1) โลกปัจจุบันนี้อยู่ในยุคสมัยของการยกย่องเชิดชูความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ในขณะที่ศตวรรษที่เพิ่งผ่านไปนั้นพากันยกย่องเชิดชูความสำคัญของทุนว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญและชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลว ในขณะที่ครึ่งแรกของศตวรรษก่อนได้พากันยกย่องทฤษฎี 3M ว่าเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในกิจการทั้งปวง
M ตัวแรกคือ Money หรือเงินทุน
M ตัวที่สองคือ Material หรือทรัพยากร และ
M ตัวที่สามคือ Man หรือคน
ดังนั้นในท่ามกลางการเคลื่อนตัวไปของกาลเวลา เพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ไม่นานเท่าใดนักตั้งแต่กลางศตวรรษที่แล้วมาจนถึงการเริ่มต้นของศตวรรษใหม่นี้ดูเหมือนว่าความสำคัญของคนจะเลือนหายไปจากองค์รวมของปัจจัยแห่งความสำเร็จ
มันเป็นเช่นนั้นจริงแล้วละหรือ ?
ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือความก้าวหน้าในวิทยาการแขนงวิศวพันธุกรรมที่ได้ประสพความสำเร็จและก้าวหน้าอย่างขนานใหญ่ ซึ่งจะมีผลให้ในอนาคตจะเกิดบทบาทของหุ่นยนต์ที่จะเข้ามาแทนที่บทบาทของคนมากขึ้นเป็นลำดับไป
มนุษย์ประสพความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและมีแนวโน้มว่าจะประสพความสำเร็จในการผลิตอวัยวะอะไหล่ขึ้นมาทดแทนอวัยวะเทียมบางชนิดที่ประสพความสำเร็จในศตวรรษที่แล้ว มีแนวโน้มว่าเมื่อมนุษย์คนใดมีปัญหาเรื่องตับก็มีตับใหม่มาเปลี่ยนตับเก่าได้ มีปัญหาเรื่องหัวใจก็มีหัวใจใหม่มาเปลี่ยนหัวใจเก่าได้ จนกระทั่งขาหรือหัวเข่ามีปัญหาก็เปลี่ยนขาหรือหัวเข่าไปทั้งหมดก็ได้
กระทั่งมีแนวโน้มอีกว่าความสำเร็จในเรื่องการโคลนนิ่งจะพัฒนาไปถึงขั้นที่ใช้มนุษย์ที่โคลนนิ่งขึ้นมาใหม่เข้าแทนที่คนเก่าได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้จินตนิยายเรื่องการถอดจิต ถอดวิญญาณจากคนหนึ่งไปสิงสู่อีกคนหนึ่งเป็นเรื่องที่ดูแคลนไม่ได้อีกแล้ว
ความสำเร็จเหล่านี้ได้ทำให้ความสำเร็จยุคก่อนหน้าที่มนุษย์สามารถตัดต่อผสมพันธุกรรมกำหนดสีของนัยน์ตา กำหนดขนาดของร่างกาย กำหนดไอคิวเพื่อกำหนดความเฉลียวฉลาดกลายเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไปแล้ว
แม้กระนั้นบทบาทของคนหรือคนจะหมดความหมายไปจริง ๆ ละหรือ ?
(3) หลายประเทศในยุโรปได้ลดเวลาการทำงานของคนลง โดยเอางานจำนวนหนึ่งไปให้กับหุ่นยนต์หรือระบบไอทีดำเนินการ ทำให้ระยะเวลาการทำงานสัปดาห์ละ 6 วันเหลือ 5 วัน และจาก 5 วันก็ลดเหลือ 4 วัน ก่อแนวโน้มว่าในอนาคตเวลาการทำงานก็จะลดน้อยลงกว่านี้อีก
นอกจากนั้นงานบางประเภทที่เคยใช้คนก็ถูกเปลี่ยนแปลงปรับปรุงไปใช้เทคโนโลยีแทนที่คน โดยเฉพาะระบบความปลอดภัยมากหลาย ระบบการตรวจสอบมากหลาย และการลดขั้นตอนของงานมากหลาย ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายและส่งผลสะเทือนอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าสึนามิแห่งระบบงาน ก็ได้ทำให้งานที่คนจะต้องทำลดน้อยลงไปอีก
อย่างนี้แล้วบทบาทของคนจะหมดความหมายจะไม่หมดความหมายไปจริง ๆ หรือ ?
(4) พัฒนาการทั้งหมดเหล่านั้นมาจากฟากฟ้า หลุดลอยเข้ามาจากอวกาศ หรืออุบัติขึ้นในโลกนี้โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย โดยไร้ต้นตอกระนั้นหรือ ?
หามิได้ ทั้งหมดเหล่านั้นล้วนเกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ เป็นผลงานของคนเราทั้งสิ้น
คนต่างหากที่กำลังทำให้คนมีบทบาทน้อยลง มีคุณค่าน้อยลง และทำให้เหลืองานที่คนจะต้องทำน้อยลง
ท่านเจ้าคุณพุทธทาสเคยสอนว่ามนุษย์หรือคนเราเป็นสัตว์ประเสริฐ มีความเฉลียวฉลาดยิ่งกว่าสัตว์ทั้งปวง จึงได้ชื่อว่าเวไนยสัตว์ คือสัตว์ที่สามารถพัฒนาความฉลาดได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัด และคือสัตว์ที่สามารถพัฒนายกระดับจิตใจของตนให้มีความสูงส่งถึงขีดสุด กระทั่งหลุดพ้นจากการเกาะกุมครอบงำของกิเลสและอาสวะทั้งหลาย
แต่ทว่าคนจำนวนมากไม่อยากไปสู่หนทางอันประเสริฐ คือแทนที่จะใช้ความเฉลียวฉลาดที่ธรรมชาติประทานเพื่อความประเสริฐแห่งตนและสังคม กลับใช้ความเฉลียวฉลาดนั้นไปในทางที่เป็นผลร้ายต่อตนเองและสังคมมนุษย์
ท่านเจ้าคุณพุทธทาสจึงเปรียบเทียบว่ามนุษย์ได้ใช้ความฉลาดของตนเหมือนกับที่นนทุกข์ได้ใช้นิ้วเพชรที่ได้รับประสาทพรมาจากพระอิศวรว่าชี้ใครให้ตายได้ แล้วมาชี้เอาตัวเองจนต้องตกตายเช่นเดียวกัน
ความเฉลียวฉลาดอันไม่มีขอบเขตจำกัด ขีดความสามารถอันสูงส่งที่สามารถเข้าถึงความประเสริฐสูงสุด และพัฒนาการด้านความรู้ความสามารถของคน จึงสามารถทำให้คนสำเร็จสูงสุดหรือล้มเหลวสูงสุดก็ได้ สามารถทำให้สรรพสิ่งเป็นประโยชน์สูงสุดหรือเป็นโทษสูงสุดก็ได้
เพราะคนนั้นเป็นผู้ยึดกุมและเป็นผู้กระทำในทุกสิ่ง
เหมาเจ๋อตงอดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจึงชี้ไว้ว่า เมื่อแนวทางนโยบายได้กำหนดถูกต้องแล้ว คนคือปัจจัยที่จะชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลว และที่จะชี้ขาดชัยชนะหรือปราชัยในการทั้งปวง