Credit :
http://www.ssballthai.com/tpl/viewtopic.php?f=2&t=12 by “มะลิหอม “
พงศวดารลูกหนังอาเชี่ยน ซึ่งถูกจารึกเอาไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำของ องค์กรลูกหนังโลก ฟีฟ่า ถึงการปะทะแข้งกันระหว่าง ขุนพล”ลุ่มน้ำเจ้าพระยา “ ทีมชาติ ไทย ลงเซิ้งแข้งกับ นักเตะ “ลุ่มน้ำโขง “ ทีมชาติลาว ที่ถูกยกให้เป็นบ้านพี่เมืองน้อง เกิดขึ้น ครั้งแรกเมื่อปี 1961 หรือเมื่อ 51 ปีที่แล้ว บนแผ่นดิน พม่ารามัญ ในมหกรรมลูกหนังซีเกมส์ ครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งกระนั้นพี่ไทยไล่ยำน้องลาวเละ 5-2
หลังจากนั้นในนามทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่”ฟีฟ่า “บันทึกว่า ไทย ดวล ลาว อีก 2ครั้งชนะรวด ก่อนที่จะมานัดพบกับความพ่ายแพ้ เวลาต่อมา ในปี 1969 ในศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 6 ที่ประเทศ พม่า เป็นความย่อยยับ ครั้งสุดท้ายและครั้งเดียว จนวันเวลาลากยาวเอาการสู้กันของสองทีมริมฝั่งโขง มา 7 หน ติดไทยชนะรวด กระทั้งในปี 2012 ในศึก “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2012 “ ณ สังเวียนแข้ง “อิเหนา” ไทย เสมอ ลาว แบบ น่าจะแพ้ 2-2
นี่คือประวัติศาสตร์ลูกหนังที่เจอกันมาตลอดระยะเวลา 51 ปี แน่นอนว่าหากจะประเมินทางด้านความสำเร็จ พี่ไทย เหนือกว่าหลายช่วงตัวทั้งผลการแข่งขัน และ โทรฟี่แชมป์ ทว่านั่นอาจจะเป็นเรื่องราวอันหอมหวานในอดีต เพราะปัจจุบัน มันไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิด กลายเป็นว่าไทย ถอยหลังลงคลองกลับมาไล่หลังลาว แบบไม่น่าเชื่อ!!
ภายหลังจากจบนัดอดสูในศึก ยู-22 ปี ชิงแชมป์อาเชี่ยน 2013 รอบคัดเลือก ไทย แพ้ ลาว 0-1 จากฝีเท้าของ ชัยชนะ โสภา นักเตะลาวที่ข้ามโขงมาหากินกับ ยโสธร ยูไนเต็ด ทีมระดับดิวิชั่น 2 ลีกภูมิภาคของไทย ถามว่าแปลกไหมที่ทีมชาติไทยแพ้ลาว ก็ต้องขอบอกว่าพิลึกไม่เบา เพราะหากจะย้อนเวลาไปก่อนหน้านี้ เยาวชนไทย เจอลาว เมื่อไหร่ต่างตบเกียร์เดินหน้าถล่มแหลก ทว่าสมัยนี้อย่าหวังว่าจะสะกดคำว่าชนะง่ายๆ เลย เอาแค่ลุ้นผลเม็ดแรกจะมาเมื่อไหร่ยังหืดจับ
ขณะเดียวกันการแพ้ลาว ก็ต้องทวงถามเอาคำตอบจาก สมาคมฟุตบอลฯ ว่าที่ผ่านมามีการบริหารจัดการเป็นโล้เป็นพายหรือไม่ ? ว่ากันว่าเป็นคำถามยอดฮิต ที่แฟนบอลชาวไทยตั้งขึ้นเพื่อให้ “บังยี “วรวีร์ มะกูดี ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ไขคำตอบ แต่แล้วแต่ละครั้งก็มีเพียงแค่เสียงแถ !! ที่พ่นออกมามาจากรูปาก อ้างโน่นอ้างนี้ ปัญหาร้อยแปดพันเก้าพลั่งพลู ออกมาทันที โดยไม่คิดจะแก้ไข
การที่เยาวชนไทย กลับมาไล่หลังลาว คำตอบที่บ่งบอกได้ชัดเจน นั่นก็คือ ระบบการทำทีมชาติชุดเยาวชนของสมาคมฟุตบอลฯ ยุคนี้ก็ต้องขอบอกว่า อ่อนหัดมาก หากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ถึงโครงการพัฒนานักเตะ ยู - 12 ปี สมัย อ.วิจิตร เกตุแก้ว นายกสมาคมฟุตบอล ฯคนก่อนหน้านี้ ทำเอาไว้ค่อนข้างดีและต่อเนื่อง โดย มอบหมายงานให้ “จูเนียร์”วัชร วัชรพล วัยรุ่นพันล้านทายาท นสพ.ไทยรัฐ ทำงานร่วมกับ โรแบร์โต้ คาร์ลอส มี “โค้ชดำ “ ธนิศร์ อารีย์สง่ากุล เป็นมือขวา
เริ่มต้นคัดเด็กเข้าสู่โครงการตั้งแต่รุ่น ปี 2533-39 ผลผลิตจากชุดนั้นกระทั้งถึงปัจจุบันมี ธีราทร บุญมาทัน , อรรถพงศ์ หนูพรหม , เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ,กวิน ธรรมสัจจานันท์ ,สารัช อยู่เย็น ,อณุศักดิ์ เหล่าแสงไทย ,วัสพล โทสันเที๊ยะ , ปวีณวัช บุญยงค์ , นฤบดินทร์ วีระวัฒนโนดม,ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ฯลฯ เหล่านี้คือเด็กในโครงการพัฒนาฟุตบอลเยาวชนสมัย “วีเจ” ทั้งสิ้น
เมื่อส่งไม้ต่อถึงยุค”วีวี” กลับ ไม่มีการบริหารจัดการทีมฟุตบอลเยาวชนอย่างต่อเนื่อง เข้าสู่เทศกาลบอลเยาวชน ยู – 16 ,19 ปีชิงแชมป์เอเชีย ทีก็คัดนักเตะกันเสียที โครงสร้างเดิมๆเริ่มที่จะกร่อนไปทีละนิด กระทั้งหายไปในที่สุด ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงโค้ชมันก็มีความสำคัญยิ่ง จากคนที่เคยคลุกคลีอยู่กับเด็กทีเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2533 – 2539 ก็เปลี่ยนแปลงคนแล้วคนเล่า จนเกิดไอเดียเตลิด ใช้ “มาโน่ “ โพลคิ่ง ทำงาน 2 ชุดในเวลาเดียวกัน การเหยียบเรือสองแคมในเวลาเดียวกันมันจะสำเร็จได้อย่างไร ก็ลองคิดกันเอาเอง
อีกทั้งลีกเยาวชนสมาคมฟุตบอลฯไม่คิดที่จะทำ ด้วยการอ้างเหตุผลว่า ไม่มีเงินทุนสนับสนุนทั้งปี ทั้งๆที่ได้งบจากสปอนเซอร์ปีหนึ่ง ร้อยกว่าล้าน ทีมชาติไทย ยังไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากตรงนี้ แต่คือการบริหารงานที่ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวจากรูปทรงเดิม ด้วยความที่ไม่มีความต่อเนื่อง
ย้อนกลับไปที่เยาวชน 22 ปี ชุดนี้ ถามว่าการเตรียมทีมคุณดีแค่ไหน ก็ต้องขอตอบว่าแค่ระดับหนึ่ง เท่านั้นเอง อย่างน้อยก็เห็นความตั้งใจของ “บิ๊กโต้ง “ กิติรัตน์ ณ ระนอง และทีมงานที่อยากจะเห็นทีมชาติไทยกลับมาผงาดในอาเชี่ยนอีกครั้ง เช่นเดียวกับ “วินนี่”วินฟรีด เชเฟอร์ ที่นำเอา มาโน่ โพลคิ้ง มาร่วมทำงาน แต่ด้วยความที่เพิ่งเข้ามารับงาน จึงไม่รู้ว่านักเตะที่จะใช้งานจริงๆก็ต้อง อายุ 21 ปีเต็ม แต่เด็กชุดนี้ส่วนใหญ่ใช้งานยู -19 ปี การแบกอายุลงเล่น 2-3 ปี ผลงานก็เอวังอย่างที่เห็น
แต่จะว่าไปแล้วถ้าจะหาคนรับผิดชอบ ก็ต้องโฟกัสไปที่สมาคมฟุตบอล ฯว่าที่ผ่านมาคุณมีอะไรให้กับชุดนี้บ้าง การวางแผนระยะยาวไม่มี การเตรียมทีมที่ค่อนข้างสุกเอาเผากิน เกมอุ่นเครื่องแค่ในประเทศกับทีมในไทยลีกอย่าง บางกอกกล๊าส เอฟซี ,เมืองทอง ยูไนเต็ด ,บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ชลบุรี เอฟซี ซึ่งเห็นประโยชน์น้อยอย่างไร้ข้อกังขา
ส่วนเกมอย่างเป็นทางการก็แค่ อุ่นกับฟิลิปปินส์ ซึ่งก็เอาชนะไปตามฟอร์มที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว 9-1 ต่อเนื่องถึง การแพ้ เมียนม่าร์ และ เวียดนาม เป็นการปิดทริป ลับแข้งของนักเตะชุดนี้ ก่อนจะยกพลข้ามโขงบุกลาว พอถามถึงการเตรียมทีม ซึ่งน่าจะดีกว่านี้ ท่านผู้นำก็อ้างแบบแถๆว่ามีปัญหาการเมืองระหว่างสโมสรฟุตบอลกับสมาคม ฯดังนั้นจึงมีปัญหาเรื่องการขอตัวนักเตะ (อยากจะบอกว่าท่านสร้างเองทั้งนั้น )
เด็กชุดนี้ไปทำศึกลูกหนังระดับทวีปเอเชียนักจิตวิทยา ,นักโภชนาการ เคยคิดที่จะมีหรือไม่? คำตอบคือ ไม่มีอะไรเลย ผู้นำองค์กรอีกตำแหน่งที่ดูแลทีมชาติไทยทุกชุดเลยอย่าง” ประธานพัฒนาเทคนิค “ กลายเป็นสูญญากาศ อย่าว่าแต่การตามก้น เกาหลีใต้,ญี่ปุ่น และชาติในตะวันออกกลางเลย ปัจจุบันเราถอยมาไล่หลัง เมียนม่าร์,ลาว ,เวียดนาม เสียแล้ว นี่คือวิฤกตครั้งใหญ่ ที่คนรับผิดชอบต้องออกมาแสดงตัว
ที่สำคัญนักเตะชุด ยู – 22 ปี คือทีมแห่งอนาคตของทีมชาติไทยหมดจากทัวร์นาเมนต์นี้ก็ยังมี ซีเกมส์ 2013 ที่เมียนม่าร์ , ฟุตบอลปรีโอลิมปิคที่ บราซิล ปี 2016 หลังจากนั้นหลายคนอาจจะขึ้นสู่ชุดใหญ่ ทว่าเพียงแค่เริ่มต้นก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าซะแล้ว จึงเป็นคำถามว่าฟุตบอลในย่านอาเชี่ยน ยุคปัจจุบันตกลงชาติอื่นเขาเก่ง หรือเราหมูเอง หรือ การบริหารจัดการบอลไทยเราไม่ไหวจะเคลียร์ !!!