-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2  (อ่าน 17457 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • บุคคลทั่วไป
ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« เมื่อ: 07 มิถุนายน 2011, 14:51:41 »

ทีแรกกะเอาไว้กระทู้เดิมแต่เริ่มใหม่่ท่าจะเป็นระเบียบกว่า  /jhtdc

Champ


แชมป์ถือได้ว่าเป็นญาติของเนสซีที่ถูกขนานนามว่า “เนสซีอเมริกัน” มีคนรายงานการพบเห็นสัตว์เหล่านี้ในทะเลสาบแชมเปลน(Champlain) ประเทศอเมริกา
มันเป็นทะเลสาบที่ลึกมากแต่แคบและยาวอยู่ระหว่างรัฐเวอร์มอนต์และรัฐนิวยอร์ก จากรายงานการพบบ่บอกว่ามันมีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ที่เป็นพวกอาศัยอยู่ในน้ำ
ในยุคดึกดำบรรพ์ ยาวประมาณ 4.5-9 เมตร ลำตัวคล้ายถังเหล้า มีตัวสีดำหรือเทา หัวคล้ายงูหรือม้า มีเขาหรือหงอนสองอัน

สัตว์ลึกลับตัวนี้มีการพบเห็นมายาวนานกว่าสามร้อยปีมาแล้ว และปัจจุบันมีผู้พบเห็นตัวมันมากมายโดยเฉพาในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว
และมีรูปถ่ายของมันด้วย จนหลายคนเชื่อว่ามันมีจริง ถึงขนาดสภาผู้แทนรัฐเวอร์มอนด์ได้ออกกฎหมายคุ้มครองแชมป์
“ห้ามกระทำการใดโดยเจตนาเพื่อจะฆ่าหรือทำให้บาดเจ็บหรือไปรบกวนมัน” กฎหมายที่ว่าออกในเดือนเมษายน 1986
ต่อมารัฐนิวยอร์กก็ออกกฎหมายเดียวกัน

 มีหลายคนสันนิษฐานว่าสัตว์ลึกลับนี้ตัวตนที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ บางคนบอกว่ามันน่าจะเป็น ซูโกลดอน(Zeuglodon)
ปลาวาฬที่คาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อสิบล้านปีก่อน บางคนบอกว่าเป็นคลื่นใต้น้ำเนื้องด้วยโครงสร้างของทะเลสาปที่ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่


Ebu Gogo



มีหลายคนพบสัตว์ลึกลับชนิดหนึ่งเป็นกลุ่มคนตัวเล็กๆ มีใกล้เคียงกับมนุษย์มากมีแขนยาว เดินเหมือนมนุษย์ สูงประมาณหนึ่งเมตร ขนดก มักจะพึมพำคุยกันด้วย
ภาษาที่พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาอาศัยในเกาะ Flores  เกาะป่าร้อนชื้นของอินโดนีเซียที่ยังไม่เคยมีใครสำรวจก็เป็นได้ ตั้งแต่สมัยโบราณไปจนถึงศตวรรษที่ 19

มีตำนานเล่าว่าพวกเขาถูกเรียกว่า "อีบู โกโก" เป็นมนุษย์ตัวเล็กที่ชอบทำลายพืชและสัตว์ของมนุษย์เพื่อกินเป็นอาหาร
ทำให้พวกมนุษย์โกรธแค้นและสืบหาร่องรอยจนฆ่าพวกเขาจนสูญพันธุ์ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งในปี 2003 นักวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบกระดูกพวกเขา
ในถ้ำหินปูนชื่อ Liang Bua และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะถือว่ากระดูกที่ค้นพบเป็นของมนุษย์พันธุ์ใหม่
และตั้งชื่อเล่นว่า ฮอบบิต

แต่ทว่ามีหลายคนออกมาถกเถียงข้อสันนิษฐานนี้โดยบอกว่าซากมนุษย์จิ๋วที่ค้นพบคือโฮโม ซาเปียนส์ทั่วไป แต่มีร่างกายแคระแกร็น
หยุดการเจริญเติบโต อันเนื่องจากภาวะขาดสารไอโอดีนระหว่างครรภ์มารดา อันเนื่องจากเกาะแห่งนี้มีอาหารอยู่น้อยนี้เอง


Springheel Jack



เรื่องราวของชายส้นเท้าสปริงเกิดขึ้นในสมัยที่อเล็กซานดรีนา วิกเตอเรีย( โดยชายส้นเท้าสปริงเริ่มออกมาอาละวาดในช่วง 1836-1986
โดยสัตว์ประหลาด(อาจเป็นคนปลอมตัว) นั้นมันมีความสามารถพิเศษคือ สามารถกระโดดสูงอย่างที่มนุษย์คนไหนสามารถกระโดดได้เหมือนกับว่าร้องเท้า
ของมันติดสปริงด้วย(และนี้คือที่มาของชายส้นเท้าสปริง)

นอกจากนั้นรูปร่างของมันก็ไม่เหมือนกับคน ซึ่งพยานคนหนึ่งได้เคยเผชิญหน้ากับมันและบรรยายอย่างน่าขนลุกว่า

“รูปร่างของมันสูงและผอม หน้าของมันเหมือนภูตผีปีศาจ ที่มือของมันมีอุ้มเล็บยาว ตาเหมือนลูกบอลสีแดงที่ลุกเป็นไฟ
ใส่หมวก กางเกงมีสีขาว สวมเสื้อคลุมสีดำชอบปรากฏตัวจะกางผ้าคลุมทำให้เวลาดูราวมันเป็นมนุษย์ค้างคาวยังไงอย่างงั้น”


นอกจากนั้นยังมีรายงานเวอร์ๆ ออกมาเป็นระลอกที่ส่งเสริมให้ชายส้นเท้าสปริงกลายเป็นสัตว์ประหลาดเข้าไปใหญ่ เช่น ลมหายใจออกสีน้ำเงินมีฟันแหลมคล้าย
แวมไพร์ หูและจมูกแหลม สามารถพ่นเปลวไฟสีขาวออกจากปากได้

มีทฤษฎี,ข้อสันนิษฐานจำนวนมากที่นำอธิบายฆาตกรเหนือธรรมชาติรายนี้ เช่นมันอาจเป็นลิงที่หลุดจากละครสัตว์ นักแสดงชายชราโรคจิต
นักมายากล หรือสัตว์ลึกลับ นอกจากนี้บางคดีก็มีคนมาลอกเลียนแบบชายส้นเท้าสปริงอีก แต่สุดท้ายคดีนี้ก็เป็นปริศนาตลอดกาล
และกลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา โดยชื่อของมันปรากฏอยู่ในนิทาน, นวนิยาย หนัง ชายส้นเท้าสปริงปรากฏในฐานะฮีโร่ปราบปรามผู้ร้าย

etatae333

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2011, 15:08:01 »

Shadow People

<a href="http://www.youtube.com/v/yM-heMFgzrc?version=3&amp;amp;hl=th_TH" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/yM-heMFgzrc?version=3&amp;amp;hl=th_TH</a>

น่าจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับมากกว่าสัตว์ลึกลับครับ สำหรับ “คนเงา” ที่คนทั่วโลกได้พบเห็นตัวมันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
รูปร่างลักษณะคือจะเห็นเงาที่มีรูปร่างคนและเคลื่อนไหวได้อิสระทั้งๆ ที่พื้นที่โดยรอบไม่มีคนเป็นๆ อยู่เลย บางคนก็เห็นในรูปเงามืดกึ่งโปร่งใส ไม่มีหน้าไม่มีจมูก
และพวกเขาจะหายไปทันทีที่มีคนเห็นตัวมัน นอกจากนี้ยังมีรายงานการถูกทำร้ายและล่าโดยสิ่งที่เป็นเงารูปร่างคนด้วย

ซึ่งบางครั้งขนาดของมันก็ใหญ่กว่าคนปกติ แน่นอนครับสำหรับคนไม่เชื่อก็ค้านว่ามันเป็นภาพลวงตาของแสง หรืออาการประสาทหลอนที่เห็นเงากลายเป็นรูปร่าง
คนขึ้นมา หรือจะเป็น อาการหลับตื่น(Hypnagogoia) ที่บุคคลอยู่สภาพระหว่างนอนและตื่น ทำให้สภาพแวดล้อมมีจิตนาการเหมือนฝัน
เห็นเงาเคลื่อนที่อิสระได้ ส่วนคลิปนี้ถ่ายในปี 1997 โดยอิเมอร์สัน


Beast of Bray Road



“สัตว์แห่งถนนเป่าแตร” เป็นสัตว์ลึกลับที่พบในรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1936(แต่รายงานจริงๆ จัง ในปี 1980) 
รูปร่างมันเหมือนมนุษย์หมาป่าแหละครับ คือสุนัขเดินสองขาแบบมนุษย์ สูงประมาณหกฟุต ผมกระเซิง ใบหน้าคล้ายสุนัขป่าตาสีเหลืองเรืองแสง

บางคนก็บอกว่าคล้ายกับบิ๊กฟุต และมันสามารถแปลงร่างเป็นสุนัขป่าได้ มันมีกลิ่นเหม็นสุดจะทน สาเหตุที่ผมถูกเรียกชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่ามันมักปรากฏ
บนถนน  แน่นอนคนที่ค้านก็บอกว่ามันเป็นแค่หมาป่าธรรมดา ที่คนพบเห็นเข้าใจผิดแล้วเกิดอุปทานหมู่


Mothman



ม็อทแมน เป็นสิ่งมีชีวิตปริศนา ที่พบกันที่ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียมีลักษณะคล้ายๆค้างคาวปนตัวมอธ
ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวเหมือนค้างคาว บวก ผีเสื้อกลางคืน พบเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 พ.ย. ค.ศ. 1966 และก็พบเห็นกันเรื่อยมา

อาจกล่าวได้ว่าทศวรรษที่ 70-80 นั้น ม็อทแมน ถือเป็นตัวประหลาดแห่งปี เพราะมีข่าวของการพบมันกันหนาหูมากๆ แรกทีเดียวนั้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่
คิดว่าเป็นแค่การเล่นพิเรนทร์ของวัยรุ่นหรือพวกจิตป่วนที่คิดจะแต่งตัวเลียนแบบ แบล็คแมน ซึ่งเป็นทีวีซีรี่ย์ที่ดังมากๆในสมัยนั้น เอาไปเอามาชักไม่ใช่แล้วสิครับ
เพราะ ม็อทแมน ไปเกี่ยวพันกับปรากฏการณ์แปลกๆ น่ากลัวหลายๆครั้ง เช่น การถล่มของสะพาน Silver Bridge ตึกถล่ม

หรือแม้แต่การปรากฏของ UFO ในหลายๆครั้ง แบบว่าไปที่ไหนซวยถึงนั้น โดยลักษณะคร่าวๆ เกี่ยวกับเจ้าม็อทแมนนี้ก็จากคำบอกเล่า
สรุปได้มันสูงประมาณเจ็ดฟิท ไม่มีหัว ตาอยู่แถวๆ อก ปีกกว้างประมาณ 10 ฟิท สีปีกสีเทา ผิวมีเกล็ดมาก ตาสีแดง เปร่งแสงได้ และมีอำนาจสะกดจิต
บินได้ สามารถบินไกล ความเร็วประมาณ 100 ไมล์ชั่วโมง มีเสียงกรี๊ดร้องเหมือนสุนัข บางครั้งเสียงร้องแหลมเหมือนเกี่ยวกับสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ
หรือเครื่องยนต์ไฟฟ้า สามารถก่อกวนเคลื่อนวิทยุ โทรทัศน์ได้ มีพลังจิตรู้อนาคต


ไม่มีใครรู้ว่า ม็อทแมนแท้ที่จริงคือตัวอะไรกันแน่ แต่ข่าวที่เชื่อได้ก็คือ ในช่วงที่ ม็อทแมนปรากฏตัว จะมีชายแปลกหน้าใส่ชุดสีดำ
หรือ น้ำตาลป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้เคียงเสมอๆ (ยังกะ MIB เลยแฮะ)

etatae333

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2011, 15:41:19 »

Rods



ร็อดซ์เป็นที่รู้จักเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1994 ที่มิดเวย์ในรัฐนิวเม็กซิโก โดยช่างตัดต่อฟิลม์ชื่อโฮเซ่ เอสคามิลล่า (Jose Escamilla)
ได้พบบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในฟิลม์เมื่อทำการฉายด้วยสโลโมชั่นของนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่ได้ไปถ่ายรูปเมื่อตอนไปกระโดดร่มเล่นที่หน้าผาที่ทะเลทราย
ในรัฐนิวเม็กซิโก  บางอย่างที่ว่ามีลักษณะเป็นแท่งยาว ด้านข้างมีแผ่นครีบบางๆซึ่งโบกพัดไปมาด้วยความเร็วสูง โจเซ่จึงคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต

เขาได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมันจนสามารถถ่ายภาพที่เกี่ยวข้องเก็บไว้ได้ถึง 500 ชั่วโมงและเรียกสิ่งมีชีวิตปริศนานี้ว่า  Rods หรือFlying Rods ที่แปลว่าแท่งไม้บินนั่นเอง
(แต่โดยทั่วไปแล้ว สิ่งมีชีวิตนี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ แต่ละที่จึงเรียกชื่อไปต่างๆกัน) จากนั้นเป็นต้นมาก็มีข่าวเรื่องพบเห็นรอดซ์ตามมาอีกอีกมายมาย
ทั่วทุกมุมโลก อย่างไม่เคยมีมาก่อน....มีทั้งอเมริกา แคนาดา อังกฤษ หรือกระทั่งล่าสุดก็มีการพบร็อดซ์ที่แบกแดดด้วย

โดยรอดซ์ส่วนมากนั้นมีมีรูปร่าง เป็นแท่งยาว มีปีกหรือครีบอยู่รอบลำตัว ขนาดเล็ก เฉลี่ยประมาณ 4 นิ้ว สีผิวค่อนข้างที่จะขาวหรือขาวใส
โดยรูปร่างของร็อดซ์ก็มีการแบ่งแยกย่อยออกไปอีกครับ มีความสามารถบินได้ด้วยความเร็วสูงถึง 270-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สามารถเคลื่อนไหวได้ทั้งบนฟ้าและในน้ำ


นอกจากนี้ยังมีปริศนาเกี่ยวกับตัวมันมากมาย เช่น ทำไมเราไม่เคยมีการค้นพบซากของร็อดซ์เมื่อเวลามันตายแล้ว ?, 
เวลาที่ร็อดซ์บินนั้นมันไม่ชนถูกอะไรเลยหรือ ?, มันควบคุมทิศทางยังไง ? , มันจะสืบพันธุ์กันยังไงหว่า ในเมื่อบินซะเร็วขนาดนั้น

นอกจากนี้ยังมีการตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับร็อดส์มากมาย ว่ามันเป็นแมลงชนิดใหม่ เป็นยูเอฟโอ, สัตว์ตระกูลนก, ภาพลวงตา
แต่ถึงอย่างไร การที่ยังไม่มีผู้สามารถจับร็อดซ์ที่มีตัวตนอยู่จริงได้ จึงเป็นที่โต้เถียงกันจนทุกวันนี้ว่าร็อดซ์มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่



Goatman



โกทแมนเป็นสัตว์ลึกลับที่ออกจากเว่อร์ๆ พบเห็นในเมือง ปรินซ์จอร์จรัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1970 มีรายงานว่าผมเห็นสัตว์มีชีวิตประหลาด
เหมือนลูกผสมระหว่างมนุษย์กับแพะลึกลับ  บรรยาย ท่อนล่างของร่างกายขาและเท้ามีกีบเหมือนแพะ ท่อนบนของร่างกายเป็นมนุษย์ ศีรษะมีเขาแพะ
ผิวหนังบนร่างกายปกคลุมไปด้วยขน สูงประมาณสองเมตร หนักกว่า 130 กิโลกรัม ฟังดูคล้ายกับสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายตัวหนึ่งมีเสียงร้องแหลม

มีผู้พบเห็นศพของสัตว์ที่ตายอย่างโหดเหี้ยมบ่อยครั้งในเขตพื้นที่ที่พบเห็นโกทแมน ครึ่งหนึ่งของศพสัตว์ที่ตายถูกนำไป คาดว่าโกทแมนน่าจะฆ่าสัตว์เหล่านี้
เพื่อนำไปเป็นอาหาร  มีเหตุการณ์หนึ่งในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริการายงานว่า มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งถูกเจ้าโกทแมนวิ่งไล่และเขวี้ยงซากยางรถยนต์เข้าใส่
และมีเหตุการณ์การใช้อาวุธที่เกิดขึ้นในรัฐแมรีแลนด์ที่เจ้าโกทแมนไปอาละวาดเอาขวานจามรถยนต์หลายคันในเวลาไร่เรี่ยกันและมักทำร้ายสัตว์เลี้ยงของ
ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น 

หลายคนเชื่อว่าโกทแมนน่าจะเป็นญาติห่างๆกับบิ๊กฟุต หรือมีความได้โกทแมนเกิดขึ้นจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในการตัดต่อพันธุกรรมของคนและแพะ
เข้าด้วยกันโดยศูนย์ค้นคว้าและวิจัย beltsville แห่งเมืองปรินซ์จอร์จ อันเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานโกทแมน แต่อย่างไรก็ตาม
ตามแบบฉบับสิ่งมีชีวิตลึกลับมักจะไม่ค่อยให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือซึ่งแสดงถึงการมีตัวตนอยู่จริงของมัน


Pongo



เป็นตำนานสัตว์ลึกลับของแอฟริกา ที่เล่ากันว่าในดินแดนแห่งนี้มีสัตว์ครึ่งคนครึ่งลิงแอบอาศัยหลบซ่อนอยู่ มีนมีพลังวิเศษและชอบรสชาติของเนื้อมนุษย์
และสัตว์ตัวนี้สามารถกลายเป็นหญิงสวยเพื่อล่อผู้ชายและสามารถมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ได้และกำเนิดเป็นเหมือนพวกมัน ในปี 1847 มีการพบสัตว์ลึกลับตัวนี้
แต่กระนั้นดูยังไงก็เหมือนลิงอุรังอุตังเสียมากกว่า

cradit : atcloud

etatae333

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2011, 16:37:59 »

โพโพบาวะ(Popobawa)



ทรานซิลวาเนียแดนผีดูดเลือด ประเทศที่มีธรรมชาติที่สวยงาม พระอาทิตย์ตกดินก็โรแมนติก แต่พอตกกลางคืนกลับกลายเป็นคืนที่หวาดผวาเมื่อมีสิ่งมีชีวิตลึกลับ
เคยก่อกวนพวกเขายิ่งกว่าผีดูดเลือด มันคือ.... Popobawa หรือยักษ์บินกินคน....

ในศวรรษที่ 70 ที่โซมิซ (ในปี 1995 ก็ยังเกิดอยู่ โดยเฉพาะที่ทรามซิสวาเนีย ไอร์แลนด์ )เกิดเหตุการณ์สัตว์ลึกลับประหลาดชนิดหนึ่งอาละวาด
รูปร่างเหมือนไซครอปสัตว์เทพนิยายกรีกแต่มีขนาดเล็กกว่ามากๆ พอๆ กันค้างคาว มีตาเล็กขนาดใหญ่ หูแหลม ส่งเสียงทางจมูกฟิ๊ตๆและมีกลิ่นเหม็นมากๆ
มันชอบทำร้ายคนมากกว่าสัตว์เลี้ยง ชอบก่อกวนหนังคาของชาวบ้านตอนกลางคืน และชอบลับๆ ล่อๆ เข้าไปในบ้านของชาวบ้านเสียด้วยสิ

แต่กระนั้นหลายคนก็บอกว่ามันน่าจะเป็นคนปลอมตัวมากกว่า(คงใช้สลิงลอยตัว) เพราะมีรายงานว่ามันตบตีผู้หญิง(แสดงว่าชอบซาดิสต์)แถมยังปล้นสะดม
ด้วย.........เออ ลืมบอกไป สิ่งที่มันขโมยส่วนใหญ่คือเสื้อผ้า โดยเฉพาะกางเกง.........(เอาไปทำไมเนี้ย)



มานานังเกล (Manananggal)



จากฟิลิปปินส์ มันเป็นสัตว์ลึกลับ(หรือเผ่าลึกลับหว่า??)ของชาวเกาะในฟิลิปปินส์ โดยรูปร่างของ มานานังเกล มีรูปร่าง และหน้าเป็นผู้หญิงโบราณสวย
แต่มีปีกขนาดใหญ่ที่หลังมีความสามารถถอดลำตัวของมันแยกออกได้โดยไม่ตาย(ผีแล้วนั้น) และบินออกไปหาเหยื่อ
เรื่องของเจ้า มานานังเกล นั้นน่ากลัวมาก โดยที่เกาะ วิซายัน จะเห็นผู้คนแขวนกระเทียมจำนวนมาก เพื่อป้องกันเจ้า มานานังเกล (มันเป็นเดร็กคูล่าเหรอเนี้ย)

นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าถ้าเอาเกลือมาพรมที่พักของ มานานังเกล และพรมที่ท่อนบนที่เจ้า มานานังเกล แยกตัวออก(ตรงรอยต่อนั้นแหละ)
มันจะตายเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น (ทำไมไม่ใช้ปืนยิงหว่า ง่ายดี ไม่ยุ่งยากด้วย) ทำไมถึงกลัว ความจริงเจ้าเหรอ มานานังเกล ก็ไม่มีอันตรายอย่างตรงไปตรงมาหรอก
เว้นสิ่งเหลวที่พ่นใส่ปากหญิงตั้งครรภ์จะทำลายเด็กในครรภ์ได้ นอกจากนี้มันยังชอบกินหัวใจเด็ก(เหมือนปอบ) นอกจากนี้ยังชอบกินลูกไก่ของชาวบ้านอีกด้วย


โวลเปอทิงเกอ (Wolpertinger)



ที่เยอรมัน กระต่ายเขากวาง หลายคนอาจรู้จัก ซึ่งมันอาศัยอยู่ในอเมริกาตะวันตก แต่ที่เยอรมันนั้นต่างกัน รูปร่างของมันก็เหมือนกระต่ายแหละ
เพียงแต่มันมีปีกเหมือนเป็ด มีเขี้ยว และเขาเหมือนกวาง ที่อยู่อาศัยของมันอยู่ที่ป่าสีดำของเบนาเซียว่ากันว่าสัตว์ลึกลับตัวนี้เกิดจาก
ไวรัส Shope Papilloma เป็นสาเหตุมันกลายพันธุ์

โดยเป็นเนื้องอกมะเร็งคล้ายเขากวางบนหัวของกระต่าย (แต่มะเร็งไม่ได้ทำให้มันบินได้หรอกน่ะ) ซึ่งมันก็ไม่น่ากลัวอะไรหรอก(ใครจะบ้ากลัวกระต่าย)
เพียงแต่มีข่าวลือกันว่ามันอาจเป็นพาหนะแพร่เชื้อโรค หรือเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นกะหล่ำของชาวบ้านตาย อีกทั้งมันอาจกัดคุณได้ถ้าคุณไปเล่นหัวมัน(ดูเขี้ยวสิ)
นอกจากนี้มียังมีนิสัยชอบหนุ่มหล่อ-สาวสวยอีก(โหย)

etatae333

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2011, 16:48:25 »

ทิคบาลัง (Tikbalang)



กลับมาที่ ฟิลิปปินส์อีกครั้ง แม้เห็นรูปร่างแบบนี้ก็เถอะแต่มันก็น่ากลัวไม่ใช่ย่อยเลย เพราะมันฆ่าคนด้วย.............. ทิคบาลังเป็นสัตว์ลึกลับ ครึ่งคนครึ่งม้า
ตาสีแดง รูปร่างเหมือนคน หัวเป็นม้า แต่มีสี่ขาเหมือนเซนเทอร์(สัตว์ในตำนานของกรีก) ขาของมันค่อนข้างยาวสามารถกระโดดได้ไกลมาก
ที่อยู่อาศัยของมันอยู่ที่ป่าลึกของฟิลิปปินส์ โดยตามความเชื่อของชาวบ้าน ทิคบาลังชอบกินคน โดยการล่อลวงเหยื่อเข้าไปในป่า แล้วทุบตีอย่างไร้ความปรานี


กษัตริย์หนู (Rat King)



จากยุโรป มันไม่ใช้สัตว์ลึกลับ แต่เป็นปรากฏการณ์ลึกลับที่แปลกประหลาดที่ไขปริศนามากกว่า
ว่าเป็นเพราะอะไรมันถึงต้องทำอย่างนั้น ปรากฏการณ์ราชาหนูหรือพญามุสิกนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ หนูเป็นๆ กลุ่มหนึ่ง อายุรุ่นคราวเดียว
มัดหางติดกันทั้งกระจุกและถ้าเราให้แพทย์ไปทำการเอ็กซ์เรย์จะพบว่ากระดูกท่องหางของมันมัดอย่างหนาแน่น กระดูกบางชิ้นมีรอยหัก
แสดงว่าหนูพวกนี้มีหางติดกันมานาน และพยายามดึงตัวให้ออกพันธนาการแต่ไม่สำเร็จ

ปรากฏการณ์พญามุสิกนี้ ในช่วง ค.ศ. 1562 ถึง 1963 ได้เกิดขึ้น 57 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเยอรมัน ซึ่งทุกรายเป็นหนูสีดำ จำนวนหนูในแต่ละกระจุกนั้น
มีระหว่าง 5 ถึง 12 ตัว และเป็นหนูวัยเดียวกัน อายุยังไม่โตเต็มที่ มักพบที่ที่มีรูเพดาน ฝาบ้าน ในครัว ในยุ้ง พร้อมกับเสียงร้องจี๊ดจ๊าดกันระงมในรังที่อยู่อาศัย
ของมัน และเมื่อใดที่ผู้คนพบเห็นปรากฏการณ์นี้จะเป็นการทำนายคร่าวๆ ว่า "จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นในไม่ช้านี้" เช่นเหตุการณ์โรคระบาดอหิวาของยุโรป, สงครามโลก


ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon)



เขาเรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่ เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รอง จากบอสตัน
ใน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977  พบครั้งแรกเมื่อเดือน 22 เมษายน ค.ศ. 1977
บิลส์ บาร์ทเล็ทท์, ไมค์ แมซซอคคา และแอนดี้ บรอดี วัยรุ่นอายุราว 17 ปี กำลังขับรถไปทางเหนือของฟาร์มสตรีท ในขณะที่ขับรถอยู่ บาร์ทเล็ทท์ซึ่งเป็นคนขับรถ
ก็ได้เห็นสิ่งประหลาดสิ่งหนึ่งกำลังปีนไปตาม กำแพงเตี้ยๆ ทางด้านซ้ายของถนน

ครั้งแรกที่เห็นบาร์ทเล็ทท์คิดว่าอาจ เป็นสุนัขหรือไม่ก็แมว จนกระทั้งไฟหน้ารถได้ฉายตกกระทบกับร่างลึกลับอย่างจัง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้น
เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นก่อนในชีวิต

“ร่างนั้นมันค่อยๆ หมุนศีรษะของมันอย่างช้าๆ และจ้องมองมายังแสงไฟของรถ ตากลมของมันสองประกายราวกับแก้วใส เหมือนหินอ่อนสีส้ม 2 ลูก
หัวของมันตั้งอยู่บนคอเล็กๆ มีลักษณะคล้ายแตงโม มองดูแล้วผิดส่วน กล่าวคือแขนและขายาวและผอมเรียว แต่มือและเท้าใหญ่ ผิวไม่มีขนและมีสีลูกพีช
และหยาบเหมือนกระดาษทราย  ร่างนั้นมันสูงไม่เกิน 4 ฟุต มีลักษณะคล้ายเด็กทารกที่มีแขนและขายาว มันน่าประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวมาก
มันเดินไม่รู้จุดมุ่งหมาย มันเดินไปตามกำแพงโดยใช้นิ้วมืออันยาวของมันไต่ตามก้อนหิน…………….”


บาร์ทเล็ทท์เห็นร่างนั้นไม่กี่วินาที เท่านั้นเองเพราะขณะเขาขับรถด้วยความเร็วสูงและอยู่ในทางโค้ง และเมื่อกลับที่เกิดเหตุร่างลึกลับดังกล่าวก็หายไปแล้ว
และเมื่อทั้งสามกลับมาที่พักบาร์ทเล็ทท์ก็เล่า เหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับวาดภาพปริศนาคลาสลิกให้เพื่อนดู แต่กระนั้น....จนปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า
เจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ?

ก็ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกัน ในท้องถิ่นต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ
และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก

etatae333

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2011, 17:09:54 »

The Loveland Lizard



มนุษย์ กบแห่งเลิฟแลนด์(หรือ อาจเรียกว่ามนุษย์สัตว์เลื้อยคลานแห่งเลิฟแลนด์ก็ได้หรืออาจเรียกหลายชื่อ เช่น กิ่งก่า จิ้งจก) รูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหน้า
ขนาดใหญ่คล้ายกบ มีรายงานการพบเห็นในเลิฟแลนด์, และ เมืองโอไฮโอ(Ohio) ประเทศสหรัฐอเมริกา มีข่าวลือและรายงานกำลังเกี่ยวกับตัวมันมากมาย
แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันการพิสูจน์ความเป็นจริงได้มันคือตัวอะไรกันแน่ โดยรูปร่างเด่นๆ เท่าที่ประมวลจากคำบอกเล่าคร่าวๆ ก็มีดังต่อไปนี้

“มัน สูงประมาณ 3 หรือ 4 ฟุต, หนัก 50 ถึง 75 ปอนด์, หลังของมันมีผิวขรุขะ, ผิวหนังเปียกลื่น, เป็นไปได้ว่าหางมันจะสั้น, หัวและ หน้าเหมือนกบ หรือสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ่งก่าหรือจิ้งจก”

รายงานปรากฏตัวครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม1972 เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังการแล่น เรือตระเวณบนริมฝังแม่น้ำไมแอมอิแม่น้ำในเลิฟแลนด์, เมือง โอไฮโอ
ทันใดนั้นพวกเขาก็พบสิ่งผิดปกติบนถนน ตอนแรกสิ่งที่พวกเขาพบเห็นมันน่าจะเป็นสุนัขมากกว่าแต่เมื่อดูใกล้ๆ กลับไม่ใช้อย่างที่พวกเขาคิด
พวกเขาลดความเร็วของเรือ และเข้ามาดูสัตว์ตัวนั้นอย่างใกล้ๆ และช้าๆ แต่แล้วเจ้าสัตว์ตัวนั้นก็ลุกขึ้นมันวิ่งมุ่งไปทางทิศทางที่พวกเขาอยู่
แม้ตอนนั้นบนถนนเต็มไปด้วยน้ำแข็งแต่ความเร็วของมันไม่ลดลงเลยและไม่ลื่นหก ล้มด้วย แสดงให้เห็นว่ามันมีความสมดุลสูงสามารถยืนอยู่บนก้อนน้ำแข็งได้สบาย

จากนั้นเจ้าสัตว์ตัวนั้นก็เข้ามาใกล้เรือตำรวจสองนายนั้น พวกตำรวจหยุดเรือและแสงไฟสว่างหน้าเรือก็ส่องไปที่สัตว์ตัวนั้นและพวกเขา ต้องตะลึงกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
มันเป็นสัตว์ที่พวกขาไม่เคยพบมาก่อนรูปร่างเหมือนครึ่งคนครึ่งสัตว์หัวเป็น สัตว์ประหลาดที่ออกไปทางจิ้งจกหรือสัตว์เลื่อยคลาน แต่ไม่ทันทีเห็นอะไรมากกว่านี้
พวกเขาก็ชักปืนเพื่อยิงมัน มันเลยตกใจและก็หนีไปเข้าพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว และก็หายไปในความมืด

ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายยืนยันชัดเจนว่าสามารถสิ่งที่เห็นมันไม่มี สุนัข มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายมันคือตัวอะไรกันแน่


ต้นไม้กินคน (Man-eating tree)


(รูปต้นไม้กินคน Ya-te-veo ("I see you") ในความเชื่อของอเมริกากลาง
จาก Land and Sea โดย J.W. Buel 1887)


เรื่องของต้นไม้กินคนที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนั้นมีที่มาจากข่าว เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19  ปี 1881
คาร์ล ลิช (Carl Liche) นักเดินทางชาวเยอมันได้เขียนจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ South Australian Register
เขาเล่าเรื่องเหลือเชื่อ ที่เขาท่องเที่ยวบนเกาะมาดากัสคาร์และได้พบการสังเวยมนุษย์ของเผ่าฮึมโกโด(Mkodo) ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในถ้ำ
คนพวกนี้เป็นชนเผ่าล้าหลังที่ยังเปลือยกายอยู่ พวกเขาชวนคาร์กร่วมพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในป่าทึบแล้วไปหยุดตรงที่โล่งตรงคุ้มลำธาร
ที่นั้นมีต้นไม้ประหลาดขึ้นต้นหนึ่ง ซึ่งพวกฮึมโดโดเรียกมันว่า เตเป (Tepe)
 
คาร์ล ลิช ได้พรรณนารูปร่างลักษณะที่พิลึกพิลั่นของมันว่า

  “ลองนึกภาพสับประรดสูงแปดฟุตและ ใหญ่ตามสัดส่วน แต่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ดูแล้วแข็งเหมือนเหล็ก ใบแปดใบย้อยลงมาจากลำต้น
แต่ละใบยาวราวสิบเอ็ดฟุต และเรียวจนแหลม ใบสีเขียวคล้ำเหี่ยวห้อยและเหนียวมากเหมือนเสี้ยนโอ๊ก มีของเหลวใสรสหวานดื่มแล้วทำให้เมามายซึมออกมาที่แอ่ง
กลางยอดมีมือพัน ยาวแปดฟุตสีเขียว มีขนยาวออกมาทุกทิศทุกทาง มีรยางค์สีขาวเกือบใสหกใบชูสูงขึ้นไปในอากาศ หมุนและบิดไปมาไม่หยุดนิ่ง
แต่ก็ยังชูตั้งอยู่อย่างนั้น มันสูงห้าหกฟุต บางขนาดใบกก และอ่อนเหมือนขนนก.............”

   “การเฝ้าของข้าพเจ้าถูกขัดจังหวะ ลงด้วยพวกพื้นเมืองที่เดินส่งเสียงไปรอบๆ ต้นไม้ด้วยน้ำเสียโหยหวน เขาท่องมนต์ที่ล่ามของข้าพเจ้าบอกว่าเพื่อขอลุแก่โทษ
ปีศาจที่ยิ่งใหญ่ประจำ ต้นไม้ ขณะที่ยังคงกรีดร้องและท่องมนต์กระชั้นขึ้นนี้ พวกเขาก็ล้อมหญิงสาวคนหนึ่งใช้หลาวแหลมๆ จี้เธอ เธอไต่ขึ้นไปตามลำต้นอย่างช้าๆ
สีหน้าหมดหวังและขึ้นไปยืนอยู่บนปลายยอด ซิก! ซิก! (ดื่ม! ดื่ม!) เสียงคนร้องตะโกนบอก เธอก้มลงดื่มน้ำเหนียวข้นในเบ้าแล้วยืนขึ้นใหม่ด้วยใบหน้าบ้าคลั่งและ
แขน สั่นระริก เธอทำเหมือนกระโดดลงมา แต่มิได้กระโดด
    ต้นไม้กินคนที่เห็นนิ่งเฉยและดูเหมือนตายกลับมีชีวิตขึ้นมาอีก ครั้ง รยางค์ที่เรียวและบอบบางของมันสั่งระริกดั่งความโกรธเกรี้ยวของอสรพิษที่ กำลังหิวกระหาย
อยู่เหนือตัวของเธอ แล้วเหมือนด้วยสัญชาตญาณของปีศาจ มันมัดเธอด้วยการรัดรอบคอและแขนรอบแล้วรอบเล่า ขณะเดียวกันเสียงเกลียดร้องด้วยความหวาดกลัว
ของเธอก็ค่อยแผ่วลง กลายเป็นเสียงครางอึกๆ อักๆ มือพันที่ดูเหมือนงูสีเขียวตัวใหญ่พากันชูขึ้นและหดตัวรัดรอบเธอวงแล้ววง เล่า รัดแน่นๆ เข้าอย่างรวดเร็วและ
เหนียวแน่นเหมือนงูอนาคอนดารัดเหยื่อไม่มีผิด
    แล้ว ตอนนี้ใบใหญ่ๆ ของมันก็ค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ และแข็งขึ้น เหมือนแขนของปั่นจั่นยกตัวเองขึ้นบนอากาศ ขึ้นไปหาใบอื่นและปิดหุ้มรัดเหยื่อที่ตายแล้วด้วยพลัง
อันเงียบเชียบ เห็นโคนของใบไม้เหล่านี้เบียดเข้าหากันแน่นๆ เข้า มีของเหลวคล้ายน้ำผึ้งผสมเลือดไหลออกมาตามลำต้น พอเห็นดังนี้พวกคนป่ารอบๆ
ตัวข้าพเจ้าก็ไชโยโห่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง วิ่งเข้าห้อมล้อมต้นไม้ ใช้ใบไม้ ใช้มือรองของเหลวมาดื่ม บ้างก็ใช้ลิ้นเลียจนมึนเมา จากนั้นก็มีพิธีกรรมที่อุจาด
ตามมาอีกจนไม่สามารถบรรยายได้ตามมา
    ใบไม้ของ ต้นไม้ใหญ่คงอยู่ตำแหน่งตั้งขึ้นข้างบนแบบนั้นอยู่สิบวัน เมื่อข้าพเจ้ากลับมาในเช้าวันหนึ่งมันก็กลับตกลงเหมือนเดิม มือที่พันก็เหยียดยาวอย่างเดิม
และนอกจากกะโหลกขาวที่ตกอยู่ที่โคนต้นแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นเปลี่ยนแปลง”



   จดหมายฉบับนี้ ถูกส่งในนิตยสารภาษาเยอรมันชื่อ Graefe und Walther เมื่อปี 1878 หลังจากนั้นก็มีผู้แปลลงในหนังสือพิมพ์เมล์ที่ออกที่
เมืองมัทราส อินเดีย และลงในหนังสือพิมพ์เวิลด์ ของกรุงนิวยอร์ก และในนิตยสารรียิสเตอร์ของออสเตรเลียเมื่อ ปี 1880 ทำ ให้เรื่องของต้นไม้กินคน
กลายเป็นสนใจของสาธารณชน แต่พวกนักพฤษศาสตร์และนักสำรวจหลายคนไม่ยอมรับเรื่องนี้เพราะอ่านแล้วมัน เหมือนนิยายเกินไป
อีกทั้งคนชื่อลิชก็เป็นใครก็ไม่รู้ ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนจึงค่อยๆ เงียบหายไป

แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ยอมเชื่อภาพ ถ่ายเหล่านั้น หาว่าเฮิร์สต์ทำปลอมขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ความจริง เฮิร์สต์ได้เดินทางไปที่เกาะมาดากัสคาร์อีกครั้ง
แต่ทว่า คราวนี้ เขาไปลับไม่กลับมาอีกเลย ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนยังคงความลึกลับและน่าค้นหาจนถึงปัจจุบัน

Zeroza

  • แตกหนุ่ม
  • ***
  • กระทู้: 527
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-2
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2011, 23:54:17 »

สุด ยอดดด ครับบบบ  ;kljj

gundam1974

  • เด็กหัดเสียว
  • **
  • กระทู้: 268
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2011, 08:04:30 »

ข้อมูลดีมากเลยครับ

Seedman

  • เด็กหัดเสียว
  • **
  • กระทู้: 295
  • Country: 00
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-1
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2011, 00:11:30 »

สนใจเรื่องเนสซี่

Zi_Za

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 86
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2011, 17:39:08 »

จะมีเรื่องลึกลับของบ้านเราบ้างป่าวงับ ท่าน  jljhl

chiew1829

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 133
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2011, 11:37:17 »

สุดยอดมากๆครับ

alesandro

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 116
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2011, 14:09:53 »

 ghjkน่ากลัว

Yaiii

  • ว๊องแมน
  • *
  • กระทู้: 6
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2011, 15:46:30 »

ขอบคุณคับ อ่านเพลินดี pongz

Redfield

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 111
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2011, 19:05:09 »

นั่งอ่านนานเลย เนื้อหาน่าสนใจสุดยอด

pankadang

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 192
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตำนานสิ่งมีชีวิตลี้ลับทั่วโลก Part 2
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2011, 21:45:18 »

แง่ะ น่ากลัว