-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ฆาตกรโรคจิตสุดโหดแต่ชื่อไม่ดัง  (อ่าน 604 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18154
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
ฆาตกรโรคจิตสุดโหดแต่ชื่อไม่ดัง
« เมื่อ: 05 เมษายน 2018, 13:52:54 »

ฆาตกรโรคจิตสุดโหดแต่ชื่อไม่ดัง

รายการต่อไปนี้เป็นชื่อของฆาตกรต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั่วโลก ที่คุณอาจไม่ได้ยินชื่อของพวกเขานัก
แต่กระนั้นเรื่องราวของพวกเขานั้นช่างน่าพิศวง  ฆ่าคนแบบพึลึกกึกกือ โรคจิตชนิดว่าพวกเขาฆ่าเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ความโหดเหี้ยมจนเราต้องถูกจารึกว่าน่าสะพรึงกลัว

 
10. Cordelia Botkin


 
Cordelia Botkin(1854-1910) เป็นฆาตกรชาวอเมริกันที่ฆาตกรรมภรรยาของอดีตสามีของเธอ จากการส่งขนมกล่อง
เคลือบยาพิษให้เขาทาน โดยเรื่องเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 19 ในขณะที่เธออายุ 41 ปี เธอได้พบกับจอห์น (John Dunning) 
อายุ 31 ปี ในขณะที่ปั่นจักรยาน ซานฟานซิสโก แม้ว่าทั้งคู่อายุจะต่างกัน แต่เธอก็แต่งงานกับเขา


หากแต่ไม่นานเธอก็รู้ว่าจอห์นไม่ใช่สามีที่ดี เขาติดการพนันและเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง และแล้วเขาก็ทิ้งเธอไปแต่งงานใหม่
เป็นเหตุทำให้เธอตัดสินใจจบเรื่องนี้ด้วยการส่งกล่องที่ใส่ลูกอมอาบยาพิษไปยังภรรยาใหม่ของเขา โดยเธอทำกล่องดังกล่าว
เหมือนของที่ระลึกจากเพื่อน โดยภรรยาใหม่และเพื่อนห้าคนและสมาชิกในครอบครัว(พ่อ, พี่สาว) ได้กินลูกอมช็อกโกแลต
ดังกล่าวและพวกเขาตายอย่างทรมานเพราะพิษ

หลังจากเจ้าหน้าตำรวจตรวจสอบพบว่าเธอมีความผิดจริงและถูกจำคุกตลอดชีวิต เธอเสียชีวิตในคุกเมื่ออายุได้ 56 ปี สาเหตุคือ
ตรอมใจตาย และเรื่องราวของเธอถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์ในชื่อ The Mischievous Case of Cordelia Botkin (2011)


https://www.youtube.com/watch?v=9pRttxjskEo



9. Axeman of New Orleans


 
แอกซ์แมน ออฟ นิวออร์ลีน เป็นฉายาฆาตกรต่อเนื่องปริศนาที่ก่อการอาละวาดฆาตกรรมผู้คนในนิวออร์ลีนและหลุยเซียนา
ในระหว่าง พฤษภาคม 1918 ถึง ตุลาคม 1919 นอกจากนี้ยังคาดว่ามันน่าจะฆ่าคนในปี 1911ด้วย
(แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน)

คดีนี้เริ่มต้นเมื่อกลางดึกวันที่ 23 พฤษภาคม1918 โจเซฟ แมกกิโอคนขายของชำชาวอิตาลีถูกโจมตีขณะที่การนอนอยู่
ข้างแคทเธอลีนแมกกิโอภรรยาของเขา ในบ้านของเขาบนมุมมุมถนนอัพเพอร์ลีนและถนนแมกโนเลียโจเซฟถูกฟาดหนึ่งแผล
ก่อนจะถูกปาดคอด้วยมีดโกน เขาอยู่รอดโดยไม่ตายหลายนาที ก่อนที่พี่ชายและน้องชายของเขา เจค และ แอนดรูว
ซึ่งอาศัยอยู่ตึกหลังถัดไป จะได้ยินเสียงร้องของพี่ชายจึงรีบวิ่งเข้ามาดูแต่ช่วยชีวิตไม่ทัน

ส่วนภรรยาของเขา แคทเธอลีน แมกกิโอ ฆาตกรฆ่าเธอโหดกว่านั้นมันใช้ขวานจามขวานที่คออย่างรุนแรงจนขวานนั้น
ลึกจนคอเกือบขาดซึ่งเหลือเพียงผิวหนังอีกเสี้ยวเดียวที่ยึดคอเธอไว้ติดกับตัว

และนี้คือจุดเริ่มต้นของแอกซ์แมน ออฟ นิวออร์ลีน หลังจากนั้นก็มีรายงานการปรากฏตัวของฆาตกรรายนี้จนสร้างความหวาดกลัว
ต่อผู้คนในพื้นที่อยู่มากเพราะเหยื่อที่ถูกมันฆ่าส่วนใหญ่จะสุ่มฆ่า และถูกมันโจมตีอย่างฉับพลัน เช่นเปิดประตูบ้านก็ถูกขวานจาม
อย่างรุนแรง หรือบุกไปฆ่าตอนเจ้าของบ้านนอนหลับอย่างสบายบนเตียง มันฆ่าคนแม้กระทั้งผู้หญิงตั้งครรภ์ และแม้แต่ทารก
ที่ฆ่าในแขนของแม่ นอกจากนี้มันยังเขียนจดหมายเหน็บแนมให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเมืองบอกใบ้เหยื่อรายต่อไปที่มันจะไปฆ่าด้วย
แสดงถึงนิสัยบ้าบิ่นและความสนุกสนานในอาชญากรรมของฆาตกรรายนี้เป็นอย่างดี

แต่แล้วจู่ๆ มันก็หยุดอาละวาดฆ่าคนเสียดื้อๆ หลังจากอาละวาดฆ่าคนไปแปดศพ หลายๆฝ่ายพยายามหาข้อสมมุติฐาน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายคนให้ข้อคิดเห็นว่าบางทีเจ้าฆาตกรคนนี้อาจเป็นมาเฟียจากอิตาลี หรืออาจเป็น โจเซฟ มัมเฟร
ผู้ซึ่งถูกเปปิโทเน่ภรรยาม่ายของเหยื่อรายสุดท้ายฆ่ามันด้วยปืนสั้น ซึ่งหลังจากการตายของมัมเฟรแอกซ์แมนก็ไม่ได้
ปรากฏตัวขึ้นที่นิวออร์ลีนส์อีกเลยและปัจจุบันมันก็ไม่ถูกตำรวจจับกุม ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใครและคดีก็ยังเป็นปริศนา
อยู่ในแฟ้มต่อไป




 
8. Thomas Neil Cream



ดร.โทมัส นีล ครีม (1850-1892)เป็นแพทย์และศัลยแพทย์เกิดในสก็อตแลนด์ศึกษาในลอนดอนและไปทำงานในแคนาดา
และในชิคาโกและอิลลินอยส์แต่พฤติกรรมของเขาไม่ดีนัก เพราะเป็นคนเลวและมีพฤติกรรมสกปรก และชอบทรมานคนอื่น
นอกจากนี้เขายังประกอบอาชีพทำแท้ง 


ในปี 1881-1892 เขาถูกต้องข้อหาฆาตกรรมโดยเป็นนักวางยาพิษด้วยยาเบื่อและคลอโรฟอร์มในผู้ป่วยของเขาหลายราย
(พิสูจน์ได้แค่ 5 คน)  เขาถูกจับในอิลลินอยส์ และถูกประหารโดยการแขวนคอในปี 158 พฤศจิกายน 1892 และเมื่อถึง
เวลาประหาร เขาตะโกนออกมาว่า"ฉันคือแจ๊คเดอะริปเปอร์" (ที่จริงตะโกนได้แค่ว่า I'm Jack..... ก็ตายเสียก่อน)

ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่าเขามีอาชีพเป็นหมอซึ่งชำนาญผ่าตัด เขาชอบโสเภณี และจากคดีที่เขาก่อเหยื่อส่วนมากเป็นโสเภณี
แต่เนื่องจากขณะที่แจ๊คก่อคดีในลอนดอน เขายังอยู่ที่นิวยอร์ค และเขาถูกจำคุกที่ชิคาโก้ ทฤษฎีนี้จึงตกไป แต่กระนั้นก็ไม่
สามารถตัดรายชื่อผู้ต้องสงสัยได้เพราะว่าเขาอาจใช้วิธีอ้างฐานที่อยู่ก็เป็นไปได้





 
7. Joseph Vacher
 


โจเซฟ วาเชอร์ฉายา “นักชำแหละแห่งประเทศฝรั่งเศส” ฉายานี้มาจากพฤติกรรมสังหารเหยื่อที่คล้ายกับ “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์”
ของประเทศอังกฤษ จุดเด่นของเขาคือใบหน้ามีแผลเป็นและหมวกขนกระต่ายสีขาว


เขาเกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1869 ในครอบครัวเกษตรกรที่ไม่รู้หนังสือ ทำให้เขาถูกส่งไปเรียนโรงเรียนคาทอลิกที่เข้มงวด
ที่นั้นเขาถูกสอนสั่งให้เชื่อและหวาดกลัวในพระเจ้า ในปี 1893 ระหว่างถูกเกณฑ์ทหารเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งแต่เนื่อง
ด้วยเขาหน้าตาไม่หล่อ ทำให้ผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธไม่เล่นด้วยทำให้เขาโกรธมากและทำร้ายผู้หญิงคนนั้น(เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่รอด)
จากนั้นเขาก็กลายเป็นคนเกลียดผู้หญิง และทนทุกข์ทรมานเขาพยายามฆ่าตัวตายด้วยการยิงตนเองสองครั้งที่หัวแต่ไม่สำเร็จ
และได้แผลเป็นบนใบหน้า

จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็มีอาการทางจิตจนพัฒนามาเป็นฆาตกรต่อเนื่องในที่สุด สังหารเหยื่อมากกว่า 11 ราย ระหว่าง 1894-1897 
เหยื่อที่ถูกฆ่าส่วนใหญ่จะถูกแทงซ้ำหลายครั้ง สังวาสผิดธรรมชาติ ข่มขืน ผ่าท้อง ส่วนใหญ่บริเวณที่เขาออกอาละวาดจะอยู่ทาง
ทิศจะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส โดยเขาจะปลอมตัวเป็นขอทานหรือเป็นกรรมกรในฟาร์มเพื่อมองหาเหยื่อ

เขาถูกจับในปี 1897 ในขณะทำร้ายร่างกายผู้หญิงคนหนึ่ง เขารับสารภาพว่าสังหารผู้หญิงเพราะเขาเป็นบ้าเพราะโดนสุนัขกัด
ตอนเป็นเด็ก สุดท้ายเขาถูกประหารชีวิตด้วยเครื่องกิโยตินเมื่อ 31 ธันวาคม 1898

 
 



6. Leonarda Cianciulli



ลีโอนาร์ด้า เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 1893 ในมอนเตลล่า เป็นฆาตกรต่อเนื่องอิตาลี ที่ถูกขนามนามว่า “นักสร้างสบู่แห่งคอร์เรจจิโอ”
เธอทำการฆาตกรรมหญิงสาวในคอร์เรจจิโอ  ระหว่าง 1939-1940 โดยทำร่างกายของหญิงสาวเหล่านั้นทำสบู่  ในช่วงวัยเด็กของเธอนั้น
เธอเกิดมาจากความเกลียดชัง แม่ของเธอรังเกียจเธอเพราะเธอเป็นผลผลิตจากการข่มขืน


เธอพยายามฆ่าตัวตายสองครั้ง ในปี 1914 เธอแต่งงานกับเสมียนและย้ายไปอยู่ริวันโนหากแต่อยู่ไม่นานเธอก็ต้องย้ายบ้านเพราะบ้านพัง
เพราะแผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1930 เธอเชื่อว่าทั้งหมดเกิดจากคำสาปของแม่ที่เกลียดชังเธอ จนกระทั้งเธอย้ายมาอยู่คอร์เรจจิโอ
โดยเปิดร้านค้าขายขนาดเล็กและมีลูกที่นั้น ภายนอกเธอเป็นผู้หญิงอ่อนโยนและใจดีทำให้หลายคนชอบเธอ

จนกระทั้งในปี 1939 เธอได้ยินข่าวลูกชายคนโต ของเธอเซปเปได้เข้าร่วมกองทัพอิตาลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเซปเปเป็นลูก
ที่เธอรักมากและอยากให้ปกป้องเขาให้รอดพ้นจากคำสาปของแม่ของเธอ เธอเลยต้องทำอะไรสักอย่างแม้จะเป็นเรื่องชั่วร้ายก็ตาม
จนกระทั่งเธอได้ข้อสรุปว่าเธอน่าจะทำพิธีเสียสละมนุษย์สักคนเพื่อให้เขาปลอดภัย และนั่นเองจึงเป็นที่มาของสบู่มนุษย์ มีผู้ตกเป็น
เหยื่อของเธอซึ่งเป็นสาววัยกลางคนสามคนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทั้งหมด และหลังจากเธอฆ่าเหยื่อครั้งแรกเธอได้บรรยายไว้ว่า

“ฉันทิ้งชิ้นเนื้อลงในหม้อ ใส่โซดาไฟเจ็ดกิโลที่ฉันซื้อมาเพื่ออ้างว่าเอาไปทำสบู่ แล้วกวนส่วนผสมทั้งหมดจนละลาย
จนเหนียวหนาและดำ ฉันเทมันลงไปในถังหลายถังและก่อนจะเอาไปใส่ถังใหญ่ในพื้นที่ใกล้กัน ส่วนเลือดในอ้างนั้น
ฉันรอมันจนกว่าจะมันจะจับตัวเป็นก้อน อบแห้งในเตาอบ ผสมมันกับแป้ง น้ำตาล ช็อกโกแลต นม ไข่ ตามด้วยมาการีน
นวดส่วนผสมทั้งหมดด้วยกัน ฉันทำเค้กชากรอบจำนวนมากและเอาให้ผู้หญิงที่มาเยี่ยมบ้าน แม้แต่ฉันและเซปเป
ก็ยังกินด้วยกันเลย”


เหยื่อทั้งสองรายของลีโอนาร์ด้าถูกฆ่าในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เหยื่อรายที่สามพิเศษหน่อยตรงที่เธอบรรยายไว้ว่า

“เธอได้จบชีวิตเธอเหมือนกับอีกสองคนที่แล้ว ฉันใส่ไขมันและเนื้อสีขาวของเธอลงไปในหม้อและเพิ่มโคโลญลงไปหนึ่งขวด
และหลังจากที่ใช้เวลานานในการต้ม ฉันก็ได้ทำครีมสบู่ที่ตั้งใจไว้ ฉันได้ให้(ช๊อกโกแลตบาร์)ที่มันเข้ากันกับเค้กกับ
เพื่อนบ้าน ดูเหมือนพวกเธอจะชอบมันมาก”

ลีโอนาร์ด้าถูกจับกุมเนื่องจากมีผู้พบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเธอยอมรับผิดฐานการฆาตกรรมและเธอถูกพิพากษาสามสิบปี
ในคุกและเสียชีวิตจากภาวะเลือดออกในสมองเมื่อ 15 ตุลาคม 1970  แต่กระนั้นอุปกรณ์ทำสบู่และมีดหั่นศพของเธอยัง
คงพบเห็นในปัจจุบัน ท่านสามารถไปดูได้ที่พิพิธภัณฑ์อาชญาวิทยาในกรุงโรม




 
5. Henri Désiré Landru


 
เฮนรีเป็นฆาตกรต่อเนื่องในฝรั่งเศส ฉายา “Bluebeard”  หรือเรียกกันในชื่อของ “ผีร้าย” หรือ “เคราคราม” ซึ่งเป็นนิทาน
พื้นบ้านฝรั่งเศสที่สามีมีพฤติกรรมฆ่าภรรยาต่อเนื่องหลายคน


เขาเกิดในวันที่ 12 เมษายน 1869 ในกรุงปารีสออกจากโรงเรียนแล้วเข้าร่วมกองทัพฝรั่งเศส ต่อมาก็มีภรรยาและมีบุตร
และเขาแต่งงานกับผู้หญิงหลายคนและทิ้งเธอหลายคนเช่นกัน เขามีนิสัยละโมบและขี้ฉ้อโกง โกงแม้แต่นายจ้าง
จนทำกลายเป็นนักต้มตุ๋น เขาเริ่มกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องเมื่อเขาลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ปารีสคอล์มหนุ่มพ่อหม่ายหัวใจ
ว้าเหว่โดยเนื้อหาบอกว่า

“พ่อหม้ายกับลูกติดสองคนอายุ 46 มีฐานะทางการเงินดีและมีหน้าตาทางสังคม ต้องการแม่หม้ายเพื่อออกเรือน”

มีผู้หญิงที่เป็นหม้ายหลงกลโฆษณานี้ก็ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก โดยเมื่อพวกเธอมาถึงบ้านเขาจะฆ่าแล้วคว้านไส้พุงออกมาแล้ว
เผาชิ้นส่วนร่างกายของพวกเธอลงในเตาอบของเขา เชื่อว่าเขาสังหารผู้หญิงไป 11 ราย และเขาถูกประหารชีวิตด้วย
กิโยตินวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1922

 




4. Harpe Brothers


 
Micajah “บิ๊ก” ฮาร์พ(1768? – สิงหาคม 1799) และ ไวลี่ย์ “ลิตเติ้ล” ฮาร์พ (1770? – มกราคม1804) เป็นอาชญากร
ทำผิดกฎหมายใน รัฐเทนเนสซี รัฐเคนทักกี และรัฐอิลลินอยส์ ในศตวรรษที่ 18 การก่ออาชญากรรมของพวกเขาส่วนใหญ่
เกิดจากความกระหายเลือดมากกว่าเงินที่ได้จากเหยื่อ และทำให้นักประวัติศาสตร์หลายคนได้นิยามว่าพวกเขาคือฆาตกร
ต่อเนื่องคนแรกในอเมริกา


ชาติกำเนิดพี่น้องฮาร์พนั้นไม่สามารถระบุได้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เชื่อว่าพวกเขาเกิดในทางเหนือของแคโรไลนา 
พ่อของเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นทอรี่(นักอนุรักษ์นิยม)ที่เข้าร่วมกับสก็อตแลนด์ทำสงครามกับอังกฤษในสงครามปฏิวัติ และ
พี่น้องฮาร์พก็อาศัยอยู่กับชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองเร่ร่อนครีกและเชอโรกี

ในปี 1797 พี่น้องฮาร์พอาศัยอยู่ในเทนเนสซี และถูกขับไล่ออกจากเมืองเนื่องจากขโมยม้า และถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนชื่อจอห์นสัน
ที่ร่างกายของเขาพบในแม่น้ำถ่วงด้วยก้อนหิน และเขาก็ได้ฆ่าตัดหัวทารกเนื่องจากรำคาญเสียงร้องไห้ จากนั้นเขาก็ดักฆ่าคน
เพื่อขโมยม้าที่ผ่านป่าหลายราย ผลสุดท้ายบิ๊กก็ถูกฆ่าจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนลิตตเลถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ






3. Servant Girl Annihilator


 
“นักถล่มสาวใช้” หรือ “มือขวานแห่งออสติน” เป็นฆาตกรปริศนาที่ก่อกรรมทำเข็นที่เมืองออสตินในรัฐเท็กซัส ระหว่างปี 1884-1885)
อเมริกา มีผู้ตกเป็นเหยื่อของมัน 7 รายส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่เป็นสาวใช้ผิวดำ ที่ตายด้วยน้ำมือของฆาตกรรายนี้อย่างอำมหิตบางราย
มันถึงกลับบุกไปฆ่าถึงเตียงนอนที่บ้าน จากนั้นก็ลากมาฆ่าต่อที่ข้างนอกบางรายถูกข่มขืนยับและบางคนร้ายกว่านั้นเพราะฆาตกรได้ใช้
ขวานสับใบหน้าเหยื่อจนหูและหน้าเละแหลกเหลวจนทำให้คนในละแวกนั้นเป็นโรคประสาทไปทั่ว


คดีนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี1884 เมื่อมอลลี่ สมิธสาวใช้ผิวสีอายุ 25ปีคือเหยื่อรายแรกของฆาตกรรายนี้ ฆาตกรบุกไปยังบ้านของเธอ
และลากเธอทั้งๆที่ตอนนั้นเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงนอน จากนั้นมันก็ฆ่าเธอหลังที่ทำงานของตัวเองใบหน้าของเธอถูกอาวุธหนัก
ประเภทกระบองตีจนเละและหัวถูกขวานสับจามจนแผลฉีกเป็นทางยาวอย่างน่ากลัวส่วนรายที่ 2 ก็โหดไม่แพ้กัน

เมื่อวันที่6พฤษภาคม1885เอลิซ่า เชลลีย์ สาวใช้ผิวดำถูกฆาตกรฆ่า และ เธอถูกพบในมุมพื้นถนนจอห์นสันที่เต็มไปด้วยต้นไม้ซอนไซ
สภาพศพบ่บอกถึงความสนุกสนานของฆาตกรเหมือนรายก่อนหน้ามันคงทำร้ายเธอในตอนหลับโดยใช้ยานอนหลับแล้วลากเธอมาเล่น
ต่อบนพื้น ทั้งๆที่ใส่ชุดนอนอยู่แล้วจับเธอกดบนพื้นแน่นและใช้อาวุธประเภทของมีคมแทงไปในหัวจนสมองเละเช่นเดียวกับอีกแผล
ที่บ่บอกได้ว่าเธอถูกทำร้ายด้วยขวานจนหัวแทบแยกออกเป็นสองซีก

จากนั้นก็มีรายงานเหยื่อของมันเป็นระยะ 5-6 ราย ตายบ้างไม่ตายบ้างมีผู้ต้องสงสัยคดีนี้หลายร้อยคน แต่สุดท้ายตำรวจก็ไม่ได้อะไร
จนกระทั้งมาถึงเหยื่อรายสุดท้ายคือหญิงผิวขาวยูล่า ฟิลลิปส์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมวันใกล้ส่งท้ายปีใหม่ แล้วไม่รู้เพราะอะไร
จู่ๆมันก็หยุดฆ่าไปเลย

แม้ฆาตกรจะจากไปแล้วและการสอบสวนก็ล้มเหลวไม่มีใครสามารถจับตัวการของคดีนี้ไดทำให้สันนิษฐานกันว่าบางทีฆาตกรอาจ
เกี่ยวข้องนักการเมืองในห้องถิ่นที่มีอำนาจวาสนาที่จะปิดปากตำรวจก็ว่าได้และมีข้อสันนิษฐานว่าฆาตกรรายนี้กับแจ๊คเดอะ ริปเปอร์
คือคนเดียวกันว่ากันว่า หลังจากนักถล่มสาวใช้ฆ่าคนที่เมืองออสตินจนพอใจแล้วมันก็ได้เปลี่ยนที่ทำการใหม่ไปที่ลอนดอน
ประเทศอังกฤษ ทำการฆ่าโสเภณี 5-7 ราย และหลายคนเรียกมันว่า “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” ซึ่งสิ่งที่เชื่อมโยงคือลักษณะการฆ่า
ของมันที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนากับบาดแผลของเหยื่อแสดงให้เห็นว่า “นักถล่มสาวใช้” กับ “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์”
คือคนๆ คนเดียวกันแต่ก็นั้นมันก็เป็นข้อสันนิษฐานที่พูดปากตาปากในวงเหล้าเท่านั้น







2.Earle Nelson



เอิร์ล ลีโอนาร์ เนสสัน เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกัน ฉายา "กอริล่านักฆ่า" เขาเกิดในปี 12 พฤษภาคม 1897 ในซานฟรานซิสโก
รัฐแคลิฟอร์เนีย พ่อแม่ตายตั้งแต่เด็กด้วยโรคซิฟิลิส ก่อนที่จะถูกยายที่เคร่งพระคริสตธรรมเพ็นเทคอสเลี้ยงดู เมื่ออายุ 10 ขวบ
เขาก็ถูกรถชนในขณะขี่จักรยานและหมดสติไปหกวัน และเมื่อตื่นขึ้นเขาก็มีพฤติกรรมที่แปลกไป เขาปวดหัวบ่อยครั้งและสูญเสีย
ความทรงจำ และเมื่อยายเสียชีวิตเขาก็ถูกเลี้ยงดูกับป้าและสามีของป้า


เมื่อโตเป็นหนุ่มเขาก็เป็นคนหื่นกาม ชอบสำเร็จความใคร่ตนเอง เขาเริ่มก่ออาชญากรรมถูกพิพากษาจำคุกสองปีและถูกจับเข้า
โรงพยาบาลบ้า เขาพยายามหนีออกจากที่นั้นสามครั้ง และเมื่ออายุ 21 เขาได้ก่อคดีข่มขืนมากมายและถูกจับเขาโรงพยาบาลบ้าอีก
และเมื่อออกโรงพยาบาลเมื่อปี 1925 ปีถัดมาเขาก็ได้กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนเหยื่อไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมากกว่า
20 ราย โดยเหยื่อส่วนมากมักเป็นคนอาศัยในที่พักอาศัยอยู่คนเดียว เวลาหาเหยื่อแต่ละครั้งเขาจะใช้พระคัมภีร์ในการหาเหยื่อ
ที่เหมาะสมกับเขา เขาจะบีบคอ ข่มขืนศพอย่างเมามัน ก่อนที่จะซ่อนศพไว้ใต้เตียงและเขาจะนอนบนเตียงนั้นหลายวันก่อนจากไป
โดยเหยื่อคนหนึ่งชื่อ โลล่า อายุ 14 ปี ถูกล่อมาฆ่าแล้วซุกศพในเตียงของเขานานสามวันสามคืนก่อนจะจากไป

เขาถูกจับกุมในแคนาดาปี 1927 หลังจากพบศพผู้หญิงใต้เตียงนอนที่ห้องพักของเขา จากการสอบสวมพบว่าเขาใช้ชื่อปลอม
หนีไปหลายรัฐระหว่างประเทศแคนาดาและประเทศสหรัฐ เขาอ้างว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อเขามากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ฟอร์ทแลนด์
ซันโฮเซ ซานฟรานซิสโก สุดท้ายเขาถูกพิพากษาด้วยการประหารโดยการแขวนคอ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1928 เวลา 7:30 น.





1.Béla Kiss


 
เบล่า คิส เกิดในปี 1877 เป็นฆาตกรต่อเนื่องฮังการี เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยสังหารผู้หญิงอย่างน้อย 24 รายอีกทั้งยังเอาศพ
ของพวกเธอเอามาดองด้วยสูตรน้ำยาพิเศษในกลองโลหะยักษ์(ใช้ใส่น้ำมัน) เพื่อเก็บไว้เป็นของสะสมของเขา 


เขาอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 9 หมู่บ้านซินโกตา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบใกล้ๆ เมืองหลวง บูดาเปสต์ เขาค่อนข้างหล่อเหลา
ผมสีทอง หนวดงาม ดวงตาสีน้ำเงิน มีหน้ามีตาทางสังคม แม้เขาจะมีอาชีพเป็นช่างสังกะสี แต่เขาก็เป็นคนชอบอ่านเขียน
ชำนาญในศิลปะด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวรรณคดี ประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังเป็นโหรสมัครเล่น เป็นนักสะสมแสตมป์ เขียนบทความ
เกี่ยวกับโหราศาสตร์เป็นบางครั้ง และชอบเรื่องลี้ลับ คาถาอาคม จนถึงขั้นพยายามเรียนรู้จริงจัง ทำให้เขาสามารถให้ข้อคิดเห็น
คำปรึกษาแก้ปัญหาด้านใดๆ ก็ได้ให้แก่ผู้เดือดร้อนที่มาหาขอความช่วยเหลือแก่เขา

ในปี 1912 คิสได้ซื้อบ้านหลังใหญ่และเริ่มจ้างแม่บ้านมาดูแลบ้านหลายคนทางหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งผู้หญิงหลายคน
ต่างดึงดูดใจเมื่อเห็นเงินค่าจ้างราคางามที่เขาตั้งเอาไว้  บางคนมาจากบ้านใหญ่เพื่อทำงานที่ซินโกตา โดยไม่รู้ว่า
ชะตากรรมของพวกเธอเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

เรื่องราวของคิสถูกเปิดเผยในเวลาต่อมาโดย ช่วงฤดูร้อน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนกรกฎาคม 1916 คิสถูกเกณฑ์เป็นทหาร
และเขาได้ทิ้งบ้านให้นาง ทราเบอร์ แม่บ้านเคยดูแลบ้านให้ วันหนึ่งทหารได้เข้ามาซินโกตา และต้องหาน้ำมันเพื่อใช้ในสงคราม
ซึ่งทราเบอร์จำได้ว่า เขามีน้ำมันที่คิสฝากไว้ในกลองโลหะขนาดยักษ์(ใช้สำหรับใส่น้ำมันเบนซิล) 7 ถัง  และเขาก็เปิดน้ำมัน
ทั้ง 7 ออก แทนที่จะเป็นน้ำมัน กลับกลายเป็นศพที่น่าขนลุกของหญิงสาวเปลือยเปล่า ที่ดองในแฮลกฮอล์และพวกเธอเหล่านั้น
เคยเป็นสาวใช้ของเบล่า คิส


จากนั้นก็มีรายงานอีกว่าคิสได้ให้คนในหมู่บ้านหลายคนดูแลกลองโลหะหลายใบ ทำให้ตำรวจต้องตามเก็บ ถังต่างๆ จากคน
ในหมู่บ้านและบางส่วนพบในสวนถูกเปิดออก ก็พบศพผู้หญิงดองด้วยแอลกฮอล์ทั้งสิ้น ศพทั้งหมดถูกนำมาออกจากถังมีนับ
รวมกันแล้วได้ 24 ร่าง หนึ่งในนั้นมี มาเรีย ภรรยาคนแรกของคิส และ ปอล ไบฮารี ชู้รักของเธอรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ตำรวจ
ยังจบห้องลับของเขาที่เต็มไปด้วยหนังสือ โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยจดหมายและรูปหญิงถึง 74 คนและหนังสือเกี่ยวกับ
ยาพิษและการรัดคอ

หลังจากมีการพบศพ นากีรับแจ้งให้คนในกองทัพทำการจับกุมเบล่า คิส ทันที แต่หากก็สายไปแล้ว เพราะเขาหายตัวจาก
โรงพยาบาลในเซอร์เบีย โดยไม่รู้เขาหายไปไหน บางทีเขาอาจตายในสงคราม หรืออาจโดนจับเป็นเชลยในกองทัพของฝ่ายศัตรู
สุดท้ายทั้งศาลและตำรวจทำอะไรไม่ได้ ทำให้คดีจบลงโดยไม่สามารถเอาผิดเขาได้

มีหลายคนอ้างว่าพบเห็นเขาไปทั่วโลกตามที่ต่างๆ โดยรายงานล่าสุดคือปี 1932 เมื่อเขาเห็นคนที่เหมือนเบล่า คิส (อายุ 60 ปีเศษ)
เดินจากสถานนีรถไฟใต้ดิน เมื่อมีการสอบสวนพบว่าเขาทำงานเป็นภารโรงในอพาร์ตเมนต์ย่านถนนสายที่ 6 ในนิวยอร์ก แต่กระนั้น
ก็ไม่มีการพิสูจน์ว่า เขาเป็นฆาตกร 24 ศพแห่งฮังการีจริงหรือไม่ จนบัดนี้ก็ไม่ใครรู้ซะตากรรมเบล่า คิส ฆาตกร 24 ศพแห่งฮังการี
ว่าเขามีชีวิตอย่างไรหลังจากนั้น และยังคงความลึกลับจนถึงปัจจุบัน
[/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 เมษายน 2018, 16:32:12 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่