-->

ผู้เขียน หัวข้อ: การคัดเลือกวัตถุดิบ  (อ่าน 5391 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

don

  • บุคคลทั่วไป
การคัดเลือกวัตถุดิบ
« เมื่อ: 08 มกราคม 2008, 11:00:39 »

การคัดเลือกวัตถุดิบ
อาจารย์สุวัจน์ ด่านสมบูรณ์

   องค์กรทุกองค์กรจะมีจุดมุ่งหมายขององค์กร ไม่ว่าจุดมุ่งหมายจะเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม และโดยปกติแล้ว จุดมุ่งหมายหลักขององค์กรก็คือการได้ผลตอบแทนที่ดี และการความสามารถดำรงอยู่ได้ในตลาด และอาจรวมไปถึงความต้องการการเป็นผู้นำทางการตลาด ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้จะบรรลุได้นั้น องค์กรจะต้องสามารถตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความต้องการของลูกค้าคงจะหนีไม่พ้นการได้รับสินค้า หรือบริการที่มีคุณภาพ ในเรื่องของคุณภาพสินค้านั้น จุดเริ่มต้นของคุณภาพสินค้าคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ  ซึ่งกระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบจะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ

1. การคัดเลือกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน
การคัดเลือกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน มีหลายๆ ปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งโดยปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น  คุณภาพหรือลักษณะที่ต้องการของกระจกหน้ารถยนต์ จะมีความแตกต่างจากคุณภาพหรือลักษณะที่ต้องการของกระจกสำหรับใช้งานอื่นๆ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องและมักจะถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์สำหรับการคัดเลือกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ได้แก่ คุณภาพของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนนั้น ระบบบริหารคุณภาพของผู้ผลิตวัตถุดิบ ความใกล้ไกลและความรวดเร็วในการจัดส่งวัตถุดิบ และ ฯลฯ ซึ่งรายละเอียดแต่ละหัวข้อมีดังนี้คือ
1.   ถ้าวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วน ที่จะจัดซื้อ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เช่น มันสำปะหลังอัดเม็ดแข็ง หลอดไฟฟ้า ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ เป็นต้น ควรเลือกวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพราะเป็นหลักประกันเบื้องต้นว่า วัตถุดิบ หรือชิ้นส่วน ที่รับเข้ามามีมาตรฐานในระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ได้รับการรับรอง มอก. เหล่านี้ จะถูกตรวจสอบ/ทดสอบ จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้วว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ และหลังจากได้รับการรับรอง มอก. แล้ว ก็จะยังถูกสุ่มตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์อีกเป็นระยะๆ
2.   ในกรณีที่วัตถุดิบ เป็นสิ่งที่สามารถเน่าเสีย ได้เช่น วัตถุดิบประเภท เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผัก ผลไม้ ฯลฯ การคัดเลือกจะต้องพิจารณาจากความสดใหม่ และคุณลักษณะเฉพาะเช่น ลำไย นอกจากจะสดใหม่แล้ว ขนาด และรสชาติความหวาน ควรจะได้ตามเกณฑ์
3.   ราคา ปัจจัยนี้มักจะถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้ได้วัตถุดิบที่คุณภาพไม่ถึงเกณฑ์ และส่งผลต่อคุณภาพของสินค้าที่เราผลิตทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้ ดังนั้นจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า ของดีราคาถูก ไม่มี (หรือมีน้อยมาก) มีแต่ของดีราคาเหมาะสม (บางครั้งของที่มีราคาแพง ก็ใช่ว่าจะมีคุณภาพดีเสมอไป)
4.   ผู้จัดส่ง/ผู้ส่งมอบ (supplier) มีระบบการบริหารงานคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เช่น ระบบบริหารงานคุณภาพมาตรฐาน ISO9000 ระบบบริหารงานคุณภาพมาตรฐาน QS9000 หรือ ระบบบริหารงานคุณภาพมาตรฐาน QSME เป็นต้น เพราะถ้าผู้ขายวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนให้เราได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ จะทำให้เรามั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า วัตถุดิบ หรือชิ้นส่วน ที่จัดส่งมาให้เราจะมีคุณภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนๆ มากนัก เพราะวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกผลิตภายใต้ระบบ และกระบวนการที่มีขั้นตอน และการควบคุมที่ชัดเจน อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการตระหนัก และใส่ใจในเรื่องคุณภาพของผู้บริหารในองค์กรนั้นอีกด้วย
5.   ความสามารถในการผลิตของผู้ส่งมอบ ในกรณีนี้ต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่า ผู้ส่งมอบมีกำลังการผลิตเท่าใด เพียงพอกับปริมาณความต้องการของเราหรือไม่ ระบบการจัดเก็บสินค้า (stock) เป็นอย่างไร และในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย เช่น ต้องหยุดการผลิตเนื่องจากเครื่องจักรขัดข้อง เราจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาการขาดวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนได้อย่างไร วิธีการแก้ปัญหานี้บริษัทส่วนใหญ่ จะใช้วิธีการคัดเลือกผู้ขายวัตถุดิบแต่ละอย่าง ซึ่งผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพ อย่างน้อย 2-3 ราย
6.   ความรวดเร็ว และการตรงต่อเวลาในการจัดส่ง การจัดส่งวัตถุดิบได้รวดเร็ว และตรงต่อเวลา ทั้งในด้านปริมาณ และคุณภาพของ วัตถุดิบ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของผู้ขายที่ดี เพราะการจัดส่งวัตถุดิบหากไม่ตรงต่อเวลา สามารถทำให้แผนการผลิตของเราไม่เป็นไปตามที่วางไว้ ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตสินค้า และจัดส่งให้กับลูกค้าได้ทันตามกำหนด
7.   ข้อเท็จจริงด้านคุณภาพ ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับองค์กรที่เน้นความสำคัญด้านคุณภาพ ข้อเท็จจริงด้านคุณภาพ ได้มาจาก การตรวจสอบ หรือทดสอบ ผลิตภัณฑ์ นั้น ว่าเป็นไปตามเกณฑ์ หรือข้อกำหนดมาตรฐานที่ต้องการ
นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ที่ถูกนำมาพิจารณา เช่น ชื่อเสียงของผู้ผลิตหรือ ผู้ขาย ส่วนลด หรือ โปรโมชั่นพิเศษ ของผลิตภัณฑ์ ที่ผู้ขายเสนอ การรับประกันของผู้ขาย และ ข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างผู้ขาย และผู้ผลิต เป็นต้น  นอกจากนี้ในกรณีที่วัตถุดิบเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลแล้ว การเลือกวัตถุดิบจะต้องมีการคำนึงถึงฤดูกาลด้วย เช่นองค์กรที่ทำสัปปะรดกระป๋องและน้ำสัปปะรด ก็ต้องมีการซื้อวัตถุดิบ ซึ่งก็คือสัปปะรดเก็บไว้ในฤดูที่มีสัปปะรดมาก เนื่องจากจะมีราคาต่ำและคุณภาพของสัปปะรดจะค่อนข้างดี การซื้อวัตถุดิบนอกฤดูกาลนั้น วัตถุดิบจะมีราคาสูงและคุณภาพไม่ดี ดังนั้น จึงต้องมีการประมาณการขายที่ดี เพื่อที่จะสามารถประมาณการใช้วัตถุดิบได้อย่างถูกต้อง
   โดยปกติกระบวนการในการคัดเลือกผู้ขาย/ผู้จัดส่ง จะเริ่มจากการที่เราได้ ตรวจสอบ หรือทดสอบ วัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ว่าเป็นไปตามข้อกำหนดหรือเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ จากนั้นพิจารณารายละเอียดอื่นๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว และมีการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ขาย ซึ่งจะมีความสำคัญในเรื่องการควบคุมคุณภาพ คือเป็นการตกลงใจแล้วว่าเราจะซื้อวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากผู้ขายที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อนี้เท่านั้น (บัญชีรายชื่อผู้ขาย สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่เราพบว่าผู้ขายบางรายไม่สามารถรักษาคุณภาพของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน เราสามารถตัดออกจากบัญชีรายชื่อผู้ขายได้ ในทางกลับกัน หากมีผู้ขายรายอื่นที่ผ่านเกณฑ์ เราก็สามารถเพิ่มรายชื่อเข้าไปในบัญชีรายชื่อได้)
ในองค์กรใหญ่ ๆ นั้น จะมีการให้คะแนนผู้ขายวัตถุดิบ และถ้าพบว่าผู้ขายวัตถุดิบรายใดมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดก็จะไม่ซื้อวัตถุดิบกับผู้ขายรายนั้น ๆ อีก แต่ก่อนที่จะปฏิเสธการซื้อวัตถุดิบนั้นจะมีการตักเตือน เพื่อให้ผู้ขายรับทราบและทำการแก้ไขปรับปรุง ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนของผู้ขายเอง และในกรณีที่องค์กรมีขนาดใหญ่มาก ๆ นั้น องค์กรนั้นอาจทำการแทรกแซงการบริหาร หรือมีการจัดส่งผู้เชียวชาญเข้าไปให้คำแนะนำช่วยเหลือ เพื่อเข้าไปจัดการและปรับปรุงการผลิตของผู้ขายให้มีประสิทธิภาพ และผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพตามที่องค์กรต้องการ โดยการแทรกแซงนี้จะทำให้ได้วัตถุดิบที่ต้องการและราคาประหยัด เนื่องจากประสิทธิภาพของผู้ขายดีขึ้น แสดงว่าต้นทุนการผลิตต่ำลง ดังนั้นผู้ขายก็น่าจะสามารถขายได้ในราคาที่ต่ำลงด้วย
   การรับวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนเข้า เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งในการควบคุมคุณภาพ แม้เราจะสั่งซื้อวัตถุดิบกับผู้ขายที่อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ขายหรือวัตถุดิบนั้นได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้วก็ตาม ไม่สามารถรับประกันคุณภาพของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนนั้นได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นก่อนการรับเข้า เราต้องมีการตรวจสอบหรือทดสอบก่อนเสมอ ซึ่งในการตรวจสอบหรือทดสอบนี้อาจทำการตรวจสอบ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนมีปริมาณน้อย หรือไม่เสียเวลามาก หรือ มีผลต่อผลิตภัณฑ์ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้อย่างร้ายแรง แต่ถ้าเป็นกรณีที่วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนมีปริมาณมาก อาจใช้วิธีการชักตัวอย่างตรวจสอบ

2. การสั่งซื้อวัตถุดิบ
   การที่องค์กรจะมีผลตอบแทนที่ดีได้นั้น ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการจัดการกระบวนการจัดซื้อวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความประหยัด และคุณภาพของวัตถุดิบไปพร้อม ๆ กันขั้นตอนการดำเนินการจัดซื้อนั้น ปกติแล้วจะเริ่มจากฝ่ายวางแผน โดยฝ่ายวางแผนจะต้องทำการประมาณการจำนวนสินค้าที่ลูกค้าต้องการแยกเป็นรายชนิด ซึ่งการประมาณการนี้อาจรวมถึงคำสั่งซื้อที่ได้รับจากลูกค้าแล้ว และคำสั่งซื้อที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต เมื่อได้ค่าโดยประมาณแล้ว ก็นำไปวางแผนการผลิต แผนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ (แรงงาน เครื่องจักร และอื่น ๆ) และ แผนความต้องการวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน เมื่อทราบถึงปริมาณวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ต้องการแล้ว ก็จะทำการตรวจสอบจำนวนของวัตถุดิบที่มีแต่ละชนิด (คงคลัง) และวางแผนการจัดซื้อ เมื่อได้แผนการจัดซื้อแล้วก็ส่งไปยังแผนกจัดซื้อ เพื่อดำเนินการต่อไป
   สมมติให้ขั้นตอนการดำเนินการจัดซื้อนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แผนกจัดซื้อเป็นแผนกที่จะต้องให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยจะต้องวิเคราะห์ว่าจะจัดซื้อจำนวนเท่าใดจึงจะเกิดการประหยัด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การซื้อจำนวนมากมักจะได้ราคาต่อหน่วยต่ำกว่าการซื้อจำนวนน้อย ดังนั้นถึงแม้ว่าความต้องการของวัตถุดิบชนิดหนึ่งอาจมีไม่มากนัก แต่การจัดซื้ออาจจะซื้อในจำนวนที่มากกว่าความต้องการก็เป็นได้
   ในกรณีปกติต้นทุนในการจัดซื้อวัตถุดิบสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท กล่าวคือ ต้นทุนการสั่งซื้อ ซึ่งก็คือค่าดำเนินการใด ๆ เพื่อให้เกิดมีการจัดซื้อเกิดขึ้น โดยปกติแล้วจะมีค่าคงที่ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของการจัดซื้อ และต้นทุนการเก็บรักษา ซึ่งก็คือค่าดำเนินการใด ๆ ในการจัดเก็บและรักษาวัตถุดิบนั้น ต้นทุนการเก็บรักษานี้หมายรวมถึง ต้นทุนแรงงาน ต้นทุนพื้นที่การเก็บรักษา ต้นทุนการเสื่อมสภาพของวัตถุดิบ ต้นทุนค่าเสียโอกาส และต้นทุนค่าประกันความเสียหาย ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการเก็บรักษา
ในการจัดซื้อ ถ้าฝ่ายจัดซื้อใช้นโยบายการจัดซื้อเป็นปริมาณมากในแต่ละครั้ง ก็จะทำให้ต้นทุนการสั่งซื้อต่อหน่วยสินค้าลดลง ในขณะที่ต้นทุนในการเก็บรักษาเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าฝ่ายจัดซื้อใช้นโยบายการจัดซื้อปริมาณน้อย และซื้อตามความต้องการใช้เท่าที่เป็นไปได้ ต้นทุนการสั่งซื้อต่อหน่วยก็จะสูง ในขณะที่ต้นทุนในการเก็บรักษาก็จะต่ำ ดังนั้น การกำหนดว่าจะซื้อวัตถุดิบปริมาณเท่าใดนั้น ก็ควรจะมีการถ่วงดุลกันระหว่างต้นทุนทั้งสองนี้ และคำนวณหาปริมาณการจัดซื้อที่ประหยัด เพื่อที่จะทำให้เกิดการประหยัดในการจัดซื้อ
สิ่งที่ควรคำนึงถึงนอกจากเรื่องของปริมาณการจัดซื้อที่ประหยัดนั้น มีอยู่หลายๆ ประเด็น เช่น
1. การวางแผนจะต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แผนที่วางไว้จะต้องได้รับการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้ชนิดและจำนวนความต้องการวัตถุดิบถูกต้องตามที่คำนวณไว้
2. ความยาวนานในการเก็บรักษาวัตถุดิบ ในการคำนวณหาจำนวนการจัดซื้อที่ประหยัดนั้น อาจจะคำนวณได้ปริมาณมาก ซึ่งทำให้จะต้องเก็บวัตถุดิบที่ซื้อมาเป็นเวลานาน ถ้าวัตถุดิบนั้นมีอายุการใช้งานสั้น ก็อาจจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและสูญเสียวัตถุดิบเหล่านั้นก่อนที่จะได้ทำการผลิต
3. ความเสี่ยงด้านราคาของวัตถุดิบ ราคาของวัตถุดิบบางชนิดไม่มีความแน่นอน เช่นราคาของเม็ดพลาสติก ก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ ดังนั้นในบางครั้งการซื้อวัตถุดิบจำนวนมากและเก็บไว้นั้น อาจไม่ทำให้เกิดการประหยัดก็เป็นได้
4. แนวโน้มในอนาคต ถ้ามีการคาดการณ์ว่าราคาวัตถุดิบจะมีราคาสูงขึ้น หรือมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดการขาดแคลนวัตถุดิบในอนาคต อาจจะต้องมีการกักตุนจำนวนวัตถุดิบจำนวนมากขึ้นก็เป็นได้ เพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ
5. พื้นที่ในการจัดเก็บ ในการสั่งซื้อวัตถุดิบนั้น จะต้องพิจารณาแล้วว่าเมื่อวัตถุดิบถูกนำมาส่ง จะมีพื้นที่ในการจัดเก็บเพียงพอ ซึ่งถ้าพื้นที่ไม่เพียงพอแล้ว อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อวัตถุดิบได้ง่าย และ อาจจะต้องมีการลงทุนสร้างพื้นที่ในการจัดเก็บเพิ่มเติม

3. การจัดเก็บวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน
   เมื่อคัดเลือกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่มีคุณภาพเข้ามาแล้ว หากเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดเก็บรักษาที่ดีเท่าที่ควร ก็จะทำให้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนเกิดการชำรุด เสียหายได้ ดังนั้นในการจัดเก็บรักษาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน เราควรจะพิจารณาถึงเรื่องต่างๆ เหล่านี้ประกอบด้วย เช่น
1.   สถานที่จัดเก็บ สามารถป้องกันความเสียหายอันเนื่องมาจาก ความชื้น ความร้อน และสัตว์พวกหนู หรือ แมลงบางชนิด ได้
2.   ต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมการจัดเก็บ เพราะวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนบางประเภท เช่น ยางบางชนิด หรือ น้ำยาเคมีบางชนิด จะเสื่อมสภาพได้ง่าย จำเป็นต้องเก็บรักษาในที่ๆ มีอุณหภูมิต่ำ
3.   การจัดเก็บควรจัดทำให้เป็นระบบการจัดเก็บที่สามารถ ทวนสอบได้ว่า วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนแต่ละรุ่นที่อยู่ในโกดังนี้ รับเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร มีปริมาณเท่าใด ซึ่งจะมีประโยชน์ทั้งในแง่ของการตรวจนับจำนวน และการเบิกไปใช้งาน
4.   ควรจัดให้มีระบบการเบิกจ่าย โดยปกติแล้วระบบการเบิกจ่ายวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนเพื่อนำไปใช้งานส่วนใหญ่จะใช้ระบบ เข้าก่อน-ออกก่อน (First in ? First out, FIFO) เพื่อเป็นการหมุนเวียนให้วัตถุดิบที่รับเข้ามาก่อนได้ถูกนำไปใช้ก่อนที่จะเสื่อมสภาพเพราะกาลเวลา

โดยสรุปแล้ว การเลือกวัตถุดิบนั้นมีส่วนทำให้วัตถุประสงค์ขององค์กรเป็นไปตามที่ได้ตั้งไว้ โดยวัตถุประสงค์ขององค์กรส่วนใหญ่จะกล่าวเกี่ยวกับผลตอบแทน และการสามารถดำรงอยู่ในตลาด ซึ่งการเลือกวัตถุดิบที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้นจะมีส่วนช่วยให้องค์กรบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ การเลือกวัตถุดิบที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น โดยหลักแล้ว ก็คือการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี มีราคาที่เหมาะสม และสามารถจัดส่งในจำนวนที่ต้องการได้ในเวลาที่ต้องการ

4. เอกสารอ้างอิง
4.1 ธราธร กูลภัทรนิรันดร์ เอกสารประกอบการสอน วิชาการจัดการการประกันคุณภาพสินค้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
4.2 สุวัจน์ ด่านสมบูรณ์ เอกสารประกอบการสอน วิชาการจัดการการผลิตและสินค้าคงคลัง สาขาการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร


กรณีศึกษา

บริษัท บุญส่งพรีซิชั่น ซัพพลาย จำกัด

   บริษัท บุญส่งพรีซิชั่น ซัพพลาย จำกัด เป็นบริษัทผู้ผลิต ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น ชิ้นส่วนของหม้อหุงข้าว ชิ้นส่วนของตู้เย็น เป็นต้น วัตถุดิบหลักๆ ที่ทางบริษัทต้องจัดหาสำหรับการผลิต คือ โลหะแผ่น ประเภทต่างๆ เช่น เหล็กแผ่น ทองแดงแผ่น นอกจากนี้ก็จะมีพวกชิ้นส่วนต่างๆ เช่น ไมโครสวิทซ์  เป็นต้น ในสมัยก่อนทางบริษัทมีการตรวจรับและทดสอบที่ยังไม่เป็นรูปแบบมากนัก แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารบริษัท ที่ได้ตกลงใจจะนำระบบบริหารคุณภาพ ISO9000 เข้ามาใช้ในการพัฒนาปรับปรุงระบบต่างๆ ภายในบริษัท ในส่วนของการตรวจรับวัตถุดิบ ก็ได้มีการปรับปรุง กล่าวคือ มีการจัดตั้งระบบในการตรวจรับวัตถุดิบ มีการนำแผนการสุ่มตัวอย่างเข้ามาใช้งาน มีการคัดสรรผู้จัดส่งที่มีวัตถุดิบที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพ และจัดทำบัญชีรายชื่อผู้จัดส่งวัตถุดิบ (Supplier List) ชนิดต่างๆ ผลลัพธ์จากการปรับปรุงระบบต่างๆ ทำให้บริษัททราบปัญหาในการตรวจรับ และมั่นใจว่าวัตถุดิบที่รับเข้ามามีคุณภาพได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลที่ทางบริษัทนำไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพด้านต่างๆ ของผู้จัดส่งวัตถุดิบอีกด้วย ด้วยความมุ่งมั่นในการผลิตสินค้ามีคุณภาพส่งผลให้บริษัทได้รับการรับรองระบบบริหารงานคุณภาพ ISO9000 ในปัจจุบันบริษัทมีความมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ทำการผลิตว่าได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพราะบริษัทมีระบบในการควบคุมคุณภาพครบถ้วนทุกขั้นตอนตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ การควบคุมการผลิต การตรวจสอบ และการจัดส่ง

บริษัท บุญส่งพรีซิชั่น ซัพพลาย จำกัด
100/2 หมู่ 1 ซ.วัดเทพธงไชย
ถ.พระราม 2  กม.15
ต.บางน้ำจืด อ.เมือง
จ.สมุทรสาคร   รหัสไปรษณีย์ 74000
โทรศัพท์ 0-2895-5900, 0-2895-5588