-->

ผู้เขียน หัวข้อ: >>> พระเจ้าเหา คำนี้มีที่มา อยากรู้มั้ย..... <<<  (อ่าน 775 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Nick2005

  • บุคคลทั่วไป



ตึกพระเจ้าเหา ตึกหลังนี้แสดงให้เห็นลักษณะสถาปัตยกรรม ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ชัดเจนมาก ประตูหน้าต่างทำซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ผนังด้านสกัดสูงยันอกไก่ ตรงจั่วเจาะเป็นช่องโค้งมี กำแพงแก้วเจาะเป็นช่องสำหรับวางตะเกียงล้อมรอบตึก ด้วยเหตุว่าภายในตึกมีฐานชุกชีปรากฏให้เห็นอยู่และ บันทึกชาวฝรั่งเศสระบุว่าเป็นวัด เพราะฉะนั้นตึกหลังนี้สันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจำพระราชวัง เป็นที่ ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชื่อว่า "พระเจ้าเหา" หรือ "พระเจ้าหาว" (หาว = ท้องฟ้า - ภาษาไทยโบราณ) ตึกหลังนี้ สันนิษฐานว่าสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงใช้เป็นที่ประชุมขุนนาง และในตอนปลายรัชกาลขุนหลวง- สรศักดิ์ใช้ตึกนี้เป็นที่ชุมนุมขุนนางและทหาร เพื่อแย่งชิงราชสมบัติในขณะที่พระองค์ทรงพระประชวรหนัก

"ตึกพระเจ้าเหาที่เมืองลพบุรีที่ได้ชื่อว่า เหา นั้น นึกไม่ออกอยู่นาน วันหนึ่งไปลพบุรีกับศาสตราจารย์เซเดส์ ถามถึงคำว่า 'เหา' แกบอกว่าเป็นภาษาเขมร แปลว่า ที่พระเจ้าแผ่นดินตรัสเรียกเคาน์ซิลออฟเชมเบอร์ (Council of Chamber) มาประชุม ในตอนที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ สวรรคต ก็มีการประชุมที่นั่น"



พระเจ้าเหา ไม่ใช่มีแต่ชื่อคนไทยนะ

พระเจ้าเหาเป็นจักพรรดิของเมืองๆหนึ่งของจีนไม่งั้นก็มองโกล (ไม่แน่ใจ) มีตั้งแต่สมัยก่อนเกิด 3 ก๊ก ท่านเป็นคนที่ผู้อื่นเกลียดชังมาก เพราะ รบทีไร ต้องแพ้ทุกที แล้วทุกครั้งพระเจ้าเหา ก็ไม่ออกรบ มัวแต่สนโสเภณี(กระหรี่) พวกทหารบางส่วนจึงคิด กบฎขึ้น เพื่อที่จะลอบฆ่าพระเจ้าเหา โดยหนึ่งในกบฏนั้นมีน้องชายของเขาชื้อ เหลือง(ภาษาจีนนะครับ) เหลืองเคยเป็นแม่ทัพ แต่ตอนนี้กลับเป็นทหารธรรมดา เพราะถูกเนรเทศ (ที่จริงแล้วพระเจ้าเหากลัวน้องชายของเขาจะมาครองราชย์แทนที่ จึงคิดแผนไล่น้องชายตนเองออกจากวัง) และแล้วพวกทหารก็รวมกบฏได้เยอะเกินครึ่ง โดยที่นำทัพของเมืองอื่น2เมือง(จำชื่อไม่ได้) มาร่วมด้วย แล้วก็ก่อ กบฏขึ้น จนพระเจ้าเหาโดนจับ และถูกตัดคอ เหลืองจึงคิดครองราชย์แทนที่พระเจ้าเหา แต่ก็ถูก จักพรรค ของเมืองที่1และ2 ขวางไว้ จึงเกิดการแย่งชิง และก็สู้กันเองจนทัพของ เหลืองแพ้ และแล้ว เมือง1และเมือง2ก็แย่งชิงการเป็นจักพรรค จึงสู้กันอีก และทั้ง2 ก็พ่ายแพ้ทุ้งคู่



จากหนังสือ"รวมบทความสารคดีเชิงศาสนา" โดย ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิตนั้น ท่านได้นำคำนำ ที่ท่านลิขิต ฮุนตระกูล เขียนไว้ในหนังสือ "ประวัติการสัมพันธ์ระหว่างชาติไทยกับชาติจีน" ดังกล่าวตอนหนึ่งมาเสนอว่า

"ในที่สุด ข้าพเจ้าก็พบหลักฐานในหนังสือจีนกล่าวว่า ชนชาติไทยกับจีนก็ได้ก่อสร้างตนมาตั้งแต่เริ่มต้นพงศาวดารจีน ฉะนั้น หนังสือประวัติศาสตร์การสัมพันธ์ระหว่างชาติไทยและจีนเล่มนี้ จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องนำเหตุการณ์ และศักราชแห่งพงศาวดารจีนมาเป็นแนวทางเรียบเรียง เพื่อให้ผู้อ่านจะได้มีโอกาสตรวจสอบได้สะดวกในพงศาวดารจีน มีข้อความปรากฏดังต่อไปนี้ คือ :-

( ก ) พระเจ้าเสียวเหา ( หรือพระเจ้าเหาน้อย ไทยเรียก พระเจ้าเหา ) กษัตริย์องค์ที่ ๒ ในพงศาวดารจีนครองราชย์ระหว่าง ๒,๐๕๔ ถึง ๑,๘๗๑ ก่อนพุทธศักราช พระองค์เป็นต้นตระกูลของชนชาวไทย ไทย ซึ่งลูกหลานในภายหลังได้กลายเป็นชาวดอยไปในมณฑล ฮูนาน กวางตุ้ง กวางสี กุยจิว เสฉวน และหยุนนาน ซึ่งชนจีนได้พบชาวดอยนี้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น"

ศาสตราจารย์จำนงค์ยังได้เสริมอีกว่า "คำว่า เหา นี้ คงจะตรงกับ พระเจ้าเหยา ซึ่งเขียนเป็นอักษรโรมันว่า Yao แต่คำว่า Yao นี้ เมื่อผมแปลหนังสือชุด บ่อเกิดลัทธิประเพณีจีน ให้ราชบัณฑิตยสถาน ผมถอดออกมาเป็น เหยา เวลาส่งไปให้ คุณหมอตันม่อเซี้ยง ตรวจเกี่ยวกับชื่อภาษาจีน ท่านได้แก้เป็น เอี่ยว เพราะตัว Y อาจเป็นตัว ย หรือตรงกับ I ก้อได้ ถ้า Y ตรงกับ I ดังนั้น Iao ก็ต้องถอดเป็น เอี่ยว ครับ"



พระเจ้าเสียวเหา หรือ พระเจ้าเหา(น้อย) เป็นพระนามของกษัตริย์จีนราชวงศ์ที่ ๑ (แต่ยังมิได้รวบรวมประเทศเป็นจีน) เมื่อ ๔,๖๐๐ ปีเศษมาแล้ว (ก่อนพุทธศักราชสองพันกว่าปี) เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าหว่างตี้ ราชวงค์ที่1 ปฐมกษัตริย์ของจีน พระเจ้าเหาเป็นกษัตริย์องค์ที่สอง ครองราชย์ 2145-2055 ปี ก่อนพุทธศักราช อยู่ในราชสมบัติ 100 ปี มีพระอัครชายา 5 องค์ พระนางชีเลงสี พระมารดาพระเจ้าเหา(น้อย) เป็นพระอัคนชายาที่1 มีพระโอรส 3 องค์ คือ

ชังฮี
พระเจ้าเหา(น้อย)
หล่งเมี้ยว
พระเจ้าเหา(น้อย)เป็นพระโอรส อันดับที่ 2 พระองค์ขึ้นครองราชย์เมื่อปีมะโรง 2045 ปี ก่อนพุทธศักราช และสวรรคตเมื่อ ปีเถาะ 1971 ปี ก่อนพุทธศักราช พระองค์เป็นต้นตระกูลไทย ในบันทึกประวัติศาตร์จีน มีชัดแจ้งอยู่ว่า

เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหานี้ ได้รับพระราชทานตราตั้ง ราชกูล "ไทไท" เป็นฐานันดรศักดิ์ประจำตระกูล ฉะนั้นพระเจ้าเหาจึงนับว่าทรงเป็น ต้นตระกูลไทย และว่าเป็น บรรพบุรุษของไทย ดังที่บรรพบุรุษไทยแต่โบราณกาลมักอ้างเสมอว่า"คนไทยนี้เป็นลูกหลานพระเจ้าเหา"

ที่น่าสังเกตคือ มีคำพูดอันหมายถึงเก่าแก่เหลือเกิน ติดปากคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า" โอ๊ย เก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาโน่น"

รูปถ่ายพระบรมศพพระเจ้าเหา (น้อย) พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๒
ครองราชย์ ๒,๐๕๔ ถึง ๑,๙๗๑ ปี ก่อนพุทธศักราช
พระบรมศพนี้อยู่ ณ เมืองจูฟู มณฑลซานตุง (ซัวตัง)
(ภาพจากหนังสือ ประวัติการสัมพันธ์ระหว่างชาติไทยกับชาติจีน โดย ลิขิต ฮุนตระกูล)




ZOIDS

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> พระเจ้าเหา คำนี้มีที่มา อยากรู้มั้ย..... <<<
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 07 ธันวาคม 2008, 04:42:51 »

ขอบคุณมาหครับท่าน Nick

นึกว่าพูดกันลอย ๆ  dsgjsd

นู๋เติ้ล

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> พระเจ้าเหา คำนี้มีที่มา อยากรู้มั้ย..... <<<
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 07 ธันวาคม 2008, 20:41:59 »

อ้อ อย่างงี้นี้เอง

 gsdg gsdg

don

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> พระเจ้าเหา คำนี้มีที่มา อยากรู้มั้ย..... <<<
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 07 ธันวาคม 2008, 23:27:07 »

 >:( ขอบคุณมากครับ  kghdf dfsg

3p

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> พระเจ้าเหา คำนี้มีที่มา อยากรู้มั้ย..... <<<
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2008, 16:14:13 »

เพิ่งรู้เหมือนกัน นึกว่าพูดกันลอยๆ
ขอบคุณครับ ;khhg

อาตี๋

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> พระเจ้าเหา คำนี้มีที่มา อยากรู้มั้ย..... <<<
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2008, 20:49:30 »

ขอบคุณครับ นึกว่าเป็นคำที่ไม่มีความหมายสะอีกครับ