-->

ผู้เขียน หัวข้อ: แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป By พิษณุ นิลกลัด  (อ่าน 360 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

mormor1973

  • บุคคลทั่วไป

 

สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ   
   
ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วัน เขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า สวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้   เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา งานสวด 3 คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือ เมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอก
   
เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด     
   
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน   สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบ คนหนึ่งและคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน   
   
หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก   
   
จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์   ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ   จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้กระทั่งวันตาย     
   
ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต
   
วันหนึ่งเขารู้ว่า ขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า ' ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์ '   
   
เขามีวิธีคิด ' เท่ๆ '   แบบผมคิดไม่ได้มากมาย เป็นต้นว่า สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา   อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข   ช่วงปี
สุดท้ายของชีวิต เขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์   และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวใน
วันหยุดสุดสัปดาห์ โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลา เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้ 6 เดือนสุดท้ายของชีวิต ต้องนอนโรงพยาบาลสามวัน
นอนบ้านสี่วันสลับกันไป
     
เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วย ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาทีที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า ' คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม ' พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่า ทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขาตอบว่า
' ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก '   
   
เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คน ไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่   บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่อง
แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !   
   
4 เดือนสุดท้ายของชีวิต แพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น   จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน   
     
แต่อยู่ได้ 4 วัน เขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า ' ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง
คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน ' หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง   
   
1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือ กะพริบตา แต่แพทย์บอกว่า สมองของเขายังดีมาก เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า ' ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที ' เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !   เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย
     
เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่า ถูกขังในร่างของตนเอง   
   
สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า ' พ่อสู้นะ ' เขาไม่กะพริบตาซะแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า ' สู้ '   
   
เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า  ' คุณลุงแกสู้จริงๆ '   
     
ตอนที่วางดอกไม้จันทน์   ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า ' โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย ' ' แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป ' สอนให้เรารู้ว่า...   
   
เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์ ที่จะสามารถเรียนรู้แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆ ในชีวิต จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกายและจิตใจของเรายังทำอะไรๆ ได้ อย่างที่สมองสั่ง จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียงและดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ   

หากทุกๆ ครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด... อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที  ..... แต่ขอให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป   
ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม  :-)     

ซ้ำก็ขออภัยครับ มาจาก ฟอร์เวริดเมลว์