cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: etatae333 ที่ 07 ธันวาคม 2018, 11:04:39

หัวข้อ: ตำนาน 5 ผีพื้นบ้านสยองขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: etatae333 ที่ 07 ธันวาคม 2018, 11:04:39
ตำนาน 5 ผีพื้นบ้านสยองขวัญ
Cr. พี่น้ำผึ้ง @ Dek-d / variety.thaiza.com /spokedark.tv

แบล็ก แอนนิส (Black Annis)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579637-4147.jpeg)

ถ้าพูดถึงตำนานผีพื้นบ้านของเกาะอังกฤษ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “แบล็ก แอนนิส (Black Annis)” เป็นแน่แท้
ปีศาจตนนี้เป็นปีศาจที่มีลักษณะเป็นหญิงชรา ใบหน้าเหี่ยวย่น ใบหน้าซีดเซียด ดวงตากลมโต ขุ่นมัวแต่กลับดุร้าย
ทั้งเขี้ยวและเล็บเป็นเหล็ก มันอาศัยอยู่ในถ้ำเขตหุบเขาดีน เมืองเลสเตอร์เชอร์ ประเทศอังกฤษ ว่ากันว่านี่คือ
ร่างอวตารของแบล็ค แอกเนส เคานท์เตสแห่งดันบาร์


คนโบราณของอังกฤษเล่าขานเรื่องความดุร้ายของผี แบล็ก แอนนิส นี้ให้กับลูกหลานฟังว่า....

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579755-7314.jpeg)

"เมื่อใดก็ตามที่ผีร้ายตนนี้เลือกเหยื่อได้แล้ว มันจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนหน้าอกของเด็กเคราะห์ร้ายรายนั้น
ต่อไปก็ก้มหน้าลงดูดเอาลมหายใจของเด็กผู้นั้นออกไปจากร่าง และเมื่อหมดลมหายใจ
(เพราะผี แบล็ก แอนนิส มันดูดไปหมดแล้ว) นังผีร้ายจะถลกหนังแล้วก็กินเนื้อเด็กรายนั้นเสียเลย" ...


ในตำนานยังกล่าวไว้อีกว่า หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว แบล็ก แอนนิสจะนั่งบนกองกระดูกเหยื่อหน้าถ้ำของมัน
และเมื่อมีคนผ่านไปเห็น มันจะรีบหายตัวไปเหลือไหวแต่เศษกระดูกนั่นเอง พีคจริงอะไรจริง

 


ลา โยโรนา (La Llorona)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579696-1279.jpeg)

ลาโยโรนา (La Llorona) หรือ "นางร่ำไห้" เป็นผีในตำนานพื้นบ้านของลาตินอเมริกา

เรื่องของลา เลลโรนา (La Llorona) ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่มีเค้าโครงมาจากความเป็นจริงบางส่วนของเม็กซิโกนั้น
เป็นเรื่องที่สร้างความสยองใจให้แก่ผู้คนในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก

ความสยองนั้นมาจากการที่ใครบางคนได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาในช่วงกลางดึก โดยที่เสียงนั้น
เป็นเสียงที่ลอยลมมากระทบกับโสตประสาทของคนที่นอนไม่หลับหรือกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ และเสียงที่ว่านั้น
ก็กรีดลึกบาดใจของผู้ฟังจนรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เสมอ

คำว่า ลา เลลโรลนา เป็นคำที่ถ่ายทอดมาจากภาษาสเปนซึ่งมีความหมายว่าผู้หญิงผู้หญิงซึ่งกำลังร่ำไห้คร่ำครวญ
โดยมีที่มาที่ไปจากดินแดนเม็กซิโกเป็นหลักทั้งนั้น เมื่อมีคนเม็กซิกันอพยพมาตั้งหลักแหล่งในอเมริกา จึงนำเอา
ความเชื่อและเรื่องราวเกี่ยวกับผีผู้หญิงตนนี้ติดตามมาด้วย

เรื่องนี้มีที่มาจากเรื่องของสตรีคนหนึ่งซึ่งมีลูกน้อยอยู่ด้วย ต่อมาเธอต้องการจะแต่งงานอยู่กินกับชายคนหนึ่ง
ซึ่งเธอคิดว่ามันเป็นความรักครั้งใหม่ ชายคนนั้นบอกว่าเขาเองก็รักเธอมากแต่เขาไม่ชอบเด็กๆ และนั่นก็มากพอ
ที่จะทำให้เธอหาทางกำจัดลูกๆของเธอออกไปเพื่อที่จะแต่งงานอยู่กินกับเขา


ท้ายที่สุด เธอตัดสินใจสังหารลูกๆของเธอ แต่ก็ยังรู้สึกผิดที่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้น ต่อมาเธอเฝ้าวนเวียนคิดถึง
แต่เรื่องนี้จนทำให้เกิดความกดดันอย่างหนัก จนท้ายที่สุดจึงได้ฆ่าตัวตายไปเพื่อหนีปัญหา

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579696-1909.jpeg)

กระนั้นก็ตาม การฆ่าตัวตายนั้นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ทำให้เธอพ้นเวรพ้นกรรม เพราะปรากฏวิญญาณของเธอยังไม่พบ
ความสงบเสียที หากแต่ต้องออกมาเดินไปตามสถานที่ต่างๆพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาไปตามพื้นที่
เหล่านั้น

บางทีก็ดูเหมือนว่าเธอกำลังมองหาลูกของเธอที่ตายจากไปและบางตำนานหรือเรื่องเล่าก็บอกว่าเธอจะมาปรากฏร่าง
ให้เห็นเพื่อเตือนใจใครๆว่าเมื่อเห็นเธอแล้วจะได้ไม่หลงทำตัวผิดพลาดแบบเธออีก กลับได้ก็กลับใจเสียอะไรทำนองนั้น

บางตำนานก็กล่าวว่าเธอลงมือสังหารลูกๆ ที่แสนน่ารักและไม่รู้เดียงสาของเธอด้วยการกดหัวพวกเขาในลำน้ำชลประทาน
ของย่านตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา แล้วปล่อยให้ร่างของลูกๆที่ปราศจากลมหายใจของเธอดำดิ่งลงไปในสายน้ำนั้น


ต่อมาเมื่อได้คิด เธอก็ออกเดินทางไปตามแหล่งน้ำนั้นเพื่อที่จะมองหาศพลูกๆของเธอ หรือบางทีก็อาจจะเป็นเด็กๆคนอื่น
ก็ได้ทั้งสิ้น หรือบางทีเรื่องเล่านี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของคำเตือนให้ผู้ปกครองคอยดูแลลูกหลานไม่ให้ไปเล่นน้ำ
ในลำธารต่างๆเพราะอาจจะจมน้ำตายก็ได้

เมื่อมองกลับไปยังประเทศเม็กซิโก เรื่องนี้จะสอดคล้องกับตำนานซึ่งเล่ากันว่าเกิดขึ้นในปีค.ศ.1550 คราวนั้น
มีเจ้าหญิงพื้นเมืององค์หนึ่งตกหลุมรักอย่างแน่นแฟ้นกับหนุ่มผู้สูงศักดิ์จนยากจะถ่ายถอนได้

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579696-1641.jpeg)

หนุ่มรายนั้นให้สัญญาว่าจะแต่งงานอยู่กินกับเธอ แต่แล้วเขาก็ทรยศกบฏรักต่อเธอโดยหันไปแต่งงานกับสาวคนอื่น
เรื่องนี้ทำให้เจ้าหญิงช้ำใจเป็นอย่างมากจนถึงกับต้องหาทางระบายความแค้นของเธอ และท้ายที่สุดเมื่อถูกท้าทาย
จากเจ้าชายผู้ทรยศรัก เธอก็ระบายความแค้นด้วยการสังหารลูกของเธอโดยใช้มีดของชายหนุ่มผู้นั้น

ต่อมา...เมื่อได้สติแล้ว เธอก็เสียอกเสียใจเป็นอันมาก และเรื่องนี้ทำให้เธอออกเดินไปตามถนนหนทางต่างๆ
พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจที่ได้ทำอะไรผิดพลาดอย่างรุนแรงจนถึงขั้นสังหารลูกๆของเธอเอง

ต่อมาเธอจึงฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอตัวเองเพื่อเป็นการชดใช้บาปกรรมที่เธอก่อไว้กับลูกๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดจบ
ของเรื่องเพราะเธอยังคงกลายสภาพไปเป็นวิญญาณที่คอยตระเวนไปตามที่ต่างๆเพื่อเสาะหาลูกๆของตนเอง
อย่างไม่มีวันจบสิ้น

เรื่องน่าเศร้าทำนองนี้ก่อให้เกิดทั้งความสลดหดหู่ใจและความหวาดผวาพร้อมๆกัน เมื่อบังเอิญได้ยินเสียงร้องไห้
คร่ำครวญของผู้หญิงตอนดึกๆ บางทีเสียงนั้นอาจจะเป็นเสียงของลา เลลโรนาก็ได้

 

เดร็คคาวัค (Drekavac)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579874-6926.jpeg)

ใครที่คิดว่าประเทศไทยมีการใช้กุมารทองแค่ที่เดียวในโลก! คุณคิดผิดแล้ว เพราะตำนานของชาวสลาฟเอง
ก็มีกุมารทองเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้มุ้งมิ้งเหมือนของพี่ไทยหรอกนะ ของชาวสลาฟเนี่ยจะชอบกระโดดขี่หลัง
คนพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องชวนปวดหัว ไม่ได้ให้คุณใดๆ เลย เราเรียกกุมารสัญชาติสลาฟว่า “เดร็คคาวัค”


เดร็คคาวัคคือจิตวิญญาณของเด็กทารกที่ไม่ได้เข้ารับการรับบัพติศมาทางศาสนาคริสต์ (บัพติศมาคือพิธีที่เด็กตัวเล็กๆ
ในบ้านเข้ารับการเป็นชาวคริสต์) มีคนพูดถึงลักษณะของมันไว้หลากหลาย บ้างก็ว่าเป็นสิ่งชีวิตที่ผอมแห้งจน
เห็นกระดูก มีนิ้วมือยาวและหัวที่ใหญ่โต ดูแล้วไม่สมส่วน บ้างก็ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหน้าขน มีกรงเล็บที่ยาวเฟื้อย
นอกจากนี้ยังมีคนบอกว่าจริงๆ แล้วเดร็คคาวัคเป็นซากศพของเด็กทารก ส่วนคนยุคใหม่กล่าวว่าเดร็คคาวัค
มีลักษณะคล้ายสุนัขหรือไม่ก็นก ก็ว่ากันไปตามแต่จะจินตนาการ

 

กวางสาว (Deer Woman)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579892-6926.jpeg)

ถ้าตำนานกรีกมีเซนทอร์ ชนเผ่าอินเดียแดงก็มี "กวางสาว (Deer Woman)" เช่นกัน ลักษณะของกวางสาวคล้ายๆ
กับเซนทอร์เลยหละ ส่วนหัวและลำตัวเป็นหญิงสาวแสนสวย ทว่าขากลับเป็นกวาง


ตามตำนานเล่าว่ากวางสาวชื่นชอบการเต้นรำ ในบางครั้งก็มักจะแอบไปเต้นรำพื้นเมืองและล่อลวงหนุ่มๆ ให้ไปซั่มกับเธอ
ถ้าใครเผลอตามไปด้วยเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น โดยหนุ่มๆ ที่เธอเลือกมักจะเป็นคนที่ยังไม่แต่งงาน หรือไม่ก็สามีที่ชอบนอกใจภรรยา




ผีโคมไฟดอกโบตั๋น (Botan Doro)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579922-5059.jpeg)

หากพูดถึงตำนานรักอมตะระหว่างคนเป็นกับคนตายในบ้านเรา เชื่อว่าหลายคนก็คงจะนึกถึงแม่นากพระโขนง
ก่อนเป็นอันดับแรก แต่ใช่ว่าตำนานรักอมตะระหว่างคนตายกับคนเป็น จะมีเฉพาะในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว
เท่านั้น เพราะในญี่ปุ่นก็ได้เคยมีตำนานเรื่องราวที่ใกล้เคียงกันเกิดขึ้นมาแล้ว มิหนำซ้ำตำนานรักสุดสยองนี้
ยังได้ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวเป็นอันดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย


โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวระหว่าง Shinnojo และ Otsuyu สองคู่รักที่มีความแตกต่างทางด้านชนชั้น
และฐานะ โดย Shinnojo เป็นชายหนุ่มชนชั้นซามูไรผู้มีฐานะปานกลาง ส่วน Otsuyu เป็นหญิงสาวจากตระกูล
ที่ร่ำรวย ระยะหลังความรักความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน เมื่อทั้งคู่ไม่ค่อยได้พบกัน และดูเหมือน
Otsuyu จะพยายามตีตัวออกห่างจากฝ่ายชายอีกด้วย เพราะความสัมพันธ์ทางความรักที่แย่ลง Shinnojo
ถึงกับล้มป่วยอย่างหนักและมันเกือบจะทำให้เขาตรอมใจตายซะด้วยซ้ำ

วันเวลาผ่านไปอาการเจ็บป่วยทางกายและใจของเขาเริ่มดีขึ้น เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตาม Otsuyu
ด้วยตนเอง ทว่าตลอดการเดินทางเพื่อตามหาคนรัก เขากลับได้รับข่าวคราวที่ไม่ค่อยสู้ดีเกี่ยวกับ Otsuyu มากนัก
เมื่อทุกคนต่างระบุว่า “Otsuyu ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว” แม้จะทำใจยอมรับลำบากแต่ Shinnojo ก็ยังไม่ถึงขั้น
ตัดใจซะทีเดียว เนื่องจากตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่า Otsuyu ได้เสียชีวิตไปแล้ว และต่อให้คนรักเสียชีวิตไปแล้ว
เขาก็ยินดีที่จะได้พบกับคนรักอีกครั้ง แม้ว่าเธอจะมาในรูปแบบของวิญญาณก็ตาม

เมื่อเป็นเช่นนั้น Shinnojo จึงได้อธิษฐานขอให้ตนเองได้พบกับ Otsuyu อีกครั้งในงานเทศกาลโคมไฟ
เทศกาลที่ว่ากันว่าหากคนตายสามารถเดินทางกลับมายังโลกมนุษย์ได้อีกครั้ง แม้การอธิษฐานในค่ำคืนนั้น
Shinnojo จะไม่คิดอะไรมากและคาดว่าสิ่งที่ตนเองขอไปคงจะไม่เกิดขึ้นจริงแน่ๆ แต่น่าเหลือเชื่อที่กลางดึก
ในคืนนั้น หญิงสาวที่ Shinnojo เฝ้ารอที่จะได้พบมานานแสนนานก็ได้ปรากฏตัวให้เห็นจริงๆ Otsuyu ยังคง
สวยงามเหมือนอย่างวันที่ทั้งคู่ได้เจอกันครั้งสุดท้าย ไม่เพียงแค่ Shinnojo เท่านั้นที่ดีใจ แต่ Otsuyu ก็ดีใจ
จนน้ำตาไหลอาบแก้ม เนื่องจากเธอเองก็ไม่ได้เจอกับชายหนุ่มที่ตนเองรักมานานแสนนานเช่นกัน

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546580147-7128.jpeg)

แน่นอนว่าในเวลานั้น Shinnojo ไม่ได้คิดถึงการอธิษฐาน หรือสิ่งที่ใครๆบอกว่า ‘Otsuyu เสียชีวิตไปแล้ว’
เลยซักนิด นอกจากความผิดปกติที่เขาเห็นเธอถือ ‘โคมไฟดอกโบตั๋น’ ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด แต่ด้วยความดีใจ
หลังจากที่พลัดพรากกันมานาน Shinnojo จึงไม่ได้สนใจหรือใส่ใจในเรื่องราวดังกล่าว และชวนให้ Otsuyu
เข้าบ้านตามปกติ และทั้งคู่ก็ได้ร่วมหลับนอนเคียงข้างกันในคืนนั้น หลังจากนั้นทุกคืน Otsuyu ก็จะเดินทาง
มาพร้อมกับโคมไฟดอกโบตั๋นในทุกๆ ค่ำคืน และเธอก็มักจะหายตัวไปก่อนที่ Shinnojo จะตื่นในทุกๆ เช้า
 
ทว่าวันหนึ่ง Shinnojo ลืมไปว่าทุกคืนในช่วงเวลานี้ของทุกวันเป็นเวลาที่ตนเองนัดดื่มเหล้ากับคนรับใช้
ซึ่งเธอจะแวะเวียนมาที่นี่เป็นประจำทุกค่ำคืนตั้งแต่ Shinnojo ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งเมื่อคนรับใช้
เดินทางมาถึงที่บ้านและไม่ได้พบกับ Shinnojo เธอจึงเดินสำรวจทั่วบ้าน เนื่องจากมันผิดปกติเกินไปที่เจ้านาย
ของตนเองจะไม่มาดื่มเหล้าด้วยในคืนนี้ และแล้วเธอก็ได้สังเกตเห็นโคมไฟดอกโบตั๋นวางอยู่บริเวณทางเข้าบ้าน
ครู่แรกเธอเข้าใจว่าเจ้านายของตนเองอาจพาสาวๆ เข้ามาร่วมหลับนอน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงได้
แอบมองเข้าไปที่ห้องนอนของ Shinnojo แต่แล้วสิ่งที่เธอเห็นกลับทำให้เธอตกใจจนถึงขีดสุด


เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นคือภาพที่ Shinnojo กำลังมีเพศสัมพันธ์กับโครงกระดูก!!!

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579948-7874.jpeg)

เธอพยายามเก็บความตกใจนั้นเอาไว้ พร้อมกับแอบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านจนกระทั่งรุ่งเช้า และเมื่อ Shinnojo
ตื่นขึ้นมาเธอก็ได้บอกความจริงกับสิ่งที่เธอเห็นทั้งหมด แน่นอนว่า Shinnojo ไม่เชื่อพร้อมกับต่อว่าสาวใช้คนนี้
ว่ากำลังสร้างเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เมื่อเป็นเช่นนั้นสาวใช้จึงพิสูจน์ความจริงด้วยการพา Shinnojo ไปยังสุสาน
เพื่อชี้ให้ดูหลุมฝังศพของ Otsuyu ซึ่งเธอระบุว่า

“เมื่อคืนเธอแอบสะกดรอยตามระหว่างที่ Otsuyu ออกจากบ้านจนกระทั่งเธอหายไปที่หลุมศพนี้”

ทั้งนี้คนรับใช้ยังเสนอวิธีพิสูจน์ความจริงว่า Otsuyu ได้เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ ด้วยการนำผ้ายันต์มาติดที่ประตูเข้าบ้าน
พร้อมทั้งกำชับไม่ให้ Shinnojo เปิดประตูหรือขานรับขณะที่เธอเรียกเป็นอันขาด การกระทำดั่งกล่าวทำให้วิญญาณ
ของ Otsuyu รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเธอพยายามเรียกหาคนรักของตนเอง

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546579997-8347.png)

[color=red]คืนแล้วคืนเล่าแต่ Shinnojo ก็ยังใจแข็งไม่ยอมเปิดประตูให้ซักวัน และแล้ววันที่ Shinnojo ไม่คาดคิดก็มาถึง
เมื่อวิญญาณของ Otsuyu แปลงกายเป็นคนรับใช้ พร้อมกับใช้อิทธิฤทธิ์บางอย่างหลอก Shinnojo ว่าเป็น
ช่วงกลางวัน ด้วยความที่ไม่ทราบและไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนรับใช้นั้นคือดวงวิญญาณของ Otsuyu เขาจึงได้
ชวนเธอเข้าบ้าน ทันทีที่ Otsuyu ก้าวขาเข้าบ้านแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็เลือนหายไป และใบหน้าของสาวใช้
ก็กลายสภาพเป็นใบหน้าของ Otsuyu จนกระทั่งรุ่งเช้าคนรับใช้ได้เดินทางมาที่บ้านและก็ได้พบกับภาพที่
ชวนตื่นตะลึงเมื่อ Shinnojo เสียชีวิตอยู่ในสภาพตาเหลือกนอนกอดโครงกระดูกของ Otsuyu อย่างน่าสยดสยอง[/color]

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1546580030-23.jpeg)

นับเป็นอีกหนึ่งตำนานรักสุดสยองที่เรื่องราวไม่ได้จบลงอย่างสวยงาม เพราะท้ายที่สุดแล้วคนตายและคนเป็น
ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ ไม่ว่าทั้งคู่จะรักกันมากขนาดไหนก็ตาม และสิ่งเดียวที่จะทำให้ทั้งคู่สามารถรักกัน
ต่อได้ก็คงจะหนีไม่พ้นการเดินทางไปยังโลกแห่งความตายด้วยกันนั่นเอง



ขอบคุณข้อมูลจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Drekavac
https://en.wikipedia.org/wiki/Botan_Dōrō
http://thedemoniacal.blogspot.com/2010/04/deer-woman.html
http://www.literacynet.org/lp/hperspectives/llorona.html
http://www.mythical-creatures-and-beasts.com/black-annis.html