การจัดทำโครงการเพื่อขอเงินกู้สำหรับธุรกิจ SMEs
เรียบเรียงโดย ผศ.กิตติภูมิ มีประดิษฐ์
ในการลงทุนของผู้ประกอบการในโครงการใดโครงการหนึ่งนั้น ผู้ประกอบการที่จะเตรียมการให้รอบคอบละเอียดถี่ถ้วนเพื่อป้องกันอุปสรรคอันอาจเกิดขึ้น และดำเนินงานตามโครงการได้อย่างราบรื่นตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ความรอบคอบดังกล่าวนี้จะต้องมาจากประสบการณ์ และอีกประการหนึ่งจะมาจากสัญชาติญาณในการแก้ไขปัญหาระหว่างที่ดำเนินโครงการ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะมีความรู้ในสิ่งที่จะกระทำตลอดจนมีการมองการณ์ไกลเพียงใด
โครงการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมโดยทั่วไปจะขอใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนร่วมกับเงินทุนส่วนของผู้ประกอบการเอง ดังนั้นสถาบันการเงินจึงมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาโครงการลงทุน เพื่อเป็นแนวทางการพิจารณาปล่อยสินเชื่อซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ
แนวทางแรก การวิเคราะห์จะเน้นหนักในด้านฐานะทางเครดิตของผู้ขอสินเชื่อและหลักทรัพย์ที่ให้แก่สถาบันการเงิน เพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อ เช่นที่ดิน โรงงาน และสินทรัพย์ถาวรอื่น ๆ การตัดสินใจปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินขึ้นอยู่กับมูลค่าของหลักทรัพย์ว่าจะเพียงพอกับจำนวนสินเชื่อหรือไม่
แนวทางที่สอง การวิเคราะห์จะเน้นหนักในด้านความเป็นไปได้ของโครงการสำคัญ หรือกล่าวได้ว่าเป็นการให้เงินกู้ตามโครงการนั่นเอง
การพิจารณาให้เงินกู้ตามโครงการ (Project financing) เป็นแนวทางที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่เริ่มให้ความสนใจ และทำการพิจารณาจากการยื่นเสนอโครงการของผู้ประกอบการอุตสาหกรรรมมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาคือการขาดความเข้าใจของผู้ประกอบการในการจัดวางรูปโครงการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางในส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการได้เข้าใจในหลักเกณฑ์เบื้องต้นถึงการเตรียมโครงการที่ดีและการวิเคราะห์โครงการอย่างละเอียดรอบคอบ ย่อมเป็นหลักประกันว่า ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้มีการพิจารณาหาลู่ทางป้องกันแก้ไขไว้แล้ว และย่อมเป็นเครื่องมือที่จะช่วยตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ แรงงาน หรือการใช้พลังงานให้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อการลงทุนสูงสุด
ขั้นตอนการดำเนินการ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ การจัดเตรียมโครงการและการวิเคราะห์โครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การจัดเตรียมโครงการ โครงการ(Project) คือ การกำหนดลำดับขั้นของการดำเนินงานนับแต่เริ่มต้นจนบรรลุผลในแต่ละช่วง เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของการบริหารงานเพื่อให้มีการใช้วัตถุดิบ เครื่องจักร เงินทุนและแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดวัตถุประสงค์ งบประมาณ แหล่งที่ตั้งโครงการ การลงทุน ผลตอบแทน ระยะเวลาของโครงการ วิธีการดำเนินการ และผู้รับผิดชอบการดำเนินการต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน และที่จะละเลยมิได้ คือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
กระบวนการวางแผนโครงการ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนที่สำคัญคือ
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นกำหนดโครงการ ได้แก่ การเริ่มต้นว่าจะลงมือทำอะไร ทำอย่างไร ทำเมื่อไร ที่ไหน มีขอบเขตการดำเนินงานอย่างไร แหล่งเงินทุนจะได้มาจากไหน และการดำเนินงานต่างๆ ของโครงการเป็นสิ่งที่เป็นไปได้หรือไม่
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นการวิเคราะห์และประเมินโครงการ ได้แก่ การพิจารณาโครงการที่กำหนดขึ้นอย่างละเอียดว่าเป็นโครงการที่สมควรทำการลงทุนหรือไม่ กล่าวคือ ถ้าเป็นโครงการที่มีกำไรคุ้มค่าต่อการลงทุนโครงการนั้นก็จะได้รับการประเมินว่าเป็นโครงการที่ดี สมควรที่จะมีการจัดสรรเงินทุนหรือแสวงหาเงินกู้เพื่อดำเนินการลงทุนต่อไป
ขั้นตอนที่ 3 การดำเนินงานตามโครงการ ได้แก่ การนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบแล้วดีไปดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เช่น การจัดหาแหล่งเงินกู้ การก่อสร้างโรงงาน อาคาร การจัดซื้อวัสดุ อุปกรณ์และเครื่องจักรการดำเนินการผลิต การติดตามและประเมินผลโครงการเมื่อโครงการได้ดำเนินไปแล้ว เป็นต้น
แนวทางการเขียนโครงการ การลงทุนโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นส่วนของผู้ประกอบการเอง หรือเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงิน การจัดเตรียมโครงการจึงต้องมีการดำเนินงานอย่างรอบคอบ ใช้ข้อมูลที่มีคุณภาพที่ตั้งไว้ศึกษาวิเคราะห์ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เชื่อมั่นได้ เพื่อที่จะทำให้โครงการลงทุนนั้น ๆ ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์
2. การวิเคราะห์โครงการ โดยทั่วไปแล้วเมื่อจะมีการลงทุนในโครงการมักจะมีการศึกษาถึงความเป็นไปได้เบื้องต้นของโครงการ โดยอาศัยข้อมูลจากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลประเภททุติยภูมิ (Secondary data) และข้อมูลปฐมภูมิที่สามารถหาได้ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเบื้องต้นว่า โครงการลงทุนนั้น ๆ มีลู่ทางพอที่จะดำเนินการได้หรือไม่ การศึกษาการลงทุนนี้ก็คือ การวิเคราะห์โครงการด้านต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ใน 3 ด้านคือ ด้านการตลาด ด้านเทคนิค และด้านการเงิน โดยมีรายละเอียดดังนี้
การวิเคราะห์โครงการด้านการตลาด
โดยทั่วไปแล้วมักจะเข้าใจว่า การตลาด หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ในอันที่จะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคจากความหายนี้ทำให้เข้าใจว่าการตลาดนั้นเริ่มขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการผลิตสินค้าเรียบร้อยแล้วจึงมีผู้ทำหน้าที่ทางด้านการตลาดต่อไป
แต่ในความหมายของการตลาดสมัยใหม่นั้น การตลาด หมายถึง การนำสินค้าหรือบริการจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคอุปโภคโดยคำนึงถึงความต้องการของบุคคลเหล่านั้น และยังรวมถึงการหาข่าวสารเพื่อป้อนให้ฝ่ายผลิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าการตลาดนั้นมาก่อนการผลิต
การวิเคราะห์ด้านการตลาดจัดเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิเคราะห์ลู่ทางความเป็นไปได้ของโครงการ โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1. ตัวสินค้า (Product) จะต้องพิจารณาว่าโครงการลงทุนจะผลิตสินค้าอะไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร คุณภาพสินค้าอยู่ในระดับไหน
2. วิเคราะห์ความต้องการต่อสินค้าหรือบริการนั้น ๆ จะต้องวิเคราะห์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต เพื่อพิจารณาว่าความต้องการสินค้าดังกล่าวจะมีมากน้อยเพียงใด และเพียงพอกับปริมาณการผลิตของโครงการหรือไม่
3. การวิเคราะห์ถึงปริมาณของสินค้าหรือบริการในการตลาด จะต้องวิเคราะห์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต โดยพิจารณาถึงแหล่งที่มาว่ามาจากการผลิตภายในประเทศ หรือจากการสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ การรวบรวมข้อมูลข่าวสารในส่วนที่จะทำให้เข้าใจสถานภาพทางการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ เช่น ข่าวสารเรื่องราคาขาย คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ทางการตลาดของคู่แข่งขัน เป็นต้น
4. การวิเคราะห์ราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ จะวิเคราะห์เพื่อพิจารณาถึงความเป็นมาและการเคลื่อนไหวของราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันตลอดจนปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในแต่ละช่วงเวลาซึ่งจะทำให้สามารถพยากรณ์แนวโน้มของราคาในอนาคต เพื่อนำมากำหนดราคาผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่จะเข้าสู่ตลาด
5. การจัดจำหน่าย ช่อทางและแผนการจัดจำหน่ายของบริษัทจะแสดงถึงความเป็นไปได้ทางด้านการตลาดของโครงการ โครงการจะมีความเป็นไปได้ทางด้านการตลาดสูงถ้ามีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แน่นอน
6. วัตถุดิบ จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ตัดสินความเป็นไปได้ของโครงการ สำหรับโครงการที่วัตถุดิบมีอยู่ทั่วไปในราคาปกติ วัตถุดิบอาจไม่ใช่ปัญหาสำคัญ แต่ในบางกรณีที่วัตถุดิบมีจำกัด การวิเคราะห์โครงการด้านการตลาดจะต้องเน้นหักถึงความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อที่สำคัญคือ ความเพียงพอของวัตถุดิบ หมายถึง ความสามารถในการหาแหล่งวัตถุดิบที่แน่นอนและเพียงพอ เพื่อใช้งานได้ในระยะยาว มีคุณภาพที่เหมาะสมในการใช้งาน และที่สำคัญอีกประการคือ ราคาของวัตถุดิบในการวิเคราะห์ จะต้องพิจารณาราคาวัตถุดิบทั้งในอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต ตลอดจนต้องคำถึงถึงโครงสร้างราคาค่าขนส่ง และภาษีต่าง ๆ เพื่อนำมาคำนวณต้นทุนในโครงการด้วย
การวิเคราะห์โครงการด้านเทคนิค
การวิเคราะห์โครงการด้านเทคนิค คือการ พิจารณาวิเคราะห์องค์ประกอบในด้านเครื่องจักร วัตถุดิบ และบุคคล องค์ประกอบดังกล่าวนี้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยก่อให้เกิดแกนกลางรวมซึ่งเรียกว่า การจัดการ (Management) นอกจากนี้ยังรวมถึงการพิจารณาวิเคราะห์ในด้านอื่น ๆ เช่น การควบคุมในด้านปริมาณ คุณภาพ และกระบวนการผลิตตลอดจนการวางแผนในการใช้เงินทุน วัตถุดิบ เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้วการวิเคราะห์ทางด้านเทคนิคจะพิจารณาในเรื่องดังต่อไปนี้
1. การพิจารณาเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของโครงการ สินทรัพย์ถาวรของธุรกิจอุตสาหกรรมแต่ละประเภทอาจประกอบด้วยสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน เช่น โครงการดำเนินการขนส่งทางทะเล สินทรัพย์ถาวรจะหมายถึง ตัวเรือธุรกิจโรงแรม สินทรัพย์ถาวรจะหมายถึง อาคารโรงแรม เป็นต้น หากจะพิจารณาเงินลงทุนทางด้านเทคนิคในสินทรัพย์ถาวรของโครงการธุรกิจอุตสาหกรรมโดยทั่วไปแล้ว ประกอบด้วยรายการต่างๆ ดังนี้คือ
ที่ดินและการปรับปรุงที่ดิน ควรพิจารณาเกี่ยวกับขนาดของพื้นที่และจำนวนพื้นที่ที่ต้องปรับปรุงความเหมาะสมของทำเลที่ตั้งเส้นทางซึ่งจะสัมพันธ์กับสาธารณูปโภค ตลาดของสินค้าสำเร็จรูป แหล่งที่มาของวัตถุดิบตลอดจนเส้นทางการขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป นอกจากนี้จะต้องเลือกวิธีการปรับปรุงที่ดิน เช่น โดยการถมดิน ถมทราย
สิ่งปลูกสร้าง งบประมาณการลงทุนมาจากการคาดคะเนแบบแปลนซึ่งสถาปนิกและวิศวกรเป็นผู้กำหนด สิ่งที่ควรพิจารณาในการตั้งงบประมาณ คือ ข้อมูลทางด้านเทคนิคจากผู้ขายเครื่องจักร กระบวนการผลิตสินค้า กำลังคน จำนวนสินค้าคงเหลือของวัตถุดิบและสินค้าคงเหลือและสินค้าสำเร็จรูป กำลังการผลิตของโรงงาน พระราชบัญญัติของการก่อสร้าง
เครื่องจักรอุปกรณ์ ในการพิจารณาเลือกซื้อเครื่องจักร นอกจากพิจารณาในด้านราคาแล้วยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของขนาดกำลังการผลิต ความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงาน อายุการใช้งาน ความสามารถในการซ่อมแซม จัดหาอะไหล่ และบำรุงรักษา สาระสำคัญของสัญญาซื้อขาย เงื่อนไขการชำระเงิน การติดตั้ง เครื่องจักร ฯลฯ
ยานพาหนะ จะต้องพิจารณาความเหมาะสมด้านต่างๆ เช่น ประเภทการขนส่งสินค้าต่อชนิดผลิตภัณฑ์ ขนาดของยานพาหนะในการจนส่งแต่ละประเภท และจำนวนของยานพาหนะให้เพียงพอต่อการบริการ
เครื่องใช้สำนักงาน พิจารณาตั้งงบประมาณให้เหมาะสมกับกำลังคนและความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
2. การพิจารณาและวิเคราะห์การควบคุมการผลิต การควบคุมการผลิตในเรื่องของปริมาณและคุณภาพของผลิตภัณฑ์นั้นมีความสำคัญทางเทคนิคมาก การควบคุมนี้จะมีผลต่อเนื่องมาจากการเลือกซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์และการเลือกกระบวนการผลิต
การเลือกกระบวนการผลิตจะต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ชนิดของวัตถุดิบที่มีอยู่ในปัจจุบัน ต้นทุนการผลิต และการเงินในบางกรณีหรือบางประเภทของอุตสาหกรรมได้มีผู้ดำเนินการขอสงวนการใช้ ดังนั้นการเลือกกระบวนการผลิต จึงจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขอใช้ลิขสิทธิ์
ส่วนการควบคุมปริมาณและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเลือกกระบวนการผลิตการซื้อเครื่องจักร การซื้อลิขสิทธิ์ ฯลฯ จากผลสืบเนื่องดังกล่าวเพื่อให้แน่ใจว่าโครงการจะดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย ควรที่จะมีผู้รับเอาประกันความสำเร็จของโครงการกบ่าวคือ ผู้ขายเครื่องจักรควรจะรับประกันคุณภาพของเครื่องจักรและการผลิตอุปกรณ์ ผู้ขายลิขสิทธิ์ควรรับประกันในด้านการให้ความช่วยเหลือทางด้านการค้นคว้าและวิจัยเทคนิคใหม่ ๆ ใน การผลิตผลิตภัณฑ์
3. การพิจารณาและการวิเคราะห์การวางแผน การวางแผนงานของโครงงานแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การวางแผนในการดำเนินการลงทุน และการวางแผนในการผลิต
การวางแผนในการดำเนินการลงทุนคือ การกำหนดแผนงานตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อคาดคะเนการใช้เงินลงทุน และค่าใช้จ่ายของโครงการในระยะเริ่มต้นก่อนเปิดดำเนินการ แบ่งเป็น 3 ระยะคือ
ระยะที่ 1 คือ ระยะเวลามรการดำเนินการด้านธุรการ เช่น การจัดตั้งบริษัท การขอรับการส่งเสริมจาก BOI การหาแหล่งเงินทุน ฯลฯ
ระยะที่ 2 คือ ระยะเวลาของการก่อสร้าง
ระยะที่ 3 คือ ระยะในการดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องจักรและอุปกรณ์
การวางแผนในการผลิต แผนงานในขั้นนี้ได้แก่ การกำหนดปริมาณการผลิตที่เหมาะสมของโครงการอาจจะเริ่มจากน้อยไปหามาก โดยพิจารณาจากความต้องการและการตอบสนองของผลิตภัณฑ์ วัตถุดิบ และปริมาณการผลิตที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด การขนส่ง ราคา ฯลฯ นอกจากนี้ในด้านของกำลังคนควรพิจารณาถึงประเภทของแรงงานที่ใช้ เช่น ช่างฝีมือแรงงาน กึ่งช่างฝีมือ และแรงงานที่ไม่ใช่ช่างฝีมือ และควรคำนึงถึงจำนวนแรงงานที่ต้องการเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิต ระยะเวลาการทำงานแต่ละวัน แต่ละปี รวมทั้งการจัดองค์การ
4. ต้นทุนการผลิตเบื้องต้น การคิดคำนวณค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิต เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวิเคราะห์โครงการทางเทคนิค ค่าใช้จ่ายในการผลิตสามารถแบ่งเป็นค่าเสื่อมราคา วัตถุดิบ แรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในโรงงาน
ค่าเสื่อมราคา โยทั่วไปจะคิดอัตราค่าเสื่อมราคาดังนี้ อัตราค่าเสื่อมราคาของสิ่งปลูกสร้างร้อยละ 5 ของมูลค่าต่อปี ค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรและอุปกรณ์ร้อยละ 10 ของมูลค่ารวมต่อปี และค่าเสื่อมราคาของยานพาหนะร้อยละ 2 ของมูลค่ารวมต่อปี
วัตถุดิบ การคำนวณหามูลค่าของวัตถุดิบที่ใช้ในแต่ละปี จะต้องนำข้อมูลการวางแผนในเรื่องวัตถุดิบและปริมาณการผลิตมาเป็นเกณฑ์ ในการคำนวณมูลค่าวัตถุดิบนั้นมีข้อควรระวัง คือจะต้องคำนึงถึงปริมาณวัตถุดิบที่แท้จริง ทั้งนี้ไม่ควรลืมว่าปริมาณของวัตถุดิบอาจจะเกิดการสูญเสียขึ้นได้ในระหว่าง การขนส่ง และระหว่างผ่านกระบวนการผลิต ฯลฯ
แรงงาน ในขั้นนี้เป็นการประมาณค่าใช้จ่าย อัตราเงินเดือนหรืออัตราแรงงานขั้นต่ำรายวันกับกำลังคนที่ใช้
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในโรงงาน โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วยค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค เช่นค่าไฟฟ้า ค่าจ้ำ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมสินทรัพย์ถาวร ค่าใช้จ่ายสวัสดิการต่าง ๆค่าวัสดุสิ้นเปลือง ค่าบรรจุหีบห่อ ค่าชำรุดเสียหาย ฯลฯ
หลักประกันค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิต โดยทั่วไปจะประมาณในระยะปีต่อปี โดยให้สอดคล้องกับการวางแผนงานควบคุมการผลิตและการผลิต
การวิเคราะห์โครงการด้านการเงิน
การวิเคราะห์ด้านการเงินเพื่อพิจารณาลู่ทางความเป็นไปได้ของโครงการ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การจัดเตรียมงบประมาณทางด้านการเงิน เพื่อประโยชน์ทางด้านการประเมินลู่ทางความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ของโครงการ และประมาณการความต้องการทางการเงินของโครงการ การจัดทำงบประมาณกาความต้องการทางการเงินของโครงการ การจัดทำประมารการทางการเงินจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้มีการประมาณการทางด้านเทคนิค และภาวะการตลาดของโครงการเรียบร้อยแล้ว โดยทั่วไปการวิเคราะห์ทางการเงินควรวิเคราะห์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ประมาณการและจัดสรรแหล่งที่มาของเงินทุน การประมาณการเงินลงทุนในโครงการ และจัดสรรแหล่งที่มาของเงินทุนจะประกอบด้วย ค่าที่ดินและค่าปรับปรุงที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ยานพาหนะ เครื่องใช้สำนักงานและเครื่องตกแต่ง ค่าใช้จ่ายก่อนการดำเนินงาน เงินทุนหมุนเวียน
การจัดสรรแหล่งที่มาของเงินทุนจะได้มาจากแหล่งที่มาจากแหล่งต่อไปนี้ คือ เงินทุนจดทะเบียน แหล่งเงินกู้ระยะยาว ซึ่งจะต้องนำไปใช้สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร โดยคำนึงถึงสัดส่วนระหว่างเงินทุนจดทะเบียนกับแหล่งเงินกู้ระยะยาว ตามปกติไม่เกิน 1:1.5 และแหล่งเงินกู้ระยะสั้น ซึ่งจะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
2. การประเมินคุณค่าโครงการ การประเมินคุณค่าโครงการจะพิจารณาด้านต่าง ๆ ดังนี้
ผลตอบแทนทางการเงิน โดยพิจารณาจากงบกำไรขาดทุนเพื่อทราบถึงผลกำไรขาดทุนของกิจการ และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน
การพิจารณาจุดคุ้มทุน เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ราคาต่อต้นทุน ปริมาณการขายและกำไร จุดคุ้มทุนคือ จุดที่กิจการดำเนินการผลิตมาจนมีรายได้เท่ากับรายจ่ายพอดี ไม่มีกำไรและขาดทุน แต่ถ้ายอดขายส่วนมากอยู่ใกล้กับจุดคุ้มทุน แสดงว่ากิจการนั้นมีการเสี่ยงในการลงทุนมาก
ต้นทุนสินค้าต่อหน่วย การหาต้นทุนสินค้าต่อหน่วยของสินค้าที่ขาย เพื่อนำมาเปรียบเทียบราคาขายต่อหน่วย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการตั้งราคาขายสินค้าได้เหมาะสม เพราะสามารถทราบการเปลี่ยนแปลงต้นทุนที่มีต่อปริมาณการผลิต ราคาวัตถุดิบ ราคาขาย ฯลฯ ได้อย่างชัดเจน
สรุปประเด็น
การวิเคราะห์ด้านการเงินเพื่อพิจารณาลู่ทางความเป็นไปได้ของโครงการ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การจัดเตรียมงบประมาณทางด้านการเงิน เพื่อประโยชน์ทางด้านการประเมินลู่ทางความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ของโครงการ และประมาณการความต้องการทางการเงินของโครงการ การจัดทำงบประมาณกาความต้องการทางการเงินของโครงการ การจัดทำประมารการทางการเงินจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้มีการประมาณการทางด้านเทคนิค และภาวะการตลาดของโครงการเรียบร้อยแล้ว
กรณีศึกษา
ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาสมุนไพร ร้าน ?ใบเตย?
แฟรนไชส์ก๋วยเตี๋ยวไทย ไอเดียเพื่อสุขภาพ
ความเป็นมา
++ร้าน ?ก๋วยเตี๋ยว? ทำไมต้อง ?ลูกชิ้นปลาสมุนไพร? และ ทำไมต้อง ?ใบเตย?!?
++เรื่องนี้คงต้องถาม คุณ ปฐมพงษ์ อรรคศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิล์ค ไทม์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์ ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาสมุนไพร ?ใบเตย?
++คุณปฐมพงษ์เล่าว่า ก่อนที่จะเบี่ยงเบนอาชีพแบบสุดขั้วมาทำแฟรนไชส์ก๋วยเตี๋ยวนั้น เดิมเคยเปิดบริษัทซื้อขายเวลาทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แต่ก็ไปไม่รอด หลังเจอเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ โดนลูกค้าเบี้ยวเงินจนสถานการณ์บริษัทย่ำแย่
++แต่ด้วยความเป็นคนสนใจในธุรกิจแฟรนไชส์เป็นทุนเดิม และหมั่นศึกษาหาข้อมูลมาโดยตลอด จึงพลิกตัวได้อย่างรวดเร็ว
++แนวคิดของคุณปฐมพงษ์นั้นค่อนข้างน่าสนใจ และมีเสน่ห์อยู่หลายจุดทีเดียว
++อันดับแรก ทำไมต้องเป็น ?ร้านก๋วยเตี๋ยว? เพราะหากจะนั่งนับดูแฟรนไชส์ร้านก๋วยเตี๋ยวเวลานี้ หรือร้านก๋วยเตี๋ยวที่เปิดเอง ต้องบอกว่าสมรภูมินี้หินเอาการและเต็มไปด้วยการแข่งขันที่รุนแรง
++คำตอบของคุณปฐมพงษ์มีอยู่ข้อเดียว และเป็นข้อเดียวที่ยากจะปฏิเสธ ?ธุรกิจอาหารเป็นตลาดที่ใหญ่ และมหาศาล ยังไงก็ขายได้?
++เพียงแต่คุณต้องหาจุดเด่นที่แตกต่างให้กับธุรกิจอาหารของคุณ ให้เจอเท่านั้น!?
++คุณปฐมพงษ์เลือกที่จะสร้างจุดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์ ?เพื่อสุขภาพ? โดยใช้ ?เนื้อปลา? ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีไขมันต่ำ และมีสาร DHA กับ ?สมุนไพรไทย? เข้ามาเป็นจุดขาย เรียกว่าอิงเข้ากับกระแสนิยมและความตื่นตัวของคนในช่วงเวลานี้ได้อย่างพอดิบพอดี
++มนุษย์ทุกวันนี้ นอกจากเสพอาหารก็ยังเสพข่าวสาร ซึ่ง โฆษณาและประชาสัมพันธ์ ที่โหมยิงออกมาจากสินค้ายี่ห้อดัง ๆ เวลานี้ล้วนแต่กระตุ้นให้คนไทยตื่นตัวมากขึ้นในเรื่องการบริโภค?เนื้อปลา? และ ประโยชน์นานัปการของ ?สมุนไพรไทย? ซึ่งคุณปฐมพงษ์ก็รู้จักที่จะหยิบยืมผลพลอยได้นี้มาใช้
++?ลูกชิ้นปลาของผมจะประกอบไปด้วยสมุนไพรกว่า 10 ชนิด ทั้ง ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า ผักชี ต้นหอม เยอะมาก ในน้ำซุปก็เหมือนกันจะมีส่วนผสมของสมุนไพรด้วย ก็ต้องลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง กว่าจะลงตัว ช่วงแรกผมใส่สมุนไพรลงไปเป็นชิ้นๆ ลูกค้าบางคนชอบ บางคนไม่ชอบ ต้องปรับปรุงตลอดเวลา? คุณปฐมพงษ์พูดถึงการการนำสมุนไพร และเนื้อปลา เข้ามาเป็นจุดขายของร้าน
++ส่วนชื่อร้านนั้นคุณปฐมพงษ์ก็เลือกใช้ชื่อที่เก๋ไก๋ จำง่าย และดูเป็นไทยๆ เป็นสมุนไพรไปด้วยในตัว ว่า ?ใบเตย? ที่สำคัญคอนเซ็ปต์ของร้าน ก็จะมีน้ำใบเตยไว้คอยบริการลูกค้าด้วย เพื่อสร้างความประทับใจ
จากร้านต้นแบบสู่ธุรกิจแฟรนไชส์
++สาขาแรกของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาสมุนไพร ?ใบเตย? หรือร้านต้นแบบเกิดขึ้นที่ย่านถนนเพชรเกษม ภายใต้สโลแกน ?ร้านก๋วยเตี๋ยวชามด่วน ของคนรักสุขภาพ อร่อย สะอาด ราคาถูก? ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
++?เปิดไปได้ 6 เดือน ก็มีลูกค้าประจำ เขาบอกว่ากำลังจะลาออกจากงาน มาถามผมว่าจะมารับลูกชิ้นไปขายได้มั้ย จะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างเราได้มั้ย ทำให้ผมเริ่มมั่นใจที่จะเปิดร้านใบเตยเป็นแฟรนไชส์? คุณปฐมพงษ์เล่า
++เมื่อตั้งใจเปิดเป็นแฟรนไชส์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด หรือสร้าง Brand Royalty ความที่เคยผ่านงานสื่อ และคลุกคลีอยู่ในวงการมานาน ทำให้คุณปฐมพงษ์มองหาช่องทางประชาสัมพันธ์โดยการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้งการเดินไปตามค่ายเพลง ซึ่งไม่ว่าจะไปจัดคอนเสิร์ตที่ไหน คุณปฐมพงษ์ก็จะขอตามไปออกบูธเพื่อให้ผู้ไปชมคอนเสิร์ตได้ทดลองชิม เพราะกลุ่มเป้าหมายของร้านใบเตยนั้น คุณปฐมพงษ์มองไว้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นพ่อบ้าน แม่บ้าน รวมถึงกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน
จัดทำโปรเจคเพื่อขอกู้
จังหวะก้าวแห่งการเติบโต
++เพียง 1 ปีเศษ คุณปฐมพงษ์ก็ขยายสาขาแฟรนไชส์ออกไปได้ถึง 44 สาขา เรียกว่าค่อนข้างเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณปฐมพงษ์บอกว่าต้องขอบคุณ SMEs BANK หรือ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจและยอมปล่อยกู้ให้กับบริษัท ซึ่งเม็ดเงินกู้ที่ได้จาก SMEs BANK คุณปฐมพงษ์นำไปใช้ในการขยายกิจการ และ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าให้กับร้านแฟรนไชส์ ซึ่งทำให้ เวิร์ค ไทม์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ พร้อมมากขึ้นในการทำธุรกิจแฟรนไชส์
++สำหรับค่าแฟรนไชส์ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาสมุนไพร ?ใบเตย? นั้น เริ่มต้นที่ 70,000-150,000 บาท
++70,000 บาท ก็จะได้เป็นคีออสหรือรถเข็น แต่ถ้าเป็นร้านอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ก็ 100,000 บาท ถ้า 2 คูหา ก็ 150,000 บาท ส่วนสิ่งที่จะได้รับเรียกว่าอุปกรณ์ครบครันพร้อมขาย เพียงแต่คุณหาทำเลให้ได้เท่านั้นเอง
++คุณปฐมพงษ์บอกว่า ที่ลืมไม่ได้คือคุณต้องมีเงินทุนหมุนเวียนติดมือเอาไว้อย่างน้อย 30,000 บาท ระยะเวลาคุ้มทุนนั้นขึ้นอยู่กับทำเล หากขายดี 1-2 เดือนก็คืนทุนแล้ว ใครสนใจแฟรนไชส์ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาสมุนไพรใบเตย ก็ลองติดต่อคุณปฐมพงษ์ได้ที่เบอร์โทร.02-377-9582 , 02-377-9735 หรือ 01-620-5752
ข้อสรุปทางวิชาการ
? ก่อนดำเนินการขอกู้ คุณปฐมพงษ์ได้มีการจัดทำการวิเคราะห์ด้านการเงินเพื่อพิจารณาลู่ทางความเป็นไปได้ของโครงการ โดยอาศัยร้านต้นแบบ และ การที่มีคนติดต่อเข้ามาเพื่อสมัครแฟรนไชส์ถึง 44 ราย ซึ่งเป็นการการันตีให้กับสถาบันการเงินถึงความสามารถในการคืนเงิน
? คุณปฐมพงษ์ ได้มีการจัดทำแผนธุรกิจแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งมีการวิเคราะห์ หาข้อมูล ภาวะตลาด ความเป็นไปได้ของธุรกิจ และ โอกาสในการสร้างรายได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการจัดทำโครงการเพื่อขอเงินกู้สำหรับธุรกิจ
? การสร้างสินค้าแม้จะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว แต่สามารถสร้างเอกลักษณ์ และ มีจุดขายที่โดดเด่น แตกต่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไป เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ และ การขอเงินกู้จากสถาบันการเงิน