-->

ผู้เขียน หัวข้อ: รู้จริงเรื่องถุงยางอนามัย - ตอนที่ 2  (อ่าน 775 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

แบดบอย

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 72
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด

ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด
ถุงยางอนามัย เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ดี มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ ถ้าใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน ไม่เสื่อม ไม่รั่ว ไม่ซึม ใช้อย่างถูกวิธีและใช้อย่างสม่ำเสมอ จะมีอัตราตั้งครรภ์ 3 ราย ใน 100 ราย ที่ใช้ใน 1 ปี นี่พูดตามทฤษฎีนะครับ แต่ในทางปฏิบัติจริง พบว่ามีอัตราตั้งครรภ์ สูงถึง 10-15 ราย ใน 100 ราย ใน 1 ปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ??
สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย
ท้องได้ไง ก็ใช้ถุงยางแล้ว ..อ้าวทำไมปัสสาวะถึงแสบๆ ก็ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว การล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย ย่อมทำมาซึ่งความหายนะอันใหญ่หลวงที่หลายๆคนเคยประสพมาแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอ
2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน การใส่ที่ไม่เว้นส่วนติ่งไว้(คือดึงมาจนสุดไม่เหลือติ่ง) ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม(กรณีให้สาวใส่ให้) การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอนสมอ การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นานจนนกเขาหลับ การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด(หกปากถ้ำ)
3. การแตกของถุงยางอนามัย แม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัยแม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
การแตกของถุงยางอนามัย
แม้ได้ใช้อย่างถูกวิธี ระมัดระวังอย่างดี ก็ยังแตกได้ครับ มีรายงานตั้งแต่ร้อยละ 1 ถึง 12 เฉลี่ยก็ร้อยละ 5 แต่ถ้าร่วมเพศทางทวารหนัก จะหนักกว่านี้ จากการศึกษาของอีตา steiner แกพบว่า ครึ่งหนึ่งจะแตกตรงส่วนปลายปิด หนึ่งในสี่แตกตรงตัวถุง และอีกหนึ่งในสี่ แตกตรงปลายเปิด แต่ที่สำคัญคือ กว่าจะรู้ว่าแตก ก็เสร็จกิจไปแล้ว ถึงสองในสามของการแตก นี่ซิ ซวยชนิดไม่บอก
แล้วมันแตกได้ยังไง
1. ใช้ไม่ถูกวิธี
2. พฤติกรรมทางเพศ ที่ไม่เหมาะสม เช่น ร่วมเพศอย่างเมามันรุนแรง ยาวนาน หรือมีการเสียดสีอย่างมาก หรือช่องคลอดที่แห้งยังไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ หรือช่องคลอดแห้งในสตรีวัยทอง
3. การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม สารหล่อลื่นที่ใช้กับถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ จะต้องมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำหรือซิลิโคนเท่านั้น ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากน้ำมันหรือ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันโดยเด็ดขาด (petroleum and derivatives) รวมทั้งน้ำมันพืชด้วยนะครับ ยางกับน้ำมันไม่ถูกกันครับ จาการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่า ความแข็งแรงของถุงยางอนามัยลดลงถึงร้อยละ 90 เมื่อถุงยางอนามัยสัมผัสกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (เพียงแค่15นาที)
อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ต้องสังวรไว้ก็คือความเชื่อที่เคยเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่สามารถล้างออกด้วยน้ำได้ ก็สามารถใช้ได้กับถุงยางอนามัยนั้น ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะมีผลิตภัณฑ์บางชนิดมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันอยู่ด้วยก็มี
4.ใช้ขนาดของถุงยางอนามัยไม่เหมาะสม ในเมืองไทย มี 2 ขนาด คือขนาด 49 มิลลิเมตร และขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาดที่เหมาะสมกับคนไทยคือ ขนาด 49 มิลลิเมตร
5. คุณภาพของถุงยางอนามัยไม่ดี ปกติถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทย เขาก็ผลิตดี ได้มาตรฐาน ISO กันทั้งนั้น มีอายุเก็บไว้ได้นานถึง 5 ปี นับแต่วันที่ผลิตถ้าเก็บไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่ที่คุณภาพมันแย่ ก็มักเกิดขึ้นหลังจากผลิตออกมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เก็บไว้แล้วโดนแสงอุลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์(ตั้งโชว์ไว้หน้าร้าน) หรือโดนแสงนีออนนานๆ ความร้อน ความชื้น โอโซน ความเค็มของอากาศชายทะเล ล้วนเป็นเหตุให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนหมดอายุได้ทั้งสิ้น แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือพวกที่ชอบพกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าตังนี่ซิ แค่เดือนเดียวก็หมดสภาพแล้วครับ
แล้วที่โรงงานผลิตออกมาห่วยๆ มีไม๊…ก็มีครับ แต่ก็น้อยยยยมากกกกก เช่น ความหนาของผิวยางไม่สม่ำเสมอ มีฟองอากาศ เป็นรอยพับย่น มีเศษวัสดุแปลกปลอม รอยตำหนิเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการแตกของถุงยางอนามัยได้เช่นกัน
สารฆ่าเชื้ออสุจิ
ในสมัยปัจจุบันมีหลายบริษัทได้เพิ่มสารฆ่าตัวอสุจิเคลือบถุงไว้ด้วย ด้วยหวังว่าถ้าเกิดเผื่อถุงยางแตก หรือรั่วก็ยังพอมียาตัวนี้ช่วยฆ่าเชื้ออสุจิด้วย แม้ไม่มากนักก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สารที่ใช้มีหลายประเภท แต่ที่นิยมกันมากเป็นสารประเภท surfactant หรือ surfactant active เป็นสารเคมีในกลุ่ม detergent สารเคมีประเภทนี้ฆ่าตัวอสุจิโดยการจู่โจมเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของตัวอสุจิชำรุด เกิดการรั่วไหลของส่วนประกอบภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย ตัวที่นิยมใช้กันมากที่สุด(หรือเกือบทั้งหมด) ได้แก่ สาร nonoxynol-9 มีชื่อทางเคมีว่า nonylphenoxyl-polyethoxye-thanol (ต่อมาก็มีการพัฒนามาใช้ nonoxynol-11้ ) ต่อมาพบว่าสารนี้สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคได้ รวมทั้งเชื้อเอดส์ด้วย ได้มีการทดลองในหลอดทดลอง โดยเอาเชื้อเอดส์ และเซลล์ที่ติดเชื้อเอดส์มาผสมกับตัวยาnonoxynol-9 ผลปรากฏว่า เชื้อตายหมดภายในไม่กี่วินาที
ขอขอบคุณข้อมูลจาก นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ และ clinicrak

Report by www.livcapsule.com