-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Who Moved My Cheese? โดย สเปนเซอร์ จอห์นสัน (Spencer Johnson)  (อ่าน 1638 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

don

  • บุคคลทั่วไป
Who Moved My Cheese? โดย สเปนเซอร์ จอห์นสัน (Spencer Johnson)
« เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2008, 23:23:54 »

Who Moved My Cheese?
ใครเอาเนยแข็งของฉันไป?
โดย สเปนเซอร์ จอห์นสัน (Spencer Johnson)
"เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลัง"
โดย Kenneth Blanchard, Ph.D.
ผมอยากจะเล่า "เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลัง" ของ "Who Moved My cheese?" ให้คุณรู้ เพราะเรื่องราวที่
อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นที่มาของหนังสือที่ได้เขียนขึ้นเล่มนี้ และมีให้พวกเราได้อ่าน, ได้สนุก และ ได้
แบ่งปันให้กับผู้อื่น
หนังสือเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องการเห็นมันเกิดขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้ยิน Spencer Johnson เล่า
เรื่อง "Cheese" ให้ฟังเมื่อหลายปีก่อน, ก่อนที่ Johnson และ ผม จะเขียนหนังสือของเรา เรื่อง "The
One Minute Manager" ด้วยกัน
ผมจำความคิดในตอนนั้นได้ว่า เรื่องนั้นดีอย่างไร และ มันจะช่วยผมอย่างไร นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้น
ไป
"Who Moved My Cheese?" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเขาวงกต ซึ่งมีตัวละคร
ที่น่าขบขันอยู่ 4 ตัว ที่มองหา "Cheese" - "Cheese" เป็นอุปมา สำหรับ สิ่งที่เราต้องการมีในชีวิต, ไม่
ว่าจะเป็นเรื่องงาน, ความสัมพันธ์, ความสงบทางจิตใจ, หรือแม้แต่กิจกรรม เช่น การวิ่งจ็อกกิ้ง, เล่น
กอล์ฟ
คนเราแต่ละคนมีความคิดเป็นของตนเองว่า "Cheese" คืออะไร และเราติดตามหามัน เพราะเราเชื่อว่า
มันจะทำให้เรามีความสุข ถ้าเราเจอมัน บ่อยครั้งที่เราจะติดอยู่กับมัน และถ้าเราสูญเสียมันไป หรือมัน
ถูกแย่งไป มันจะทำให้เราเจ็บปวด
"เขาวงกต" ในเรื่องนี้แสดงถึงสถานที่ ที่คุณใช้เวลามองหาสิ่งที่คุณต้องการ มันสามารถที่จะเป็น
องค์กรที่คุณทำงานอยู่, ชุมชนที่คุณอาศัยอยู่, หรือความสัมพันธ์ที่คุณมีในชีวิตของคุณ
ผมเล่าเรื่อง "Cheese" ที่คุณกำลังจะอ่าน ในการปราศรัยของผมทั่วโลก และบ่อยครั้งหลังจากที่ผม
ปราศรัยจบจะได้ยินผู้คนพูดถึง เรื่อง "Cheese" ที่มีต่อพวกเขาแตกต่างกัน
เชื่อหรือไม่ว่า, เรื่องเล็กๆ เรื่องนี้ได้รับความเลื่อมใส ในการช่วยเหลือด้านการดำเนินอาชีพ, การ
แต่งงาน และการดำรงชีวิต !
ตัวอย่างเรื่องจริงเรื่องหนึ่งจากหลายๆ เรื่อง มาจาก Charlie Jones ผู้ประกาศข่าวที่ได้รับความนับถือ
อย่างดี ทาง NBC-TV ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยว่า เรื่อง "Who Moved My Cheese?" ที่กำลังได้ยิน ได้
ช่วยเหลือเขาในด้านการดำรงอาชีพ งานของเขาซึ่งเป็นผู้ประกาศข่าวมีความเป็นเอกลักษณ์ แต่
หลักการดำเนินอาชีพที่เขาได้เรียนรู้สามารถนำไปใช้ได้กับทุกๆ คน
นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น : Charlie ได้ทำงานอย่างหนัก และได้ทำงานใหญ่เกี่ยวกับการออกอากาศการ
แข่งขัน Track and Field ที่ Olympic Games เมื่อคราวก่อน เขาจึงแปลกใจ และอารมณ์เสีย เมื่อนาย
ของเขา บอกเขาว่า เขาถูกย้ายออกจากการทำข่าวการแข่งขัน Track and Field ใน Olympics ครั้ง
หน้า และได้รับมอบหมายให้ไปทำข่าว Swimming and Diving แทน
เนื่องจาก Charlie ไม่รู้จักกีฬาประเภทนี้ดีพอ เขาจึงผิดหวัง เขารู้สึกไม่พอใจ และโกรธ เขาพูดว่า เขา
รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม! ความโกรธของเขาเริ่มกระทบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ
ในเวลานั้น, เขาได้ยินเรื่องราวของ "Who Moved My Cheese?"
หลังจากนั้น เขาพูดว่า เขาหัวเราะเยาะตัวเอง และเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดของเขาใหม่ เขาเข้าใจแล้ว
ว่า นายของเขาเพียงแค่ "เคลื่อนย้าย Cheese ของเขาเท่านั้นเอง" ดังนั้นเขาจึงปรับตัว เขาเรียนรู้กีฬา
ใหม่ อีก 2 ประเภท และในความเปลี่ยนแปลงนี้ เขาพบว่า การทำสิ่งใหม่ๆ ทำให้ให้เขารู้สึกหนุ่มขึ้น
เป็นเวลาไม่นานนัก นายของเขาได้รับรู้ถึง ความรู้สึกนึกคิด และกำลังความสามารถใหม่ของเขา และ
ไม่นานนัก เขาก็ได้รับมอบหมายงานที่ดีกว่า เขาเดินหน้าต่อไปเพลิดเพลินกับความสำเร็จที่มากขึ้น
กว่าแต่ก่อน และภายหลัง เขาได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมเป็นผู้ประกาศข่าว Pro Football's Hall of
Fame ของ Alley
นั้นเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาเรื่องจริงหลายๆเรื่อง ที่ผมได้ยินเกี่ยวกับผลกระทบของเรื่อง "Cheese" ที่มี
ต่อผู้คน - จากชีวิตการทำงาน สู่ชีวิตของความรัก ของพวกเขา
ผมเป็นผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าในพลังของ "Who Moved My Cheese" ซึ่งผมได้แจกสำเนาต้นฉบับ
ก่อนตีพิมพ์ตอนต้นปี ให้กับทุกคน (มากกว่า 200 คน) ที่ทำงานในบริษัทของเรา เมื่อไม่นานมานี้
ทำไม?
เพราะว่า เหมือนกับบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เพียงต้องการดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดในอนาคต แต่ยังต้องการอยู่
ในตำแหน่งที่ศักยภาพในการแข่งขัน เช่น Blanchard Training & Development มีการเปลี่ยนแปลง
อยู่เสมอ พวกเขาเคลื่อนย้าย "Cheese" ของเราอยู่อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ในอดีตเราอาจจะต้องการ
พนักงานที่มีความภักดี แต่ในปัจจุบันเราต้องการคนที่ยืดหยุ่น ซึ่งเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับ "สิ่งต่างๆ ที่
เกิดขึ้นรอบๆ ที่นี่"
และนอกจากนี้ ตามที่คุณรู้ การอาศัยอยู่ในน้ำที่มีความใสอยู่เสมอ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงซึ่ง
เกิดขึ้นตลอดเวลาในการทำงาน หรือในชีวิต ทำให้มีความกดดัน ถ้าคนเหล่านั้นไม่มีแนวทางในการ
มองดูความเปลี่ยนแปลงซึ่งจะช่วยให้เขาเข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเปิดประตูสู่เรื่อง "Cheese"
หลายคนจะต้องอ่าน "Who Moved My Cheese? เมื่อเขาได้ยินผมเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมันให้เขาฟัง
คุณเกือบจะรู้สึกได้ถึงการผ่อนคลายพลังความคิดในแง่ลบที่กำลังเริ่มเกิดขึ้น คนแล้วคนเล่าจากทุกๆ
แผนกหันมาขอบคุณผมเรื่องหนังสือที่ผมแจกให้ และบอกผมว่า หนังสือที่ผมแจกช่วยพวกเขาได้แล้ว
อย่างไร โดยดูจากการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น ในบริษัทของเราในมุมมองที่แตกต่างไป เชื่อผม
เถอะ นิยายเปรียบเทียบเล่มนี้ ใช้เวลาอ่านเพียงนิดเดียว แต่มันมีผลกระทบอย่างลึกซึ้ง
เมื่อคุณเปิดอ่านหน้าต่อๆ ไป คุณจะพบว่าหนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ: ส่วนแรก : A
Gathering, เพื่อนร่วมห้องรุ่นก่อนพูดเกี่ยวกับ เรื่องความพยายามที่จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่
กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา ในงานเลี้ยงรุ่น ส่วนที่สอง : เรื่อง "Who Moved My Cheese?", เป็น
แกนสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ส่วนที่สาม : A Discussion, ผู้อ่านพูดคุยถึงสิ่งที่เรื่องนี้ให้ต่อพวกเขา
และ พวกเขาจะใช้สิ่งที่ได้รับ ในการทำงาน และการดำเนินชีวิตของพวกเขาอย่างไร
ผู้อ่านต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้มาก่อนบางท่าน จะอ่านแค่ตอนจบของเรื่อง และไม่อ่านต่อ แต่ชอบที่
จะแปลความหมายของเรื่องด้วยตัวเอง ส่วนคนอื่นๆ สนุกกับการอ่านในส่วน A Discussion ที่ต่อจาก
ตอนจบของเรื่อง เพราะเป็นส่วนที่กระตุ้นความคิดเกี่ยวกับ วิธีการที่จะประยุกต์ใช้สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ต่อ
สถานการณ์ของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่า แต่ละครั้งที่คุณได้อ่าน เรื่อง Who Moved My Cheese? คุณจะพบสิ่งใหม่ๆ
และ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เหมือนกับผม และสิ่งเหล่านั้นจะช่วยคุณจัดการกับความเปลี่ยนแปลง และนำ
ความสำเร็จมาให้กับคุณ ไม่ว่าอะไรที่คุณตัดสินใจลงไป ความสำเร็จเป็นของคุณ
ผมหวังว่าคุณจะสนุกกับสิ่งที่คุณค้นพบ และ ผมขอให้คุณโชคดี จำไว้ว่า : "ก้าวไปกับ Cheese!".
Ken Blanchard San Diego, 1998
ตอนที่ 1 : "การรวมตัว"
วันอาทิตย์ที่สดใสในชิคาโกวันหนึ่ง เพื่อนร่วมห้องรุ่นก่อนหลายคนมาทานอาหารกลางวันร่วมกัน
หลังจากได้ร่วมงานเลี้ยงรุ่นไฮสคูล เมื่อคืนก่อน พวกเขาต้องการฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่ละคน
มากกว่านี้ หลังจากที่หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน และทานอาหารมื้ออร่อยแล้ว พวกเขานั่งคุยกันถึง
เรื่องที่น่าสนใจ
แองเจล่า ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เด่นดังที่สุดในรุ่น กล่าวว่า "ชีวิตจริงๆ ผิดกันกับที่ฉันได้คิดไว้เมื่อ
ตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียน หลายอย่างได้เปลี่ยนไป"
"มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ" นาธานกล่าวย้ำ เพื่อนๆ รู้ว่า นาธานทำธุรกิจของครอบครัวของเขา ซึ่งดำเนิน
ธุรกิจแบบจำเจ และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนท้องถิ่นมานานเท่าที่พวกเขาจำได้ ดังนั้นพวกเขาจึงแปลก
ใจเมื่อ นาธานมีท่าทางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเปลี่ยนแปลง นาธานถามเพื่อนๆ ว่า "แต่พวกคุณ
สังเกตหรือเปล่าว่า ทำไมพวกเราไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงเมื่อหลายสิ่งเปลี่ยนไป"
คาร์ลอสกล่าวว่า "ฉันเดาว่า พวกเราต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเพราะพวกเรากลัวการเปลี่ยนแปลง"
"คาร์ลอส, คุณเป็นกัปตันของทีมฟุตบอล" เจสสิกา กล่าว "ฉันไม่เคยคิดเลยว่า จะได้ยินคุณพูดว่า
กลัว!"
ทุกคนหัวเราะ เพราะพวกเขาเข้าใจว่า ถึงแม้พวกเขาจะเดินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน-จากการ
บริหารงานที่บ้าน ไปจนถึง การบริหารงานของบริษัท-พวกเขาประสบกับความรู้สึกที่คล้ายกัน
ทุกๆคนกำลังพยายามที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยไม่ ได้คาดหมาย ซึ่งเกิดขึ้นกับ
พวกเขาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และส่วนใหญ่ยอมรับว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการที่ดี ที่จะจัดการกับความ
เปลี่ยนแปลงเหล่านั้น
ไมเคิลกล่าวว่า "ฉันเคยกลัวการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นกับธุรกิจของ
เรา เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นเราจึงทำทุกอย่างเหมือนเดิม และเราเกือบสูญเสียธุรกิจนั้น
"นั้นแหละ" เขากล่าวต่อ "จนกระทั้งฉันได้ยินเรื่องสั้นที่น่าขันซึ่งเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง"
"เรื่องมันเป็นอย่างไร" นาธานถาม
"อืม, เรื่องสั้นเรื่องนี้ ได้เปลี่ยนความคิดของฉันที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง และหลังจากนั้น สำหรับฉัน ทุก
สิ่งดีขึ้นอย่างรวดเร็ว-เรื่องงาน และชีวิตของฉัน"
"ฉันส่งเรื่องสั้นเรื่องนี้ให้กับทุกคนในบริษัทได้อ่าน และพวกเขาก็ส่งต่อให้กับคนอื่นๆ และไม่นาน
ธุรกิจของเราก็ดีขึ้นมาก เพราะพวกเราทุกคนปรับตัวเข้าหาการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น และทุกคนก็พูด
เหมือนกับฉันว่า เรื่องสั้นเรื่องนี้ช่วยพวกเขาในด้านชีวิตส่วนตัวด้วย
"เรื่องอะไร" แองเจล่าถาม
"เรื่องนี้ชื่อว่า Who Moved My Cheese?"
ทุกคนในกลุ่มหัวเราะ "ฉันคิดว่าฉันชอบเรื่องนี้เข้าแล้วล่ะ," คาร์ลอสพูด "เล่าเรื่องราวให้ฟังหน่อยได้
ไหม?"
"ได้ซิ" ไมเคิลตอบ "ฉันยินดีที่จะเล่าให้ฟัง-มันใช้เวลาไม่นาน และไมเคิลก็เริ่มเล่าเรื่องราว:
ตอนที่ 2 : "ใครเอาเนยแข็งของฉันไป ?"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนไกลโพ้น เป็นที่อาศัยของ 4 สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ซึ่งวิ่งไปตามเขาวงกต
มองหาเนยแข็ง เพื่อใช้เป็นอาหารและทำให้พวกเขามีความสุข
สิ่งมีชีวิต 2 ตัวเป็นหนูชื่อ สนิฟและสเคอรี และอีก 2 ตัวเป็นคนตัวเล็กเท่าหนู แต่ดูคล้ายคนอย่างเราๆ
มากกว่า พวกเขาชื่อ "เฮม" และ "ฮอ"
เนื่องจากขนาดที่เล็กมากจึงไม่ง่ายนักที่จะสังเกตเห็นสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ แต่ถ้าคุณมองดูอย่าง
ใกล้ชิดพอ คุณจะสามารถค้นพบสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่สุด
ทุกๆวัน หนูและคนตัวเล็กใช้เวลาในเขาวงกตค้นหาเนยแข็งพิเศษของตนหนูทั้งสอง คือสนิฟและสเคอ
รีที่มีเพียงสมองแบบสัตว์ประเภทกัดแทะที่ไม่ซับซ้อน แต่มีสัญชาตญาณดีนั้นค้นหาเนยแข็งที่น่าแทะที่
พวกมันชอบอย่างที่หนูทั้งหลาย มักจะทำ
ส่วนคนตัวเล็กทั้งสอง- เฮมกับฮอ ใช้สมองของเขาซึ่งเต็มไปด้วยความคิดความเชื่อหลายอย่าง เพื่อ
ค้นหาเนยแข็งหลากหลายชนิดที่มีตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ตัวซี ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะทำให้มีความสุขและ
ประสบความสำเร็จ
แม้หนูและคนตัวเล็กจะแตกต่างกัน พวกเขาก็มีบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน กล่าวคือ ทุกๆเช้า เขจะใส่
ชุดและรองเท้าสำหรับวิ่งออกจากบ้าน และวิ่งแข่งกันไปยังเขาวงกตมองหาเนยแข็งที่โปรดปรานของ
ตน
เขาวงกตเป็นทางวกไปวนมาของระบียง และห้องหับต่างๆที่ซึ่งเต็มไปด้วยเนยแข็งอร่อย แต่ก็มีมุมมืด
และซอกซอยที่ไม่เห็นทางว่านำไปสู่ที่ใด นับเป็นสถานที่หลงทางได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่รู้จักทางแล้ว เขาวงกตนี้มีความลับที่ทำให้พวกเขามีความสุขกับชีวิตที่ดีขึ้น
หนูทั้งสอง- สนิฟและสเคอรีใช้วิธีที่ง่ายแต่ไม่มีประสิทธิภาพในลักษณะลองผิดลองถูกเพื่อค ้นหาเนย
แข็ง พวกเขาวิ่งไปตามระเบียงและถ้าพบว่าว่างเปล่า เขาจะหันหลังกลับและวิ่งไปยังที่อื่นๆ สนิฟมักดม
หาเส้นทางของเนยแข็งโดยใช้จมูกที่ดีเยี่ยม ส่วนสเคอรีจะวิ่งนำไปก่อน แล้วก็เป็นไปอย่างที่คุณ
คาดคิด คือพวกเขาหลงทาง ออกไปยังเส้นทางที่ผิดและบ่อยครั้งชนกับกำแพง
อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวเล็กทั้งสอง เฮมและฮอ ใช้วิธีที่แตกต่างกันออกไปโดยการเชื่อมั่นใน
ความสามารถที่จะคิดและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทั้งๆที่บ่อยครั้ง เขารู้สึกสับสนจากความคิด
และความรู้สึกของพวกเขาเอง
แล้วในที่สุด ด้วยวิถีทางของตนเอง พวกเขาทั้งหมดได้ค้นพบเนยแข็งชนิดที่ตนชอบในวันหนึ่ง ที่
ปลายสุดของระเบียงแห่งหนึ่งในสถานีเนยแข็งซี
ทุกเช้าหลังจากนั้น หนูและคนตัวเล็กก็แต่งตัวในชุดวิ่งและมุ่งหน้าไปยังสถานีเนยแข็งซี .ใช้เวลาไม่
นานนักพวกเขาก็กำหนดเส้นทางประจำของตนเองได้
สนิฟและสเคอรียังคงตื่นแต่เช้าทุกวันและวิ่งไปตามเขาวงกตด้วยเส้นทางเดิมๆเสมอ เมื่อพวกเขามาถึง
จุดหมายปลายทาง หนูทั้งสองตัวถอดรองเท้าที่ใช้วิ่ง ผูกไว้ด้วยกันและแขวนไว้รอบคอ เพื่อจะ
สามารถเอามาใส่ได้โดยเร็วเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการใช้อีก แล้วก็ได้เวลาอร่อยกับเนยแข็ง
ในช่วงแรก เฮมและฮอวิ่งไปยังสถานีเนยแข็งซีทุกเช้าเช่นกัน เพื่ออร่อยกับเนยแข็งชิ้นใหม่ๆที่มีรสชาติ
ดีที่รอคอยพวกเขาอยู่ แต่หลังจากนั้นระยะหนึ่ง คนตัวเล็กทั้งสองได้กำหนดเส้นทางที่แตกต่างออกไป
เฮมกับฮอตื่นสายขึ้นในแต่ละวัน แต่งตัวช้าลง และเดินไปยังสถานีเนยแข็งซี ในที่สุด พวกเขารู้ว่าเนย
แข็งอยู่ที่ใดและไปที่นั่นได้อย่างไร
พวกเขาไม่ทราบว่าเนยแข็งมาจากไหนและใครวางมันไว้ที่นั้น พวกเขาเพียงแต่คิดเองว่ามันจะอยู่ที่นั่น
ขณะที่เฮมและฮอมาถึงสถานีเนยแข็งซีทุกเช้า เขาลงมือจัดการและทำตัวตามสบาย พวกเขาแขวนชุด
วิ่งและถอดรองเท้าวิ่งออกไปแล้วสวมรองเท้าแตะแทน
พวกเขารู้สึกสบายใจมากในตอนนี้ว่าเขาได้พบเนยแข็งแล้ว เฮมกล่าวว่า "ยอดเยี่ยมมาก" มีเนยแข็ง
เพียงพอที่นี้ที่จะเลี้ยงเราได้ตลอดกาล" คนตัวเล็กรู้สึกมีความสุขและประสบความสำเร็จ เขาคิดว่าพวก
เขามั่นคงแล้วในขณะนี้
ไม่นานนัก เฮมและฮอก็ถือเอาว่าเนยแข็งที่เขาพบที่สถานีเนยแข็งซีเป็นเนยแข็งของเขา มันเป็นร้าน
เนยแข็งขนาดใหญ่ซึ่งพวกเขาได้ย้ายบ้านมาอยู่ใกล้กับสถานีมากขึ้น และสร้างสังคมอยู่รอบๆ และ
เพื่อให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากขึ้น เฮมและฮอตกแต่งพนังด้วยคติพจน์และแม้กระทั่งวาดรูป
ของเนยแข็งไว้รอบๆ ซึ่งทำให้เขายิ้มได้ มีรูปหนึ่งอ่านได้ว่า
"มีเนยแข็ง ทำให้คุณมีความสุข"
บางครั้งเฮม และ ฮอ จะพาเพื่อน ๆ มาแวะที่สถานีเนยแข็งซีเพื่ออวดกองเนยแข็งที่พวกเขาค้นพบ
พวกเขามักจะชี้ไปที่เนยแข็งและพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า "มันช่างเป็นเนยที่แสนวิเศษ จริงไหม ?"
บางครั้งทั้งสองก็จะแบ่งเนยแข็งให้เพื่อน ๆ แต่บางครั้งก็เก็บไว้เองไม่แบ่งใคร
"มันสมควรแล้วล่ะ ที่พวกเราจะได้ครอบครองเนยแข็งเหล่านี้" เฮมเปรย "เพราะพวกเราต้องตรากตรำ
เป็นเวลานานกว่าจะได้พบมัน" ว่าพรางเฮมก็เลือกหยิบเนยชิ้นที่ดูสดใหม่มากัดกินอย่างชื่นชม
หลังจากนั้น เฮมก็ผลอยหลับไป อย่างที่เขามักจะทำอยู่เสมอ
ทุกคืนคนตัวเล็กจะเดินอุ้ยอ้ายกลับบ้านเพราะต้องหอบเนยแข็งกลับมาเต็มมือ และทุกเช้าพวกเขาก็จะ
กลับไปที่สถานีเนยแข็ง ด้วยความมั่นใจว่าต้องมีเนยแข็งกลับมาบ้านมากขึ้นเช่นทุกครั้ง
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้อยู่เป็นระยะนานพอควร จนทำให้ความเชื่อมั่นของ เฮมและฮอกลับกลายเป็น
ความอวดดีโดยคิดไปว่าทุกอย่างคงจะต้องเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าเขาทั้งสองเริ่มรู้สึกเคยชินจนไม่
สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกับที่ สนิฟและสเคอรี่ยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติทุกวัน ทุกเช้าพวกเขาจะมาถึงสถานีเนย
แข็งซีแต่เช้าเพื่อมาคอย ดมกลิ่น คุ้ยเขี่ย และ วิ่งสำรวจไปมาเพื่อตรวจตราบริเวณรอบ ๆ สถานี ว่าใน
แต่ละวันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่
จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งขณะที่พวกเขามาถึงสถานีเนยแข็งซี พวกเขาพบว่าที่สถานี ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่
เลย แต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าสนิฟและสเคอรี่ มักจะสังเกตพบว่าในแต่ละวันที่ผ่านไป
เนยแข็งจะพร่องไปเรื่อย ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอว่าสักวันหนึ่งเหตุการณ์ที่เนย
แข็งจะหมดไม่มีเหลือ่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และด้วยสัญชาติญาณพวกเขารู้ว่าจะต้องจัดการ
อะไรต่อไป
พวกเขามองตากันและกัน และรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องใช้รองเท้าวิ่งคูชีพที่พวกเขามักจะผูกติดกันและแข
วนไว้ที่คอ เอามาใส่และผูกเชือกรองเท้าเพื่อจะวิ่งค้นหาแหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่ต่อไป
พวกหนูมักจะไม่วิเคราะห์อะไรมากจนเกินเหตุ จึงทำให้พวกเขาไม่ต้องแบกความเชื่ออะไรต่าง ๆ ที่
ซับซ้อนจนหน้าเวียนหัว สำหรับพวกหนู ปัญหาและคำตอบก็คือเรื่องง่าย ๆ ธรรมดา ๆ เหมือนกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สถานีเนยแข็งซีได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้น สนิฟและสเคอรี่จึงตัดสินใจที่จะต้อง
เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเช่นกัน
พวกเขาทั้งคู่มุ่งตรงไปที่เขาวงกต สนิฟยกจมูกขึ้นเพื่อจะดมกลิ่น และพยักหน้าไปที่สเคอรึ่ซึ่งได้วิ่ง
นำหน้าไปภายในทางเขาวงกต สนิฟวิ่งจี้ตามติดไปโดยเร็ว พวกเขาเริ่มค้นหาแหล่งเนยแข็งแห่งใหม่
อย่างรวดเร็ว
เวลาต่อมาในวันเดียวกัน เฮมและฮอมาถึงที่สถานีเนยแข็งซี เนื่องจากพวกเขาไม่เคยสนใจที่จะสังเกต
ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ทำให้พวกเขามั่นใจว่าเนยแข็งจะต้องมีอยู่ที่นั่น
อย่างแน่นอนเหมือนเช่นทุกวัน
พวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมในสิ่งที่พวกเขาพบ "อะไรกันนี่ ทำไมไม่มีเนยเหลืออยู่ที่นี่แล้ว?" เฮม
ตะโกนลั่น เขายังคงตะโกนต่อไปว่า "ไม่มีเนยเหลืออยู่แล้ว มันหายไป มันหายไป" เขายังคงร้อง
ตะโกนอย่างสุดเสียงราวกับว่าความดังของเสียงจะทำให้ใครสักคนนำเนยแข็งกลับมาให้เขา
"ใครเอาเนยแข็งของฉันไป?" เฮมตะโกนร้องลั่น ในที่สุดเขาก็เอามือเท้าสะเอว หน้าเริ่มแดงก่ำ ด้วย
ความโกรธ และแล้วก็แผดเสียงร้องลั่นว่า "มันไม่ยุติธรรม!"
ฮอสั่นหัวอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง เขาก็เหมือนกับเฮม คือมั่นใจว่าที่สถานีซีจะต้องมีเนยแข็งรอพวกเขา
อยู่เสมอ เขายืนงงด้วยความรู้สึกช็อกเป็นเวลานาน เขาไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน
ในขณะที่เฮมยังคงตะโกนด่าอะไรต่อมิอะไรอยู่ ฮอกลับไม่ต้องการได้ยินและรับรู้อะไรทั้งสิ้น เขาไม่
ต้องการและไม่พร้อมที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เขาเพิ่งเจอ
พฤติกรรมของคนตัวเล็กดูแล้วไม่น่าประทับใจเลย ทั้งไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ก็น่าเห็นใจ การ
ค้นหาเนยแข็งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่สำหรับคนตัวเล็กกลับเป็นเรื่องใหญ่มากขึ้นไปอีก พวกเขาไม่ได้
พอใจเพียงแค่ให้มีเนยแข็งพอกินในแต่ละวันเท่านั้น
การค้นพบเนยแข็งสำหรับคนตัวเล็กกลับเป็นเหมือนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะทำให้พวกเขามีความสุข พวก
เขาสร้างภาพแห่งความหมายของเนยแข็งที่มีต่อพวกเขาขึ้นมาเอง ภาพและความหมายเหล่านั้นขึ้นอยู่
รสนิยมและความชอบของแต่ละคน
สำหรับบางคน อาจะคิดว่าการค้นพบเนยแข็งคือการได้ครอบครองทรัพย์สิ่งของทางวัตถุ บางคน
อาจจะหมายถึงการมีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอ สำหรับบางคนคือการได้พัฒนาตัวเองไปสู่ความอยู่ดีมีสุขทาง
จิตวิญญาน
สำหรับฮอ ก้อนเนยแข็งเพียงแค่หมายถึงความรู้สึกที่ต้องการความมั่นคงปลอดภัยของชีวิต ความหวัง
ที่อยากจะมีครอบครัวที่น่ารักสักวันหนึ่ง และได้อาศัยในกระท่อมอันแสนสุขบนถนนซีดาร์
แต่สำหรับเฮม ก้อนเนยแข็งต้องเป็นก้อนโต เขาต้องการที่จะได้ปกครองดูแลคนอื่น ๆ ได้มีบ้านหลัง
ใหญ่เป็นของตัวเองบนเนินเขาเคเมมเบิร์ต
เนื่องจากเนยแข็งมีความสำคัญกับพวกเขามาก คนตัวเล็กทั้งสองจึงใช้เวลานานทีเดียวที่จะพยายาม
นั่งคิดว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี แต่ทั้งหมดเท่าที่พวกเขาคิดได้ขณะนี้คือมองไปรอบ ๆ สถานีซี ที่
ปราศจากเนยแข็งเพื่อดูว่าเนยแข็งมันหายไปจริง ๆ หรือไม่
ขณะที่สนิฟและสเคอรี่มุ่งหน้าค้นหาต่อไปโดยไม่รีรอ เฮมและฮอกลับยังคงอิดเอื้อน หันรีหันขวางไม่รู้
ว่าจะทำอะไรต่อไปดี
พวกเขายังคงเอะอะโวยวายเป็นเดือดเป็นแค้นถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น ฮอเริ่มรู้สึกหดหู่ และคิดว่า
จะเกิดอะไรขึ้นหากวันพรุ่งนี้พวกเขาจะไม่พบเนยแข็งอีก เขาสู้อุตส่าห์วางแผนชีวิตโดยพึ่งพาเนยแข็ง
ที่สถานีนี้เท่านั้น
คนตัวเล็กยังคงไม่เชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงไม่มีใครเตือนพวกเขาล่วงหน้า มันไม่ยุติธรรม
เลยสำหรับพวกเขา และมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิดไว้
คืนนั้น เฮมและฮอกลับบ้านด้วยความหิวโหยและหมดหวัง แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกจากสถานี ฮอได้
จารึกข้อความบนกำแพงว่า
"ยิ่งก้อนเนยแข็งมีความสำคัญกับคุณมากเท่าใด คุณก็จะยิ่งยึดติดกับมันมากเท่านั้น"
ในวันรุ่งขึ้น เฮมและฮอออกจากที่พัก และกลับไปที่สถานีเนยแข็งซีอีก ซึ่งครั้งนี้พวกเขาก็คาดหวังว่า
พวกเขาจะต้องเจอเนยแข็งบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่เหตุการณ์ก็ยังคงเดิม นั่นคือ ไม่มีเนยแข็งที่สถานีเนย
แข็งอีกต่อไปแล้ว คนตัวเล็กทั้งคู่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป ทั้งคู่ยังคงยืนอยู่กับที่ แน่นิ่งไม่ไหวติง
เหมือนรูปปั้น
ฮอปิดตาลง และยกมือขึ้นปิดหู เพราะเขาไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งสิ้น เขาไม่ต้องการที่จะยอมรับว่าจริงๆ
แล้ว เนยแข็งที่เคยมีอยู่ได้ลดจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ เขายังมีความเชื่อว่า เนยแข็งทั้งหมดได้ถูกย้ายที่
ไป
เฮมวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเขาได้สรุปเหตุการณ์นี้ด้วยความคิดอัน
ซับซ้อนของเขาว่า "ทำไมเหตุการณ์เช่นนี้จึงเกิดขึ้นกับเขา" "มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่"
และเมื่อ ฮอได้ลืมตาขึ้น มองไปรอบ ๆ พร้อมกับพูดว่า "แล้วนี่ สนิฟกับสเคอรีอยู่ที่ไหน นายคิดว่าพวก
เขาจะรู้อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ไหม"
เฮมกล่าวอย่างไม่แยแสว่า "พวกเขาจะรู้อะไร" และเฮมยังกล่าวต่ออีกว่า "พวกเขาเป็นเพียงหนูตัว
เล็กๆ พวกเขาจะทำอะไรเท่าที่เห็นเท่านั้นแหละ" แต่เราสิ เราเป็นคนตัวเล็กที่มีความพิเศษมากกว่า
พวกเขา" ดังนั้น เราต้องสรุปเรื่องนี้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าเราทำได้ เราก็สมควรจะได้รับสิ่งดีๆ
มากกว่าหนู 2 ตัวนั่น
เฮมยังกล่าวต่อว่า "เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับเรา หรือหากจะเกิด อย่างน้อยเราก็ควรได้รับ
ผลประโยชน์บางอย่างด้วย"
"ทำไมเราควรได้รับผลประโยชน์ด้วยล่ะ" ฮอถาม
"เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะได้นะสิ" เฮมกล่าว
"มีสิทธิ์ได้อะไร" ฮออยากรู้
"เรามีสิทธิ์ที่จะครอบครองเนยแข็งของเรา" เฮมตอบ
"ทำไม" ฮอถาม
"เพราะว่าเราไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้" เฮมกล่าว "มีใครบางคนที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และเราก็
ต้องรู้ให้ได้"
ฮอจึงได้แนะนำว่า "บางทีเราควรหยุดวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ และควรเริ่มต้นที่จะค้นหาเนยแข็งใหม่ๆ
ได้แล้ว"
"ไม่ ไม่มีทาง" เฮมโต้ "ฉันจะต้องค้นหาคำตอบของเรื่องนี้ให้ได้"
ระหว่างที่เฮมและฮอยังคงพยายามที่จะตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี สนิฟและสเคอรีก็ยังคงมุ่ง
หน้าไปตามทางของมัน พวกเขาเดินทางผ่านเขาวงกตเข้าไป ทั้งทางขึ้น ทางลงตามระเบียงทางเดิน
เพื่อที่จะค้นหาเนยแข็งในทุก ๆ สถานีที่จะมีเนยแข็งกักเก็บอยู่
พวกเขาไม่ได้คิดเรื่องอื่น นอกจากการค้นหาเนยแข็งใหม่ๆ ให้ได้
พวกเขายังคงค้นหาเนยแข็งต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็เข้าไปถึงดินแดนแห่งหนึ่งในเขา
วงกต ซึ่งพวกเขาไม่เคยไปมาก่อน คือ สถานีเนยแข็งเอ็น
พวกเขาเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ เพราะพวกเขาได้พบสิ่งที่ค้นหามานาน นั่นคือ แหล่งเนย
แข็งใหม่แห่งใหญ่
พวกเขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า ที่นี่เป็นแหล่งเนยแข็งที่ใหญ่ที่สุดที่หนูอย่างพวกเขาเคยพบ
เห็นมา
ในเวลาเดียวกัน เฮมและฮอยังคงกลับไปที่สถานีเนยแข็งซี เพื่อประเมินสถานการณ์ต่อ ทั้งคู่กำลังทน
ทุกข์ทรมานจากการที่ไม่มีเนยแข็ง พวกเขาเริ่มหงุดหงิด โกรธ และต่างตำหนิกันและกันถึงเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้น
ฮอยังคงนึกถึงหนู 2 ตัว คือสนิฟกับสเคอรี และอยากรู้ว่าพวกเขาพบเนยแข็งใหม่ ๆ บ้างแล้วหรือยัง
ฮอเชื่อว่าพวกเขาอาจกำลังเผชิญกับอุปสรรค หรือความยากลำบากอยู่ พวกเขาอาจจะต้องวิ่งกลับไป
กลับมาในเขาวงกตนั้น และอาจจะพบกับความไม่แน่นอนตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้มันอาจจะ
เป็นครั้งสุดท้ายที่จะต้องทำเช่นนั้นหรือไม่
บางครั้ง ฮอก็จินตนาการว่า สนิฟและสเคอรีค้นพบเนยแข็งใหม่ ๆ แล้ว และกำลังสนุกสนานกันอยู่ เขา
คิดว่ามันจะเป็นการดีกับเขาขนาดไหน หากเขาต้องออกไปผจญภัยในเขาวงกตอีกครั้ง และค้นพบเนย
แข็งใหม่ ๆ และได้ลิ้มรสชาติของมัน
ยิ่งฮอจินตนาการว่า เขาได้เจอเนยแข็งใหม่ ๆ และได้ลิ้มลองรสชาติเนยแข็งเหล่านั้น เขาก็ยิ่งอยากที่
จะออกไปจากสถานีเนยแข็งซีมากขึ้นเท่านั้น
"ไปจากที่นี่กันดีกว่า" เขาอุทานออกมา
"ไม่" เฮมตอบอย่างรวดเร็ว "ฉันชอบที่นี่ ที่นี่สะดวกสบายทุกอย่าง และ นี่คือที่ที่ฉันรู้จัก ข้างนอกมัน
อันตราย"
"ไม่หรอก มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดหรอก" ฮอโต้ "เราเคยวิ่งไปหลาย ๆ ที่ในเขาวงกตแห่งนี้มาแล้ว
และเราก็น่าจะทำได้อีกไม่ใช่เหรอ"
"ฉันแก่เกินกว่าที่จะทำเช่นนั้นอีกแล้ว" เฮมกล่าว "และฉันก็ไม่อยากที่จะหลงทาง หรือทำอะไรโง่ ๆ
นายไม่คิดอย่างฉันหรือ"
เมื่อได้ยินคำตอบอย่างนั้น ความกลัวที่จะล้มเหลวก็ไดก้ ลับเข้ามาในความคิดของฮออีก และความหวัง
ที่จะได้เจอเนยแข็งใหม่ๆ ก็มลายหายไป
ดังนั้น คนตัวเล็กทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินชีวิตแบบที่เคยเป็นมา ทั้งคู่ยังคงไปที่สถานีเนยแข็งซีทุกวัน และที่
นั่นก็ไม่มีเนยแข็งเช่นเดิม ทั้งคู่จะกลับที่พักด้วยความวิตกกังวล และ ความไม่สบายใจ
พวกเขาพยายามที่จะปฏิเสธสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในแต่ละวันพวกเขารู้สึกลำบากขึ้น กว่าที่จะข่มตาหลับ
ได้ พวกเขารู้สึกว่าเรี่ยวแรง พละกำลังที่มีอยู่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ
บ้านของพวกเขาไม่ใช่ที่ที่เคยอบอุ่น หรือ พรั่งพร้อมเหมือนที่เคยเป็น คนตัวเล็กประสบกับความ
ลำบากในความเป็นอยู่ การหลับนอน เพราะพวกเขามักจะฝันร้ายว่าเขาจะไม่มีเนยแข็งอีกต่อไป
แต่เฮมและฮอก็ยังคงกลับไปรอที่สถานีเนยแข็งซีทุกวัน
"นายว่าไหม! ถ้าเราแค่ทำงานหนักขึ้นหน่อยหนึ่ง มันอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนักก็ได้ เนย
แข็งอาจอยู่แถวๆนี้ มันอาจจะถูกซ่อนอยู่หลังกำแพงก็ได้" ฮอกล่าว
วันต่อมาเฮมและฮอจึงแบกสิ่วและฆ้อนเพื่อเจาะกำแพงให้เกิดรูขนาดใหญ่ แต่ทั้งคู่ก็ผิดหวังเพราะก็ยัง
ไม่เจอเนยแข็งซ่อนอยู่หลังกำแพงอยู่ดี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะผิดหวังแต่ก็ยังคงเชื่อว่าวิธีนี้น่าจะแก้ปัญหาได้
ดังนี้ ทั้งคู่จึงเริ่มงาน (เจาะกำแพง) เร็วขึ้น อยู่ให้ดึกกว่าเดิม ทำงานหนักขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียง
รอยโหว่ที่กำแพงมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น
ฮอเริ่มตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างการกระทำ และผลิตผลที่ได้
"บางที เราควรรอดูว่าพวกเขาอาจจะนำเนยแข็งมาคืนเราก็ได้ ไม่ช้าก็เร็ว" เฮมกล่าว
ฮอก็อยากจะเชื่อในความคิดนั้นอยู่เหมือนกัน ดังนั้น ทุกวันที่เขากลับบ้านและเดินทางมาที่สถานีเนย
แข็งซี เขาทำอย่างไม่สู้เต็มใจนัก แต่ก็ยังไม่ได้เนยแข็งคืนกลับมาอยู่ดี เขาทั้งคู่รู้สึกอ่อนแรงลงเพราะ
ความหิวและเครียด ฮอเริ่มเหนื่อยและเบื่อที่จะรออยู่แต่ในสถานีเนยแข็งแห่งนี้ เพื่อให้อะไรอะไรดีขึ้น
เขาเริ่มเห็นได้ว่ายิ่งไม่มีเนยแข็งนานเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่เท่านั้น
ในที่สุด วันหนึ่งฮอก็เริ่มหัวเราะให้กับตัวเอง "ฮ่า..ฮ่า..ดูซิ ฉันทำอย่างเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลัวก็สงสัย
ว่าทำไมไม่มีอะไรดีขึ้น "
ฮอไม่ชอบความคิดที่จะวิ่งไปสู่เขาวงกตอีกครั้ง เพราะเขารู้ดีว่าเขาอาจหลงทางและไม่รู้ว่าจะหาเนย
แข็งได้จากที่ไหน แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมาให้กับความขลาดกลัวของเขา เขาถามเฮมถึงชุดวิ่งของ
เขา ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะหาเจอ เพราะเขาไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้นอีกเลยด้วยเขาคิดว่า
ไม่จำเป็นต้องใช้มัน อีกแล้วตั้งแต่พวกเขาเจอสถานีเนยแข็งซี
เฮมเห็นเพื่อนเขาใส่รองเท้าเตรียมวิ่ง จึงถามว่า "จริงๆ แล้ว นายคงไม่อยากออกไปสู่เขาวงกตอีกครั้ง
หรอกใช่ไหม? ทำไมถึงไม่รออยู่ที่นี่กับฉันจนกระทั่งพวกเขาเอาเนยแข็งมาคืนล่ะ?"
"ก็เพราะนายจะไม่ได้มันคืนมานะซิ" ฮอตอบ "ฉันรู้แล้วล่ะว่าไม่มีทางจะได้เนยแข็งก้อนเดิมคืนมา มัน
เป็นอดีตไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องหาของใหม่แล้วล่ะ"
"แล้วถ้าข้างนอกนั่นมันไม่มีเนยแข็งล่ะ หรือถึงแม้ว่ามี นายอาจหามันไม่เจอก็ได้" เฮมโต้
"ฉันก็ไม่รู้ซิ" เฮมกล่าว
แล้วเขาก็เริ่มถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเริ่มหวั่นวิตกอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็เริ่มคิดได้ว่าเขาต้องหาเนย
แข็งก้อนใหม่ และแล้วความคิดดีๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาทำให้เขากล้าอีกครั้ง
"บางที..สิ่งที่เปลี่ยนไปแล้วจะไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมได้อีก เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา มันเป็น
ครรลองของชีวิต ชีวิตต้องผันแปร พวกเราเองก็เหมือนกัน" ฮอพยายามกล่าวจูงใจเพื่อนของเขาที่
ร่างกายดูซูบผอมลงทุกที
แต่ความกลัวของเฮมได้กลับกลายเป็นความโกรธและเขาก็ไม่ต้องการจะรับฟัง แม้ว่าฮอไม่ต้องการจะ
แสดงอาการหยาบคายกับเพื่อนเขา แต่เขาก็อดที่จะหัวเราะให้กับความเขลาของเขาทั้งคู่ไม่ได้ เขา
ตะโกน "ถึงเวลาผจญภัยแล้ว!" แต่เฮมกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ฮอได้หยิบแท่งหินมาเขียนข้อคิดและวาดรูปชีสไว้รอบๆ ข้อความนั้น โดยหวังให้เฮมยิ้มออก เกิด
ความคิดใหม่ๆ และตามเขาออกไปหาเนยแข็งก้อนใหม่ แต่เฮมไม่สนใจจะดูด้วยซ้ำ ฮอจารึกข้อความ
ไว้ว่า
"ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง เราจะกลายเป็นคนล้าสมัย"
ฮอเชื่อว่ามันอาจจะไม่มีเนยแข็งก้อนใหม่หรือเขาอาจหามันไม่พบก็ได้ ความเชื่ออันน่ากลัวเช่นนี้ทำให้
เขาไม่กล้า แล้วฮอก็ยิ้มออกมาได้และเขารู้ว่าเพื่อนเขารู้สึกสงสัยว่า "ใครเป็นคนเอาเนยแข็งไป?" แต่
ตัวเขากลับสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่ลุกขึ้นมาและก้าวไปตามหาเนยแข็ง
เมื่อฮอได้ออกมาสู่เขาวงกต เขาได้มองกลับไปดูที่ที่เขาเพิ่งจากมาและรู้สึกสบายใจ เขารู้สึกว่าเขา
คุ้นเคยกับเส้นทางเดิน ถึงแม้ว่าเขาอาจจะหาเนยแข็งไม่เจอบ้างในบางเวลาก็ตาม เขาเริ่มรู้สึกกังวล
และประหลาดใจว่าถ้าเขาไม่ต้องการที่จะออกมาผจญภัยจริงๆ ล่ะ เขาจารึกข้อความของเขาไว้บน
กำแพงว่า
"ถ้าเราไม่กลัว แล้วเราคิดจะทำอะไร?"
เขาเริ่มคิดและพบว่าบางครั้งความกลัวนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเรากลัวว่าถ้าเราไม่ทำอะไรเลย สิ่งต่างๆ
อาจจะเลวร้ายลงกว่าเดิม ซึ่งจะกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เรารีบทำ แต่ถ้าความกลัวกลับทำให้เราไม่กล้า
ทำอะไรเลยนั้น มันก็คงไม่ดี
เขามองไปทางด้านขวาของเขาวงกต มันเป็นที่ที่เขาไม่เคยไป และเขาก็เริ่มรู้สึกวิตก แต่แล้ว เขาก็เริ่ม
สูดหายใจลึกๆ และวิ่งช้าๆ ไปทางด้านขวา ไปในที่ที่เขาไม่เคยรู้จัก!
ขณะที่เขากำลังหาหนทางที่จะไปในที่ที่เขาไม่เคยไปนั้น เขาก็เริ่มกังวลว่า อาจเป็นเพราะเขารออยู่ที่
สถานีเนยแข็งซีนานเกินไป ทำให้เขาไม่ได้กินเนยแข็งมานานและรู้สึกอ่อนแอลง มันทำให้เขาใช้
เวลานานและทรมานกว่าปกติที่จะฝ่าฟันไปได้ เขาตัดสินใจว่าถ้าเขามีโอกาสอีกครั้ง เขาจะปรับตัวให้
เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ซึ่งมันจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมาได้ "อืม..ม ทำ
ช้าดีกว่าไม่ทำเลย!"
หลายวันต่อมาฮอได้พบเนยแข็งใหม่ก้อนเล็กๆ ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง แต่ก็เป็นปริมาณที่ไม่มากนัก เขา
หวังว่าจะเจอเนยแข็งก้อนที่ใหญ่เพียงพอที่จะนำกลับไปให้เฮมและช่วยกระตุ้นให้เพื่อนเขาออกมา
ผจญภัยดูบ้าง
แต่ฮอก็ยอมรับว่าเขาเองก็ยังไม่มั่นใจเท่าใดนัก เขารู้สึกสับสนบ้างเพราะมีหลายอย่างในเขาวงกตนี้
เปลี่ยนแปลงไปนับแต่ครั้งล่าสุดที่เขาเคยมา เขารู้สึกว่า เขาไม่ค่อยจะก้าวหน้าไปเท่าไรเลย บางครั้ง
เขาก็คิดว่ามันจะมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่เขาจะเจอเนยแข็งก้อนใหม่
เมื่อไรก็ตามที่เขารู้สึกท้อถอย เขาจะคอยเตือนตัวเองว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ มันดีกว่าที่เขาจะรอคอย
เนยแข็งอยู่ที่เดิมหรือไม่ เขาเริ่มควบคุมตัวเองได้มากกว่าที่จะให้เหตุการณ์พาไป แล้วเขาก็คิดขึ้นได้
ว่า ถ้า สนิฟกับสเคอรีทำให้ เขาก็ต้องทำได้!
เมื่อคิดย้อนกลับไปฮอก็รู้สึกได้ว่า เนยแข็งในสถานีเนยแข็งนั้นไม่ได้หายไปชั่วข้ามคืน แต่มันค่อยๆ
หมดไปทีละน้อย ๆ แต่เขาไม่ได้สังเกต และไม่ได้เตรียมตัว
เขาเริ่มตระหนักได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยฉับพลันโดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว ถ้าเขา
เพียงแต่เฝ้าระวัง สังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และคาดการณ์ว่ามีอะไรจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ซึ่งบาง
ทีสนิฟกับสเคอรีอาจจะทำก็ได้ เขาหยุดพักและจารึกข้อความบนกำแพงไว้ว่า
"ดมเนยแข็งบ่อยๆ จะได้รู้ว่าเมื่อไรเนยแข็งจะเริ่มเก่าลง"
หลังจากที่ฮอไม่สามารถหาเนยแข็งได้เป็นระยะเวลานานพอสมควร เขาได้ตัดสินใจข้ามไปที่สถานีเนย
แข็งขนาดใหญ่ซึ่งดูดี แต่เมื่อเขาเข้าไปข้างในก็ผิดหวัง เพราะพบว่าข้างในนั้นว่างเปล่า ไม่มีเนยแข็ง
เขาคิดว่า ความรู้สึกว่างเปล่าเช่นนี้ เกิดขึ้นกับเขาบ่อยครั้งมาก จนเขารู้สึกท้อถอย เขารู้สึกว่าร่างกาย
เขาหมดแรงและเหมือนจะไม่รอด เขาคิดว่าจะกลับไปหาเฮมที่สถานีเนยแข็งซีเพราะอย่างน้อยเขาก็
ไม่ได้อยู่คนเดียว แต่แล้วเขาก็ถามตัวเองอีกครั้งกับคำถามที่ว่า "ถ้าเราไม่กลัว แล้วเราคิดจะทำอะไร?"
เขารู้สึกกลัวขึ้นมาบ่อยครั้งเกินกว่าที่เขาจะรับได้ เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าเขากลัวอะไร แต่ในสภาวะเช่นนี้
เขากลัวที่จะอยู่คนเดียว เขาเริ่มวิ่งได้ช้าลงเพราะความกลัว เขานึกถึงเฮมว่าอาจจะตามเขามาหรือ
อาจจะยังคงจมอยู่กับความกลัว และแล้วฮอก็นึกถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดตอนที่เขาออกมาผจญในเขา
วงกต เขาจารึกข้อความบนกำแพง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการเตือนตัวเขาเท่านั้น แต่คิดว่าน่าจะช่วยเฮม
ได้บ้าง ไว้ว่า
"การเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ จะช่วยให้เราได้เปิดรับสิ่งใหม่ๆ"
ฮอได้มองไปที่ทางเดินที่มืดสนิทแล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมาว่าจะมีอะไรอยู่ข้างหน้าบ้างหรืออาจไม่มีอะไร
เลยหรือที่แย่ไปกว่านั้น มันอาจมีอันตรายซ่อนอยู่ เขาเริ่มจินตนาการถึงความกลัวต่างๆ นาๆ ที่อาจเกิด
ขึ้นกับตัวเขา ซึ่งอาจถึงตายได้
และแล้วเขาก็หัวเราะออกมาได้ เขาเริ่มตระหนักได้ว่าความกลัวนี่เองทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง ดังนั้น
เขาก็ทำสิ่งที่เขาอยากจะทำถ้าเขาไม่รู้สึกกลัว นั่นคือ เขาเดินไปตามทางใหม่นั้น
และเมื่อเขาเดินไปตามเฉลียงที่มืดสนิท เขาเริ่มยิ้มออก เขายังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาด้วยซ้ำแต่
เขาก็เกิดความรู้สึกดีๆ อยู่ภายในจิตวิญญาณของเขา เขาเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้วรู้สึกประหลาดใจ
ว่า ทำไมเขาถึงรู้สึกดีอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้เนยแข็งเลยแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเขากำลังจะไปไหนด้วย
ซ้ำ แต่แล้วเขาก็รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกดีๆ อย่างนี้ เขาจึงหยุดจารึกข้อความไว้ที่กำแพงว่า
"เมื่อคุณสามารถเอาชนะความกลัวได้ คุณจะรู้สึกว่าคุณเป็นอิสระ"
ฮอตระหนักดีว่าเขาถูกผูกมัดไว้ด้วยความกลัว การที่เขาได้เคลื่อนไปในทิศทางใหม่ๆ ทำให้เขารู้สึก
โล่ง เป็นอิสระ ตอนนี้ เขารู้สึกสดชื่นขึ้น เขาสูดหายใจลึกๆ และรู้สึกร่าเริง มีความสุขกับการเคลื่อนไหว
ครั้นเมื่อเขาสามารถผ่านความกลัวมาได้ เขารู้สึกสนุกสนานร่าเริงกว่าที่เขาคิด เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มา
นานมากจนเขาเกือบลืมความรู้สึกเช่นนี้ไปแล้ว

don

  • บุคคลทั่วไป
Re: Who Moved My Cheese? โดย สเปนเซอร์ จอห์นสัน (Spencer Johnson)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2008, 23:24:44 »

เขาเริ่มวาดภาพในใจเขาอย่างใกล้เคียงความจริงมากขึ้น เขาเห็นตัวเขานั่งอยู่ท่ามกลางเนยแข็ง
มากมายหลายชนิด ตั้งแต่ Cheddar จนถึง Brie (เป็นชีสชนิดหนึ่ง) เขาเห็นตัวเขากินเนยแข็งที่เขา
ชอบอย่างเอร็ดอร่อย เขารู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นภาพเหล่านั้น ยิ่งเขาสามารถวาดภาพเนยแข็งก้อน
ใหม่ได้ชัดเจนเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขาใกล้ความจริงมากเท่านั้น และยิ่งทำให้เขารู้ได้ว่าเขากำลังค้นหามัน
เขาจารึกข้อความเอาไว้ว่า :
"การวาดภาพว่าเรามีความสุขที่ได้สิ่งใหม่ๆ ก่อนที่จะพบมัน ช่วยนำทางให้เราได้ไปพบมัน"
ฮอเริ่มถามตัวเองว่า "เอ ทำไมเราถึงไม่ทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้วนะ?" เขาเริ่มออกวิ่งไปตามทางอย่าง
กระฉับกระเฉง
จากนั้นไม่นาน เขาก็มองเห็นจุดเล็กๆ ที่เป็นที่ตั้งของสถานีเนยแข็ง เขารู้สึกตื่นเต้นราวกับได้พบเนย
แข็งก้อนใหม่มากมายใกล้ทางเข้า มันเป็นเนยแข็งชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ก็ดูดี เขาลองชิม
และรู้สึกว่าอร่อย เขาชิมเกือบทุกก้อนที่มีอยู่แล้วก็ยังเก็บใส่กระเป๋าเอาไว้กินอีกในภายหลัง และบาง
ที? อาจนำไปแบ่งกับเฮม เขารู้สึกว่าเขากลับเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง
เขาก้าวเดินเข้าไปในสถานีเนยแข็งแห่งนั้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเป ็นอันมาก แต่?สิ่งที่ทำให้เขารู้สึก
ตกใจแทบสิ้นสติก็คือ?ความว่างเปล่า มีบางคนมาที่นี่แล้วจากไป ทิ้งไว้เพียงเศษเนยแข็งก้อนเล็กๆ
เขารู้ดีว่าถ้าเขามาเร็วกว่านี้อีกหน่อย เขาอาจเป็นผู้พบเนยแข็งที่นี่เองก็ได้ เขาตัดสินใจเดินทางกลับ
และดูซิว่าเฮมต้องการจะร่วมเดินทางกับเขาหรือไม่ ขณะที่เขาเดินกลับทางเดิม เขาได้หยุดและเขียน
ข้อความบนกำแพงไว้ว่า
"ยิ่งทิ้งอดีตได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งเจออนาคตได้เร็วเท่านั้น"
จากนั้นไม่นานฮอก็เดินทางมาถึงสถานีเนยแข็งซี และได้พบเฮม เขาแบ่งเนยแข็งให้เฮม แต่เพื่อนเขา
กล่าวว่า "ฉันคิดว่าฉันไม่อยากได้เนยแข็งก้อนใหม่หรอก มันไม่คุ้นเคยนะ ฉันได้อยากเนยแข็งก้อนเก่า
คืนมาและฉันก็จะไม่เปลี่ยนอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได ้สิ่งที่ต้องการ"
ฮอส่ายหัวด้วยความผิดหวังและเดินกลับไปทางเดิมอย่างเสียไม่ได้ ขณะที่เขาเดินห่างไกลออกไปสู่
เขาวงกต เขาก็รู้สึกคิดถึงเพื่อนเขา แต่เขาก็ตระหนักดีว่าเขาชอบในสิ่งที่เขาได้ค้นพบ แม้แต่เป็น
ช่วงเวลาก่อนที่เขาได้พบเนยแข็งก้อนใหม่ เขารู้สึกว่าเขามีความสุขมากกว่าการมีเนยแข็ง
เขารู้สึกมีความสุขที่เขาไม่ได้เดินทางด้วยความหวาดวิตก เขาชอบในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในขณะนี้
การได้รู้เช่นนี้ ทำให้เขาไม่รู้สึกอ่อนแอเหมือนเมื่อตอนที่อยู่ในสถานีเนยแข็งซี เขาเพียงแต่รู้ว่า จะไม่
ยอมให้ความกลัว วิตกกังวลมาหยุดเขาได้ และรู้ว่าเขาได้ไปในทิศทางใหม่ที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
ตอนนี้ เขารู้สึกว่ามันเป็นเพียงคำถามของเงื่อนเวลาก่อนที่เขาได้ค้นพบสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งตอนนี้เขารู้
แล้วว่าเขากำลังมองหาอะไรอยู่ เขายิ้มออกเมื่อเขานึกออก
"มันมั่นใจที่ได้ออกค้นหามากกว่ารอคอยอยู่ในสถานการณ์ที่ว่างเปล่า"
ฮอได้ตระหนักอีกครั้งเหมือนอย่างที่เคยว่า สิ่งที่กลัวไม่เคยเลวร้ายไปกว่าสิ่งที่ได้วาดภาพไว้ ความ
กลัวที่เราได้สร้างไว้ในความรู้สึกในใจเรานั้นแย่ยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
เขาเคยรู้สึกวิตกว่าจะไม่ได้พบเนยแข็งก้อนใหม่ก่อนที่เขาจะออกหามันด้วยซ้ำ ครั้นพอเริ่มออก
เดินทาง เขาก็ได้พบเนยแข็งตามทางเดินซึ่งช่วยให้เขาก้าวต่อไป ตอนนี้ เขากำลังมองไปข้างหน้าและ
ดูว่าจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้น
ความคิดเก่าๆ ของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกความความกังวลและความกลัว เขาเคยคิดว่าไม่มี
เนยแข็งเพียงพอหรือไม่มากพอเท่าที่เขาต้องการ เขาเคยคิดว่ามีสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมมากกว่าสิ่ง
ที่ถูกต้อง แต่ความรูสึกนี้ก็ถูกเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้ออกจากสถานีเนยแข็งซี
เขาเคยเชื่อว่าเนยแข็งไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปไหนและการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้
เขารู้แล้วว่าเป็นธรรมชาติสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเราจะยอมรับมัน
หรือไม่ การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เรารู้สึกประหลาดใจต่อเมื่อเราไม่ได้คาดหวังและไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อเขารู้ตัวว่าเขาได้เปลี่ยนความเชื่อของเขาได้แล้ว เขาจึงหยุดและจารึกข้อความเอาไว้ที่กำแพงว่า :
"ความเชื่อเก่าๆ ไม่นำพาไปสู่สิ่งใหม่ๆ"
ฮอยังไม่เจอเนยแข็งสักก้อน แต่เขาคิดถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ เขารู้ว่าความเชื่อใหม่ๆ จะกระตุ้นให้มีการ
เปลี่ยนพฤติกรรม พฤติกรรมเขาเปลี่ยนไปจากที่เขายังคงวงเวียนอยู่ในสถานีเดิม
เราอาจมีความเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงอาจทำร้ายเราก็เลยขัดขวางมัน หรืออาจเชื่อว่าการค้นหาสิ่งใหม่
ช่วยให้เราอ้าแขนรับกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่เราเลือกที่จะเชื่ออย่างใด เขาจึงจารึก
ข้อความไว้บนกำแพงว่า :
"เมื่อเห็นว่าคุณสามารถหาและสนุกสนานกับเนยแข็งก้อนใหม่คุณก็จะเปลี่ยนแนวความคิด"
ฮอรู้ดีว่าเขาคงทำได้ดีกว่านี้ ถ้าเขาเปิดรับการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่านี้และละทิ้งสถานีเนยแข็งซีก่อน
หน้า นี้ และรู้สึกเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจอีกทั้งรับมือกับความท้าทายในการออกหา เนยแข็งก้อน
ใหม่ ซึ่งจริงๆ แล้ว เขาอาจพบเนยแข็งก้อนใหม่แล้วก็ได้ถ้าเขาคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากว่า
จะเสียเวลาไม่ยอมรับว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เขารวบรวมความตั้งใจและดำเนินไปในทิศทางใหม่ เขาได้พบเนยแข็งก้อนเล็กก้อนน้อย ที่นี่บ้าง ที่
โน่นบ้างและมันเริ่มทำให้เขารู้สึกเข้มแข็งและมั่นใจขึ้น
เมื่อเขาคิดย้อนกลับไปถึงที่ที่เขาจากมา เขาดีใจที่เขาได้ขีดเขียนข้อความต่างๆ ไว้บนกำแพง และเชื่อ
ว่ามันจะช่วยให้เฮมตามรอยนั้นมาถ้าเพื่อนเขาตัดสินใจละทิ้งสถานีเนย แข็งซี
เขาหวังว่าเขากำลังเดินมาถูกทางและคิดว่าเฮมคงอ่านลายมือของเขาและหาหนทางด้วยตัวเขาเอง
ฮอได้จารึกข้อความที่เขาคิดไว้บนกำแพงว่า :
"ใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเร็วขึ้น เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่อาจตามมา"
มาถึงตรงนี้ ฮอได้ปล่อยวางกับอดีตและกำลังปรับตัวให้เข้ากับอนาคต เขายังคงเดินทางต่อเข้าไปใน
เขาวงกตด้วยความเข็มแข็ง และความเร็วที่เพิ่มขึ้น ดูเหมือนว่าเขาใช้เวลาอยู่ในเขาวงกตนั้นนานชั่วกัป
ชั่วกัลป์ แต่ตอนนี้การเดินทางของเขากำลังจะจบลงอย่างรวดเร็ว และจบลงอย่างมีความสุข
ฮอค้นพบเนยแข็งแหล่งใหม่แล้ว ที่สถานีเนยแข็งเอ็น
เมื่อเขาเข้าไปข้างใน เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้า มันคือเนยแข็งกองพะเนินเรียงซ้อนกัน
สูงลิบลิ่วเต็มพื้นที่ในสถานีเนยแข็งแห่งนั้น นับเป็นแหล่งเนยแข็งที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเห็น เขาไม่รู้จัก
เนยแข็งทุกชนิดในสถานีแห่งนี้ เพราะมีเนยแข็งใหม่หลาย ๆ ชนิดที่เขาไม่เคยลิ้มลองมาก่อน
เขาก็หยุดคิดว่าสิ่งที่เขาเห็นมันเป็นของจริง หรือเป็นแค่เพียงจินตนาการของเขาเท่านั้น และแล้วเขาก็
ได้เจอเพื่อนเก่า หนู 2 ตัว คือ สนิฟและสเคอรี สนิฟกล่าวต้อนรับฮอด้วยการผงกหัว ส่วนสเคอรี
ทักทายฮอด้วยการชูอุ้งเท้า และโบกไปมา เจ้าเพื่อนเก่าของเขาได้แสดงให้ฮอรู้ว่าพวกเขาได้อยู่ที่นี่
มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ฮอกล่าวทักทายหนู 2 ตัว อย่างรวดเร็ว และเริ่มลงมือกัดกินเนยแข็งอันโปรดปรานอย่างเอร็ดอร่อย
เขาถอดรองเท้า และชุดวิ่งคู่ชีพออกพร้อมกับพับเก็บอย่างเรียบร้อย เพื่อว่าวันหนึ่งเขาอาจจะต้องการ
ใช้มันอีก จากนั้นเขาก็กระโดดเข้าไปในกองเนื้อแข็งใหม่ กัดกินอย่างชื่นชอบ และเขาก็ได้ยกชิ้นเนย
แข็งสดขึ้น และพูดเชียร์ดัง ๆ กับตัวเองว่า "เย้ !! สำหรับการเปลี่ยนแปลง"!!
ในขณะที่ฮอกำลังสนุกสนานกับเนยแข็งใหม่ เขาก็นึกถึงสิ่งที่ได้เขาได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เขา
ตระหนักได้ว่า ตอนที่เขารู้สึกกลัวที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเขาไปยึดติดกับภาพลวงตา
ของเนยแข็งก้อนเก่า ซึ่งมันหมดไปแล้ว
และการที่เขายึดติดกับความคิดเช่นนั้น ทำให้เขาไม่กล้าเปลี่ยนแปลง หรือมันก็คือความหวาดกลัวที่
เขาคิดว่าเขาอาจจะอดอยาก ฮอคิด "ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ความคิดตรงนี้ก็ได้ช่วยเขาอยู่ดี"
ฮอหัวเราะและเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นทันทีที่เขาสามารถหัวเราะให้กับตัวเองได้ หรือ
หัวเราะให้กับความผิดพลาดของตัวเองได้ สิ่งที่จะตัดสินคุณได้ว่าคุณได้เปลี่ยนแปลงแล้วก็คือ การที่
คุณสามารถหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเอง และปล่อยวางกับความคิดนั้น จากนั้นคุณต้องก้าวไป
ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เขารู้ว่าเขาได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์จากเพื่อนหนู 2 ตัวของเขา ในเรื่องของการดำเนิน
ชีวิต เพื่อนหนู 2 ตัว ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พวกเขาไม่ได้วิเคราะห์ หรือสรุปเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
อย่างซับซ้อน เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปจากเดิม นั่นคือ เนยแข็งได้ถูกย้ายที่ไป พวกเขาก็ได้
เปลี่ยนแปลงตามด้วย คือไปตามหาเนยแข็ง ซึ่งเรื่องนี้ฮอคงจะจำไว้ไม่มีวันลืม
และแล้วฮอได้ใช้สมองอันฉลาดปราดเปรื่องของคนตัวเล็กอย่างเขาที่จะทำสิ่งนี้ให้ดีกว่าหนู
เขาได้ใช้ความผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียน และใช้บทเรียนนั้นวางแผนอนาคตของเขาต่อไป เขารู้ว่า
คุณก็สามารถที่จะเรียนรู้ที่จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกัน :
คุณควรจะพึงระลึกไว้เสมอว่า คุณควรทำอะไรให้ง่ายที่สุด ยืดหยุ่นได้ และ พร้อมที่ก้าวไปข้างหน้า
อย่างรวดเร็ว
คุณไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก หรือทำให้ตัวเองสับสนด้วยความเชื่อที่เต็มไปด้วย
ความหวาดกลัว
คุณต้องหมั่นสังเกต และระแวดระวัง ทันทีที่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อยเริ่มเกิดขึ้น เพื่อว่าคุณจะได้
เตรียมตัวเผื่อไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ที่อาจจะตามมา
เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องปรับตัวให้เร็วขึ้น มิฉะนั้นแล้วมันอาจจะไม่ทันการก็ได้ หรือคุณอาจจะไม่มีโอกาส
ได้ทันปรับตัวเลยก็ได้
อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลง คือ ตัวของคุณเอง จะไม่มีอะไรดีขึ้นอย่างแน่นอน จนกว่า
คุณจะเริ่มเปลี่ยนที่ตัวคุณเองก่อน
สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือข้างนอกมีเนยแข็งใหม่ ๆ แน่นอนรออยู่ และคุณจะได้ครอบครองมันอย่าง
แน่นอน หากคุณสามารถสลัดความกลัวของคุณทิ้งไป และออกไปค้นหามันอย่างมีความสุข
ความกลัวเป็นสิ่งที่เรามองข้ามไม่ได้ เพราะมันจะช่วยทำเราไม่เกิดอันตราย แต่ฮอก็ตระหนักว่าจาก
เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ความกลัวที่เกิดขึ้นในใจของเขานั้นไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไร และความกลัวนี้ก็
ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงทั้ง ๆ ที่มันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
เขาก็ไม่ชอบเหตุการณ์นี้ทั้งหมด แต่เขาก็รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขานี้ทำให้เขาได้สิ่งดีๆ ที่
แตกต่างไปจากเดิม นั่นคือทำให้เขาได้พบเนยแข็งแหล่งใหม่นั่นเอง
และเขาก็ยังพบว่ามีสิ่งดี ๆ บางสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาด้วย
ฮอยังจำได้ถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ และเขาก็ยังนึกถึงเฮมเพื่อนของเขา เขาอยากรู้ว่าเฮมจะได้อ่าน
ข้อความที่เขาจารึกไว้บนกำแพงในสถานีเนยแข็งซี และตลอดเส้นทางในเขาวงกตหรือไม่
ไม่รู้ว่าป่านนี้เฮมจะปล่อยวางกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และก้าวออกมาเผชิญความจริงแล้วหรือยัง เขาจะ
กลับเข้ามาในเขาวงกต และค้นหาสิ่งที่จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
ฮอคิดเกี่ยวกับการกลับไปที่สถานีเนยแข็งซี และดูว่าเฮมยังอยู่ที่นั่นไหม เขาน่าจะหาทางกลับไปที่นั่น
ได้ และถ้าเขาพบเฮม เขาคิดว่าเขาอาจจะทำให้เฮมออกมาจากสถานการณ์ที่แร้นแค้นเช่นนั้นได้ แต่
ฮอก็ได้ตระหนักต่อว่า จริง ๆ แล้วที่ผ่านมาเขาก็ได้พยายามที่จะช่วยให้เพื่อนของเขาเปลี่ยนความคิด
แล้ว แต่ไม่สำเร็จ
เฮมคงต้องหาทางออกด้วยตัวของเขาเอง เขาต้องละทิ้งความกลัวที่มี และมุ่งไปสู่ความสบายให้ได้
ไม่มีใครช่วยเขาได้ หรือเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ เขาคงต้องเห็นผลประโยชน์บางอย่างที่
เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนด้วย
ฮอรู้ว่าเขาได้ทำสัญลักษณ์ และร่องรอยบางอย่างเพื่อเฮมจะตามเขามาได้อย่างถูกทาง ร่องรอยที่เขา
ทิ้งไว้คือข้อความที่เขาได้จารึกไว้บนกำแพง
ฮอยังได้เขียนสรุปสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ทุกอย่างบนกำแพงสถานีเนยแข็งเอ็น เขาได้วาดรูปเนยแข็งก้อน
โต เพื่อที่จะได้จารึกสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ทั้งหมด
สิ่งที่เขาได้จารึกลงบนกำแพง คือ
* การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น : "มีคนย้ายที่เนยแข็ง"
* คาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง : "เตรียมพร้อมสำหรับเนยแข็งที่จะถูกย้ายไป"
* ติดตามการเปลี่ยนแปลง : "ดมเนยแข็งบ่อยๆ จะได้รู้ว่าเมื่อไรเนยแข็งจะเริ่มเก่าลง"
* ปรับตัวคุณให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด : "ยิ่งคุณทิ้งอดีตได้เร็วเท่าไร คุณก็จะได้พบกับ
อนาคตที่สดใสเร็วขึ้นเท่านั้น"
* การเปลี่ยนแปลง : "ก้าวไปตามหาเนยแข็ง"
* สนุกกับการเปลี่ยนแปลง : "สนุกกับการผจญภัย และ ชื่นชอบรสชาติใหม่ ๆ ของเนยแข็งก้อน
ใหม่"
* พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสนุกกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่อีก : "มีคนย้ายที่เนย
แข็ง"
ฮอได้ตระหนักว่า เขาได้เดินทางมาไกลเหลือเกิน นับจากวันที่เขาเคยอยู่ร่วมกับเฮมที่สถานีเนยแข็งซี
และเขาก็รู้ว่า มันง่ายมากเลยที่เขาจะกลับไปอยู่ในสภาพเดิมอีก หากเขายังทำตัวสบายมากเกินไป
ดังนั้นในแต่ละวัน เขาจะตรวจตราเนยแข็งในสถานีเนยแข็งเอ็น เพื่อที่จะดูว่าเนยแข็งที่มีอยู่ยังดีอยู่ เขา
จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เขาต้องกลับไปพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่ได้ทันตั้งตัวอีก
ทั้ง ๆ ที่ฮอยังมีแหล่งเนยขนาดใหญ่ เขายังคงออกไปสำรวจในเขาวงกตต่อ เพื่อที่จะสำรวจดูว่า
สถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง เขาเรียนรู้ว่ามันจะปลอดภัยกว่าหากเขาสามารถเห็นทางเลือกอื่น
ๆ ด้วย ดีกว่าที่จะมาจำกัดตัวเองอยู่ในที่ที่คิดว่าสบายแล้ว หรือที่ที่มีทุกอย่างพรั่งพร้อมแล้ว
และแล้ว ฮอได้ยินเสียงบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าน่าจะมี
ใครบางคนกำลังจะเข้ามาที่นี่
อาจจะเป็นเฮมก็ได้ที่กำลังจะมาที่นี่ เพื่อนของเขาคิดได้แล้วเหรอ
ฮอจึงเริ่มมีความหวังในใจ เหมือนอย่างที่เขาเคยหวัง --- อาจจะเป็นครั้งนี้ก็ได้ ที่เพื่อนของเขาจะก้าว
ไปตามหาเนยแข็ง และลิ้มลองมัน
ตอนที่ 3 : "ในเย็นวันนั้น"
เมื่อไมเคิลเล่าเรื่อง Who Moved My Cheese? จบ เขาได้มองไปรอบ ๆ ห้อง และได้เห็นเพื่อนร่วนรุ่น
ยิ้มให้เขา
ทุกคนขอบคุณไมเคิล และทุกคนคิดว่า เรื่องนี้ได้ให้อะไรมากมายกับพวกเขา
นาธานถามที่กลุ่มว่า "พวกเราน่าจะเจอกันอีก และมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอีกดีไหม"
คนส่วนใหญ่ในกลุ่มอยากจะพูดคุยเรื่องนี้อีก พวกเขาจึงนัดหมายเวลาที่จะพบกันก่อนอาหารเย็น
ในเย็นวันนั้น พวกเขาได้มาเจอกันที่ห้องโถงของโรงแรม พวกเขาเริ่มกระเซ้าเหย่าแหย่กัน เกี่ยวกับ
การค้นพบ "เนยแข็ง" และเห็นภาพตัวเองว่ากำลังอยู่ในเขาวงกต
แองเจล่าได้ถามกลุ่มด้วยคำถามที่ต้องการคำตอบว่า "คุณคิดว่า คุณเป็นใครในเรื่องนี้ สนิฟ สเคอรี
เฮม หรือ ฮอ"
แครอลตอบว่า "อืม.. ฉันคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเมื่อตอนกลางวัน ฉันยังจำช่วงเวลาก่อนที่ฉันจะมีธุรกิจ
เกี่ยวกับสินค้าประเภทกีฬาได้ว่า ในตอนนั้นฉันต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ค่อยราบรื่นสัก
เท่าไร"
"ฉันคงไม่ใช่สนิฟแน่นอน เพราะฉันคงไม่ใช้วิธีดมกลิ่นกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อจะได้ล่วงรู้ถึงการ
เปลี่ยนแปลงแต่เนิ่นๆ และแน่นอนฉันคงไม่ใช่สเคอรี เพราะฉันจะไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้นในช่วงเวลา
อันจำกัด"
"ฉันน่าจะเป็นเฮมมากกว่า เพราะฉันชอบที่จะอยู่ในที่ที่คุ้นเคย และความจริงก็คือว่า ฉันไม่ต้องการที่จะ
จัดการกับการเปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่จะพบเห็นมัน"
ไมเคิล ผู้ซึ่งรู้สึกเหมือนว่าเวลายังไม่ได้ผ่านไปเลย นับจากวันที่เขาและแครอลเป็นเพื่อนที่สนิทกัน
สมัยเรียน ได้ถามขึ้นมาว่า "พวกเรากำลังคุยกันเรื่องอะไร"
แครอลตอบว่า "การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของงาน"
ไมเคิลหัวเราะ "คุณถูกไล่ออกเหรอ" "อืม.. เอาเป็นว่าฉันไม่ต้องการที่จะออกไปค้นหาเนยแข็งก้อน
ใหม่ ฉันคิดว่าฉันมีเหตุผลที่ดีพอว่าทำไมการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ควรเกิดขึ้นกับฉัน ดังนั้นฉันไม่สบายใจ
เลยในช่วงนั้น"
บางคนในกลุ่มที่นั่งเงียบในช่วงเริ่มต้นรู้สึกสบายใจที่จะพูด และ เสนอความคิดเห็นของตน และหนึ่งใน
กลุ่มนั้น คือ แฟรงค์ ผู้ซึ่งเคยทำงานในกองทัพมาก่อน
"เฮมได้ทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง" แฟรงค์กล่าว "แผนกของเขาถูกยุบ เขาไม่ต้องการที่จะเผชิญกับ
ความจริงตรงนั้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ก็ยังทำการโยกย้ายพนักงานของเขา คนในบริษัทฯ ทุกคน
พยายามที่จะพูดกับเขาว่ายังมีโอกาสอีกมากมายในบริษัทฯ ให้กับผู้ที่มีความยืดหยุ่น แต่เขาก็ไม่คิดว่า
เขาต้องเปลี่ยนแปลง เขาคือพนักงานคนเดียวที่รู้สึกตกใจ เมื่อแผนกของเขาถูกยุบลง และในตอนนี้
เขาก็กำลังเผชิญกับความยากลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดว่ามันจะ
เกิดขึ้น"
เจสสิกากล่าวว่า "ฉันคิดว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ควรจะเกิดขึ้นกับฉันด้วยเช่นกัน แต่ "เนยแข็ง"ของฉัน
ได้ถูกย้ายที่มากกว่าหนึ่งครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมา"
หลาย ๆ คนในกลุ่มหัวเราะ ยกเว้นนาธาน
"บางที นั่นแหละ คือประเด็นทั้งหมดที่เรากำลังพูดคุยกัน" นาธานกล่าว "การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับ
พวกเราทุกคนที่นี่"
นาธานกล่าวต่อ "ฉันอยากให้ครอบครัวของฉันได้ยินเรื่องของเนยแข็งก่อนหน้านี้จังเลย ครอบครัวของ
ฉันไม่ต้องการที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาในธุรกิจของเรา แต่ถึงตอนนี้ มันก็สายไปแล้ว เพราะ
เรากำลังจะปิดร้านหลายร้านที่เรามีอยู่"
สิ่งที่นาธานกำลังเล่าทำให้หลาย ๆ คนในกลุ่มประหลาดใจ เพราะทุกคนคิดว่า นาธานมีธุรกิจที่มั่นคง
ที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
"เกิดอะไรขึ้น" เจสสิกาอยากรู้
"สาขาย่อย ๆ ของร้านเรากลายเป็นร้านที่ล้าสมัย ก็เพราะตอนที่มีร้านยักษ์ใหญ่เข้ามา พร้อมกับสินค้า
ที่หลากหลาย และราคาถูกกว่า ร้านของเราไม่มีทางจะไปสู้กับร้านพวกนั้นได้เลย"
"ฉันจึงเห็นภาพตอนนี้ว่า แทนที่เราจะเป็นสนิฟและสเคอรี เรากลับกลายเป็นเฮมมากกว่า เพราะเราก็ยัง
อยู่ตรงจุดเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น เราพยายามที่จะไม่สนใจ ไม่รับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
รอบตัวเรา และ ถึงตรงจุดนี้ เรากำลังตกที่นั่งลำบาก เราน่าจะได้บทเรียนสักหนึ่งหรือสองบทเรียนจาก
ฮอนะ"
ลอร่า ผู้ซึ่งกลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จ ได้กล่าวว่า "ฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตั้งแต่ตอน
กลางวัน ฉันอยากรู้ว่าฉันจะเป็นเหมือนฮอได้อย่างไร นั่นคือ เห็นความผิดพลาดของตัวเอง แล้วก็
หัวเราะให้กับตัวเอง จากนั้นก็เปลี่ยนแปลง และทำทุกอย่างให้ดีขึ้นกว่าเดิม"
ลอร่ายังกล่าวต่ออีกว่า "ฉันเป็นคนสนใจใคร่รู้นะ มีใครบ้างที่กลัวการเปลี่ยนแปลง" ไม่มีใครตอบ
คำถามของลอร่า เธอจึงแนะต่อว่า "ช่วยยกมือหน่อยสิ"
มีเพียงคนเดียวที่กล้ายกมือ "อืม ดูเหมือนเราจะมีเพื่อนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าพูดความจริง" ลอร่า
กล่าว "บางทีคุณอาจจะอยากฟังอีกหนึ่งคำถามที่ดีกว่านี้ และอาจจะอยากตอบก็ได้ มีใครบ้างที่คิดว่า
คนอื่นกลัวการเปลี่ยนแปลง" ทุกคนยกมือขึ้น พอถึงตรงนี้ ทุกคนเริ่มหัวเราะ
"สิ่งนั้นบอกอะไรแก่เราบ้าง"
"การปฏิเสธความจริง" นาธานตอบ
ไมเคิลยอมรับ "บางที เราอาจไม่รู้ตัวว่าเรากลัวการเปลี่ยนแปลง ฉันรู้ว่าฉันไม่กลัว เมื่อฉันได้ยินเรื่องนี้
ครั้งแรก ฉันชอบคำถามนะ "คุณจะทำอะไรล่ะ ถ้าคุณไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง"
เจสสิกากล่าวเสริมว่า "อืม สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ว่า
ฉันจะกลัวมันหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่าฉันจะชอบมัน หรือไม่ก็ตาม"
"ฉันยังจำได้ว่าสมัยที่บริษัท ฯ ของเราขายหนังสือชุด Encyclopedia มีคน ๆ หนึ่งพยายามที่จะบอก
เราว่า เราควรจะจัดเก็บ Encyclopedia ทั้งชุดลงในแผ่นดิสก์ และขายมันเพื่อเป็นการลดต้นทุนการ
ผลิต ซึ่งมันจะช่วยให้ราคาของสินค้าต่ำลง และผู้บริโภคก็สามารถซื้อหาได้ เพราะราคาไม่สูงมาก แต่
เราทุกคนในบริษัทฯ ไม่เห็นด้วย และ ต่อต้านกับความคิดนั้น ณ ตอนนั้น"
"ทำไมตอนนั้นคุณจึงต่อต้าน" นาธานถาม
"เพราะเราเชื่อว่า ฐานของธุรกิจของเราคือ ทีมฝ่ายขายที่ต้องออกไปขายสินค้าชนิดแบบ เสนอขายถึง
หน้าประตูบ้านลูกค้า (door to door) ซึ่งนโยบายการขายแบบนี้ จะมีค่าคอมมิชชั่นก้อนใหญ่เป็นตัวล่อ
ให้ทีมฝ่ายขายต้องหาลูกค้า และขายสินค้าที่มีราคาสูงนี้ให้ได้ ซึ่งเราก็ได้ดำเนินธุรกิจแบบนี้มาเป็น
ระยะเวลายาวนาน และคิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป"
"มันเป็น "เนยแข็ง" ของคุณ" นาธานกล่าว
"ใช่ และเราก็อยากยึดติดอยู่กับมัน"
"เมื่อฉันคิดย้อนหลังว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง ฉันเห็นว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ พวกเขา "ได้ย้ายที่เนย
แข็ง" แต่ "เนยแข็ง" นั้นมีชีวิตด้วย และสูญสลายลงในที่สุด
"อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่คู่แข่งรายหนึ่งของเราเปลี่ยนแปลง และยอดขายของ
เราก็ได้ตกลงอย่างน่าใจหาย เราได้เผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก และเดี๋ยวนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลง
ทางด้านเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นอีกในอุตสาหกรรมของเรา และดูเหมือนไม่มีใครเลยในบริษัทฯ
ของเราที่ต้องการจะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ดูสถานการณ์แล้ว ไม่น่าไว้วางใจเลย ฉันคิด
ว่าฉันอยากจะลาออกจากงานนี้เร็ว ๆ นี้"
"มันเป็นช่วงเวลาที่จะกลับไปอยู่ในเขาวงกตอีกแล้ว" คาร์ลอสกล่าว ทุกคนหัวเราะ รวมทั้งเจสสิกาด้วย
คาร์ลอสหันไปทางเจสสิกา และ กล่าวว่า "มันเป็นการดีที่คุณสามารถหัวเราะให้ตัวเองบ้าง"
แฟรงค์เสนอว่า "นั่นคือสิ่งที่ฉันได้จากเรื่องนี้ด้วย" ฉันชอบที่จะเคร่งเครียดมากเกินไป และฉันก็
สังเกตเห็นว่า ฮอเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เมื่อเขาสามารถที่จะหัวเราะให้ตัวเอง และหัวเราะในสิ่งที่
เขากำลังทำอยู่ ไม่ต้องแปลกใจนะ หากฉันจะบอกว่า ฉันเป็นฮอ"
แองเจล่าถามว่า "คุณคิดไหมว่าเฮมจะเปลี่ยนแปลง และค้นพบเนยแข็งใหม่"
อีเลนกล่าว "ฉันคิดว่าเขาน่าจะเปลี่ยนแปลงนะ"
"ฉันไม่รู้" โครี่กล่าว "บางคนไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และ พวกเขาก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เขาจะ
ได้รับ ฉันเห็นคนที่เป็นอย่างเฮมตอนที่ฉันฝึกเป็นหมอ พวกเขาคิดว่าเขามีสิทธิ์ที่จะครอบครอง "เนย
แข็ง" ของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าจะตกเป็นเหยื่อ หากเนยแข็งเหล่านั้นถูกย้ายไป และพวกเขาจะ
ตำหนิผู้อื่น พวกนี้จะลำบากมากกว่าพวกที่ปล่อยวางได้ และพร้อมที่จะก้าวต่อไป"
นาธานกล่าวอย่างเงียบ ๆ ราวกับพูดกับตัวเองว่า "ฉันเดาว่า คำถามคือ "อะไรคือสิ่งที่เราต้องปล่อยวาง
และอะไรคือสิ่งที่เราต้องก้าวต่อไป"
ไม่มีใครตอบอะไรทั้งสิ้นในขณะนั้น
"ฉันต้องยอมรับ" นาธานกล่าว "ฉันเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในประเทศของเรา แต่ฉัน
หวังว่ามันคงจะไม่มีผลอะไรกับพวกเรา ฉันเดาว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่เราจะริเริ่มให้มีการเปลี่ยนแปลง
ในขณะที่เรา สามารถทำมันได้ ดีกว่าที่เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว เราพยายามที่จะตอบสนอง
และปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้น บางทีเราควรจะย้ายที่เนยแข็งของเราเองด้วย"
"คุณหมายความว่าอย่างไร" แฟรงค์ถาม
นาธานตอบ "ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็อยากรู้ว่าเราควรจะอยู่ตรงไหนวันนี้ ถ้าเราต้องขายธุรกิจ
อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นร้านเก่า ๆ ของเรา และไปสร้างร้านใหญ่ที่ทันสมัย เพื่อที่จะแข่งขันกับคู่แข่งที่ดี
ที่สุด"
ลอร่ากล่าว "บางที่นั่นคือ สิ่งที่ฮอหมายถึง เมื่อตอนที่เขาจารึกข้อความลงบนกำแพงที่ว่า "สนุกกับการ
ผจญภัย พร้อมกับก้าวตามเนยแข็งของคุณไป"
แฟรงค์กล่าว "ฉันคิดว่ามีบางสิ่งไม่ควรเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น ฉันต้องการที่จะยึดถือค่านิยม
บางอย่างของฉัน แต่ฉันเพิ่งจะตระหนักตอนนี้ว่า ชีวิตฉันคงจะไปได้ดีกว่านี้ ถ้าฉันก้าวไปพร้อมกับเนย
แข็งให้เร็วขึ้นกว่านี้"
"อืม..ไมเคิล มันเป็นเรื่องที่ดีมาก" ริชาร์ด เพื่อนร่วมชั้นผู้ซึ่งไม่เชื่อถืออะไรง่าย ๆ ได้กล่าว "จริง ๆ แล้ว
คุณได้นำเรื่องนี้ไปใช้ในบริษัทฯ ของคุณอย่างไร"
ที่กลุ่มไม่รู้ และตอบไม่ได้ แต่ริชาร์ดเคยมีประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเขา
เนื่องจากเขาเพิ่งแยกทางกับภรรยาเมื่อเร็ว ๆ นี้ และขณะนี้เขาพยายามที่จะประคับประคองอาชีพของ
เขา ไปพร้อม ๆ กับ การเลี้ยงดูลูก ๆ ที่กำลังเป็นวัยรุ่น
ไมเคิลตอบ "คุณรู้ไหม ฉันคิดว่างานของฉันเป็นงานที่คอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ในขณะที่
ฉันควรจะเริ่มมองไปข้างหน้า และใส่ใจว่าเราควรจะไปที่ไหนดี"
"และคุณรู้ไหมว่า ฉันจัดการกับปัญหาเหล่านั้น ?ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน- ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ฉันนัก
หรอก ฉันจะยุ่งมาก และก็ยังไม่มีทางออกในเรื่องนี้"
"อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฉันได้ยินเรื่องนี้ "ใครเอาเนยแข็งของฉันไป" และเห็นว่าฮอเปลี่ยนแปลงไป
อย่างไร ฉันตระหนักว่างานของฉันตอนนี้ ก็คือ การวาดรูป "เนยแข็งก้อนใหม่" และวาดมันให้ชัดเจน
และเป็นจริงมากที่สุด เพื่อที่ฉัน และทีมงานของฉันจะได้สนุกกับการเปลี่ยนแปลงนี้ และประสบ
ความสำเร็จไปพร้อม ๆ กัน" ไมเคิลกล่าว
"น่าสนใจดี" แองเจล่ากล่าว "เพราะว่าเนื้อเรื่องส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญมากที่สุดก็คือ ตอนที่ฮอสลัด
ความกลัวออกไปจากใจของเขา และมีความมุ่งมั่นที่จะค้นหา "เนยแข็งก้อนใหม่" ให้ได้ พร้อมกับการ
วิ่งวกไปวนมาภายในเขาวงกตด้วยความรู้สึกกลัวน้อยลงเรื่อยๆ และ รู้สึกสนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำมากขึ้น
และท้ายสุดเขาก็ได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น"
ริชาร์ด ผู้ซึ่งค่อนข้างวิตกกังวลในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ได้กล่าวว่า "ผู้จัดการของฉันได้บอกฉัน
ว่า บริษัทฯ ของเราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง ฉันคิดว่าสิ่งที่เธอต้องการบอกฉันจริง ๆ ก็คือ ฉันคือคนที่
ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ฉันก็ไม่ต้องการที่จะได้ยินมัน ฉันเดาว่า ฉันไม่อยากรู้ว่า "เนยแข็งก้อนใหม่" ที่
เธอพยายามจะให้เรา คืออะไร หรือ ฉันจะได้รับอะไรจากเนยแข็งก้อนใหม่นั้น"
ริชาร์ดยิ้มก่อนที่จะพูดว่า "ฉันต้องยอมรับเลยว่า ฉันชอบความคิดที่ว่า กำลังเห็น "เนยแข็งก้อนใหม่"
และ จินตนาการต่อว่าตัวเองกำลังมีความสุขอยู่กับมัน" มันทำให้ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาไปหมด มันทำให้
ความกลัวของเราน้อยลง และสนใจที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
"บางทีฉันอาจจะประยุกต์ใช้เรื่องนี้กับที่ครอบครัวของฉันด้วย" ริชาร์ดกล่าวเสริมต่อ "เพราะดูเหมือนว่า
ลูก ๆ ของฉัน คิดว่า คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เวลาที่เขาโกรธ ฉันเดาเอาว่า เขา
คงจะโกรธที่เขาไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หรืออาจเป็นเพราะฉันยังไม่ได้ชี้ให้พวกเขาเห็น
ถึงภาพของ "เนยแข็งก้อนใหม่" เนื่องจากตัวฉันเองยังไม่รู้ว่า "เนยแข็งก้อนใหม่" คืออะไรก็เป็นได้"
ที่กลุ่มยังคงนั่งเงียบงัน เพราะกำลังคิดถึงชีวิตครอบครัวของตนเอง
"อืม พวกเราส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องงาน แต่ฉันกำลังคิดถึงเรื่องส่วนตัว ฉันคิดว่าความสัมพันธ์ของฉัน
กับครอบครัวในปัจจุบันนี้ กำลังจะเป็น "เนยแข็งก้อนเก่า" ที่มีราขึ้นอยู่"
โครี่หัวเราะอย่างเห็นด้วย "ฉัน ก็เหมือนกัน บางทีฉันอาจจะต้องปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมัน
ออกไปครอบครัวของเรา"
แองเจล่าตอบสวนว่า " อาจเป็นไปได้ที่ว่า "เนยแข็งก้อนเก่า" ควรเป็นแค่ พฤติกรรมเก่า ๆ ดังนั้น สิ่งที่
เราควรจะกำจัดออกไปก็คือ พฤติกรรมอันเป็นเหตุให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในครอบครัวเรา และ
จากนั้นเราก็ควรก้าวไปสู่การคิดใหม่ และการกระทำใหม่ ๆ"
"ประเด็นนี้ดีนะ ดีที่ว่า เนยแข็งก้อนใหม่เปรียบเสมือนสัมพันธภาพใหม่ ๆ กับคน ๆ เดิม" โครี่กล่าว
ริชาร์ดกล่าวต่อ "ฉันกำลังคิดว่ามีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่เรากำลังคิดกันอยู่หรือไม่ ฉันชอบความคิดที่ว่า
เราต้องแทนที่พฤติกรรมเก่า ๆ ของเรา ด้วยสัมพันธภาพแบบใหม่ ๆ เพราะว่าการที่คุณประพฤติหรือ
ปฏิบัติแบบเดิม ๆ มันคงจะส่งผลลัพธ์แบบเดิม ๆ ให้คุณเช่นเดียวกัน
"เพราะฉะนั้น แทนที่จะเป็นการเปลี่ยนงาน ฉันควรจะเป็นคนที่จะช่วยบริษัทฯ ให้ไปสู่การเปลี่ยนแปลง
และหากฉันได้ทำมันก่อนหน้านี้ บางทีฉันอาจจะได้งานที่ดีกว่าตอนนี้แล้วก็ได้"
เบคกี้ ผู้ซึ่งอาศัยอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่ได้มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้ด้วย ได้กล่าวว่า "จากการที่ฉันได้
ฟังเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นของทุกคนที่นี่ ถึงตอนนี้ ฉันอยากจะ
หัวเราะให้กับตัวเอง เพราะว่าฉันเป็นเฮมมานานเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น การเป็นแบบเฮม และการเป็น
แบบฮอ และการกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง ฉันยังไม่รู้เลยว่า จะมีอีกกี่คนที่จะเป็นแบบนี้ด้วย ฉันคิดว่าฉัน
ได้ชี้นำความคิดที่กลัวการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ให้กับลูก ๆ ฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ"
"ฉันคิดว่า การเปลี่ยนแปลงนำเราไปสู่ที่ ๆ ใหม่กว่า และดีกว่าจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่คุณอาจจะกลัวว่ามัน
อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้ ณ เวลาที่มาถึงจริง ๆ
"ฉันยังจำได้ว่า ตอนที่ลูกชายของฉันกำลังเรียนอยู่ระดับมัธยมปลาย ตอนนั้นสามีของฉันต้องย้ายที่
ทำงานของเขาจากรัฐอิลินอย ไปรัฐเวอร์มอนต์ ซึ่งเป็นเหตุให้ลูกชายของฉันรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะเขา
จะไม่ได้อยู่กับเพื่อน ๆ ของเขาอีกต่อไป เขาเป็นดาวเด่นประเภทนักกีฬาว่ายน้ำ และโรงเรียนใหม่ที่รัฐ
เวอร์มอนต์ก็ยังไม่มีทีมนักว่ายน้ำเลย ดังนั้นเขาจึงโกรธเรามากที่ทำให้เขาต้องย้ายตามไปด้วย
"แต่พอจริง ๆ เข้า เหตุการณ์กลับเปลี่ยนไป เขากลับชอบภูเขาเวอร์มอนต์ ชอบเล่นสกีกับเพื่อน ๆ
นักเรียนที่นั่น และตอนนี้เขาก็มีความสุขมาก และอยู่ที่รัฐโคโลราโด
"ถ้าเราได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องราวของ "เนยแข็ง" ด้วยกันมาก่อน อาจจะแค่พูดคุยกันบนโต๊ะกาแฟ เรา
ก็คงจะสามารถช่วยครอบครัวของเราได้มากกว่านี้"
เจสสิกากล่าว "ฉันจะกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้ครอบครัวของฉันฟัง ฉันจะถามลูก ๆ ของฉันว่าเขาคิดว่า ฉัน
เป็นใครในเรื่อง -- สนิฟ สเคอรี เฮม หรือ ฮอ -- และ เขาคิดว่า เขาเป็นใครในเรื่องด้วย เราควรจะ
พูดคุยกับคนในครอบครัวของเราว่าเขาคิดว่า "เนยแข็งก้อนเก่า" คืออะไร และ "เนยแข็งก้อนใหม่" คือ
อะไร"
"นั่นเป็นความคิดที่ดีมากเลย" ริชาร์ดกล่าว
แฟรงค์กล่าวเสริมต่อว่า "ฉันคิดว่าฉันจะเป็นฮอ และก้าวไปกับเนยแข็งก้อนใหม่ และสนุกไปกับมัน
และฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนของฉันที่กำลังจะลาออกจากกองทัพฟัง เพื่อให้เขาคิดว่าการ
เปลี่ยนแปลงมีความหมายต่อเขาอย่างไร มันคงจะทำให้เราได้พูดคุยกัน และคงมีเรื่องราวที่น่าสนใจ
แน่นอน"
ไมเคิลกล่าว "อืม..นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราได้ปรับปรุงธุรกิจของเราด้วย เราได้มีการพูดคุย
ถกเถียงเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้รับจากเรื่องราวของ "เนยแข็ง" และเราจะประยุกติ์เรื่องนี้ใช้กับเหตุการณ์
จริง ๆ ของเราได้อย่างไร
"สิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือ เวลาที่เราพูดคุยเรื่องนี้ เราได้ภาษาใหม่ ๆ และพวกเราก็สนุกสนานกันมาก
ตอนที่คุยถึงเรื่องการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงในองค์กร นอกจากนี้แล้ว การที่ได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ทำ
ให้คนในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพราะคนจะมองเรื่องนี้ลึกซื้งมากขึ้น"
"ลึกซึ้งมากขึ้นอย่างไร" นาธานถาม
"อืม ยิ่งเราพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร เราจะพบว่า คนในองค์กรของเรารู้สึกว่าตนเองสามารถ
ควบคุมเหตุการณ์ หรือ สถานการณ์ต่าง ๆ ได้น้อยลง เนื่องจากพวกเขากลัวผลลัพธ์ของการ
เปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
"โดยสรุป การเปลี่ยนแปลงที่คนที่ไม่ต้องการ จะทำให้คนต่อต้านต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น"
"ฉันน่าจะได้อ่านหรือได้ยินเรื่องราวของเนยแข็งมาก่อนหน้านี้นะ" ไมเคิลกล่าวเสริม
"ทำได้อย่างไรล่ะ" คาร์ลอสถาม
"เพราะว่าเราเพิ่งจะมาพูดคุยเรื่องนี้ตอนที่ธุรกิจของเราย่ำแย่แล้ว เราต้องสูญเสียคนดี ๆ ไป เสียเพื่อน
ดี ๆ ไป มันเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับพวกเราทุกคนนะ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่ว่าคนที่จาก
ไปแล้ว หรือคนที่ยังอยู่ เรื่องราวของเนยแข็งสามารถช่วยทำให้ทุกคนได้เห็นสิ่งต่าง ๆ แตกต่างไปจาก
เดิม และได้แนวทางในการแก้ปัญหาดีขึ้นกว่าเดิม
"มันอาจจะยากในตอนเริ่มต้น สำหรับผู้ที่ต้องจากไป และต้องหางานใหม่นั้น แต่เมื่อคุณนึกถึงเรื่องนี้
เชื่อว่าเรื่องนี้คงจะช่วยคุณได้มากทีเดียว"
แองเจล่าถาม "อะไรที่จะช่วยพวกเขาได้มากที่สุด"
ไมเคิลตอบ "หลังจากที่เขาได้ก้าวผ่านความกลัวไปแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดคือ มีเนยแข็งก้อนใหม่กำลังรอให้
คุณไปค้นพบอยู่ภายนอก"
พวกเขายังพูดอีกว่า การที่คุณมีภาพของเนยแข็งก้อนใหม่ในใจคุณจะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น เพียงแค่
ความรู้สึกตรงนี้ ในเวลาที่คุณต้องไปสัมภาษณ์งานใหม่ คุณจะมีกำลังใจ และ หลาย ๆ คนก็ได้งานใหม่
ที่ดีกว่างานเดิมด้วยซ้ำ"
ลอร่าถาม "และคนที่ยังอยู่ในองค์กรล่ะ"
"อืม .. แทนที่พวกเขาจะบ่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ถึงตรงนี้พวกเขาจะพูดว่า "มีใครบางคน
ได้ย้ายที่เนยแข็งของเรา ถึงเวลาที่เราจะต้องไปค้นหาเนยแข็งก้อนใหม่กันแล้ว" หากคนในองค์กรเป็น
อย่างนี้ได้ มันจะเป็นการช่วยลดเวลาที่เราจะต้องสูญเสียไป และที่สำคัญคือช่วยลดความเครียดด้วย
ไมเคิลกล่าว
อย่างไรก็ตาม คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงก็จะเห็นข้อได้เปรียบของการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี และพวก
เขาจะเป็นสื่อกลางนำความเปลี่ยนแปลงเข้ามาด้วย
โครี่กล่าว "คุณเคยคิดไหมว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น"
"ฉันคิดว่ามีหลาย ๆ คนในองค์กรที่มักจะคิด หรือคล้อยตามผู้อื่น
"มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในองค์กรที่คุณเคยทำงานมา หากผู้บริหารระดับสูงคือผู้ที่ประกาศให้พนักงานทุก
คนทราบถึงความเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นในองค์กร คนในองค์กรจะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็น
เรื่องที่ดี หรือเรื่องที่ไม่ดี"
"เป็นเรื่องไม่ดี" แฟรงค์ตอบ
"ใช่แล้ว เป็นเรื่องไม่ดี" ไมเคิลกล่าวเห็นด้วย "ทำไมล่ะ" เขาถามต่อ
คาร์ลอสกล่าว "เพราะคนในองค์กรอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม และพวกเขาคิดว่าการ
เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับพวกเขา และเมื่อใดก็ตามที่มีคนเก่งในองค์กรพูดว่า การเปลี่ยนแปลง
เป็นเรื่องที่ไม่ดี แน่นอนคนอื่นก็ย่อมพูดแบบนี้ด้วยเหมือนกัน"
"ใช่ จริง ๆ แล้ว พวกเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นก็ได้" ไมเคิลกล่าว "แต่พวกเขาเห็นด้วยเพื่อที่จะได้
ถูกมองจากคนอื่นว่าพวกเขาก็เก่ง และฉลาดเหมือนกัน การคล้อยตามกันนี่แหละที่จะไปต่อต้านการ
เปลี่ยนแปลงในองค์กร"
เบคกี้กล่าวเสริม "ในครอบครัว สิ่งที่เหมือนกันนี้อาจจะเกิดขึ้นเช่นกัน ระหว่างพ่อแม่ กับลูก" จากนั้น
เบคกี้ถามต่อว่า "เมื่อคนได้ยินเรื่องราวของเนยแข็งแล้ว สิ่งต่าง ๆ แตกต่างไปจากเดิมอย่างไร"
ไมเคิลตอบ "คนจะเปลี่ยนไป เพราะไม่มีใครอยากจะเหมือนเฮม"
ทุกคนหัวเราะรวมทั้งนาธาน จากนั้นเขากล่าวว่า "นั่นเป็นประเด็นที่ดีนะ ไม่มีใครในครอบครัวของฉัน
อยากจะเหมือนเฮมเลย นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแล้ว ทำไมคุณไม่เล่าเรื่องนี้ให้เล่าฟังตอนที่
เรามาเจอกันครั้งที่แล้วล่ะ มันจะได้เห็นผลมากกว่านี้"
ไมเคิลจึงได้เสนอความคิดสุดท้ายว่า "เมื่อพวกเราทุกคนเห็นว่าเรื่องนี้มันช่วยพวกเราได้ เราก็ควรจะ
เผยแพร่เรื่องนี้ให้กับคนที่เราทำงานด้วย เพื่อให้พวกเขาทราบถึงการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงใน
องค์กรของเขา เราขอเสนอว่า เราอาจจะเป็น "เนยแข็งก้อนใหม่" ของพวกเขา นั่นคือ เป็นเพื่อน
ร่วมงานที่ดีกว่าเมื่อก่อน เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ และธุรกิจใหม่ร่วมกัน"
สิ่งที่ไมเคิลพูดได้จุดประกายความคิดให้เจสสิกามากมายทีเดียว และยังช่วยเตือนเธออีกว่า เธอได้มี
นัดกับลูกค้าหลายรายในเช้าวันนี้ เธอดูเวลาที่นาฬิกา และกล่าวว่า "อืม ถึงเวลาที่ฉันต้องไปจากสถานี
เนยแข็งนี้ซะที และก็จะไปต่อที่สถานีเนยแข็งแห่งใหม่"
ที่กลุ่มหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และเริ่มที่จะกล่าวร่ำลากัน หลายคนอยากที่จะพูดคุยถึงเรื่องนี้ต่ออีก
แต่ถึงเวลาที่ต้องไปแล้วจริง ๆ ก่อนที่พวกเขาจะจากกัน ทุกคนได้ขอบคุณไมเคิลอีกครั้งสำหรับการเล่า
เรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง
ไมเคิลกล่าวในตอนท้ายว่า "ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ และฉันก็หวัง
เป็นยิ่งว่าพวกคุณคงจะมีโอกาสที่จะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่นด้วย"
The End