือทวารหนัก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมียาที่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว หรือจะปล่อยให้มันหายเองก็ได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าการรักษาด้วยยา
7. โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B)
          โรคไวรัสตับอักเสบ บี เกิดจากเชื้อ Hepatitis B Virus ที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางและสัมผัสเลือดหรือของเหลวกับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งอาการทั่วไปของโรคไวรัสตับอักเสบ บี คือ ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ และทำให้เป็นโรคดีซ่านได้   
8. โรคซิฟิลิส (Syphilis)
          โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Pallidum ผ่านการร่วมเพศทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด ซึ่งระยะของโรคซิฟิลิสมี 4 ขั้น ได้แก่ ระยะแรกที่ติดเชื้อ จะมีแผลขนาดเล็กที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งหากไม่รีบรักษาให้หาย มันจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะกระจายไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จากนั้นในระยะที่สาม โรคซิฟิลิสจะไม่แสดงอาการออกมาสักเท่าไร และหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อถึงระยะสุดท้าย มันจะทำให้สมองติดเชื้อ หูหนวก และตาบอดเลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม

Report by www.livcapsule.com


40
Clinic สุด Seed / 3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการตรวจเอชไอวี
« เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2015, 12:48:44 »
ขั้นแรก : ลงทะเบียน และรับบริการให้คำปรึกษา "ก่อน" การตรวจเลือด
เมื่อท่านเดินทางมาถึงคลีนิคนิรนาม (ไม่ต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า) เพียงไปที่ช่องลงทะเบียน กรอกแบบฟอร์ม และนำไปให้เจ้าหน้าที่ พร้อมบัตรประชาชน พร้อมจ่ายเงิน 20 บาทค่าทำบัตร จากนั้นจะได้รับบัตรคิว ข้อมูลของท่านที่ลงทะเบียนน้ันจะถูกเก็บเป็นความลับ และเมื่อถึงคิวของท่าน เจ้าหน้าที่จะเชิญท่านเข้าไปในห้องให้คำปรึกษา เจ้าหน้าที่จะสอบถามและให้คำปรึกษา "ก่อน" ที่จะตรวจเลือด ข้อมูลจากการสอบถามพูดคุยจะถูกเก็บเป็นความลับ และไม่มีการตัดสินใดๆ จากเจ้าหน้าที่ ถึงความประพฤติหรืออัตลักษณ์ ดังนั้น ท่านจึงสบายใจได้และสามารถตอบคำถามตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ตัวท่านเอง ท่านควรใช้โอกาสนี้ ในการพูดคุยถึงข้อสงสัยในใจ เพื่อเราจะสามารถป้องกันและรู้ทันในอนาคต ขั้นตอนการให้คำปรึกษาประมาณ 10 นาที ส่วนคิวนั้น แล้วแต่จำนวนผู้มาเข้ารับบริการ

ขั้นที่สอง : การตรวจเลือด
สำหรับการตรวจเลือด เจ้าหน้าที่จะเชิญท่านไปนั่งรอที่หน้าห้องตรวจ จนกว่าคิวของท่านจะถูกเรียก และเมื่อถึงคิวของท่านแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะทำการเจาะเลือดที่แขนด้านในใส่หลอด โดยไม่มีการเขียนชื่อ แต่จะเป็นการระบุหมายเลข อุปกรณ์และเข็มจะใช้ของใหม่ทั้งหมด เจ้าหน้าที่มีความชำนาญ เจาะอย่างรวดเร็วและไม่เจ็บตัว จบด้วยการปิดสำลีที่แขนของท่าน และขั้นตอนนี้จะใช้เวลาเพียง 3 นาที

ขั้นสุดท้าย : รับผลเลือด และรับคำปรึกษา "หลัง" การตรวจ
ประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากการเจาะเลือด ท่านสามารถมายื่นบัตร รอรับผลได้ โดยเจ้าหน้าที่จะเชิญเข้าไปพบเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาท่านเดิม เพื่อรับผล โดยท่านจะเลือกรับผลแบบพิมพ์หรือไม่พิมพ์ผลออกมาก็ได้ และเจ้าหน้าที่จะคุยกับท่านอีกเพื่อแนะนำการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย

ข้อสำคัญของระยะฟักตัว ก่อนมาเข้ารับบริการ
ช่วงระยะเวลาระหว่างการติดเชื้อเอชไอวี และเวลาที่แอนติบอดีในร่างกายต้านเชื้อเอชไอวี ที่สามารถตรวจเลือดหาเชื้อได้นั้น เราเรียกว่า ระยะฟักตัว
99% ของผู้มีเชื้อเอชไอวี ร่างกายจะต้านเชื้อและปรากฏให้เห็นการการตรวจ หลังจากระยะเวลา 3 เดือนไปแล้ว อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน เรามีการตรวจแอนติบอดี ที่มีประสิทธิภาพกว่าเมื่อก่อน
ดังนั้น เราจะสามารถตรวจหาเชื้อได้ภายในเวลา 30 วัน หลังจากได้รับเชื้อเอชไอวี ดังนั้น หากท่านมีความเสี่ยงและอยากเข้ามารับการตรวจ ก็สามารถมาได้เลยในช่วงเดือนแรก แต่ว่าจะต้องมาตรวจซ้ำอีกครั้งหลัง 3 เดือนไปแล้ว

สำคัญที่สุด คือ ณ ตอนนี้ คลีนิคนิรนาม เปิดให้บริการการตรวจ "แนท" ที่สามารถตรวจหาเชื้อได้เลย หลังจากรับเชื้อหรือมีความเสี่ยงมา 5 วัน เท่านั้น! อยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ "แนท"
ข้อชี้แจงในการรับบริการตรวจเลือด
คลีนิคนิรนาม สภากาชาดไทย ขอชี้แจงกระบวนการรับบริการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี และวิธีการตรวจเลือด ดังนี้
1. ผู้มารับบริการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีทุกรายที่คลีนิคนิรนาม สภากาชาดไทย จะได้รับการให้คำปรึกษาแนะนำก่อนการตรวจเลือดเพื่อประเมินความเสี่ยงและทำ การตัดสินใจรับการตรวจเลือด หากผู้มารับบริการตัดสินใจตรวจ จะได้รับการเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจด้วยวิธี 4th generation enzyme immunoassay  หรือ EIA ซึ่งจะตรวจจับภูมิหรือแอนติบอดี้ (antibody) ต่อเชื้อเอชไอวี ร่วมกับตรวจจับชิ้นส่วนของเชื้อหรือแอนติเจน (antigen) พร้อมกันไปด้วย จึงมีความไวมากกว่าการตรวจด้วยวิธี EIA รุ่นก่อนๆ และสามารถตรวจพบผลบวกได้หลังมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อมาประมาณ 3 สัปดาห์ขึ้นไป โดยผู้มารับบริการจะทราบผล 4th generation EIA ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหลังเจาะเลือด
2. หากผลการตรวจ 4th generation EIA เป็นลบ ผู้มารับบริการจะได้รับการแจ้งผลลบของ 4th generation EIA ในระหว่างการให้คำปรึกษาแนะนำหลังการตรวจเลือด เพื่อวางแผนร่วมกันให้ผลเลือดเป็นลบตลอดไป และจะได้รับการแจ้งว่าจะมีการนำตัวอย่างเลือดที่เก็บไว้ไปทำการตรวจด้วยวิธี แนท (NAT หรือ nucleic acid testing) ต่อไป ซึ่งวิธี NAT จะตรวจจับสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี จึงมีความไวมากกว่าการตรวจด้วยวิธี EIA และสามารถตรวจพบผลบวกได้หลังมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อมาประมาณ 5 วันขึ้นไป โดยหากผู้มารับบริการยินดีให้เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ไว้กับทางคลีนิ คนิรนาม ก็จะได้รับการโทรศัพท์แจ้งให้กลับมาที่คลีนิคนิรนามหากผล NAT เป็นบวก และจะมีการตรวจเลือดเพื่อวัดปริมาณ viral load (ไวรัลโลด) ยืนยันอีกครั้งด้วย หากผล NAT เป็นลบจะไม่ได้มีการโทรศัพท์แจ้งกลับไป นอกจากนี้ ผู้มารับบริการอาจเลือกที่จะโทรศัพท์มาถามผล NAT ด้วยตัวเองก็ได้ โดยจะสามารถทราบผลได้ตั้งแต่ 1-2 วันหลังการมาตรวจครั้งแรก ที่ผ่านมา พบมีผู้มารับบริการของคลีนิคนิรนามที่ผล 4th generation EIA เป็นลบ แต่ผล NAT เป็นบวก ซึ่งแปลว่าเป็นผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเอชไอวีในระยะเฉียบพลัน ประมาณ 4 ใน 1000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
3. หากผลการตรวจ 4th generation EIA เป็นบวก ผู้มารับบริการจะได้รับการแจ้งผลบวกครั้งแรกจาก 4th generation EIA และจะได้รับการเจาะเลือดซ้ำอีกครั้ง เพื่อนำไปตรวจด้วยวิธี rapid test อีก 2 วิธี หากผล rapid test อย่างน้อย 1 วิธี หรือทั้ง 2 วิธีเป็นบวก ผู้มารับบริการจะได้รับการแจ้งยืนยันผลบวกในระหว่างการให้คำปรึกษาแนะนำหลัง การตรวจเลือด เพื่อวางแผนการรับการดูแลรักษาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีต่อไป และจะได้รับการแจ้งว่าจะมีการนำตัวอย่างเลือดที่เก็บไว้ไปทำการตรวจด้วยวิธี EIA รุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งจะมีความไวน้อยกว่า 4th generation EIA โดยหากผล EIA รุ่นก่อนหน้านี้ยังเป็นลบอยู่ แปลว่าเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มสร้างแอนติบอดีและยังเป็นผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเอ ชไอวีในระยะเฉียบพลันอยู่ (ถึงแม้จะไม่เฉียบพลันเท่าผู้ที่ผล 4th generation EIA เป็นลบ แต่ผล NAT เป็นบวกก็ตาม) ผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเอชไอวีในระยะเฉียบพลันจะได้รับการ ติดต่อกลับไปทางโทรศัพท์หากได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ เพื่อให้กลับมารับคำปรึกษาแนะนำเพิ่มเติมสำหรับต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก adamslove.org และ คลีนิกนิรนาม

Report by www.livcapsule.com


41
Clinic สุด Seed / โรคเริมที่ปาก Herpes labialis
« เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2015, 20:02:33 »
โรคเริมที่ปาก Herpes labialis
เป็นการติดเชื้อไวรัส herpes ที่ริมฝีปาก โดยจะมีตุ่มใสที่ริมฝีปาก เหงือก จะมีอาการปวด
เริมที่ปาก herpes labialis
เป็นการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes โดยมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆเล็ก บริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อครั้งแรก อาจจะไม่มีอาการหรือเกิดตุ่มใส เชื้อนั้นจะไปยังปมประสาท และอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนมีภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะแบ่งตัว และทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด หายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใส อาจมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากนำมาก่อนได้ในผู้ป่วย บางรายอาการครั้งแรกจะรุนแรง มีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด ถูกแสงแดด ฯลฯ เชื้อไวรัสนี้จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคเป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่ในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้
การติดต่อ
การติดต่อเชื้อนี้จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงเช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมกัน เช่น การใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากได้รับเชื้อ 7-10 วันจะเริ่มเกิดอาการแสบร้อนและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย
อาการ
o   เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน คันๆบริเวณปากก่อนเกิดผื่น 2 วัน
o   ต่อมาเกิดตุ่มใสที่ปากหรือริมฝีปาก ตุ่มอาจจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
o   อาจจะมีไข้ต่ำๆ
การวินิจฉัย
o   จากลักษณะเฉพาะของผื่น
o   จากการเพาะเชื้อ
o   จาการตรวจ Tznack test
การรักษา
o   เมื่อเกิดอาการครั้งแรกในระยะตุ่มน้ำใส ควรรับไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยถูกต้องแน่นอน ซึ่งอาจได้รับยาที่ช่วยให้อาการระยะเฉียบพลันดีขึ้น
 
o   รักษาความสะอาดของร่างกายรวมทั้งล้างมือให้สะอาดทันทีหลังจับต้องแผล เพราะอาจจะนำเชื้อไปสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้
 
o   หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น เช่น การจูบ ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำเพาะมีโอกาสติดเชื้อง่าย
 
o   ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
o   ให้ทำความสะอาดผื่นด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ
o   การรับประทานยาฆ่าเชื้ออาจจะทำให้หายเร็วขึ้น
โรคแทรกซ้อน
o   ตาบอดได้หากเชื้อนี้เกิดที่ตา
o   เชื้อนี้แพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง
o   มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผื่น
o   มีการกลับเป็นซ้ำของผื่น
o   ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้อนี้อาจจะทำให้เสียชีวิต
การป้องกัน
o   ระวังการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นเริมและยังมีผื่นในระยะติดต่อ
o   อย่าใช้ของร่วมกัน
o   หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก HealthFood

Report : LIV Capsule

42
โรคหนองใน และสาเหตุการเกิดโรค

          โรคหนองใน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โรคหนองในแท้ หรือ โกโนเรีย (Gonorrhoea) เกิดจากการติดเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีรูปร่างค่อนข้างกลม อยู่กันเป็นคู่หันด้านเว้าเข้าหากัน ดูคล้ายเมล็ดกาแฟหรือเมล็ดถั่ว ย้อมสีแกรมติดสีแดง เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก Mucous Membrance เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา คอ เป็นต้น โดยเชื้อนี้มีระยะฟักตัวเร็ว คือประมาณ 1-10 วัน

          ส่วน โรคหนองใน อีกประเภท คือ โรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethritis) หรือ NSU เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อโรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่หนองในแท้

 การติดต่อ โรคหนองใน
          โรคหนองใน ไม่ว่าจะ โรคหนองในแท้ หรือ โรคหนองในเทียม สามารถติดต่อกันจากการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอด หรือทางทวารหนัก รวมทั้งหากมีการร่วมเพศทางปาก ก็อาจทำให้ติดโรคที่ลำคอได้
          นอกจากนี้ โรคหนองในเทียม ยังเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ , การอักเสบของต่อมลูกหมาก, ท่อปัสสาวะตีบ, การอักเสบของหนังหุ้มอวัยวะเพศ หรือการใส่สายสวนปัสสาวะ
          ส่วนการจับมือ หรือนั่งฝาส้วมเดียวกัน ไม่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อ หนองใน ได้เนื่องจากเชื้อโรคชนิดนี้ เมื่อออกจากร่างกายคนแล้วจะตายค่อนข้างง่าย ดังนั้นโอกาสที่จะติดต่อกันทางอื่น นอกจากทางเพศสัมพันธ์เป็นไปได้ยากกว่า

 อาการของผู้ป่วย โรคหนองใน
           ผู้ชาย : ในผู้ชายที่เป็น หนองใน จะมีอาการปัสสาวะขัดอย่างรุนแรง และมีหนองสีเหลืองข้น ไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ มักเกิดอาการหลังรับเชื้อไปแล้ว 2-5 วัน ถ้าไม่รักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลุกลามไปยังต่อมลูกหมาก ทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ฯลฯ ซึ่งทำให้เป็นหมันได้
           ผู้หญิง :  ในผู้หญิงที่เป็น หนองใน ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ จนกระทั่ง 10 วันไปแล้ว จะมีอาการตกขาว มีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะแสบขัด เพราะเกิดการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ และปากมดลูก ถ้าไม่รีบรักษาเชื้อโรคจะลุกลาม ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ต่อมบาร์โธลินอักเสบ เป็นฝีบวมโต การอักเสบในอุ้งเชิงกราน ปีกมดลูกอักเสบ การอุดตันของท่อรังไข่ ซึ่งทำให้เป็นหมันหรือตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ นอกจากนี้ หากหญิงมีครรภ์เป็น โรคหนองใน เวลาคลอดอาจทำให้เด็กทารกติดเชื้อเกิดอาการตาอักเสบได้ และหากรักษาไม่ทัน จะทำให้เด็กตาบอดได้
          ส่วนอาการของ หนองในเทียม จะคล้ายกับอาการผู้ป่วย หนองในแท้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า และระยะฟักตัวของ โรคหนองในเทียม จะนานกว่า โรคหนองใน

 การวินิจฉัย โรคหนองใน
          การวินิจฉัยว่าเป็น โรคหนองใน หรือไม่นั้น แพทย์จะนำหนอง หรือปัสสาวะ มาตรวจ PCR จากนั้นจะนำมาย้อมหาเชื้อ และนำไปเพาะเชื้อ เพื่อตรวจสอบ ทั้งนี้แพทย์จะนำการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคอื่น ๆ ร่วมด้วย
          ส่วนการวินิจฉัย โรคหนองในเทียม จะต้องอาศัยการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการมาร่วมด้วย

 การรักษา โรคหนองใน
          ผู้ที่เป็น โรคหนองใน มักจะเป็น โรคหนองในเทียม ด้วย ดังนั้นจึงต้องรักษาอาการไปพร้อม ๆ กัน โดยการใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin และ Quinolone อาจเป็นชนิดรับประทานหรือชนิดยาฉีด ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Cefixime, Ceftriaxone, Ciprofloxacin, Ofloxacin, Levofloxacin เป็นต้น
          ทั้งนี้ การรักษา หนองใน จะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ที่จะต้องรับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่ง และปฏิบัติตน รวมทั้งตรวจซ้ำตามแพทย์แนะนำ และหากใครเป็น โรคหนองใน ควรพาคู่สามี และภรรยา ไปตรวจรักษาด้วย

 โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ
          ในผู้ชาย อาจเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ คือ
            การอักเสบของอัณฑะ Epididymitis ซึ่งหากไม่รักษาอาจจะทำให้เป็นหมัน
            ข้ออักเสบ Reiter's syndrome (arthritis)
            เยื่อบุตาอักเสบ Conjunctivitis
            ผื่นที่ผิวหนัง Skin lesions
            หนองไหล Discharge

          ส่วนผู้หญิง อาจมีอาการดังต่อไปนี้
            อุ้งเชิงกรานอักเสบPelvic Inflammatory Disease (PID)อาจจะทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก
            ปวดท้องน้อยเรื้อรัง Recurrent PID อาจจะทำให้เป็นหมัน
            ท่อปัสสาวะอักเสบ Urethritis
            ช่องคลอดอักเสบ Vaginitis
            แท้ง Spontaneous abortion (miscarriage)

 การป้องกัน โรคหนองใน
          การป้องกัน โรคหนองใน ที่ดีที่สุด คือ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ หากมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่า มีเชื้อหรือไม่ ให้สวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันตัวเอง นอกจากนี้ ควรมีสามีหรือภรรยาเพียงคนเดียว หรือลดปัจจัยเสี่ยงในการติดต่อ โรคหนองใน และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม

Report by www.livcapsule.com



43
โอกาสเสี่ยงของการรับเชื้อเอชไอวี จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับปัจจัยอะไรบ้าง

          ถ้าเราจะเสี่ยงต้องมี 3 องค์ประกอบครบถ้วนคือ

          1. ต้องได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยต้องมาจากแหล่งที่มีปริมาณเชื้อมากพอที่จะทำให้ติด ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด

          2. เชื้อที่จะทำให้ติดต่อได้นอกจากเรื่องปริมาณแล้วเชื้อต้องมีคุณภาพและแข็งแรง เช่น ในเลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด มีสภาพที่พอเหมาะที่จะทำให้ เชื้อเติบโตได้แต่ถ้าไปอยู่ในน้ำลาย น้ำตา เชื้อไวรัสจะอยู่ในสภาพที่ เป็นกรด เป็นด่าง ทำให้ ไม่มีคุณภาพ เติบโตไม่ได้ หมดความสามารถที่จะทำ ให้ติดต่อได้

          3. ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัส ส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันหรือการร่วม เพศ ซึ่งเป็นการส่งต่อเชื้อกันโดยตรงเช่นในกรณีการร่วมเพศ ถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุช่องคลอด หรือถ้าผู้หญิงมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกาย ทางเยื่อบุ ที่ปลายและเยื่อบุในท่อปัสสาวะของ องคชาติ และต้องดูโอกาสความเป็นไป ได้ที่จะเกิดขึ้นจริงด้วย

          คนส่วนใหญ่จะกังวลกับการติดเชื้อเอชไอวี จากช่องทางที่ไม่มีหรือมีโอกาสเสี่ยงน้อยมากๆ และมักจะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เช่นการช่วยคนประสบอุบัติเหตุ การสัมผัสกับเลือดตามแต่จะสมมติกัน แต่มักจะไม่คิดถึงช่องทางที่ทำให้ ติดเอดส์จากวิถีชีวิตและพฤติกรรมทางเพศที่กระทำอยู่เป็นประจำ ทั้งที่มี ข้อมูลยืนยันชัดเจนว่ากว่า 80เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ติด จากการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้ป้องกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก icare.kapook.com

Report by www.livcapsule.com


44
Clinic สุด Seed / หูดหงอนไก่ในลำคอ
« เมื่อ: 28 ตุลาคม 2015, 12:31:26 »
หูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ติดกันง่ายมาก พบมากถึงร้อยละ 1 ในประชากร โดยเฉพาะในคนวัย 20-24 ปี ร้อยละ 90 เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีชนิดที่ 6 และ 11 โรคนี้จากการตรวจเชื้อพบว่าผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย แต่พบว่าผู้ชายออกหูดหงอนไก่มากกว่าผู้หญิง นั่นหมายความว่าคนติดเชื้ออาจจะไม่ออกหูดก็เป็นไปได้ นอกจากพบหูดหงอนไก่ที่ปากมดลูก      ช่องคลอด อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก รอบๆ ทวารหนัก ในหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีเชื้อหูดหงอนไก่แล้ว ยังพบหูดหงอนไก่ที่รอบๆ ทวารหนัก และในทวารหนักในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังกับคนที่เป็นหูดหงอนไก่ นอกจากนั้นยังพบหูดหงอนไก่ที่ริมฝีปาก ช่องปาก ต่อมทอนซิล ลำคอ กล่องเสียงและหลอดลม ในคนที่ทำรักด้วยปากกับคนที่มีเชื้อ และในทารกที่คลอดทางธรรมชาติจากมารดาที่เป็นหูดหงอนไก่
หลังจากสัมผัสหูดหงอนไก่ผ่านเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะติดโดยการแนบผิวหนังต่อผิวหนัง หรือติดจากเชื้อหูดหงอนไก่ที่อยู่ในน้ำเมือกของช่องคลอดหรือน้ำอสุจิ หูดหงอนไก่จะแทรกซึมเข้าไปในผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณที่ชื้นและเยื่อบุ มันจะฝังตัวอยู่ในนั้น นานเป็นเดือนเป็นปีหรือหลายๆ ปี ร้อยละ 70 ของคนที่สัมผัสเชื้อหูดหงอนไก่ จึงมีอาการของหูดหงอนไก่
การวินิจฉัยหูดหงอนไก่ ต้องไปพบแพทย์ ในบางรายอาจไม่มีอาการใดๆ ในบางรายอาจคัน เจ็บ มีเลือดออก คลำเจอหูด ฯลฯ หากสงสัยว่าเป็นหูดหงอนไก่เป็นในลำคอ ควรไปพบแพทย์หูคอจมูก แพทย์สามารถวินิจฉัยจากลักษณะของหูดหงอนไก่ซึ่งอาจจะเป็นแฉกๆ ขรุขระขึ้นเป็นชั้นๆ เหมือนหงอนไก่หรือกะหล่ำดอก หรือเป็นหูดหงอนไก่ชนิดแบนราบ สีของหูดหงอนไก่นั้นส่วนใหญ่สีชมพู แดง ดำ หรือสีเนื้อ หากมองไม่เห็นชัดการใช้ 5% น้ำส้มสายชูทา จะเห็นหูดหงอนไก่เป็นสีขาวเด่นชัด หากลักษณะของก้อนเนื้อที่เห็นไม่สามารถวินิจฉัยว่าเป็นหูดหงอนไก่ แพทย์อาจตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจยืนยันทางพยาธิวิทยา
หากเป็นหูดหงอนไก่ในช่องปาก ต่อมทอนซิล ลำคอ กล่องเสียง หลอดลม ในลำไส้ส่วนทวารหนัก อาจใช้การผ่าตัด หรือจี้ทำลายหูดหงอนไก่ด้วยความร้อนหรือความเย็น

ข้อมูลที่สำคัญสำหรับบุคคลที่มีเพศสัมพันธ์ทางปาก
 ทุกคนสามารถประเมินความเสี่ยงของตนเอง โดยใช้หลักการของการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งหมด 4 ประการ ซึ่งการติดเชื่อจะต้องมีครบทุกองค์ประกอบดังนี้
 
1.   ทางออก : เชื้อเอชไอวีต้องออกจากร่างกายของผู้ที่ติดเชื้ออยู่แล้ว โดยทั่วไปผ่านทาง เลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวในช่องคลอด
2.   การอยู่รอด : ร่างกายมีสภาวะเหมาะสมสำหรับเชื้อ แต่เมื่อออกจากร่างกายเชื้อจะไม่ สามารถอยู่รอดได้ในระยะเวลานาน
3.   ปริมาณ : จะต้องมีปริมาณเชื้อที่มากพอที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อ
4.   ทางเข้า : เชื้อเอชไอวีจะต้องมีทางเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อก่อให้เกิดการติดเชื้อ
 
การใช้ปากกับอวัยวะเพศชายโดยไม่สวมถุงยาง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสี่ยงหรือไม่?
ฝ่ายที่ใส่อวัยวะเพศเข้าไปในปากของอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเสี่ยง ฝ่ายที่ใช้ปากมีความเสี่ยงต่ำถึงเสี่ยงปานกลางต่อการติดเชื้อเอชไอวี
 
   ฝ่ายที่ใส่อวัยวะเพศเข้าไปในปากของอีกฝ่ายหนึ่ง
ทางออก: เชื้อเอชไอวีสามารถออกมากับน้ำลายของฝ่ายที่ใช้ปากให้
เพียงพอ: ปริมาณเชื้อเอชไอวีในน้ำลายไม่เพียงพอที่จะทำให้ติดเชื้อได้
อยู่รอด: เชื้อเอชไอวีสามารถอยู่รอดได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
ทางเข้า: อาจไม่มีทางให้เชื้อเอชไอวีเข้าสู่กระแสเลือดถ้าไม่มีแผลที่อวัยวะเพศ
 
   ฝ่ายที่ใช้ปาก
ทางออก: เชื้อเอชไอวีสามารถออกมากับน้ำหล่อลื่นและน้ำอสุจิของฝ่ายที่เอาอวัยวะเพศ
ใส่เข้าไปในปากของอีกฝ่ายหนึ่ง
เพียงพอ: ปริมาณเชื้อเอชไอวีเพียงพอที่จะทำให้ติดเชื้อได้
อยู่รอด: เชื้อเอชไอวีสามารถอยู่รอดได้ในช่วงเวลาหนึ่งหากมีปริมาณมากพอ แต่หากมีปริมาณน้อยก็อาจจะถูกน้ำลายของอีกฝ่ายหนึ่งทำลายไปจนหมด
ทางเข้า: อาจไม่มีทางให้เชื้อเอชไอวีเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงแต่อาจเข้าได้หากมี แผลในปาก (เหงือกและเยื่อบุ)
อาจเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่อไปนี้
1.   หนองในแท้
2.   หนองในเทียม
3.   เริมที่อวัยวะเพศหรือปาก
4.   หูดหงอนไก่ (เชื้อไวรัส HPV)
5.   หูดข้าวสุก
6.   ซิฟิลิส
 
   สำหรับฝ่ายที่ใส่อวัยวะเพศ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ดังกล่าวสามารถอยู่รอดได้ในลำคอ หรือที่ริมฝีปาก ก็เป็นไปได้ที่จะติดเชื้อเหล่านี้จากฝ่ายกระทำ      (ฝ่ายที่ใช้ปากให้)
 
   ฝ่ายที่ใช้ปากให้
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อได้จากน้ำหล่อลื่นหรือสารคัดหลั่งที่ไหลออกมา
จากอวัยวะเพศชายก่อนการหลั่ง หากสงสัยว่าคู่นอนของคุณอาจติดโรคและไม่ได้สวมถุงยางอนามัยในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ก็ควรใช้วิธีหลั่งข้างนอกแทน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้อย่างมาก
 นอกจากนี้ควรจะรักษาสุขภาพเหงือกและภายในปากให้ดีและระวังอย่าให้มีบาดแผลหรืออย่าให้มีเลือดออกและไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทันทีหลังจากแปรงฟันหรือขัดฟันเพราะเหงือกกำลัง ระคายเคือง หากบริเวณอวัยวะเพศชายมีรอยโรคมีแผลเปิดหรือมีหนองไหลออกมาไม่ควรสอดใส่อวัยวะเพศชายเข้าไปในปากเพราะอาจจะติดโรคได้ การหลีกเลี่ยงโรคเริมที่อวัยวะเพศ หูดที่อวัยวะเพศ และหูดข้าวสุกอาจทำได้ยากเพราะโรคเหล่านี้มักไม่มีรอยโรคหรือมักมองไม่ค่อยเห็น เช่น หูดข้าวสุกมักเกิดขึ้นบริเวณหัวหน่าวและอาจถูกขนปกคลุมจนมองไม่เห็น หากปากไปสัมผัสกับหูดนี้ไม่ว่าจะมองเห็นได้ด้วยตาหรือไม่ก็ตามก็สามารถติดเชื้อได้
สรุปบทความหูดหงอนไก่
   การออรัลเช็กช์สามารถติดเชื้อหูดหงอนไก่ได้ไหม
ตอบ สามารถติดเชื้อได้
   การออรัลเช็กช์สามารถติดเชื้อหูดหงอนไก่บริเวณไหนได้บ้าง
ตอบ อาจติดเชื้อที่ริมฝีปาก ช่องปาก ต่อมทอนซิล ลำคอ กล่องเสียง และหลอดลม
   หูดหงอนไก่จะแสดงอาการออกมาหลังจากได้รับเชื้อมาตอนไหน
ตอบ หูดหงอนไก่มีระยะฟักตัว ประมาณ 1 ถึง 6 เดือน หลังรับเชื้อมาแล้ว บางราย 1 สัปดาห์ก็แสดงอาการ บางรายเป็นเดือน ค่อยแสดงอาการ แต่หลายรายก็ไม่แสดงอาการเลยก็มี
   หูดหงอนไก่มีลักษณะอย่างไร ในกรณีที่ขึ้นบริเวณช่องปาก และ ลำคอ
ตอบ ลักษณะอาจจะเป็นแฉกๆ ขรุขระขึ้นเป็นชั้นๆ เหมือนหงอนไก่หรือกะหล่ำดอก หรือเป็นหูดหงอนไก่ชนิดแบนราบ สีของหูดหงอนไก่นั้นส่วนใหญ่สีชมพู แดง ดำ หรือสีเนื้อ หากสงสัยว่าเป็นหูดหงอนไก่ในลำคอ ควรไปพบแพทย์หูคอจมูก แพทย์สามารถวินิจฉัยจากลักษณะของหูดหงอนไก่ได้
   การรักษาหูดหงอนไก่สามารถหายเองได้ไหม และการรักษาควรรักษาด้วยวิธีใด
ตอบ หูดหงอนไก่ในบางคนอาจหายไปเองได้แต่เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ต้องรักษาซึ่งมีหลายวิธี เช่น ใช้ยาทา สารเคมีจี้ ใช้ไฟฟ้าจี้ หรือผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาโดยคำนึงถึงอาการของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก warts59.wordpress.com

Report by www.livcapsule.com

45
โรคนี้คือ ภาวะที่มีการอักเสบของส่วนปลายของอวัยวะเพศชาย (ส่วนหัว) โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ช่วงอายุของผู้ชาย โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการติดเชื้อราแคนดิด้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการมีสิ่งระคายเคืองบริเวณส่วนปลายของอวัยวะเพศดังกล่าว หรือเกิดจากโรคผิวหนังบางอย่างเป็นสาเหตุเป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็สามารถรักษาให้หายได้

โรคนี้เป็นภาวะที่มีการอักเสบที่ส่วนหัว หรือส่วนปลายของอวัยวะเพศชาย และโดยมากหนังหุ้มปลายที่บริเวณใกล้เคียงบริเวณที่อักเสบดังกล่าวก็มักจะอักเสบด้วย

โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก และพบได้ในทุกช่วงอายุของผู้ชาย แต่จะพบบ่อยมากในเด็กชายที่อายุต่ำกว่า 4 ปี และผู้ใหญ่ชายที่ไม่ได้รับการขลิบหนังหุ้มปลายของอวัยวะเพศ โรคนี้พบได้น้อยมากในผู้ชายที่ได้รับการทำการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศแล้ว

โรคนี้มีอาการอย่างไร
อาการที่พบบ่อยของโรคนี้ก็คือ อาการแดง ระคายเคือง และปวดที่บริเวณหัวของอวัยวะเพศชาย บางรายก็มีอาการแค่จุดเล็กๆ บางรายก็มีอาการมากคือเป็นทั้งหัวของอวัยวะเพศเลยก็มี และมีอาการแดง บวม และเจ็บปวดมากก็ได้ บางครั้งอาจจะมีหนองหรือน้ำเหลืองข้นๆ ออก มาจากบริเวณที่มีการอักเสบด้วย คนไข้อาจจะไม่สามารถถลกหนังหุ้มปลาย ของอวัยวะเพศลงกลับคืนได้ เพราะเจ็บ และบางครั้งอาจจะมีภาวะเจ็บปวดเวลาปัสสาวะได้ด้วย

อะไรเป็นสาเหตุของโรคนี้
โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
•   การมีสุขอนามัยที่ไม่ดี
•   การมีสุขอนามัยที่ไม่ดีร่วมกับ การมีหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศที่ไม่เปิดหรือแน่นเกินไป ตามปกติบริเวณหัวของอวัยวะเพศ บริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศจะมีการสร้างสารสีขาวๆ เหมือนเนยเป็นก้อนๆ ขึ้นมาเราเรียกสิ่งนี้ว่า ขี้เปียก หรือ Smecma Smecma นี้ตามปกติในคนที่หนังหุ้มปลายเปิดและมีการล้างทำความสะอาดหัวอวัยวะเพศอยู่ เป็นประจำเราจะไม่พบเหลือให้เห็น แต่ในคนที่ยังมีมันเหลืออยู่และมีสุขอนามัยไม่ดี ก็จะเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ แต่มักจะเป็นการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อที่ไม่ใช่เชื้อโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ เชื้อโรคบางชนิดจะมี และอยู่อาศัยอยู่ที่บริเวณปลายอวัยวะเพศอยู่ตามปกติ แต่ในปริมาณน้อยๆ เช่นเชื้อราแคนดิด้า แต่ถ้ามีภาวะหมักหมมสกปรกจะทำให้เชื้อเพิ่มปริมาณขึ้นมาก และเกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้
•   เชื้อแบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อให้เกิดการอักเสบที่หัวของอวัยวะเพศชาย ได้ และผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อพวกนี้ได้ แต่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ถ้ามีภาวะที่มีการอักเสบที่เกิดจากการแพ้ หรือระคายเคืองอยู่ก่อนแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานและ มีการควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ดี ทำให้มีน้ำตาลในปัสสาวะสูง น้ำตาลในปัสสาวะที่เลอะเทอะที่ปลายอวัยะเพศ จะเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อแบคทีเรียทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
•   โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดสามารถ ก่อให้เกิดโรคอักเสบที่หัวของอวัยวะเพศชายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดท่อปัสสาวะอักเสบ เช่น โรคเริมจากเชื้อ Herpes, การติดเชื้อ Clamydia, การติดเชื้อ Gonorrhoea อาการของท่อปัสสาวะอักเสบก็คืออาการแสบท่อปัสสาวะขณะที่ปัสสาวะ หรือมีหนองออกมาจากท่อปัสสาวะ
•   ภาวะภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง ผิวหนังบริเวณหัวของอวัยวะเพศนั้นค่อนข้างบอบบาง และง่ายแก่การกระตุ้นให้แพ้ เมื่อโดนกับสารเคมีหรือสารบางอย่าง จะเกิดภาวะการอักเสบขึ้นได้ เช่น ถ้าเราไม่ถลกหนังหุ้มปลายขึ้นเพื่อล้างส่วนที่อยู่ใต้ต่อหนังหุ้มปลาย ของอวัยวะเพศ เซลล์ผิวหนังเก่าๆ ที่หลุดลอก น้ำปัสสาวะที่เลอะเทอะ และเศษเนื้อเยื่อต่างๆ ที่ตายแล้ว เหงื่อ จะหมักหมมสะสมอยู่บริเวณนั้น และระคายเคืองต่อหัวของอวัยวะเพศ ทำให้เกิดการอักเสบได้
สบู่บางชนิด หรือสารที่ใช้ทำความสะอาดผิวบางอย่าง อาจจะระคายเคืองผิวที่หัวของอวัยวะเพศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการล้างหรือฟอกมากจนเกินไป
•   ถุงยางอนามัย, สารฆ่าเชื้ออสุจิในถุงยางอนามัย, สารหล่อลื่นในถุงยางอนามัย, หรือสารหล่อลื่นที่ใช้ต่างหากระหว่างร่วมเพศ อาจจะระคายเคืองต่อหัวของอวัยวะเพศได้
•   สารเคมีอื่นๆ ที่อาจจะระคายเคืองหัวของอวัยวะเพศได้อีก เช่น น้ำยาฟอกทำความสะอาดมือที่ติดที่มือแล้วเราล้างออกไม่หมด แล้วเราเผลอไปจับอวัยวะเพศในขณะที่เข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ หรือสารเคมีที่ใช้ใส่ผ้าให้นุ่มขณะที่ซักผ้าที่ยังตกค้างอยู่ที่ผ้า เพราะล้างออกไม่หมด แล้วยังติดอยู่ที่กางเกงในเมื่อสัมผัสกับอวัยวะเพศก็จะเกิดการอักเสบและ ระคายเคืองได้
•   โรคผิวหนังบางอย่างอาจจะก่อให้เกิดโรคหัวของอวัยวะเพศชายอักเสบได้ หรือ อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่า เป็นโรคที่เกิดที่หัวของอวัยวะเพศชายอักเสบโดยตรง โดยไม่ใช่โรคผิวหนังชนิดนั้นก็ได้เช่น โรคสะเก็ดเงินที่เกิดรอยโรคที่อวัยวะเพศ
เราจะวินิจฉัยโรคหัวของอวัยวะเพศชายอักเสบได้อย่างไร?
การวินิจฉัยโรคนี้มักจะค่อนข้างง่าย เพราะเราจะเห็น รอยแดงและอักเสบที่ปลายของอวัยวะเพศ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบนั้น อาจจะต้องสืบหาต่อด้วยการตรวจแลปส์ หรือการตรวจพิเศษบางอย่างเพิ่มเติมเช่น การป้ายหนองไปตรวจหาเชื้อ หรือการตรวจเลือดของผู้ป่วยหาโรคเบาหวาน การตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ส่งปรึกษาแพทย์ทางด้านโรคผิวหนัง ถ้าสงสัยโรคผิวหนังที่จำเพาะเจาะจงในบางราย (แต่น้อยมาก) อาจจะจำเป็นต้องตัดชิ้นเนื้อของผิวหนังเพื่อไปตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษาโรคนี้
1.   หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ในขณะที่มีการอักเสบ และใช้ Emollient Cream หรือ Ointment ทำความสะอาดแทนสบู่
2.   ใช้น้ำอุ่นทำความสะอาดเบาๆ แล้วซับให้แห้งอย่างนุ่มนวล
3.   การรักษาจำเพาะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค เช่น ถ้าการอักเสบเกิดจากการติดเชื้อราแคนดิด้า การรักษาก็คือการใช้ยาฆ่าเชื้อรา ถ้าสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การรักษาจำเพาะก็คือ การใช้ยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดนั้นๆ ถ้าสาเหตุเกิดจากโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การรักษาก็คือ การใช้ยาที่จำเพาะต่อโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์นั้นๆ
4.   การใช้สเตอรอยด์ครีมอ่อนๆ ทาบริเวณที่อักเสบ ในกรณีที่สาเหตุของการอักเสบนั้นเกิดจากกลไกของการแพ้ หรือภูมิแพ้ แต่ในบางครั้งเราใช้ครีมที่มีสเตอรอยด์อ่อนๆ ผสมกับยาปฏิชีวนะทาในบริเวณที่อักเสบ เพื่อช่วยในการลดการอักเสบในระยะแรกๆ ของการรักษาได้ ในโรคที่มีการติดเชื้อใดๆ เป็นต้นเหตุ แต่เราจะไม่ใช้สเตอรอยด์เดี่ยวๆ ในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เพราะมันจะทำให้การติดเชื้อนั้นแย่ลง
5.   ถ้าท่านมีการอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศซ้ำบ่อยๆ และท่านมีภาวะหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่เปิด (Phimosis) แนะนำให้ทำการผ่าตัดขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศออก

การป้องกันโรคนี้
1.   ล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศอย่างสะอาดหมดจด (ถลกหนังหุ้มปลายลงเพื่อล้างด้านในด้วย) อย่างนุ่มนวลทุกครั้งที่อาบน้ำ และทำให้แห้งทุกครั้งก่อนที่จะใส่กางเกง
2.   ถ้าการอักเสบนั้นสัมพันธ์กับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัย หรือถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ใช้ชนิดที่ทำมาสำหรับผู้ที่มีผิวหนังแพ้ง่าย
3.   ล้างมือทุกครั้งก่อนจับอวัยวะเพศเพื่อปัสสาวะ ถ้าคุณทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่อาจจะระคายเคืองอวัยวะเพศ
4.   ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนใหม่ ที่อาจจะไม่แน่ใจว่าปลอดภัยจากเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก medicarezine.com

Report by www.livcapsule.com

46
1.   โรคหนองในเทียม (Chlamydia)
          โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศที่พบมากที่สุดในโลก ซึ่งโอกาสที่จะติดโรคนี้เกิดขึ้นได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ทั้งทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก โดยบางคนที่ติดเชื้อดังกล่าวอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะแสดงอาการ ซึ่งอาการของโรคหนองในเทียมในเพศชายที่เห็นได้ชัดคือ รู้สึกเจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะ มีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ และอัณฑะบวม อย่างไรก็ดี แม้พบว่าอาการต่าง ๆ หายไปแล้ว ก็ควรรีบรักษาให้หายขาด เพราะเชื้อโรคยังอยู่ในร่างกายและพร้อมจะกำเริบอยู่เสมอนั่นเอง
2.   โรคหนองในแท้ (Gonorrhoea)
          โรคหนองในแท้จะติดต่อกับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อ Neisseria Gonorrhoea อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด โดยผู้ชายส่วนใหญ่ที่ติดโรคนี้จะแสดงอาการออกมาให้เห็น แต่บางคนจะมีอาการทันที เช่น รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และอัณฑะอักเสบ ทั้งนี้ทั้งนั้น โรคหนองในแท้จะเกิดขึ้นพร้อมกับโรคหนองในเทียมเสมอ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดพร้อมกันทั้งสองโรคได้
3.   โรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส (Trichomoniasis)
ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ติดโรคพยาธิไตรโคโมนีเอซิส โดยมากจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลยในช่วงแรก แต่ในรายที่แสดงอาการ จะรู้สึกคันหรือแสบบริเวณอวัยวะเพศ มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ และทำให้เป็นโรคท่อปัสสาวะอักเสบด้วย
4.   โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
          เรียกได้ว่าเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) เป็นเชื้อที่น่ากลัวที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์นั่นเอง ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีก็คือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัย นอนกับคนที่ไม่ใช่คู่ของตน และเที่ยวสถานบริการ รวมถึงเด็กในครรภ์สามารถติดจากแม่ที่เป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้วได้ โดยเชื้อดังกล่าวจะแสดงอาการระยะแรกหลังจากติดเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ คือผู้ป่วยจะมีไข้สูงหรือรู้สึกเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่มันจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี ที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเสียหายทั้งหมด ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น วัณโรค มะเร็ง และความจำเสื่อม เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ช่วยชะลออาการของโรคนี้ได้
5.  โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Herpes)
          โรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Herpes Simplex Viruses ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคดังกล่าว เพราะมันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย อย่างไรก็ดี ผู้ชายมักจะพบตุ่มใส ๆ ขึ้นมากมายบริเวณต่าง ๆ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ก้น ถุงอัณฑะ ทวารหนัก ผิวหนังที่ขาอ่อน และภายในท่อปัสสาวะ รวมถึงโรคเริมที่ปากสามารถติดต่อด้วยการจูบได้ ทั้งนี้ โรคเริมเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ เพราะเชื้อของมันจะซ่อนในร่างกายและจะกำเริบขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ
6.  โรคหูดที่อวัยวะสืบพันธุ์ (Genital Warts)
          เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Human Papillomavirus ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อหรือสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อตัวนี้โดยตรง ซึ่งมีคนจำนวนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ติดเชื้อดังกล่าวหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการทั่วไปของโรคหูดที่เห็นได้ชัดเจนคือ แผลหูดจะมีลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อนูนและตะปุ่มตะป่ำเกิดขึ้นที่อวัยวะสืบพันธุ์หรือทวารหนัก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมียาที่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว หรือจะปล่อยให้มันหายเองก็ได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าการรักษาด้วยยา
7. โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B)
          โรคไวรัสตับอักเสบ บี เกิดจากเชื้อ Hepatitis B Virus ที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางและสัมผัสเลือดหรือของเหลวกับคนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งอาการทั่วไปของโรคไวรัสตับอักเสบ บี คือ ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ และทำให้เป็นโรคดีซ่านได้   
8. โรคซิฟิลิส (Syphilis)
          โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Pallidum ผ่านการร่วมเพศทางทวารหนัก ปาก หรือช่องคลอด ซึ่งระยะของโรคซิฟิลิสมี 4 ขั้น ได้แก่ ระยะแรกที่ติดเชื้อ จะมีแผลขนาดเล็กที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งหากไม่รีบรักษาให้หาย มันจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะกระจายไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จากนั้นในระยะที่สาม โรคซิฟิลิสจะไม่แสดงอาการออกมาสักเท่าไร และหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อถึงระยะสุดท้าย มันจะทำให้สมองติดเชื้อ หูหนวก และตาบอดเลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม

Report by www.livcapsule.com

47
Clinic สุด Seed / การติดเชื้อ HPV ในผู้ชาย
« เมื่อ: 22 ตุลาคม 2015, 13:02:42 »
Genital human papillomavirus (HPV) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด
เชื้อนี้ก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขค่อนข้างมาก โดยพบว่าการติดเชื้อบางชนิดจะมีความสัมพันธ์กับมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อนี้พบได้บ่อยในผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เพราะเชื้อนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธุ์
สำหรับผู้ชายการติดเชื้อชนิดนี้จะทำให้เกิดโรคหูดที่อวัยวะเพศ และที่ทวารหนัก
พบการติดเชื้อ HPV ในผู้ชายบ่อยแค่ไหน
•   ประมาณร้อยละ1 ของวัยเจริญพันธุ์จะเคยเป็นโรคหูดหนึ่งครั้ง
•   มะเร็งอวัยวะเพศชายพบได้น้อย โดยเฉพาะผู้ที่ได้ขลิบอวัยวะเพศแล้ว
•   มะเร็งที่ทวารหนักก็พบได้น้อย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะพบมะเร็งมากกว่าผู้ที่มีภูมิปกติ
ผู้ที่เป็นเกย์ หรือมีเพศสัมพันธุ์ทั้งชายและหญิง จะมีโอกาสเกิดมะเร็งได้สูงกว่าผู้ชายทั่วไป 17 เท่าถึงแม้ว่าจะพบการติดเชื้อได้บ่อยในผู้ชาย แต่ส่วนใหญ่ไม่เกิดอาการ และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่จะมีการติดเชื้อบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคหูด หรือมะเร็ง
อาการและอาการแสดงของโรคติดเชื้อ HPV ในผู้ชายเป็นอย่างไร
อาการของหูด
•   มีก้อนหูดขึ้นที่ หัวอวัยวะเพศ ผิวหนัง อัณฑะ
•   หูดอาจจะมีลักษณะเป็นเนื้อนูนขึ้นมาบางๆ หรือเป็นแบบหงอนไก่
•   หูดจะปรากฎขึ้นหลังสัมผัสเชื้อไม่กี่สัปดาห์
อาการของมะเร็งทวารหนัก
•   อาจจะไม่มีอาการอะไร
•   หรืออาจจะมาด้วยเรื่องเลือดออก คัน หรือมีกลิ่นเหม็นหรือน้ำเหลืองไหล
•   หรือมาด้วยเรื่องก้อนต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
•   หรืออาจจะมีอาการท้องผูก อุจาระมีขนาดเล็ก

อาการของมะเร็งอวัยวะเพศ
•   ผิวหนังจะซีดและหนาตัวขึ้นมา และมีก้อน
•   มีก้อนขึ้นมา และอาจจะมีแผล มักจะไม่เจ็บปวด
•   อาจจะไม่มีอาการจนกระทั่งมะเร็งลุกลามไปทั่ว
การติดต่อ
ผู้ชายจะได้รับเชื้อนี้จากการมีเพศสัมพันธุ์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก โชคไม่ดีที่ไม่มีการตรวจหาว่าใครติดเชื้อHPV ในระยะเริ่มต้น และก็ไม่มีการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นเหมือนมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นคุณผู้ชายต้องป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ HPV และมั่นตรวจหาว่ามีหูดขึ้นที่อวัยวะเพศหรือที่ทวารหนักหรือไม่
การรักษาโรคติดเชื้อ HPV
ยังไม่มียาที่รักษาการติดเชื้อ HPV การรักษาส่วนใหญ่ก็รักาาตามอาการ หากมีหูดก็เอาออกทั้งการใช้ยาจี้ หรือการผ่าตัดเหมือนของผู้หยิง
ใช้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่
ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าวัคซีนนี้สามารถได้ประโยชน์ในผู้ชาย ดังนั้นจึงไม่แนะนำ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Siamhealth

Report by www.livcapsule.com



48
 ภายหลังการได้รับเชื้อ ร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อ ในปัจจุบันในการวินิจฉัยว่า
ติดเชื้อหรือไม่ เราไม่ได้ตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจว่าร่างกายเรามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่ โดยการ
ตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody) ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้
รับเชื้อมาใหม่ ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง (ควรตรวจหลังจากเกิดความเสี่ยงแล้ว 3
เดือนขึ้นไป )

ภายหลังการรับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่ว ๆ ไป เช่น มีไข้ ผื่นตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการมักกินเวลาสั้น ๆ และหายไปได้เอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มี
อาการใด ๆ เลย
อาการข้างต้นจะเหมือนหรือคล้ายกับการติดเชื้อหวัด ทำให้บางรายไม่ได้สังเกตุ หรือบางรายอาจคิดว่าเป็นหวัด
ทั่วๆไป เลยทำให้การสังเกตุจากลักษณะอาการหลังการติดเชื้อเป็นไปได้ยาก

อาการของโรคติดเชื้อ HIV
อาการของการติดเชื้อ HIV จะมีความหลากหลายขึ้นกับระยะของโรค เนื่องจากเชื้อ HIVเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง
อาการของการติดเชื้อ HIV จะเหมือนอาการของไข้หวัดคือ มีไข้ ปวดศีรษะ มีผื่น อ่อนเพลีย เราไม่สามารถ
วินิจฉัยได้จากอาการ แม้ว่าผู้ได้รับเชื้อ HIV จะไม่มีอาการแต่เขาสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้  ฉนั้นผู้ที่มีพฤติกรรม
เสี่ยงควรได้รับการเจาะเลือด ในช่วงแรกของการติดเชื้อ HIV คุณอาจจะมีอาการดังต่อไปนี้
•   ต่อมน้ำเหลืองโต ตับม้ามโต มักจะเป็นอาการอันแรกของการติดเชื้อ
•   ท้องร่วง บางคนอาจจะเรื้อรัง
•   น้ำหนักลด.
•   มีไข้
•   ไอและหายใจลำบาก
  เมื่อไม่ได้รับการรักษาเชื้อก็จะแบ่งตัวเรื่อยและทำลายระบบภูมิคุ้มกันและกลายเป็นโรคเอดส์ซึ่งจะมีอาการดังนี้
•   เหงื่ออกกลางคืน
•   ไข้หนาวสั่น ไข้สูงเรื้อรัง
•   ไอเรื้อรังและหายใจลำบาก
•   ท้องร่วงเรื้อรัง
•   ลิ้นเป็นฝ้าขาว
•   ปวดศีรษะ
•   ตามัวลงหรือเห็นเป็นเส้นลอยไปมา
•   น้ำหนักลด
•   การติดเชื้อฉวยโอกาส
•   เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย
•   หากเป็นผู้หญิงก็มีอาการตกขาวบ่อย
•   เพลียและเหนื่อยง่าย
•   บางคนมีผื่นตามตัว
เชื้อไวรัสจะส่งผลให้ระดับเม็ดเลืดขาวที่เรียกว่าซีดีโฟร์ลดลงอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของเอชไอวี
เกิดขึ้น เช่นฝ้าในปาก ผึ่นคันตามตัว น้ำหนักลด โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200
cell/mm3
อัตราเฉลี่ยของประเทศไทยตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มป่วยใช้เวลา 7-10 ปี
ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายแต่ไม่ป่วยเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ยังควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรค
ที่เข้าสู่ร่างกายได้ เรียกว่า เป็นผู้ติดเชื้อ และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม
หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้น ๆ เรียกว่าเราเริ่มมี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เป็นผู้ป่วยเอดส์ โรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิบกพร่อง เรียกว่า โรคฉวยโอกาส

จริงๆแล้ว ไม่อยากให้ยึดอาการเริ่มต้นเมื่อได้รับเชื้อ ว่ามีอาการอย่างนั้นอย่างนี้แล้วสรุปได้เลยว่าได้รับเชื้อแล้ว
เพราะความเป็นจริงถึงแม้ข้อมูลทางวิชาการจะบอกไว้ว่า อาการเริ่มแรกเมื่อได้รับเชื้อไม่นาน ประมาณ 1-2 อาทิตย์จะมีอาการคล้ายๆไข้หวัด อันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ได้รับเชื้อจะต้องมีอาการอย่างนี้ทุกคน แล้วก็
ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีอาการอย่างนี้คือการเริ่มได้รับเชื้อ

เพราะอาการเหล่านี้เป็นอาการที่ไม่ใช่การชี้ชัด อาจจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่การรับเชื้อ เช่นอาจเป็นไข้หวัดจริง หรืออาจป่วยด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่การรับเชื้อ

อยากให้ยึดหลักการว่า การที่จะฟันธงว่าใครคนหนึ่งได้รับเชื้อ ควรดูจากผลการตรวจเลือดที่
3 เดือนเท่านั้น
เพราะการตรวจเลือดเนวิธีการที่ชัดเจน และแม่นยำ อีกทั้งยังไม่ทำให้เกิดความวิตกกังวลจนเกินไปของคนทั่วไป
ในระหว่างรอระยะเวลาให้สามารถตรวจหาภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัส HIV ได้นั้นช่วงนี้อาจเป็นข่วงที่เครียด
มากๆ ผลของความเครียดอาจทำให้เราเกิดความผิดปกติเล็กๆน้อยๆของสภาพร่างกาย บวกกับความวิตกกังวล
อาจเห็นว่าอาการนั้น อาการนี้ใกล้เคียงกับข้อมูลที่ได้รับมา ก็จะยิ่งทำให้เราติดอยู่ในกับดักความเครียดเข้าไปอีก
อยากให้พยายามใช้ความสงบเข้าไว้ครับ ใช้สมาธิมาเข้ามาเสริม พยายามทำให้ทุกอย่างดูเหมือนปกติเพราะ
วิตกกังวลไปก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ จะได้ไม่เสียสุขภาพจิตในระหว่างรอทำการตรวจ ในช่วงระหว่างนี้ให้
ระวังเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ หรือให้ใช้ถุงยางอนามัยเสมอเพื่อป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อน

อีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากรอนานจนถึง 3 เดือน ก็อาจจะเข้าไปขอให้แพทย์ช่วยตรวจหาตัวเชื้อไวรัส HIV
ให้แทน (ตรวจหาแอนติเจน) ซึ่งการตรวจหาแอนติเจนใช้ระยะเวลาหลังการเกิดความเสี่ยงไปแล้วประมาณ
1 เดือน ก็สามารถตรวจได้ แต่ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าการตรวจหาแอนติบอดีย์ทั่วๆไปแต่สุดท้ายก็ต้องมาตรวจหา
แอนติบอดีย์อีกเมื่อครบ 3 เดือนอีกครั้ง

Report : www.livcapsule.com


49
ลดความเข้าใจผิดเรื่อง ออรัลเซ็กซ์ ชี้หากทำแล้วอันตรายเสี่ยงโรคมะเร็ง หรือ ติดเชื้อ HPV เท่ากัน
นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเตือนว่า ผู้ที่ทำ ออรัลเซ็กซ์ กับคู่นอนมากกว่า 5 คนขึ้นไปมีโอกาสเป็นมะเร็งในลำคอทั้งชายและหญิง เหตุจากออรัลเซ็กซ์ แพร่กระจายเชื้อไวรัส ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เรียกว่า Human papillomavirus หรือ เชื้อHPV นั่นเอง
ผลการศึกษาเรื่องนี้เป็นของ ของ ดร.มอร่า กิลลิสัน (Dr. Maura Gillison) และทีมงานนักวิจัยจาก Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health ในบัลติมอร์ (Baltimore) รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชื่อ New England Journal of Medicine ซึ่งเป็นวารสารฉบับเดียวกับที่ได้ตีพิมพ์เรื่อง เชื้อ HPV และวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกไปหมาดๆ
นักวิจัยพบว่า เชื้อ HPV ทำปฏิกิริยาในระดับโมเลกุลบางอย่างที่ก่อให้เกิดมะเร็งในลำคอ เรียกว่า Oropharyngeal Squamous-cell Carcinoma แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดชี้แจงกระบวนการเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว
มะเร็งในช่องปากเกิดจากการติดเชื้อ HPV-16ในช่องปากด้วยระดับ 32 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ ถ้าได้ติดเชื้อHPV-16ในช่องปากแล้วโอกาสที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งก็สูงเป็น 32 เท่า โดยการสูบบุหรี่และดื่มสุราไม่ได้เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงในกรณีนี้ เนื่องจากเมื่อเซลล์ในปากติดเชื้อ HPV แล้วเชื้อก็จะพัฒนาไปเป็นก้อนมะเร็งโดยไม่ต้องใช้บุหรี่และสุรามาเป็นแนวร่วม (โดยปกติแล้ว บุหรี่และสุราคือตัวการที่ทำให้เกิดมะเร็งในช่องปาก)

ข้อควรทราบประการแรกคือ oral sex นี้ปลอดภัยหรือไม่
     เมื่อกล่าวถึง oral sex ก็ต้องอธิบายว่ามีหลายรูปแบบ ถ้าผู้หญิงเป็นฝ่ายกระตุ้นอวัยวะเพศชายโดยการใช้ปากและลิ้น เรียกเป็นศัพท์แพทย์ว่า fellatio ศัพท์ชาวบ้าน (ฝรั่ง) เรียกว่า Blow job หากผู้ชายกระตุ้นอวัยวะเพศหญิงด้วยลิ้น ศัพท์แพทย์เรียกว่า cunnilingus หากคู่ร่วมเพศกระตุ้นรอบทวาร หนักของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ด้วยการใช้ลิ้นเรียกว่า rimming
ทั่วไปแล้วถือว่า oral sex นั้นมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ แม้ว่าโอกาสติดเชื้อจะต่ำกว่าเพศสัมพันธ์แบบปกติ (penetrative sex)
     โอกาสติดเชื้อจาก oral sex นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นกับว่า เป็นผู้กระทำหรือถูกกระทำด้วย โดยเฉพาะเพศหญิงมีโอกาสติดเชื้อหนองใน (gonorrhea) ถ้าทำ oral sex ให้ผู้ชายที่เป็นโรคนี้ เพราะเชื้อหนองในอาศัยอยู่แถบรูเปิดท่อปัสสาวะบางครั้งผู้ชายที่เป็นหนองในจะไม่ได้มีหนองสีขาวข้นไหลให้เห็นอย่างชัดเจน จึงต้องระวังไว้เสมอ เพราะมีโอกาสติดเชื้อหนองในเข้าไปในช่องคอได้ นอกจากนั้นหากผู้ชายเป็นหูดหงอนไก่ ก็อาจถ่ายทอดโรคนี้มาได้ ก่อนมี oral sex จึงควรปลิ้นดูปลายอวัยวะเพศ, ตามรอบๆ ส่วนปลาย, ใต้หนังหุ้มปลายและแม้กระทั่งในรูเปิดท่อปัสสาวะว่ามีหูดหงอนไก่ ที่แลเห็นเป็นตุ่มแดงๆ คล้ายหงอนไก่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นหูดหงอนไก่ แล้วทำ oral sex ให้ก็จะมีโอกาสเป็นหูดหงอนไก่ที่เพดานปาก
     ต้องขอเพิ่มเติมว่า หลายคนอาจสับสนโรคหูดหงอนไก่กับตุ่มเล็กๆ รอบปลายอวัยวะเพศชายที่เรียกว่า pearly penile papules ซึ่งถ้าเป็นตุ่มชนิดหลังนี้ จัดว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ และพบในผู้ชายจำนวนมากด้วย
    ในกรณีของฝ่ายชาย หากทำ oral sex ให้ฝ่ายหญิง แล้วฝ่ายหญิงเป็นหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศอยู่ ก็จะมีโอกาสติดหูดหงอนไก่ที่ริมฝีปากได้
 ออรัลเซ็กซ์ เสี่ยงติด เชื้อซิฟิลิส หรือไม่
      สำหรับเรื่องการติดเชื้อซิฟิลิสนั้น นับเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เพราะแผลซิฟิลิส ระยะแรก อาจหายไปเองได้ และเข้าสู่ซิฟิลิสระยะที่ 2 และระยะสุดท้าย ซึ่งลุกลามถึงหัวใจและสมอง เนื่องจากปัจจุบัน oral sex เป็นที่นิยมมากขึ้น ทำให้การติดเชื้อซิฟิลิสนอกเหนือจากบริเวณอวัยวะเพศสูงขึ้นด้วย แผลซิฟิลิสที่นอกเหนือจากบริเวณอวัยวะเพศแล้วนั้น 2 ใน 3 จะพบเหนือลำคอขึ้นมา โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้พบที่ริมฝีปากและในช่องปาก แผลซิฟิลิสที่ริมปาก ในผู้ชายส่วนใหญ่จะเป็นที่ริมฝีปากบน ในหญิงมักเป็นที่ริมฝีปากล่าง ถ้าเป็นแผลซิฟิลิสในลำคอ มักเป็นที่ต่อมทอนซิล โดยเฉพาะข้างซ้าย ส่วนที่เหลือพบที่นิ้วมือเต้านม ลำตัว ท้อง และแขนขา ตลอดจนถึงทวารหนัก
ส่วนการกลืนน้ำอสุจินั้น ไม่เป็นอันตราย เพราะกระเพาะอาหารมีกรดที่ฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ ดังนั้นอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี จึงเท่ากับที่มี oral sex แล้วคายทิ้ง (แต่ยังไม่จัดเป็น safe sex)
สำหรับ rimming นั้นไม่แนะนำ ทั้งนี้ เพราะลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย มีเชื้อแบคทีเรียและไวรัสมากมาย ซึ่งเชื้อนี้อาจแพร่เข้าในช่องปากได้ แม้จะทำความสะอาดมาก่อนแล้ว เชื่อว่ามะเร็งผิวหนังที่ชื่อ Kaposi’s sarcoma ที่เห็นเป็นตุ่มสีม่วง อาจจะมาจากการติดเชื้อจากลำไส้
 
มี oral sex แบบใดจึงจะปลอดภัย ?
มีข้อแนะนำว่า ถ้าผู้ชายสวมถุงยางอนามัย ฝ่ายหญิงไม่น่าจะติดเชื้ออะไร จึงเรียกว่าน่าจะปลอดภัยได้ ถ้าไม่ชอบรสชาติของถุงยางทั่วไป ก็แนะนำให้ใช้ถุงยางที่มีกลิ่นรสดู เช่น รสสตอเบอรี ส่วนถุงยางประเภทมีปุ่มปม เป็นหนามนั้นไม่แนะนำ เพราะทำให้ปากเป็นแผล
ที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องความเสี่ยงของผู้ที่เป็นฝ่าย oral sex ให้คนอื่น แต่สำหรับผู้ที่ถูกทำ oral sex จะมีโอกาสเสี่ยงหรือไม่? พบว่าความเสี่ยงของผู้ถูกทำที่พบบ่อยที่สุดคือ เป็นแผลเพราะถูกกัด (being bitten) รองลงมาก็คือ ติดโรคเริม ถ้าผู้ที่ทำ oral sex ให้ เป็นเริมที่ริมฝีปาก
ที่น่าสนใจก็คือ โรคเริมนี้อาจติดต่อได้ตั้งแต่ก่อนระยะที่เป็นตุ่มน้ำใสขึ้นมาให้เห็น คือก่อนมีตุ่มน้ำใส บางคนจะเจ็บๆ คันๆ ที่ริมฝีปากมาก่อน ระยะนี้เชื้อไวรัสเริ่มติดต่อได้ ดังนั้นจึงเป็นอันตรายสำหรับฝ่ายผู้ถูกทำ เพราะไม่มีโอกาสทราบได้ว่าริมฝีปากนั้น มีเชื้อเริมแอบแฝงอยู่หรือไม่
ส่วนในกรณีของการติดเชื้อเอชไอวีของฝ่ายถูกทำ ก็เช่นเดียวกับฝ่ายผู้ทำ คือมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เพราะเชื้อนี้อยู่ในน้ำลายแม้โอกาสเสี่ยงจะต่ำ แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยร้อยละ 100 จึงต้องแนะนำให้ระวังไว้ก่อน เพราะโรคนี้เป็นแล้ว มีโอกาสเสียชีวิตสูและก่อนมีเพศสัมพันธ์ ถ้าฝ่ายผู้ทำแปรงฟันมาก่อน ผู้ถูกกระทำก็มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีสูงขึ้น เพราะเกิดแผลในปากทำให้เชื้อออกมาอยู่ในน้ำลายมากขึ้น
แต่อย่างไรแล้วก็ตาม การมีเซ็กซ์นั้นต้องมีเมื่อถึงวัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันปัญหาสังคม และอื่นที่จะตามมาอีกมากมาย…. และเมื่อมีต้องมีอย่างปลอดภัยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : thaihealth และ women.mthai

Report by www.livcapsule.com


50
Clinic สุด Seed / เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ HIV
« เมื่อ: 20 ตุลาคม 2015, 12:13:32 »
1.   PrEP คืออะไร
การกินยาต้านไวรัสเอดส์เพื่อ "ช่วย" ป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยกินเฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น โดนเข็มเจาะเลือดตำ  หรือถุงยางแตก เป็นต้น ซึ่งต้องกินภายใน 72 ช.ม. สูตรยาต้านฯจะประกอบไปด้วยยา 2-3 ตัว โดยยาต้านฯ จะเข้าไปช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของสารพันธุกรรมของเชื้อ หรือไปยับยั้งการกลายเป็นตัวไวรัสที่สมบูรณ์ ดังนั้นถ้าสามารถกินให้"เร็วที่สุด" หลังการสัมผัสเชื้อ ก็จะมีโอกาสมากที่สุด(ประมาณ 80%) ที่จะป้องกันไม่ให้มีเชื้อเพิ่มจำนวนใหม่ แต่อย่างไรก็ตามการกินยาต้านฯ ก็มีผลข้างเคียงมาก แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาประเมินความเสี่ยงว่าควรกินหรือไม่
2.   ออรัลอย่างไรให้ปลอดภัย
การออรัลให้ปลอดภัยทั้งคู่ หญิงชาย หรือชายกับชาย ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ส่วนบริเวณอื่นๆ เช่น ทวารหนัก และอวัยวะเพศหญิง ก็ป้องกันโดยนำถุงยางมาตัดหัวตัดท้ายและตัดตรงกลางคลี่ออกให้เป็นสีเหลี่ยม นำมาวางบริเวณทวารหนัก หรืออวัยวะเพศหญิงก่อนที่จะออรัลก็จะปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่เอดส์ เช่น ซิฟิลิส  หนองใน  เป็นต้น
3.   การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันของชายรักชาย กับ ชายรักหญิง แบบไหนเสี่ยงติดเชื้อ HIV มากกว่ากัน
ชาย รักชายมีโอกาสเสี่ยงมากกว่า เนื่องจากทวารหนักไม่ใช่ช่องทางธรรมชาติเหมือนกับช่องคลอดที่มีความยืดหยุ่น กว่า เมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงอาจทำให้ทวารหนักฉีกขาดหรือมีบาดแผล จึงเป็นช่องทางให้เชื้อเข้าได้
4.   เมื่อเชื้อ HIV อยู่นอกร่างกายจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร
ขึ้น อยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณของสารคัดหลั่งที่ออกมามีมากน้อยเพียงใด หรือเลือดหนึ่งหยดมีปริมาณของเชื้อและคุณภาพที่ด้อยกว่า เลือดที่ออกมาจำนวนมากๆ  รวมทั้งสารคัดหลังที่ออกมาอยู่ในสภาพภายนอกแบบไหนมีส่วนผสมของสิ่งอื่นๆด้วย หรือไม่ อยู่ในสภาพร้อนแห้งหรือเย็น หรือเปื้อนผ้าที่แห้งแล้วเชื้อก็จะด้อยคุณภาพ
5.   ใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้น ปลอดภัยกว่าใส่ชั้นเดียวจริงหรือ
ไม่ จริง  เนื่องจากถุงยางทำมาจากยางเมื่อยางกับยางเสียดสีกันนานจะทำให้แตกได้ ง่ายกว่า ดังนั้นการใส่เพียงชั้นเดียวอย่างถูกวิธีทุกครั้งก็เพียงพอแล้วที่จะป้องกัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมทั้งเอดส์ด้วย
6.   ถ้าติดเชื้อจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร
ปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว ถ้าเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาที่ถูกต้อง จะได้ไม่ป่วยหรือเสียชีวิตจากเอดส์ การดูแลรักษาสุขภาพกายสุขภาพใจ ไม่เครียด ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน รับประทานอาหารให้ครบหมู่ถูกหลักอนามัย ไม่ดื่มแอลกอฮอร์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อไม่สบายใจให้พบแพทย์รักษาตามอาการ และที่สำคัญอีกอย่างคือไม่รับเชื้อเพิ่ม ถ้ามีเพศสัมพันธ์จะต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งและรับประทานยาต้านให้ตรง เวลาตามแพทย์สั่ง ซึ่งการได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องแต่เนิ่นๆ ผู้ติดเชื้อจะสามารถมีอายุยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่าๆกับคนที่ไม่ติดเชื้อทั่วไป
7.   ใส่ถุงยางอนามัยอย่างไรให้ปลอดภัยจากโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
1.   ดูวันเดือนปีหมดอายุหรือยัง ถ้าหมดอายุแล้วไม่ควรนำมาใช้
2.   เลือกไซร์ตามขนาดของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่คนไทยจะใส่ไซร์ 49 หรือ 52
3.   เวลาฉีกซองถุงยางควรดันถุงยางลงมาอยู่ด้านใดด้านหนึ่งแล้วจึงฉีกไม่งั้นอาจฉีกโดนถุงยางขาดได้
4.   ใส่ขณะอวัยวะเพศแข็งตัว โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อนซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและเป็น ที่ที่เก็บน้ำอสุจิ จากนั้นรูดให้สุดโคนอวัยวะเพศเพื่อจะได้ไม่หลุดขณะทำภารกิจ
5.   ถ้าจะใช้สารหล่อลื่น ควรใช้สารหล่อลื่นที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และห้ามใช้วาสลีนเด็ดขาด เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น
6.   เมื่อเสร็จภารกิจแล้วควรใช้กระดาษทิชชูพันรอบโคนอวัยวะเพศแล้วรูดถุงยาง จากส่วนโคนลงมา จากนั้นทิ้งลงถังขยะให้เรียบร้อย และทำความสะอาดอวัยวะเพศ
7.   ไม่ควรเก็บถุงยางในที่อากาศร้อนเป็นเวลานาน หรือเก็บใส่กระเป๋าด้านหลังกางเกงเวลานั่งจะทับถุงยางอาจทำให้เกิดการฉีดขาดได้
8.   ANTI-HIV กับ NAT อย่างไหนแม่นยำกว่ากัน
ความ แม่นยำไม่แตกต่างกัน แต่มีความต่างกันตรงที่ NAT สามารถตรวจได้หลังเสี่ยง 5 วันขึ้นไป ส่วน Anti-HIV สามารถตรวจได้หลังเสี่ยง 14 วันขึ้นไป
9.   WINDOW PERIOD คืออะไร
เป็นช่วงเวลาที่ผู้ได้รับเชื้อเอชไอวีมาแต่ยังตรวจไม่พบเพราะว่าอาจจะยังรับเชื้อมาไม่นาน โดยจะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจากคลีนิกนิรนาม

Report : www.livcapsule.com

หน้า: [1] 2