การจัดหาเงินทุนของธุรกิจ SMEs
เรียบเรียงโดย ผศ.กิตติภูมิ มีประดิษฐ์
การวางแผนและการสร้างธุรกิจ SMEs ที่จะสามารถอยู่รอดได้นั้นไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารที่มีความสามารถและการมีตลาดที่ดีเท่านั้น แต่ไม่มีสิ่งใดที่ใช้ทดแทนฐานทางการเงินที่ดีได้ ถ้าหากว่าธุรกิจจะต้องอยู่รอดและเจริญเติบโตตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน
ตามหลักการแล้วผู้ประกอบการจะต้องนำเงินไปลงทุนในธุรกิจและมีการบริหารเงินทุนนั้นอย่างเหมาะสมเพื่อให้แน่ใจว่ากิจการจะบรรลุศักยภาพเต็มที่ได้ เงินทุนที่ใช้เพื่อเริ่มต้นธุรกิจได้มาจากแหล่งต่าง ๆ กัน แม้ว่าการวางแผนทางการเงินที่ดีที่สุดจะไม่ได้เตรียมผู้ประกอบการให้เผชิญกับปัญหาทางการเงินทั้งหมดได้แต่การประเมินความต้องการทางการเงินที่มีการพัฒนามาเป็นอย่างดีก่อนการเริ่มต้นกิจการ หรือการทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานที่มีอยู่จะช่วยลดการเผชิญปัญหาทางการเงินและความล้มเหลวของธุรกิจที่เกิดโดยฉับพลันซึ่งอาจจะหลีกเลี่ยงได้
ผู้ประกอบการ SMEs จะต้องเผชิญกับคำถามทางการเงินที่สำคัญ ๆ เช่น ต้องการเงินเพื่อเริ่มต้นกิจการหรือใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินงานของธุรกิจที่กำลังประกอบการอยู่เป็นจำนวนเท่าใด จะหาเงินมาได้จากที่ใด จะใช้เงินทุนอย่างไร จะใช้เวลานานเท่าใดก่อนที่การใช้เงินทุนเหล่านี้จะก่อให้เกิดกำไร สามารถหาเงินทุนมาเพิ่มได้อย่างไรในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน จะจ่ายเงินคืนให้กับผู้ให้กู้ยืมหรือจะจ่ายคืนผลตอบแทนส่วนที่เหลือให้กับผู้นำเงินมาลงทุนอย่างไรเป็นต้น
การกำหนดความต้องการทางการเงิน
การกำหนดความต้องการทางการเงินของ SMEs ที่กำลังจะเปิดดำเนินการหรือ SMEs ที่เปิดดำเนินการอยู่แล้วจะต้องยึดหลักสำคัญเพื่อให้เกิดการบริหารการเงินที่มีประสิทธิผลโดยการระบุค่าใช้จ่ายดำเนินงานและการประเมินข้อผูกพันทางการเงินส่วนบุคคลที่มีอยู่
ความต้องการทางการเงินของ SMEs จะวนเวียนอยู่รอบ ๆ ความต้องการที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกันสามประเภทคือ เงินทุนในการจัดตั้งธุรกิจ เงินทุนในการเริ่มต้นธุรกิจ และเงินทุนในการดำเนินงาน ความต้องการสองประเภทแรกมุ่งที่ระยะเวลาก่อนการเริ่มต้นดำเนินงาน ในขณะที่เงินทุนในการดำเนินงานอาจจะเป็นที่ต้องการ ณ จุดใด ๆ ก็ได้ในระหว่างช่วงชีวิตของธุรกิจ
ความต้องการเงินทุนในการจัดตั้งธุรกิจ
เงินทุนที่ต้องการเพื่อจัดตั้งกิจการ ได้แก่ ค่าชำระค่าใบอนุญาตและการขออนุญาตต่าง ๆ เงินมัดจำ สิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายทางด้านกฎหมายและอื่น ๆ การเริ่มต้นธุรกิจเกี่ยวข้องกับการเตรียมการเป็นอย่างมากซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง
ค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนเริ่มแรกที่มีจำนวนมากที่สุดรายการหนึ่งจะเป็นเงินมัดจำการเช่าและการซ่อมแซมหรือการออกแบบร้านขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกควรจะถูกแสวงหามาให้เหมาะสมกับความต้องการที่คาดหวังไว้มากที่สุด ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะมีอยู่จำนวนหนึ่งที่มากพอจึงต้องมีการประมาณและวางแผนเตรียมไว้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายจำนวนนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่ธุรกิจจะมีรายได้ฃ
ความต้องการเงินทุนประเภทที่สอง คือเงินทุนที่จะนำไปใช้เป็นค่าอุปกรณ์และเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ต้องการเพื่อดำเนินธุรกิจ อาทิเช่น เครื่องบันทึกเงินสด เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงานขนาดเล็ก เครื่องจักรเฉพาะด้านและอุปกรณ์การขนส่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนโดยขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ
ความต้องการเงินทุนประเภทที่สาม คือเงินทุนที่จะนำมาซื้อสินค้าคงเหลือช่วงเริ่มต้นธุรกิจ ธุรกิจจะต้องมีวัสดุและสินค้าคงเหลือก่อนที่จะเริ่มต้นดำเนินงานในขณะที่ผู้จำหน่ายบางคนให้เครดิตการค้าหรือส่งสินค้าคงเหลือที่ต้องการมาให้ก่อน แต่ผู้จำหน่ายส่วนใหญ่ต้องการได้รับชำระเงินจากกิจการที่เปิดใหม่เมื่อได้ส่งสินค้ามาให้
ความต้องการเงินทุนประเภทที่สี่ คือเงินทุนซึ่งมักจะถูกละเลย เช่น ค่าใบอนุญาตและการขออนุญาต ค่าธรรมเนียมทางด้านวิชาชีพ และค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระก่อนใบอนุญาตประกอบธุรกิจและการขออนุญาตตามที่กำหนดไว้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่าง ๆ ที่ต้องชำระก่อน เช่น ค่าประกันภัย ค่าสาธารณูปโภคเป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญ ค่าบริการทางด้านกฎหมายและการบัญชีซึ่งถึงแม้ว่าจะมีราคาแพงก็มักจะเป็นที่ต้องการเพื่อจัดตั้งกิจการ ค่าธรรมเนียมในการจัดตั้งบริษัท การได้รับลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภทของความเป็นเจ้าของและความเชี่ยวชาญของเจ้าของเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ ถึงแม้ว่าผู้ประกอบการที่มีพื้นฐานในเรื่องกฎหมายธุรกิจและการบัญชีอยู่บ้าง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะมีจำนวนมากพอที่จะต้องรวมไว้เพื่อทำการวางแผนความต้องการเงินทุน
ความต้องการเงินทุนในการเริ่มต้นธุรกิจ
นอกเหนือจากความต้องการเงินทุนเพื่อจัดตั้งธุรกิจแล้ว เงินทุนที่ธุรกิจต้องการอีกประเภทหนึ่งคือ ความต้องการเงินทุนเพื่อทำให้ธุรกิจเริ่มต้นได้ แรงงาน การส่งเสริมการขาย วัสดุสำนักงาน เครื่องใช้ที่ต้องตกแต่งใหม่ และรายการอื่น ๆ ที่แตกต่างกันซึ่งจะต้องจัดซื้อมา ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดก่อนการเปิดกิจการ ลักษณะที่เด่นชัดของค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจ คือ ค่าใช้จ่ายที่มักจะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อเริ่มต้นธุรกิจและจะไม่เกิดขึ้นอีกในปีต่อไป
ความสำคัญของค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจจะขยายขอบเขตออกไปมากขึ้น เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งรายรับและรายจ่ายมักจะเปลี่ยนแปลงได้มากในระหว่างช่วงเวลาที่เริ่มต้นธุรกิจ ลักษณะและขอบเขตของความต้องการสินค้าและบริการของธุรกิจ จังหวะเวลาการขาย และระดับของรายจ่ายที่เหมาะสม ในระหว่างระยะของการลองผิดลองถูกนี้มักจะปรากฏว่ารายจ่ายสูงกว่ารายรับและการหมุนเวียนของเงินสดจะเป็นปัญหา ดังนั้น เงินทุนในการเริ่มต้นธุรกิจอาจจะเป็นที่ต้องการเพื่อให้คุ้มค่าใช้จ่ายเหล่านี้และช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานได้ตลอดระยะเวลาสามถึงหกเดือนแรก
ความต้องการเงินทุนในการดำเนินงาน
ตลอดชีวิตของธุรกิจจะมีความต้องการการจัดหาเงินทุนเป็นบางโอกาส ผู้ประกอบการอาจจะต้องการที่จะรักษาเสถียรภาพของเงินสดรับและเงินสดจ่าย ขยายการดำเนินงาน หรือช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้ตลอดเวลาที่เกิดความยุ่งยาก
ในขณะที่ผู้ประกอบการผ่านขั้นตอนการจัดตั้งและการเริ่มต้นธุรกิจโดยตลอดได้ค่อนข้างรวดเร็ว ความต้องการเงินทุนในการดำเนินงานสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิตของธุรกิจ
การใช้เงินทุนในการดำเนินงานที่ปกติธรรมดาที่สุด คือ เพื่อที่จะเอาชนะปัญหาการหมุนเวียนของเงินสด เพื่อช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดในช่วงที่เผชิญกับความตกต่ำ และเพื่อการขยายตัวทางการเงิน ธุรกิจเกือบทุกแห่งจะต้องเคยประสบกับปัญหาการหมุนเวียนของเงินสดในบางเวลาไม่ช้าก็เร็ว เงินสดรับไม่เพียงพอกับเงินสดจ่ายและธุรกิจจะต้องอาศัยเงินสดสำรองหรือการจัดหาเงินจากภายนอกเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเงินสดรับกับเงินสดจ่าย ในกรณีที่ลักษณะเช่นนี้กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ แล้วก็อาจจะจำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนของธุรกิจเสียใหม่ นั่นคือ ความสมดุลระหว่างการก่อหนี้กับการลงทุนของเจ้าของธุรกิจ
ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน เช่น เพื่อที่จะเอาชนะความตกต่ำของธุรกิจ การถดถอยของเศรษฐกิจ การสูญเสียลูกค้ารายสำคัญไป ซึ่งสามารถส่งผลกระทบที่สำคัญต่อการดำเนินงานของธุรกิจ ธุรกิจอาจจะต้องการเงินทุนเพื่อช่วยให้การดำเนินงานต่อเนื่องไปได้ หรือเพื่อที่จะวางตำแหน่งของธุรกิจขึ้นใหม่ในตลาด
การกำหนดความต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน
เมื่อเจ้าของ SMEs ได้ทำการประเมินความต้องการเงินทุนเพื่อนำมาใช้ในการจัดตั้งธุรกิจ หรือเงินทุนในการดำเนินงานแล้ว ก็สามารถกำหนดสภาพการณ์ที่ยุติธรรมได้ เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่เจ้าของเต็มใจและสามารถที่จะผูกมัดธุรกิจกับจำนวนเงินที่เจ้าหนี้และนักลงทุนอื่น ๆ นำมาให้กับธุรกิจ
ในขณะที่ผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้ประกอบการ SMEs บางคนมีเงินทุนของตัวเองเพียงพอ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะต้องกู้ยืมเงินหรือหาผู้ที่จะนำเงินมาลงทุนในธุรกิจ การตระหนักถึงความต้องการเงินทุนจากภายนอกเป็นเรื่องสำคัญ
แหล่งของการจัดหาเงินทุนที่สำคัญที่สุดแหล่งหนึ่งสำหรับกิจการซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ คือ ทรัพยากรทางการเงินส่วนบุคคล ถ้าหากว่าเงินทุนของตัวเองไม่เพียงพอ ผู้ประกอบการการอาจจะต้องกู้ยืมจากญาติพี่น้อง เพื่อน สถาบันที่ให้กู้ยืม หรือผู้จำหน่าย
ในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ต้องการที่จะกู้ยืมก็อาจจะใช้วิธีแสวงหานักลงทุนจากภายนอก ในขณะที่เงินทุนเหล่านี้ไม่ต้องได้รับการชำระคืน ถ้าหากว่าธุรกิจไม่สามารถทำกำไรได้ แต่เจ้าของธุรกิจจะต้องสูญเสียอำนาจหน้าที่ในบางด้านและอาจจะไม่สามารถควบคุมจุดหมายปลายทางของธุรกิจได้
ผู้ประกอบการต้องพยายามที่จะเพิ่มเงินทุนให้เท่ากับจำนวนที่เขาต้องการนำมาใช้ในธุรกิจเท่านั้น การได้รับเงินทุนจำนวนมากเกินไปทำให้ธุรกิจต้องเสียค่าใช้จ่ายในรูปของการชำระค่าดอกเบี้ยให้กับเงินทุนที่กู้ยืมมา หรือการยอมให้บุคคลอื่นเข้ามามีส่วนในการควบคุมธุรกิจมากเกินไป สำหรับการจัดหาเงินจำนวนน้อยเกินไปก็หมายความว่าธุรกิจไม่สามารถทำทุกเรื่องที่ต้องการจะทำเพื่อให้กิจการประสบความสำเร็จ
การจัดหาเงินจะต้องมีการวางแผนอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก การบรรลุส่วนผสมที่ต้องการระหว่างส่วนของเจ้าของและหนี้สินซึ่งจะพอดีกับความต้องการเงินทุนไม่สามารถปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
การประมาณความต้องการเงินทุนในการเริ่มต้นและดำเนินงานจะมีบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างไปเนื่องจากรายรับบางรายการสามารถทดแทนค่าใช้จ่าย ดังนั้นกระบวนการที่เกี่ยวข้องจะมีมากกว่าเรื่องของการวิจัยค่าใช้จ่าย การพยากรณ์ยอดขายสำหรับกิจการที่จัดตั้งขึ้นใหม่ หรือการขยายตัวไปสู่ธุรกิจสายใหม่ที่แตกต่างออกไปเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะว่ายังไม่มีบันทึกที่ผ่านมาในอดีต ผู้ประกอบการมักจะประมาณรายรับภายหลังจากการวิเคราะห์ขีดความสามารถของตลาดและประมาณยอดขายของคู่แข่งขัน
กุญแจที่จะนำไปสู่การประมาณความต้องการเงินทุนที่ประสบความสำเร็จ คือการมีการคาดหมายรายรับและค่าใช้จ่ายที่มีเหตุผล อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ประกอบการจะกระตือรือล้นมากเกินไปเกี่ยวกับ SMEsของเขาจนทำให้พวกเขามองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับยอดขายและทำการประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจต่ำเกินไป
การวางแผนความต้องการเงินทุนในอนาคต
ความต้องการเงินทุนไม่ได้เป็นเรื่องแปลกในการเริ่มต้นการดำเนินงานของธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจเจริญเติบโต ความต้องการเงินทุนเพื่อขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีจำนวนเกินกว่าเงินสดสำรองที่มีอยู่ ดังนั้นแม้แต่ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จก็จะต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ ที่ดิน สินค้าคงคลัง แรงงาน และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ในขณะที่เป็นการยากที่จะทำการพยากรณ์ว่าเมื่อใดธุรกิจจะต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้นผู้ประกอบการควรจะทราบถึงโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นได้เหล่านี้
ผู้ประกอบการ SMEs ควรจะประมาณและวางแผนความต้องการเงินทุนสำหรับสองถึงสี่ปีข้างหน้าการพยากรณ์ระดับกิจกรรมของธุรกิจในอนาคตเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการนี้เมื่อธุรกิจได้ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลาหนึ่งหรือสองปี สิ่งที่สำคัญที่สุดผู้ประกอบการจะต้องเตรียมธุรกิจสำหรับความต้องการเงินทุนในอนาคตอย่างมีประสิทธิผลไม่ว่าเพื่อที่จะให้ผ่านช่วงเวลาที่ยุ่งยากหรือเพื่อที่จะขยายการดำเนินงาน
ประเภทเงินทุน
เมื่อมีการตัดสินใจเกี่ยวกับความต้องการเงินทุนแล้ว ผู้ประกอบการจะต้องระบุแหล่งเงินทุนที่อาจจะเป็นไปได้ การจัดหาเงินเป็นเรื่องยากที่จะได้รับและมีประเภทเงินทุนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดโดยขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ สถานการณ์ทางการเงินปัจจุบัน จำนวนของเงินทุนที่ต้องการ และตัวแปรอื่น ๆ และสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือ เงินทุนแต่ละประเภทจะเสนอค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งอาจจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ความเข้าใจแหล่งเงินทุนแหล่งต่าง ๆ และความเชื่อถือได้สำหรับธุรกิจเป็นกุญแจนำไปสู่การก่อให้เกิดเงินทุนและการบริหารการเงินที่ประสบความสำเร็จการจัดหาเงินทุนที่สำคัญสองประเภท คือ การจัดหาเงินโดยการก่อหนี้และการจัดหาเงินจากส่วนของเจ้าของ
สรุปประเด็น
การกำหนดความต้องการทางการเงินของ SMEs ที่กำลังจะเปิดดำเนินการหรือ SMEs ที่เปิดดำเนินการอยู่แล้วจะต้องยึดหลักสำคัญเพื่อให้เกิดการบริหารการเงินที่มีประสิทธิผลโดยการระบุค่าใช้จ่ายดำเนินงานและการประเมินข้อผูกพันทางการเงินส่วนบุคคลที่มีอยู่
ความต้องการทางการเงินของ SMEs จะวนเวียนอยู่รอบ ๆ ความต้องการที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกันสามประเภทคือ เงินทุนในการจัดตั้งธุรกิจ เงินทุนในการเริ่มต้นธุรกิจ และเงินทุนในการดำเนินงาน ความต้องการสองประเภทแรกมุ่งที่ระยะเวลาก่อนการเริ่มต้นดำเนินงาน ในขณะที่เงินทุนในการดำเนินงานอาจจะเป็นที่ต้องการ ณ จุดใด ๆ ก็ได้ในระหว่างช่วงชีวิตของธุรกิจ
เมื่อมีการตัดสินใจเกี่ยวกับความต้องการเงินทุนแล้ว ผู้ประกอบการจะต้องระบุแหล่งเงินทุนที่อาจจะเป็นไปได้ การจัดหาเงินเป็นเรื่องยากที่จะได้รับและมีประเภทเงินทุนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดโดยขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ สถานการณ์ทางการเงินปัจจุบัน จำนวนของเงินทุนที่ต้องการ และตัวแปรอื่น ๆ และสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือ เงินทุนแต่ละประเภทจะเสนอค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งอาจจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ความเข้าใจแหล่งเงินทุนแหล่งต่าง ๆ และความเชื่อถือได้สำหรับธุรกิจเป็นกุญแจนำไปสู่การก่อให้เกิดเงินทุนและการบริหารการเงินที่ประสบความสำเร็จการจัดหาเงินทุนที่สำคัญสองประเภท คือ การจัดหาเงินโดยการก่อหนี้และการจัดหาเงินจากส่วนของเจ้าของ
กรณีศึกษา
บริษัท ไทยวินิเทค (2002) จำกัด
คุณสุพัศชัย วิรัตกพันธ์ กรรมการผู้จัดการ โทรศัพท์02-639-6699 มือถือ 01-840-2967
บริษัท ไทยวินิเทค (2002) จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 เป็นโรงงานผลิตเกี่ยวกับท่อพลาสติก PVC, อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับท่อ, ข้อต่อ และข้องอต่าง ๆ ที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม ISO 9200 และเครื่องหมายการค้า 3 ด้าน
ลูกค้าซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯ ส่วนใหญ่อยู่แถบภาคอีสาน และตามหน่วยงานราชการต่าง ๆ เนื่องจากโรงงานผลิตอยู่โคราช นิคมอุตสาหกรรมสุรนารี ตั้งอยู่เลขที่ 319 หมู่ 6 ถ.ราชสีมาโชคชัย ต.หนองระเวียง เขตอำเภอเมือง จ.นครราชสีมา
บริษัท ไทยวินิเทค (2002) จำกัด ใช้คอมพิวเตอร์ และโปรแกรมสำเร็จรูปในการบันทึกเก็บข้อมูลทางบัญชีและการเงิน ทุกอย่างทั้งการซื้อ-ขาย บัญชีเงินเดือน บัญชีสินค้าคงคลัง จำนวนวัตถุดิบ การผลิต ตลอดจนบัญชีแยกประเภท ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ฯลฯ ซึ่งบัญชีเหล่านี้จัดทำไว้อย่างเป็นระบบ ระเบียบ ง่ายและสะดวกต่อการตรวจสอบข้อมูล จากทั้งภายในบริษัทเองหรือจากภายนอก (เช่น สรรพากร, หุ้นส่วน ฯลฯ) ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปนี้ก็มีราคาไม่สูงมากนัก อยู่ที่ประมาณ 4-5 หมื่นบาท
นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนการลงทุนทั้งทางด้านปริมาณ ต้นทุนการผลิต ความสามารถทางการทำกำไร และใช้วิเคราะห์ข้อมูลระหว่างการดำเนินการด้วยเช่นกัน คือเมื่อดำเนินการผลิตไปแล้วก็สามารถวิเคราะห์ได้ตลอดเวลา
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีการวางแผนที่จะจัดหาเงินทุนมาใช้หมุนเวียนในธุรกิจโดยขอกู้จาก SMEs Bank ซึ่งเราได้วางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนขอกู้แล้วว่าจะนำเงินมาทำอะไรบ้าง ซึ่งมีทั้งสินเชื่อระยะยาว 6 ปี ประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งกู้มาซื้อเครื่องจักร สร้างโรงงาน สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ส่วนสินเชื่อระยะสั้นวางแผนไว้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียน ประมาณ 20 ล้านบาท เช่น การผลิต ตลอดจนการซื้อ การขาย ซึ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนเมื่อเริ่มดำเนินการผลิตไปแล้ว