-->

ผู้เขียน หัวข้อ: เริมอวัยวะเพศ  (อ่าน 763 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

แบดบอย

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 72
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
เริมอวัยวะเพศ
« เมื่อ: 01 ธันวาคม 2015, 15:04:14 »

เริมอวัยวะเพศ
เริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยขึ้น ประกอบกับเป็น โรคที่ไม่หายขาด จึงมีจำนวนคนที่เป็นโรคนี้สะสมมากขึ้นทุกปี การติดเชื้อเริมส่วนใหญ่ติดจากการร่วมเพศ เชื้อไวรัสติดเข้าสู่ร่างกาย ทางแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อบุอ่อนๆ แล้วอาจไม่แสดงอาการ แต่กลับไปแฝงตัวที่ปมประสาทรับความรู้สึก ( Sensory nerve ganglion) เชื้อจะจะยึดปมประสาทนี้เป็นที่มั่น ตลอดไป แต่อาจถูกกระตุ้นให้กลับมาก่อโรคที่ผิวหนังได้เป็นครั้งคราว และระหว่างที่มีรอยโรคอยู่ ก็สามารถที่จะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นที่ไป สัมผัสได้ แต่ที่ร้ายกว่านั้น หญิงที่มีเชื้อเริมที่ปากมดลูก หรือช่องคลอด มีเกือบครึ่งที่ไม่มีอาการอะไรผิดปกติแสดงออกมา ให้เห็น ดังนั้นหญิงเหล่านี้จึงมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปให้ชายที่มี เพศสัมพันธ์ด้วยได้โดยไม่รู้ตัว

ตัวเชื้อ
เริมเกิดจากเชื้อไวรัส (Herpes simplex virus HSV) ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ HSV-1 และ HSV-2 แต่เดิมนั้น HSV-1 พบได้ในส่วนบนของ ร่างกาย และ HSV-2 เป็นตรงส่วนล่างของร่างกาย แต่ระยะหลัง พฤติกรรมทางเพศของคนเปลี่ยนไป มีเพศสัมพันธ์ทางปาก ( Oral sex) กันมากขึ้น เชื้อทั้งชนิด HSV-1 และ HSV-2 จึงผสม ปนเป ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น ว่าบนหรือล่างอีกต่อไป แต่ที่ร้าย ไปกว่านั้น เชื้อ HSV-2 ยังมีแบ่งเป็นอีกหลายสายพันธุ์ (strain) และ เชื้อแต่ละสายพันธุ์ก็ไม่ญาติดีต่อกัน เคยเป็นสายพันธุ์หนึ่งหนึ่งแล้วก็ ไม่ได้มีภูมิต้านทานต่ออีกสายพันธุ์ ดังนั้นเมื่อเป็นสายพันธุ์หนึ่งแล้วก็ ยังมีโอกาสติดอีกสายพันธุ์ได้อีก

อาการ
อาการของเริมแบ่งเป็นสองแบบ คือแบบเป็นครั้งแรกกับแบบที่เป็นซ้ำ ถ้าเป็นครั้งแรก อาการจะรุนแรงและใช้เวลานานกว่าจะหาย แต่ถ้าเป็น แบบเป็นซ้ำ อาการจะน้อยกว่าและจะหายเร็วกว่าอาการที่เป็นครั้งแรก มักจะแสดงอาการ 3 – 7 วันหลังจากรับเชื้อ ถ้าเป็นหญิงอาการ จะรุนแรงมาก มีการอักเสบที่ช่องคลอด ปากมดลูก และท่อปัสสาวะ ผู้ป่วยจะปวดอย่างมากปัสสาวะอย่างยากลำบาก บางคนปวดถึงกับ น้ำตาเล็ด จะตรวจภายในก็ได้แค่ดูภายนอก จับต้องไม่ได้เลย พร้อม กับเห็นตุ่มน้ำใสๆ เล็ก อยู่เป็นกลุ่มๆ กระจัดกระจายไปในบริเวนนั้น และตุ่มน้ำใสเหล่านี้ก็จะแตกภายใน 24-48 ชั่วโมง ทำให้เห็นเป็นรอย แผลตื้นๆ หลายตุ่มอาจแตกรวมกันเป็นแผลใหญ่ อวัยวะเพศบวม มีตกขาว บางคนถึงกับปัสสาวะไม่ออก นอกจากนี้ยังปวดระบม มีไข้ ปวดศรีษะ ปวดเมื่อตามตัว อาการนี้จะเป็นอยู่ 2 – 3 สัปดาห์จึงค่อย ทุเลาลง ถ้าไม่มีเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมก็จะค่อยๆ หายตกสะเก็ด เมื่อหายก็จะหายอย่างสนิท สนิทชนิดไม่รู้มาก่อนว่าเคยเป็น ส่วนผู้ชาย (ตัวก่อเรื่องนั่นแหละ) อาการครั้งแรกก็รุนแรง แต่ก็ไม่เท่า กับหญิง มีตุ่มน้ำใสๆ เกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ และถ้ามีการติดเชื้อ ในท่อปัสสาวะด้วยก็จะมีอาการแสบเวลาปัสสาวะ และจะกลายเป็น
หนองในเทียมที่ไม่หายขาดไป ส่วนพวกรักร่วมเพศก็อาจพบ ตุ่มน้ำใสๆ เกิดรอบทวารหนักได้เช่นกัน อาการเป็นซ้ำ หลังจากรับเชื้อครั้งแรกแล้ว สองในสามของผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก แต่อาการต่างๆ จะน้อยลง และระยะเวลาที่เป็นก็จะสั้นลง ประมาณ 7 – 10 วันก็หาย บางรายที่เป็นบ่อยๆ สามารถบอกตัวเองได้ก่อนมีอาการจริง อาจมี อาการเจ็บ คันหรือปวดหน่วง รู้เลยว่าอีกวันสองวัน เพื่อนเก่าจะมาแล้ว เหตุกระตุ้นให้เป็นซ้ำ ยังไม่รู้แน่ชัด แต่พบว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พักผ่อน ไม่พอ นอนดึก งานยุ่ง เครียด หรือบางรายเวลามีรอบเดือน ก็จะกลับเป็นซ้ำได้อีก รับเชื้อแล้วไม่มีอาการแปลว่าไม่ติดใช่ไหม ไม่ใช่ครับ ได้มีการศึกษาโดยการเพาะเชื้อ พบว่าเกือบ 50 % ของหญิงที่มีเชื้อ HSV ในช่องคลอด โดยไม่มีอาการของโรค ดังนั้นหญิง เหล่านี้ที่รับฝากเชื้อที่ปากมดลูกหรือที่ช่องคลอดโดยไม่มีอาการจึง อาจสามารถแพร่เชื้อไปสู่ชายได้ ส่วนผู้ชายที่มีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ก็มี แต่น้อย ประมาณแค่ 1 %

เริมทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกหรือเปล่า
เปล่าเลยครับ เริมเป็นจำเลยมาหลายสิบปี ที่เคยเชื่อกันว่าเริมเป็น สาเหตุให้เกิดมะเร็งปากมดลูกนั้น ไม่จริงแล้วครับ เดี๋ยวนี้พบว่า สาเหตุ มะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อ HPV ก็เชื้อที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่นั่น แหละครับ

คนโสดเป็นได้ไหม
เป็นได้ครับ เคยเจอหลายรายที่เป็นหญิงสาวโสดไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แต่เป็นเริมที่อวัยวะเพศ เข้าใจว่าเป็นเริมที่ริมฝีปาก มือไปจับแล้วมาเกาบริเวณอวัยวะเพศ ทำให้ติดได้เหมือนกัน

เริมกับการตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเริม ก็นับเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง เคยมีรายงาน การศึกษาถึงผลกระทบของการเกิดโรคเริมอวัยวะเพศในระหว่างการตั้งครรภ์ พบว่าเชื้อเริมสามารถติดจากแม่โดยผ่านทางกระแสเลือดได้ เหมือนกัน ทำให้แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนดได้ ดังนั้นถ้าเป็นเริม ระหว่างตั้งครรภ์ แพทย์จะเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจดูว่าทารก ติดเชื้อหรือไม่ แต่ที่สำคัญกว่านั้น ในช่วงคลอด ถ้าแม่เป็นเริม โอกาสที่ลูกจะสัมผัส เชื้อและติดถึงลูกมีอยู่สูง แพทย์จึงใช้วิธีผ่าท้องคลอดแทน 90 % ของ ทารกที่เป็นเริมติดตอนคลอด ดังนั้นถ้าคุณเคยเป็นเริมที่อวัยวะเพศ หรือสามีเคยเป็น เวลาที่คุณไปฝากครรภ์ ก็ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย

การรักษา
การรักษาก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือรักษาตามอาการ และรักษาเฉพาะ การรักษาตามอาการ ก็คือ ถ้าปวดก็ให้ยาแก้ปวด และให้ยาปฏิชีวนะ ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ล้างแผลด้วยน้ำเกลือวันละ 2 – 3 ครั้ง แต่ในรายที่ปวดมาก หรือปัสสาวะไม่ออก การนั่งแช่น้ำอุ่น (Hot sitz bath) ก็สามารถบรรเทาอาการได้ โดยนั่งแช่น้ำอุ่นใน กะละมัง ครั้งละ 10 –15 นาที วันละ 2 – 3 ครั้ง การรักษาเฉพาะ ได้มีความพยายามจะหายามารักษา แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะเชื้อนี้เป็นไวรัส ไม่มียาที่จะฆ่าได้ ยาที่ใช้ในปัจจุบันคือ Acyclovir ซึ่งใช้มาเป็นสิบปี ก็ยังใช้ได้อยู่ ทั้งแบบกิน และแบบครีม แบบครีมมีไว้ใช้กับเริมที่ปาก (Oral Herpes) ไม่แนะนำให้ใช้กับเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) ส่วนแบบกินมีทั้งแบบ 200 มิลลิกรัม และ 400 มิลลิกรัม ปัจจุบันได้มีการพัฒนายาตัวนี้ขึ้นมาเป็นยาใหม่ๆ ที่มีขายคือ Valacyclovir ( ชื่อการค้า Valtrex ) Famciclovir ( ชื่อการค้า Famvir ) ข้อดีกว่ายาตัวเก่าคือการดูดซึมได้ดีกว่า และไม่ต้องกินหลายครั้งมากในแต่ละวัน แต่ก็ยังไม่มีรายงานวิจัย ความปลอดภัยที่ใช้กับหญิงตั้งครรภ์
การป้องกัน
ในกรณีที่เป็นหรือเคยเป็น คือรู้ตัวเอง ก็งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ มีรอยโรคอยู่ จนกว่าจะหายสนิท คือไม่เห็นรอยโรคแล้ว ถ้าจำเป็น…. ก็ต้องใช้ถุงยางอนามัย ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่สมรส แม้ไม่เห็นรอยโรคหรือ ไม่เห็นสิ่งปกติ ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าคุณจะปลอดภัย ก็คงต้องใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะเราไม่รู้ว่า เขาเป็นแบบมีเชื้อแต่ไม่ได้ แสดงอาการหรือเปล่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก   the-than.com

Report by www.livcapsule.com