-->

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคประหลาด ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนโลกได้  (อ่าน 719 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18122
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

โรคประหลาด ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนโลกได้

โรคภัยเป็นสิ่งที่เหล่ามนุษย์ไม่อยากจะเป็นใช่ไหมครับ แต่บางครั้งเจ้าโรคแปลกๆเหล่านี้
ก็สามารถเปลี่ยนโลกให้ดี(หรือร้ายลง) ได้เช่นกัน หัวข้อนี้เรามาย้อนดูอดีตกันว่ามันส่งผล
กับโลกของเราที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง
 


อันดับ 5 Autistic Disorder(สร้างอัจฉริยะ)



ตั้งแต่โลกมีการค้นพบออทิสติกเมื่อปี ค.ศ. 1943 โรคนี้ก็กลายเป็นโรคสยดสยองที่พ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลาย
ไม่อยากให้ลูกเป็น ในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า ภาวะออทิสซึม (Autism) เป็นโรคหรือกลุ่มอาการที่เกิดขึ้น
ในเด็ก เนื่องจากสมองผิดปกติ ทำให้เด็กแสดงความบกพร่อง เช่น ไม่แสดงสีหน้าท่าทางในการตอบรับและ
สื่อสารกับผู้อื่น ไม่สบตา  เรียกไม่หัน ความบกพร่องในการสื่อสาร พูดช้าหรือไม่พูดและไม่มีความพยายาม
ในการสื่อสาร พูดตามหรือพูด สลับคำ หมกหมุนอยู่กับการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่เหมาะสมหรือทำซ้ำๆ
มากเกินไป ยึดติดกับขั้นตอนในการทำกิจวัตรประจำวัน


แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าหากโลกนี้ไม่มีออทิสติกละก็ โลกคงเข้าสู่ยุคหินไปนานแล้ว สาเหตุเนื่องจากบุคคลอัจฉริยะ
สองคนนั้นมีอาการ “ออทิสติก” นั่นก็คือ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" (Alber Einstein) " และ "ไอแซค นิวตัน"
(Isaac Newton) "
ที่มีปัญหาความบกพร่องทางสังคม หรือมีอาการของออทิสติกร่วมด้วย



และความผิดปกตินี้เองที่เป็นสิ่งผลักดันให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยบุคคล เพราะอาการออสติกนี้เป็นประเภทที่
เรียกว่า "แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม" (Asperger's syndrome) ซึ่งเป็นความบกพร่องทางสังคม ไม่ค่อยสุงสิง
กับบุคคลทั่วไป แต่มักมีความจำดี ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และชอบทำซ้ำๆ แต่จะไม่มีความบกพร่องในด้าน
พัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร ดังที่ปรากฏในชีวประวัติของสองบุคคลนี้ว่า


เป็นที่รู้กันดีว่า "นิวตัน" ชอบทำงานติดต่อกันหลายวันชนิดลืมวันลืมคืน ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน
หรือหยุดพักผ่อนบ้างเลย

ส่วน "ไอน์สไตน์" ก็ต้องไปทำงานอยู่ในสำนักงานทะเบียนสิทธิบัตร เพราะดื้อรั้นและไม่ยอมอ่อนข้อให้กับ
เหล่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัย 

นอกเหนือจาก 2 บุคคลนี้ก็ยังมี ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Charles de Gaulle) นายพลผู้แกร่งกล้าและ
อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักเขียน
ชื่อดังชาวอังกฤษผลงานที่โด่งดังที่สุดคือ "รัฐสัตว์" (Animal Farm), บีโธเฟน (Beethoven) ชาวเยอรมนี
และโมสาร์ท (Mozart) ชาวออสเตรีย 2 นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งยุคคลาสสิก,
ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักแต่งนิทานชื่อก้องโลกชาวเดนมาร์ก
เจ้าของผลงาน "เดอะลิตเติล เมอร์เมด" (The Little Mermaid) และอิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant)
นักปรัชญาชื่อดังชาวเยอรมัน ที่ทุกคนล้วนมีอาการ "ออทิสติก" ที่ปรากฏในชีวประวัติทั้งสิ้น
 



อันดับ 4 Incest (สาเหตุแห่งหายนะ)
 


การร่วมประเวณีกับ "ญาติสนิท" หรือ การสมสู่ร่วมสายโลหิต หมายถึง การมีความสัมพันธ์ทางเพศในทุกรูปแบบ
กับผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งอาจหมายถึงคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง ซึ่งถือว่าเป็นการ
ผิดกฎหมายและจารีตทางสังคม ในบางสังคม การล่วงละเมิดหมายอาจมีแค่ผู้ที่อยู่ร่วมเคหะสถานเดียวกัน หรือผู้ที่
เป็นสมาชิกของเผ่าหรือมีผู้สืบสันดานเดียวกัน ในบางสังคมมีความหมายรวมไปถึงคนที่สัมพันธ์กันทางสายเลือด
และในสังคมอื่น ๆ รวมไปถึงบุตรบุญธรรมหรือการแต่งงาน

การร่วมประเวณีระหว่างสายเลือดนั้นในประวัติศาสตร์พบว่าช้านานแล้ว โดยเฉพาะพวกคนชั้นสูง กษัตริย์และตระกูล
ขุนนางชั้นสูง นิยมการแต่งงานกันเองระหว่างเครือญาติ เพื่อปกป้องสายเลือดอันบริสุทธิ์อีกทั้งยังรักษาทรัพย์สมบัติ
และอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลเหล่านี้ หลายคนมีอาการบกพร่องทางจิตจากลักษณะทางพันธุกรรม
เป็นต้นว่า โรคประสาท, โรคเลือด, พิกลพิการ, เซ็กซ่วลที่ชอบสำเร็จความใคร่ตนเอง, โรคลมชัก,สมอง ทำให้คน
ชั้นสูงเหล่านั้น “บ้า” เช่น บุคคลดังๆ ที่เป็นโรคพันธุกรรมที่เกิดจากการร่วมประเพณีสายเลือดเดียวกัน ก็มี



อลิซาเบธ บาโธรี่ (Elizabeth Báthory)หญิงสาวที่ฆ่าคนถึง 650 คนโดยใช้อำนาจขุนนางมาใช้

พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 (Tsar Nicholas II)ที่ลูกป่วยเป็นป่วยเป็นโรคฮีโมฟีเลีย ได้รับการรักษาโดยรัสปูติน
จนส่งผลให้รัสปูตินก้าวมามีอำนาจในพระราชสำนัก

สมเด็จพระราชินีฮวนน่า(Juana I de Castilla)ฮวนน่าผู้บ้าคลั่ง, อีวานที่ 4 (Ivan IV) ซาร์แห่งรัสเซีย
ที่ปกครองรัสเซียอย่างโหดร้าย

นอกจากนี้ยังมีโรคประหลาดหนึ่ง ที่มาจากการร่วมประเวณีระหว่างสายเลือดเดียวกัน คือ โรคโพรพีเรีย (Porphyria)
หรือโรคผีดูดเลือดที่โรคพันธุกรรมหายากมาก ซึ่งเกิดจากการจาดเอนไซม์ในตับหรือเม็ดเลือดแดง ทำให้ต้องรักษา
โดยการดื่มเลือด(สมัยก่อน) ตัวบุคคลที่เป็นโรคนี้ก็มี วลาด ดราคูล่า(Vlad the Impaler) จอมเสียบโรมาเนีย,
สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์(Mary Queen of Scots), พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์(Nebuchadnezzar)
และ พระเจ้าจอร์ชที่ 3(King George III) โดยมีหลักฐานคือพบสารหนูอยู่มาก ในพระเกศาที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์
วิทยาศาสตร์กรุงลอนดอน
 



อันดับ 3 ADHD (จดจ่อจนได้ดี)


   
โรคสมาธิสั้น (ADHD) ย่อมาจากคำว่า Attention Deficit Hyperactivity Disorder เป็นโรคที่พบได้บ่อยในวัยเด็ก
โดยที่เด็กจะไม่สามารถควบคุมสมาธิและการเคลื่อนไหวของตนเองได้ จึงก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ
แม้ระดับสติปัญญาจะปกติ มีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น ถึงแม้จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ยังพบว่าหนึ่งในสามของเด็กยังคงมี
อาการอยู่บ้างหรือ บางคนเป็นผู้ใหญ่แล้วยังอาจมีอาการเต็มรูปแบบอีกด้วย ซึ่งยังเพิ่มโอกาสการเกิดพยาธิ สภาพทางจิต


ส่วนสาเหตุที่มาของโรคนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเป็นทางพันธุกรรม, สมอง, ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ฯลฯ

ในขณะที่ผู้ปกครองจำนวนมากพยายามหาวิธีการรักษาโรคนี้ แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าโรคสมาธิสั้นสามารถสร้างอัจฉริยะได้
มีการทดสอบแล้วจากผู้เชี่ยวชาญว่า ผู้มีเป็นโรคสมาธิสั้นนั้น จะเป็นคนเก่ง ไหวพริบและไอคิวดีมาก นี้ไม่ใช่โรคปัญหาอ่อน
หากแต่เป็นโรคที่ทำให้คนมีสมาธิมากอยู่ในภวังค์เรื่องที่ชอบ และไม่สนใจในสิ่งที่ตนไม่ชอบ เด็กสมาธิสั้นไม่มีปัญหาการเรียน
มีมากกว่าครึ่งสามารถเข้ามหาวิทยาลัย ได้เกียรตินิยมจบปริญญาโท เอกจบแพทย์หลายสาขา เป็นวิศวกรนักวิชาการ นักวิจัย
นักวิทยาศาสตร์ และอีกหลายแขนงวิชาชีพที่ชอบ ทั้งๆ ที่ในช่วงแรกไม่สนใจ เอาแต่เหม่อลอยแท้ๆ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโรคสมาธิสั้นนั้น ส่งผลทำให้บุคคลที่เป็นโรคนี้มีความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะงานศิลปะ วิทยาศาสตร์
และการสำรวจ ให้เก่งเฉพาะด้านนั้นๆ เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจรอบข้าง(ไม่เข้าสังคม, ไม่ออกไปเล่น เอาแต่จดจ่อแต่สิ่งที่ชอบ)


ส่วนคนที่ไม่เป็นโรคนี้จะมีความเสี่ยงในการทำลายตนเอง ในทางลบ เช่น ยาเสพย์ติด ผู้หญิง นอกจากนี้ยังพบว่ามีโรคสมาธิสั้น
มียีนที่อาจเกี่ยวพันกับพฤติกรรมกล้าเสี่ยง  และความมุ่งมั่นในงานอาจทำให้เกิดผลงานสร้างสรรค์ "ระดับอัจฉริยะ" โดยบุคคลดัง
ระดับโลกที่เป็นโรคนี้ก็ เช่น



มาร์ก ทเวน (Mark Twain) นักเขียน นักบรรยาย และนักเขียนเรื่องขบขันชาวอเมริกัน ผลงานของเขาที่น่าจะเป็นที่คุ้นตา
ของคนไทย ก็คือ ทอม ซอว์เยอร์ ผจญภัย (The Adventures of Tom Sawyer) เขาทำงานเป็นช่างเรียงพิมพ์ ทำให้เขา
รู้จักคำต่างๆ สามารถเรียงร้อยคำเป็นประโยคที่โด่งเด่นได้

โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สำคัญต่าง ๆ
มากมาย ได้ฉายา "พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก" ที่โดนเด็กครูประจำชั้นบอกเขาว่า “โง่” จนแม่เขาต้องสอนเขาเอง และทั้งชีวิต
ไม่เคยจบจากการศึกษาที่ไหน

วอลเตอร์ ราเลย์ (Sir Walter Raleigh) ที่ฟังเรื่องราวชีวิตทะเลที่เล่าโดยกลาสีผู้มีประสบการณ์ด้วยความตั้งอกตั้งใจ
และตื่นตาตื่นใจ จนกระทั้งกลายเป็นนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่แห่งอังกฤษ

ปาโบล รุยซ์ ปีกัสโซ (Pablo Ruiz Picasso) จิตรกรเอกของโลก เป็นบุคคลที่นิตยสาร TIME ยกย่องให้เป็นศิลปิน
ที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20

ซึ่งบุคคลทั้งหมดนี้เชื่อว่าเป็นโรคสมาธิสั้น แต่ทั้งหมดนี้สามารถทำให้โลกเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้
 




อันดับ 2 Epilepsy (ปลดปล่อยฝรั่งเศส)


 
โรคลมชัก เป็นกลุ่มอาการอันเนื่องจากการที่สมองส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด ทำงานมากเกินปกติไปจากเดิมชั่วขณะ 
อาการแสดงจะเป็นอะไรนั้น  ขึ้นกับว่าเป็นส่วนใดของสมองที่ทำงานมากเกินปกติ


ผู้ป่วยโรคลมชักอาจมีอาการแตกต่างกันหลายชนิด  บางชนิดก็เกิดในระยะเวลาอันสั้น  โดยผู้ป่วยจะมีอาการแค่เหม่อลอย 
ไม่รู้ตัว,  อาจมีอาการเคี้ยวปากหรือขยับมือไปมา,  ประสาทหลอน, พูดอะไรไปโดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว และบางชนิดอาจมี
อาการรุนแรง  โดยผู้ป่วยจะมีอาการเกร็งกระตุกทั่วทั้งตัว  ไม่รู้ตัว และมีอุจจาระ - ปัสสาวะราด  ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปว่า
"ลมบ้าหมู" นั่นเอง

แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าโรคลมชัดสามารถทำให้ฝรั่งเศสปลดปล่อยจากอังกฤษได้??

เรื่องของเรื่องคือ บุคคลดังที่เปลี่ยนโลกที่เป็นโรคนี้คือ โจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) ที่ฤดูร้อนปี 1452 เธอได้ยิน
"เสียงเทวทูตสวรรค์" เธออ้างว่าเป็นของเซนต์กาเบรียล เซนต์ไมเคิล เซนต์มาเกอริต และเซนต์แคเธอรีน นักบุญทั้งสี่
ขอให้เธอขับไล่ข้าศึกไปจากฝรั่งเศส เธอนำเรื่องนี้ "เสียง" ทูลต่อหน้าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ที่ 7 ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์
ไม่สู้ดี เมื่ออังกฤษบุกรุกฝรั่งเศสและยึดออร์ลีนส์ไว้ได้ เมื่อเขาได้ฟังเรื่องของโจน เขาก็เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ส่งเธอมาจริง
และแต่งตั้งเธอเป็นแม่ทัพ จนสามารถปลดปล่อยออร์ลีนส์ เป็นอิสระในอีก 7 เดือนให้หลัง




เรื่องราวของโจนนั้นนักวิชาการในปัจจุบันพยายามอธิบายว่า เสียงที่เธอได้ยินนั้นเป็นอาการทางจิตหรือทางประสาท
นั้นคือเป็นโรคลมชัก (epilepsy) , ไมเกรน (migraine) , วัณโรค และโรคจิตเภท เห็นได้ว่าวัยเด็กนั้นเธอเกิด
อาการผีเข้าผีออก จนต้องใช้ความศรัทธาของศาสนามาช่วยบำรุงจิตใจ  นอกจากนี้ตัวเจ้าฟ้าชายชาร์ลสก็เป็นโรคลมชัก
ประสาทหลอนด้วย


เพราะจากประวัติเพระราชบิดาของของชาร์ลส์คือชาร์ลส์ที่ 6 ที่รู้จักกันในพระนามว่า “ชาร์ลส์ผู้บ้าคลั่ง” ที่มีพระอาการ
เสียพระสติเป็นพักๆ ที่ไม่ทรงสามารถพระราชภาระกิจตามปกติได้ พระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์เองทำด้วยแก้ว
ทำให้เชื่อกันว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 อาจจะเจริญพระชันษาขึ้นมาแล้วมีอาการเหมือนพระราชบิดา
 





อันดับ 1 OCD (ช่วยสร้างศาสนา)


         
โรคย้ำคิดย้ำทำ คุณรู้จักโลกนี้ไหมครับ มันเป็นอาการที่แปลกๆ สักหน่อย โดยแบ่งออกเป็น

อาการย้ำคิด (obsession) เป็นความคิด ความรู้สึก หรือจินตนาการ ที่มักผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ผู้ป่วย เองก็ทราบว่า
เป็นความคิดที่เหลวไหล ไม่เข้าใจว่าเกิดความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร รู้สึกรำคาญต่อความคิดนี้ เช่น
มีความคิดจะจุดไฟเผาบ้าน คิดว่ามือสกปรก คิดด่าทอพระพุทธรูปที่ตนเคารพ


ผู้ป่วยรู้สึกผิดต่อความคิดที่เกิดขึ้น มีความกังวลใจ พยายามที่จะไม่ใส่ใจ หรือเลิกคิด บางครั้งอาจแก้
หรือหักลัางความคิดนี้ด้วยความคิดหรือการกระทำต่างๆ เช่น ถ้าคิดว่าไม่ได้ปิดแก๊ส ก็จะตรวจเช็คเตาแก๊ส
วันละหลายๆ ครั้ง ไปล้างมือเมื่อคิดว่าสกปรก หรือท่องนะโมในใจทุกครั้งที่คิดในทางไม่ดีต่อพระพุทธรูป

อาการย้ำทำ (compulsion) เป็นพฤติกรรมซ้ำๆ ที่ผู้ป่วยก่อกระทำขึ้น โดยเกี่ยวเนื่องกับความย้ำคิด
หรือตามกฎเกณฑ์บางอย่างที่ตนกำหนดไว้ การที่ผู้ป่วยมีพฤติกรรมนี้เพื่อหักล้างความคิดย้ำในทางลบ
หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ตามที่ตนหวั่นเกรง อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของผู้ป่วยนั้นมักจะเกิดจาก
ความคิดเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์หรือแบบเด็กๆ ซึ่งจะต่างไปจากแนวทางที่คนทั่วไปใช้ในการแก้ไข
หรือป้องกันปัญหา




โดยพฤติกรรมยำคิดย้ำทำที่พบบ่อย ได้แก่ กลัวติดเชื้อโรค กลัวสกปรก ต้องล้างมือ ล้างเช็ดสิ่งต่างๆ บ่อยๆ,
กลัวเกิดอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น เช่น กลัวลืมลงกลอน ลืมปิดไฟ กลัวไม่ได้เก็บของมีคม กลัวปิดก๊อกน้ำไม่สนิท
ต้องตรวจดู,ต้องจัดให้สิ่งต่างๆ วางอยู่เท่าๆ กัน จัดของให้อยู่เป็นระเบียบ อยู่ในที่ๆ เคยอยู่ เช่น วางแจกันให้ห่าง
จากขอบ 2 ข้างเท่าๆ กัน, คิดนับหรือทำซ้ำๆ เกี่ยวกับตัวเลข เช่น ดูป้ายทะเบียนรถจะต้องเอามารวมกัน ลุกขึ้น
ต้องตบเก้าอี้ 3 ที, คิดซ้ำๆ หรือมีภาพขึ้นมาในจินตนาการซ้ำๆ ในเรื่องที่ตนเองเห็นว่าน่ารังเกียจหรือเป็นเรื่องผิด
ซึ่งมักเป็นเรื่องทางเพศ ความก้าวร้าว หรือเกี่ยวกับศาสนา เช่น  ทุกครั้งที่เห็นอะไรสีเหลืองจะเกิดความคิดต่อว่า
พระพุทธเจ้า  คิดย้ำๆ ด่าว่าบุพการีที่ตนเองเคารพ, ทิ้งของไม่ได้  เสียดาย ทิ้งของไม่ได้แม้จะเป็นของที่คนอื่น
เห็นว่าไม่สำคัญ เช่น ขวด ถุง หนังสือพิมพ์ สมุดเก่าๆ ยางรัด จะอึดอัดใจทุกครั้งที่จะต้องทิ้งอะไร เลือกไปมา
เป็นเวลานาน แต่ในที่สุดก็ทิ้งอะไรไม่ได้ จนของรกเต็มบ้าน



สำหรับคนดังที่มีอาการย้ำคิดย้ำทำที่ดังๆ ก็มี "เบ็กแฮม" เป็นหนึ่งในเหล่าคนดังที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ครั้งหนึ่งเขา
เคยเล่าถึงความหมกมุ่นของตัวเองในการนับเสื้อผ้า และเรียงนิตยสารเป็นแถว

แต่คุณเชื่อหรอไม่ว่าโรคย้ำคิดย้ำนี้ช่วยในการพัฒนาวิวัฒนาการศาสนาให้คงอยู่ปัจจุปัน เพราะบุคคลที่เป็นโรคนี้
มีตำแหน่งเป็นผู้นำทางศาสนาที่มีความคิดแก้ไขตัวบทศาสนาอยู่บ่อยๆ เพราะพวกเขากลัวมันไม่เหมาะสม เช่น

มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther) เป็นหนึ่งในผู้ปฏิรูปศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก โดยแยกมาเป็นนิกาย
โปรเตสแตนท์ เพราะไม่เห็นด้วยกับคำสอนของโรมันคาทอลิกบางข้อ โดยนิยายนี้ตัดประเพณี พิธีกรรม ตลอดจน
ศีลศักดิ์สิทธิ์บางเรื่องออกไปเหลือแต่ศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท และสนับสนุนให้บุคคลเอาใจใส่ต่อพระคัมภีร์
การปฏิรูปนี้เกิดขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา นอกจากนี้เขายังเขียนหลักคำสอนที่ไม่ใช้ภาษาละตินเพราะกลัวชาวบ้าน
อ่านไม่ออก 



นักบุญอิกเนเชียสแห่งลาโฮลา (St Ignatius of Loyola) นักบุญทางคริสต์ศาสนาในนิกายโรมันคาทอลิก
ในประเทศสเปน ผู้ก่อตั้ง “สมาคมพระเยซู” หรือเรียกในภาษาไทยว่า “ลัทธิเยซูอิด” ซึ่งเป็นลัทธิของนิกาย
โรมันคาทอลิก ซึ่งขึ้นโดยตรงต่อพระสันตะปาปา พระในนิกายนี้เรียกว่า “เยซูอิด” มีบทบาทสำคัญในการต่อต้าน
การปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ โดยการเป็นผู้นำในขบวนการปฏิรูปศาสนาของนิกายโรมันคาทอลิก
(Counter-Reformation)

ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทกล่าวว่าโรคย้ำคิดย้ำทำนี้มีบทบาทสำคัฯในการสร้างศาสนาของโลกเป็นอย่างมาก
เราได้เห็นศาสดา และสาวกหลายคนในศาสนาต่างๆ ที่พิธีอย่างเคร่งครัด เช่น การทำอาหาร และการล้างมือล้างเท้า
ต้องสะอาดอย่างหมดจด จนกลายเป็นประเพณีที่ต้องบังคับปฏิบัติในที่สุด(เช่นศาสนาฮินดู, อิสลาม, คริสต์)
 


http://gotoknow.org/blog/depression/104540
http://dek-d.com/board/view.php?id=1037203
http://www.followhissteps.com/web_health/epilepsy.html
http://sawangpattaya.org/sawangschool/index.php?topic=1008.0
http://th.wikipedia.org/wiki/
http://www.thaitownusa.com/New-0909000082-1.aspx
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 ธันวาคม 2017, 12:54:54 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่