-->

ผู้เขียน หัวข้อ: “เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย” (財神爺) เทพเจ้าแห่งโชคลาภและความมั่งคั่ง!  (อ่าน 658 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

“เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย” เทพเจ้าแห่งโชคลาภและความมั่งคั่ง!



ไฉ่สิ่งเอี้ย หรือ จ่ายสินเอี้ย เป็นเทพเจ้าของจีนที่ให้คุณทางด้านเงินทอง และโชคลาภ (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ)
ซึ่งสำหรับชาวจีนแล้วถือเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญมากที่สุดในการเริ่มเข้าสู่ปีนักษัตรใหม่ (ตรุษจีน) เนื่องจาก
เป็นเทพเจ้าที่ได้รับการกราบไหว้เป็นองค์แรกทีเดียว


ไฉ่ซิงเอี๊ย เป็นเทพชั้นสูง ให้คุณทางด้านอำนวยโชคลาภ ความมั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง ชาวจีนจึงยกย่องให้ท่าน
เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือเทพเจ้าแห่งเงินตรา ในช่วงดึกดื่นเที่ยงคืนชาวจีนมักจะออกมาจุดธูปจุดเทียน
คือเป็นการออกมารับเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยนั่นเอง นอกจากให้โชคลาภเรื่องเงินทอง ค้าขายแล้ว ชาวจีนยังเชื่อว่า
การขอพรให้ท่านช่วยคุ้มครองลูกหลานผู้ไปอยู่ต่างถิ่นแดนไกลให้มีความสำเร็จในเรื่องของการศึกษา
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยเป็นเทพเจ้าที่รวมความศักดิ์สิทธิ์และอนุภาพหลายประการไว้ในองค์ท่านเอง
           
สำหรับตำนานของ เทพไฉ่ซิงเอี๊ย มีการเล่าต่อกันมาอย่างหลากหลาย กล่าวกันว่าไฉ่ซิงเอี๊ยมีสองรูปลักษณ์และมี
พลานุภาพที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่จะเล่ากันว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น คือ ปี่กาน และองค์บู๊ คือ จ้าวกงหมิง


มีอานุภาพหรือให้คุณทางด้านเงินทองหรือทรัพย์สิน ตลอดจนโชคลาภต่างๆ ทำให้ผู้บูชา
ประสบความสำเร็จ ลูกค้าเชื่อถือ…


ไฉ่ซิงเอี๊ย ทั้ง 2 องค์นี้เป็นใคร ?



เกี่ยวกับเรื่องนี้มีตำนานเล่าขานมามากมายหลายกระแส แต่ส่วนใหญ่จะเล่ากันว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋นคือ ปี่กาน
และองค์บู๊คือ จ้าวกงหมิง ซึ่งมีตำนานเล่าว่านานมาแล้ว เจียงไท้กง เทพชั้นผู้ใหญ่ผู้มีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้า
วันหนึ่งท่านกำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ จู่ๆ หัวใจก็สั่นหวิว ท่านจึงทราบด้วยจิตญาณว่า เทพปี่กาน กำลังจะมีเรื่อง
เดือดร้อนหนัก จึงพยายามหาทางช่วย


ปี่กาน (比干) นั้น เป็นอัครหมาเสนาบดีของจักรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อิน ทรงลุ่มหลง
สุรานารีไม่ใส่ใจราชกิจ ทรงมีสนมเอกนางหนึ่งนาม โซวถังกี้ (ซูต๋าจี่) ที่เป็นหญิงงามที่ลือชื่อในประวัติศาสตร์
ปี่กาน เป็นขุนนางผู้ซื่อตรง พยายามจะเตือนองค์จักรพรรดิให้หันมาสนใจราชกิจ แต่พระองค์ไม่สนพระทัย
ต่อคำเตือน ปี่กานจึงวางแผนให้ทหารไปจับสุนัขจิ้งจอกมาทำเสื้อคลุมถวายแด่องค์จักรพรรดิ เพราะเชื่อว่า
ถังกี้ (ต๋าจี่) เป็นปีศาจจิ้งจอก เมื่อพบเห็นเสื้อคลุมก็จะตกใจและหนีไป แต่เหตุการณ์กับตรงกันข้าม เพราะ
ถังกี้ไม่ตกใจ และยังวางแผนเล่นงานปี่กานกลับอีกด้วย



เย็นวันหนึ่ง ปี่กานได้ยินเสียงคนร้องขายของอยู่หน้าบ้าน ว่า "ขายหัวใจๆ"
ก็แปลกใจ จึงออกไปดู พบเห็นคนแก่ยืนอยู่หน้าบ้านของตน จึงถามว่า "ท่านผู้อาวุโส จะขายหัวใจจริงหรือนี่ "
ชายชราก็ตอบว่า " ขายจริงๆ นายท่านสนใจซื้อหาหรือไม่ "

ปี่กาน จึงแย้งไปว่า
"หัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของร่างกาย ถ้านำมันออกมาแล้ว ทุกคนต้องตาย ท่านยังคิดที่จะขายหัวใจอยู่อีกหรือหาไม่"

ชายชรากล่าวว่า
"หัวใจเป็นต้นเหตุของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หากหัวใจไม่เที่ยงธรรม มือเท้าย่อมทำแต่สิ่งไม่ดี ถ้าเอาหัวใจ
ออกมาขายเสีย ต่อไปข้าพเจ้าก็จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีแต่ความยุติธรรม จัดการปัญหาต่างๆ อย่างยุติธรรม
เป็นเช่นนี้มิใช่ประเสริฐกว่าหรือ"


ปี่กาน ยืนยันว่า "แต่หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญมาก มีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อขายแล้วท่านจะมีชีวิตสืบต่อไปได้อย่างไร"

"ได้แน่นอน เนื่องจากข้าพเจ้ามียาวิเศษอยู่เม็ดหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปแล้วถึงแม้ไม่มีหัวใจ แต่อวัยวะอื่นๆ
ของร่างกายจะยังสามารถทำงานสืบไปได้เช่นเดิม"

"งั้นขอให้ข้าพเจ้าได้ชมยาวิเศษสักนิดได้หรือไม่"

ชายแก่จึงส่งมอบยาวิเศษเม็ดนั้นให้แก่ปี่กาน เมื่อเขานำมาดมดูก็รู้สึกหอมอย่างประหลาด รู้สึกมีพลังวิ่งไปทั่วร่างกาย
แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับไม่พบชายชราผู้นั้นเสียแล้ว
(ความจริงแล้ว ชายชราผู้นั้นคือเจียงไท้กงแปลงกายลงมานั้นเอง)

เช้าวันรุ่งขึ้น องครักษ์หลายนายได้มาเชิญตัวปี่กานไปเข้าเฝ้าแต่เช้า ปี่กานรู้สึกแปลกใจ เพราะจักรพรรดิอินโจ้ว
ไม่เคยสนพระทัยว่าราชการ แต่กลับส่งคนมาเชิญตนแต่เช้า จึงไถ่ถามเหล่าองครักษ์ จึงทราบว่า พระสนมถังกี้
เป็นโรคประหลาด หมอหลวงอับจนปัญญาที่จะรักษาได้ มีแต่หัวใจของปี่กานเท่านั้นที่จะสามารถใช้รักษาโรคนี้ได้



จักรพรรดิอินโจ้วกำลังหลงพระสนมถังกี้มาก ทรงตรัสว่า
"เจ้าเป็นพระสนมเอกแห่งเรา ส่วนปี่กาน เป็นแค่ขุนนางอันต่ำต้อย ชีวิตใครจักมีค่ามากกว่ากัน เรารู้ดี ดังนั้นขอเพียง
รักษาอาการป่วยของเจ้าได้เท่านั้น อย่าว่าแต่ชีวิตของขุนนางผู้เดียวเลย ต่อให้ต้องฆ่าขุนนางสัก 100 คน เราก็เต็มใจ"


ดังนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งให้เบิกตัวปี่กานมาเข้าเฝ้าแต่เช้า หลังจากปี่กานทราบเรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก เรียกหาคนใน
ครอบครัวมาสั่งเสีย ทันใดนั้นเขานึกถึงยาวิเศษที่ได้รับมาจากชายชรา จึงรีบไปหยิบยาวิเศษเม็ดนั้นออกมากลืนกินลง
แล้วตามเหล่าองครักษ์เพื่อเข้าเฝ้า พอมาถึงท้องพระโรง จักรพรรดิอินโจ้วก็ตรัสขอหัวใจของปี่กาน เพื่อนำไปใช้
รักษาอาการป่วยของพระสนมถังกี้

ปี่กานจึงทูลว่า
"พระองค์รับสั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางผู้นั้นก็มิอาจมีชีวิตสืบไป แต่ก่อนที่กระหม่อมขอกราบทูลเตือนพระองค์เป็น
ครั้งสุดท้ายว่า พระองค์กำลังลุ่มหลงนางปีศาจ แลกำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน หลังจากที่พระองค์ทรงประหาร
กระหม่อมแล้ว ราชวงศ์ของพระองค์ที่ดำรงคงอยู่มาถึง 28 รัชกาล ก็จะถึงกาลอวสานแล้ว"


อนิจจา องค์จักรพรรดิหาได้ใส่พระทัยต่อคำเตือนของปี่กานไม่ กลับรับสั่งให้ทหารควักหัวใจของปี่กานออกมา
แต่ปี่กานห้ามเหล่าทหารเอาไว้ และกล่าวว่า

" พวกเจ้านั้นหาจำเป็นไม่ ขอเพียงมีมีดสั้นให้กับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะกระทำการสืบไปเอง"

กล่าวจบ ปี่กานก็ใช้มีดแหวะอก และควักหัวใจออกมา โยนหัวใจนั้นทิ้งไว้กับพื้น แล้วเดินออกจากพระราชวัง
โดยไม่พูดอะไร




แต่ที่มหัศจรรย์คือ ตลอดการกระทำของปี่กานนี้ หามีเลือดออกมาไม่ ตั้งแต่นั้นมา ปี่กานก็ออกท่องเที่ยวไปตาม
สถานที่ต่างๆ เขาโปรยเงินทองแจกจ่ายแก่ผู้คนไปทั่ว กลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตามตำนานกล่าวกันว่า
ปี่กานกินยาวิเศษของเจียงไท้กงเข้าไป ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ แม่ว่าจะไม่มีหัวใจ และกล่าวกันว่า เพราะปี่กาน
ไม่มีหัวใจนี่เอง เขาจึงโปรยเงินโปรยทองแก่ผู้คนทั่วไป โดยไม่เลือกว่าคนนั้นดีหรือคนนี้ไม่ดี เลือกที่รักมักที่ชัง
เป็นที่มีของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นั้นเอง


ขณะเดียวกัน จ้าวกงหมิง (趙公明) ได้บำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาบ้อไบ้ ได้สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนมีฤทธิ์มาก
กลับเกิดอาการเพี้ยน กลายเป็นนักพรตกังฉิน ที่ทั้งเก่งและอำมหิต จ้าวกงหมิง ถวายตัวรับใช้จักรพรรดิอินโจ้ว
ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย จ้าวกงหมิงมีบริวารที่ร้ายกาจอยู่ตัวหนึ่ง คือ เสือดำ และยังมีของวิเศษหลายอย่าง
อาทิ แส้เหล็ก ไข่มุกวิเศษ เชือกล่ามังกร ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ เจียงไท้กงซึ่งเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่จึงสู้ จ้าวกงหมิงมิได้


[

มีคราวหนึ่ง เจียงไท้กง ถูกจ้าวกงหมิงกักขังไว้ในค่ายกลสิบทิศ เจียงไท้กง พยายามหาทางออกเท่าไหร่ก็ไม่พบ
ขณะเดียวกันก็ถูก จ้าวกงหมิง ทำร้ายแทบปางตาย ซ้ำยังขู่เข็ญให้เจียงไท้กงแต่งตั้งตนให้เป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
โดยยื่นเงื่อนไขว่า
"ตาเฒ่า เจ้าจงยอมแต่งตั้งให้ข้านี้ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภเสียแต่โดยดีเถิด แล้วข้าจะปล่อยแกออกไป
ข้าต้องการควบคุมทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด แต่ถ้าหากแกโยกโย้ ข้านี่จะทรมานให้แกสิ้นชีพในบัดดล"


เจียงไท้กงไม่มีทางเลือก จึงยื่นขอเสนอให้แก่จ้าวกงหมิงว่า
"เราจักแต่งตั้งเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภได้อย่างไร เพราะเวลานี้ ปี่กานเป็นผู้ครองตำแหน่งนี้อยู่ หากแม้นเจ้ามี
ความสามารถนำเอาหัวใจของปี่กานออกมา ทำให้เขาสิ้นชีพวายชนม์เสีย ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งโชคลาภนี้
ก็จะเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว"


เมื่อตกลงกันได้เช่นนี้ จ้าวกงหมิง ได้ยินดังนั้นจึงย้ำกับเจียงไท้กงว่า
"ตกลงเช่นท่านว่านี้แหละ ข้าจักฆ่าปี่กานเอก แต่เจ้าต้องรักษาคำพูดให้มั่นเล่า"

เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้น จ้าวกงหมิงจึงยอมปล่อยตัวเจียงไท้กงออกมาจากค่ายกล หลังจากนั้น จ้าวกงหมิงจึงสั่งให้
เสือดำออกตามล่าหาปี่กาน และได้กำชับเสือดำว่า ต้องนำหัวใจของปี่กานกลับมาให้ได้ อย่าได้ผิดพลาดเป็นอันขาด

เวลานั้น ปี่กาน กำลังโปรยเงินโปรยทองแจกจ่ายแก่ผู้คนตามที่ต่างๆ ที่เขาเดินทางผ่าน บ่ายวันหนึ่ง ปี่กานเดินทาง
มาถึงเชิงเขาแห่งหนึ่ง เขารู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้าจากงานสงเคราะห์ผู้คน จึงเอนตัวลงนอนพักบนโขดหิน พลันเกิดลม
พายุกรรโชกอย่างรุนแรง ปี่กานตกใจอย่างมาก เห็นเสือดำตัวหนึ่งกระโจนใส่ตัวเขาอย่างรวดเร็ว ปี่กาน หลบมิทัน
ถูกเสือตะปบล้มลง จากนั้น มันก็เริ่มตะกุยหน้าอกของปี่กานเพื่อควานหาหัวใจ แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ เพราะปี่กาน
ไม่มีหัวใจแล้ว



เสือดำจึงคำรามด้วยความโกรธ และผละจากไปอย่างไม่พอใจ ทั้งนี้เพราะเจียงไท้กงออกอุบายหลอกจ้าวกงหมิงนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แม้เสือดำจะมิได้หัวใจของปี่กานไป แต่กงเล็บของมันที่ตะกุยอยู่ในทรวงอกของปี่กานนั้น ทำให้อวัยวะ
ภายในของปี่กานสับสน ส่งผลให้ปี่กานกลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ไม่เที่ยงธรรมนัก เขามักโปรยปรายเงินทอง
อย่างลำเอียง เจอใครก่อนก็ให้คนนั้นก่อน และมักจะให้เยอะๆ ทำให้คนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ก็ยิ่งร่ำรวยยิ่งขึ้น ส่วนคนยากจน
อยู่เดิม ก็ยังคงยากจนต่อไป เพราะเป็นเรื่องลำบากไม่น้อย ที่จะหาเครื่องเซ่นไหว้ดีๆ มาบูชาตอนที่เขาออกมาเยือน
ผู้คนในแดนมนุษย์


ทางฝ่ายจ้าวกงหมิง แม้มิได้เป็น เทพเจ้าแห่งความโชคลาภตามที่ปรารถนา แต่เนื่องจากเจียงไท้กงเคยตกปากรับคำไว้
เจียงไท้กงจึงประทานของวิเศษให้ 4 ชิ้น คือ เจียป้อ, หนับเตียว, เจียไช้ และ หลี่ฉี้ ซึ่งเป็นของวิเศษที่ใช้เรียกเงินเรียกทอง
ให้ไหลมาเทมา การค้าราบรื่น มีกำไรดี ดังนั้น ชาวจีนจึงพากันกราบไหว้ จ้าวกงหมิง เป็น เทพเจ้าแห่งโชลาภอีกองค์หนึ่ง

ด้วยเหตุที่ว่า จ้าวกงหมิง เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก เคยเอาชนะเจียงไท้กงมาแล้ว ชาวจีนจึงยกย่องให้เป็น
"บู๊ไฉ่ซิงเอี๊ย " ( เทพเจ้าแห่งโชคลาภองค์บู๊) และยกย่องปี่กานให้เป็น "บุ๋นไฉ่ซิงเอี๊ย" ( เทพเจ้าโชคลาภองค์บุ๋น)
เพราะเคยเป็นอัครมหาเสนาบดีขององค์จักรพรรดิมาก่อน


ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊



ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ มักจะเป็นรูปชายวัยกลางคน ใส่ชุดนักรบจีนโบราญ ประกอบด้วยชุดเกราะ หมวกขุนพล มือซ้าย
ถือกระบอง มือขวาถือเงินหยวน(หยวนเป่า) ใบหน้าดุ มีพาหนะเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่


ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ นี้ ชาวจีนที่บูชาเชื่อกันว่า มีพลานุภาพให้คุณแก่ผู้บูชาในเรื่องของหนี้สิน ช่วยให้ผู้บูชาเก็บหนี้ได้ง่ายขึ้น
ลูกหนี้ไม่คิดเบี้ยวให้เจ้าหนี้ต้องลำบากใจ นอกจากนี้ยังมีอนุภาพช่วย ดูแล และควบคุมบริวาร ตลอดจนลูกจ้างให้อยู่ใน
ระเบียบวินัย มีความขยันในการทำงาน ดังนั้น ตามโรงงาน หรือบริษัทใหญ่ๆ จึงนิยมบูชา ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊

ด้วยความเชื่อที่ว่า จะช่วยดูแลคนทำงาน ตลอดจนเป็นหูเป็นตาให้กับจ้าของกิจการ นอกจากนี้ บรรดาข้าราชการ
ทหาร หรือตำรวจ (ของจีน) ล้วนนิยมบูชาเซ่นไหว้ ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ เพราะช่วยดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีจำนวนมากนั่นเอง


ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น



ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น มักจะเป็นรูปของชายในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราญ สวมหมวกมีปีกออกไป 2 ข้างคล้ายๆ
กับหมวกของเทพ ลก (หมายถึง ฮก ลก ซิ่ว) ชุดขุนนางจีนชั้นผู้ใหญ่ครบเครื่อง ทั้งเสื้อนอกใน มือทั้งสองข้างจะถือ
แผ่นผ้าจารึกอักษร ที่คลี่ออกเป็นอักษรมงคล หรือคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชา


ชาวจีนเชื่อว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยสามารถดลบันดาล หรือช่วยเหลือให้ผู้ที่บูชามีโชคมีลาภ ตลอดจนมีความมั่งคั่งร่ำรวย โชคลาภ
ที่ได้มาจากรายได้พิเศษ ไม่ใช่รายได้ประจำ (เงินเดือนหรือเงินค้าขายตามปกติ) ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นี้มีอานุภาพหรือ
ให้คุณทางด้านเงินทอง หรือทรัพย์สิน ตลอดจนโชคลาภต่างๆ ทำให้ผู้บูชาประสบความสำเร็จ ลูกค้าเชื่อถือ

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งปางนั้นคือ ปางมหาเศรษฐี ชัมภล(ธนบดีชัมภล) ซึ่งเป็นปางที่ใหญ่ที่สุด และเก่าแก่ที่สุด
กว่า 1,200 ปี (กำเนิดจากพระพุทธศาสนามหายาน) เชื่อกันว่าผู้ที่่ได้บูชาเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยปางมหาเศรษฐีชัมภล
จะร่ำรวยอย่างมั่นคง อุดมสมบูรณ์ ยิ้มแย้มแจ่มใส


ปางมหาเศรษฐี ชัมภล(ธนบดีชัมภล)



มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากเทพเจ้าองค์อื่นอย่างเห้นได้ชัด คือ มีลักษณะอวบอ้วน พุงพลุ้ย ใบหน้าใหญ่ ล่ำ
มีความจริงจังแต่แฝงไปด้วยความเมตตากรุณา ท่อนบนของท่านเปลือยเปล่า ประดับไปด้วยสร้อยสังวาล เพชรนิลจินดา
กำไล ทั้งองค์เต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่าแสดงถึงความมั่งมีเงินทองทรัพย์สมบัติอย่างเหลือคณานับ


บางที่จะประทับนั่งบนแท่นดอกบัวและห้อยพระบาทข้างหนึ่งเหยียบหอยสังข์ มือด้านหนึ่งถือแก้วมณี อีกด้านถือพังพอนไว้
และท่านจะบีบคอพังพอนให้พังพอนอ้าปากคายแก้วแหวนเงินทองออกมา อันเป็นเคล็ดลับโบราณที่กล่าวว่า ทรัพย์สมบัติ
ทั้งมวลบนพื้นพิภพล้วนแล้วอยู่แต่ในผืนดิน ความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ ก็มาจากดิน จากน้ำใต้ดินทั้งนั้น แก้วแหวนเงินทอง
ของมีค่าล้วนแล้วเกิดจากพื้นปฐพีทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่มีหน้าที่เฝ้าทรัพย์เหล่านั้นก็คือ เจ้าแห่งเมืองบาดาล โบราณกล่าวว่า
คือ งู ดังนั้นสัตว์ที่แก้เคล๊ดกับงูได้ก็คือพังพอนนั่นเอง โบราณจึงได้กำหนดรูปลักษณะของมหาเศรษฐีชัมภลไว้ตามที่
ปรากฏในที่ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีพังพอนเป็นสำคัญ

ตามพุทธสูตรกล่าวไว้ว่า
“ขอเพียงแต่วาดภาพหรือแกะสลักรูปของมหาเศรษฐีชัมภล จะคิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นสมดังปรารถนา เทวรูปมั่งคั่งองค์นี้ก็คือ
เทพธนาของพระพุทธศาสนานิกายตันตระ (ในทิเบตคือนิกายลามะ) มีนามว่า “รัตนโกศ ” มีหน้าปกครองดูแลโภคทรัพย์
ในแผ่นดินชื่อเดิมคือ “รัตนโกศ มหาพญายักษ์” ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมา และจะรักษาทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วอย่างมั่นคง”


เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิ้งเอี้ย) ปางมหาเศรษฐีชัมภล สำหรับในประเทศไทยมักเรียกท่านว่า ท้าวกุเวร ท้าวชุมพล
บางแห่งจะเรียกท่านว่า “เจ้าพ่อขุมทรัพย์” เศรษฐีมหาเศรษฐี หลายคนในประเทศไทยและต่างประเทศก็มีการบูชาท่าน
มานานแล้ว แม้แต่สำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งหนึ่งย่านราษฎร์บูรณะ ก็มีรูปหล่อของมหาเศรษฐีชัมภลนี้บูชา




การบูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภปางนี้นั้น นอกจากให้คุณทางด้านโชคลาภ ทรัพย์สมบัติแล้ว ยังสามารถคุ้มครอง ป้องกัน
สิ่งอัปมงคลได้ทุกชนิด สามารถปัดเป่าพลังอำนาจที่ไม่ดีต่างๆ ออกไป ซึ่งคนโบราณค้นพบ และหยั่งรู้ในความหมาย
จึงได้สร้างรูปเหมือนท่านไว้ทั่วทวีปเอเชียนานกว่าพันปี

วิธีการตั้ง เทพเจ้าแห่งโชคลาภ

ให้ตั้งองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยให้องค์ท่านนั่งพิงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือหลังพิงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
เพื่อรับพลังแห่งโชคลาภความโชคดี ตามหลักฮวงจุ๊ย หากไม่สามารถตั้งตามทิศดังกล่าวได้ ก็ให้ตั้งบูชาตามความเหมาะสม
แต่ต้องวางองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภให้ต่ำกว่าพระพุทธรูป ควรตั้งองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภไว้บนตู้เซฟ หรือโต๊ะทำงาน
ที่เก็บเงิน ทรัพย์สิน เพื่อเพิ่มพูนทรัพย์สินเงินทองและรักษาทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ให้มั่นคงไม่รั่วไหล 

ตั้งหน้าร้านค้า ตู้ใส่สินค้า ลิ้นชักเงิน ตะกร้าใส่เงิน  การตั้งบูชาหน้ารถ สำหรับปางมหาเศรษฐีชัมภลนี้ถือว่าเหมาะ
เพราะว่าท่านคือ องค์ท้าวเวสสุวรรณเจ้าแห่งยักษ์ ซึ่งเป็นที่เกรงกลัวจองบรรดาภูตผีปีศาจ อำนาจชั่วร้ายทั้งปวง
ที่อาจล่องลอยอยู่ตามถนนหนทางเป็นสัมภเวสี จะไม่กล้าเข้ามารบกวนเด็ดขาด



วิธีการบูชาประจำวัน



การบูชาไฉซิ้งเอี้ย สามารถพบได้ในหลายประเทศในทวีปเอเชีย เช่น ทิเบต, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อินเดีย, ไทย,
มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเก๊า, ฮ่องกง เป็นต้น ไฉซิ้งเอี้ยที่มีความเก่าแก่ที่สุดพบที่บนหน้าผาในทิเบต
เรียกว่าปางชัมภล การบูชาควรบูชาด้วยน้ำเปล่า 3 ถ้วยทุกวัน (หากบางท่านต้องการไหว้น้ำชาก็ได้ไม่ถือว่าผิด)
หรือจะไหว้ตามแต่เหมาะสมอาจจะไหว้ทุกวัน หรืออาจจะไหว้เฉพาะวันพระก็ได้

การไหว้น้ำเปล่านั้นเสมือนว่าโชคลาภที่จะเข้ามานั้นได้มาเปล่าๆ ได้มาง่ายๆ ไม่มีสิ่งใดแฝงมาด้วย  ถวายผลไม้
(อาทิ เช่น ส้ม 5 ผล) พวงมาลัย หรือดอกไม้มงคลอื่นก็ได้   ให้สวดคาถาบูชาขอพรท่านทุกวัน หรือตามสะดวกก็ได้
ให้จุดธูปบูชา 8 ดอก


 
คาถาบูชาขอพรเทพเจ้าแห่งโชคลาภ

เคล็ดคาถานี้บูชาสำหรับท่านที่เกิดปีต่างๆ ทั้ง 12 นักษัตร อันเป็นหัวใจคาถาจารึกเป็นภาษาสันสกฤตมาแต่ครั้งโบราณ
โดยให้ตั้งจิตให้สงบระลึกถึงความดีที่ได้ประกอบมา แล้วท่องคาถาหัวใจมหาเศรษฐีชัมภล อธิษฐานขอพร 7 ประการ
จากท่าน


ท่านที่เกิดปีฉลู มะโรง มะแม จอ คาถาหัวใจหมาเศรษฐีชัมภล คือ
" โอม ชัมภาลา จาเลน ไนเยน สวาหะ"

ท่านที่เกิดปีขาล เถาะ คาถาหัวใจมหาเศรษชัมภล คือ
" โอม อา ฮูโฮฮัม กษะสะ โอม ชัมภาลา ลาจาเลน ไนเยน สวาหะ"

ท่านที่เกิดปี มะเส็ง มะเมีย คาถาหัวใจมหาเศรษฐีชัมภล คือ
“ โอม ชัมภาลา จาเลนไนเยน ธะนัม เมธิ หะรี ทากินี ชัมภาลา สะมะภารา สวาหะ”

ท่านที่เกิดปี วอก ระกา คาถาหัวใจมหาเศรษฐีชัมภล คือ
“โอม ปัทมะ โกรธะ อรยะ ชัมภาลา หฤทัย หู ผะฏะ”

ท่านที่เกิดปี กุน ชวด คาถาหัวใจมหาเศรษฐีชัมภล คือ
“ โอม ชัมภะละ ชะเลนทะรา เย สวาหา โอม อินทะระ ฌิมขัม ภะระมิ สวาหา”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ตุลาคม 2018, 14:41:10 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่