ของแถม....http://www.youtube.com/v/bxN6G6hfAjcภาคผนวก 3.1 เพลงรักน้อง
เจ้านกน้อยล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม
ความเหงาเอยเหมือนคอยเหยียบย่ำ ให้ทรมาน
ฝ่าลมแรงด้วยแรงท้าทาย สู่จุดหมายที่ไกลลิบตา
เพียงพบเธอทุกวันเห็นหน้า อิ่มเอิบดวงมาลย์
ดอกไม้ ดอกไม้แย้มกลีบ บานแล้วในใจฉัน
จงหอมชั่วนิรันดร์ มิเลยล่วงผ่านจากใจเราผอง
จงมอบความรัก (ความรัก) ด้วยใจภักดี (ภักดี)
มอบชีวีให้เธอคุ้มครอง
ความหวังดี จงมาปกป้อง ทั้งตื่นและฝัน (เอื้อน)
ความหวังดี จงมาปกป้อง ทั้งเธอและฉันภาคผนวก 3.2 คัดลอกจาก วารสารของคณะสิ่งแวดล้อม" ศาลายา " คือ ชื่อตำบลหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขต จ. นครปฐม และปัจจุบันที่ดินส่วนหนึ่งของ ต. ศาลายา ก็เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหิดล
ในอดีตศาลายานี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งซ่องสุมโจรและเลื่องลือกันว่า " ผีดุ " นำ มักปรากฏตัวให้ใครต่อใครเห็นอยู่เป็นประจำชื่อ " ศาลายา " มีเล่าต่อกันมาหลายทาง ว่ากันว่า สมัยก่อนศาลายาจะเป็นชื่อที่คู่มากับ " ศาลา ทำศพ " ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่า
แต่ก่อนสถานที่ 2 แห่งนี้ น่าจะเคยมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนเจ็บไข้ล้มตายกันมาก หรือไม่ก็เป็นที่ที่มีการสู้รบ จึงมีการตั้งศาลาขึ้น
แจกจ่ายยาแก่คนเจ็บเหล่านั้นและเมื่อล้มตายก็จัดการเผาศพ จึงมีชื่อทั้ง " ศาลายา " และ " ศาลาทำศพ " ต่อมาเห็นว่าชื่อ " ศาลาทำศพ "
ไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อเป็น " ศาลาธรรมสรพณ์ " และยังใช้ในปัจจุบันในอดีต คนเก่าแก่เล่าว่า " ศาลายา " เป็นตำบลที่มีคนร้ายชุกชุม เป็นแหล่งให้ผู้ร้ายหลบซ่อนตัว เพราะเป็นที่เปลี่ยว
ห่างไกลความเจริญมาก ยังไม่มีถนนหนทางตัดผ่าน ทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นเวลาป่วยไข้ ไม่มีใครกล้าออกไปหาหมอ
จึงมีผู้เมตตาสร้างศาลาให้หลังหนึ่ง และนำเอาสมุนไพรที่รักษาโรคได้มาแขวนไว้เป็นทาน ให้คนเอาไปใช้รักษา
ใครต้องการยาอะไรก็จะไปเลือกหาเอาที่ศาลานั้น จึงเรียกที่แห่งนั้นว่า " ศาลายา " เรื่อยมาเมื่อหกเจ็ดปีที่แล้ว ศาลายายังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้นะคะ ที่ทางหน้า ม.ยังเป็นที่ว่าง มีแม่ค้ามาสร้างเพิงขายของกัน
ถนนพุทธมณฑลสายสี่ก็ค่อนข้างเปลี่ยว นั่งรถเมล์ไปตั้งไกลพึ่งจะเห็นโรงงานซักหลัง ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ หมู่บ้านจัดสรรผุดขึ้นเพียบ
ความเป็นมาของที่ดินบริเวณศาลายาแต่เดิมเป็นของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และเป็นมรดกตกทอด
มาถึงสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เหตุที่ ร.4 ทรงซื้อที่ดินบริเวณศาลายาก็เนื่องมาจาก ในสมัยรัชกาลที่ 3
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น รัชกาลที่ 4 ยังทรงผนวชอยู่ และได้ธุดงค์ไปในป่า เลยเขตมณฑลนครชัยศรี
ไปทางทิศตะวันตก ทรงพบเนินใหญ่ สัณฐานเป็นรูปพระมหาเจดีย์ เมื่อทรงสำรวจแล้วก็แน่พระทัยว่าคงเป็นที่ตั้งนครใหญ่ในอดีต
ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาครั้งทวารวดี เมื่อเสด็จกลับวังหลวง
จึงเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูล ขอให้ทรงปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่แห่งนั้น
แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯตรัสทัดทานว่า จะต้องขนเอาเงินทองไปทิ้งเสียในป่าทำไม เจดีย์อยู่ห่างไกล
ถึงเพียงนั้นถนนหนทางก็ไม่มี แล้วใครจะเข้าไปกราบไหว้ถึงได้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้ฟังก็ทรงนิ่งครั้นเมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2394 พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดคลองจากแม่น้ำเจ้าพระยา
ไปทางทิศตะวันตก ไปจนถึงบริเวณที่ทรงพบฐานพระเจดีย์ดังกล่าว และทรงปฏิสังขรณ์พระเจดีย์นั้น ตามความเชื่อส่วนพระองค์ว่า
เป็นพระมหาเจดีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งพระพุทธศาสนาเป็นปฐมกาลในสมัยทวารวดี พระราชทานนามพระเจดีย์
นั้นว่า " พระปฐมเจดีย์ "
ส่วนคลองที่ขุดให้คนเดินทางขึ้นไปนมัสการนั้น พระราชทานนามว่า " คลองเจดีย์บูชา " ซึ่งก็คือ คลองใหญ่ที่ขุดผ่าน
ต. ศาลายา ไปจรดแม่น้ำนครชัยศรี และด้วยเหตุที่รัชกาลที่ 4 ทรงเถลิงราชสมบัติเมื่อพระชันษามาก ถึง 47 พรรษาแล้ว
ดังนั้นพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติหลังขึ้นครองราชสมบัติจึงยังมีพระชันษาน้อยกันทุกพระองค์ จึงทรงเกรงว่า
หากสิ้นแผ่นดินพระองค์ลง พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่จะเป็นใครไม่อาจทราบได้
หากไม่ยอมรับพระราชโอรสให้ขึ้นครองราชสมบัติต่อแล้ว พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอทั้งหลายที่ยังทรงพระเยาว์จะลำบาก
ไม่มีที่อาศัย จึงทรงใช้เงินส่วนพระองค์ซื้อที่สองฝั่งคลองที่ขุดไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อแบ่งปันในหมู่พี่น้อง
ด้วยเหตุนี้เอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรส พระองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ 4
จึงได้จัดแบ่งที่ดินดังกล่าวพระราชทานแก่บรรดาพระราชโอรสธิดาในรัชกาลที่ 4 ให้เป็นที่นา โดยให้คนเช่าทำนาในราคาที่ถูก
มาตั้งแต่สมัย ร.5
ต่อมา เจ้านายบางพระองค์ขายตกทอดไปเป็นของชาวบ้านบ้าง บางส่วนถูกเวนคืนไปเป็นพุทธมณฑลบ้าง และบางส่วน
ก็เป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รวมถึงที่ดินที่เป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบันก็เป็นที่ดิน
พระราชมรดก จากรัชกาลที่ 4 ตกทอดมายังรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งที่ดินบริเวณศาลายาทั้งหมดตอนนี้ก็ยังคงเป็นทรัพย์สิน
ของพระมหากษัตริย์ ซื้อขายไม่ได้ แต่เช่าได้ โดยการเสียค่าเช่าบำรุงเป็นรายปี
ต่อมาสมัย ร.9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้มหาวิทยาลัยมหิดลซื้อที่ดินส่วนพระองค์ ในราคาถูกเป็นพิเศษจำนวน 1,250 ไร่
ใน ต. ศาลายา เขต อ. นครชัยศรี จ. นครปฐม เมื่อปี พ.ศ. 2508 เพื่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัย ทำให้ชาวบ้านที่เคยอาศัยทำกิน
อยู่ที่พื้นที่นั้นค่อยๆ อพยพออกไปจนหมด
แต่สิ่งที่เหลืออยู่มากมายบนที่ดินนั้น ก็คือศาลพระภูมิ และศาลเจ้าที่ ซึ่งถูกทิ้งให้หักพังโดยส่วนใหญ่ไม่มีใครเหลียวแล
จะมีก็บางครอบครัว ที่นานๆ จะกลับมาไหว้ศาลเก่าของตน เพราะยังผูกพันกับเจ้าที่เดิม และตามความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่
มักให้ความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ ไม่ว่าจะปลูกบ้าน หรือทำพิธีกรรมใดๆ โดยมากมักจะแผ่ส่วนกุศล
อุทิศให้เจ้าที่เจ้าทางที่ตนมาอาศัยจึงอยู่กันอย่างสงบสุข ราบรื่น แต่ในบริเวณที่ดินของ ม.มหิดลศาลายา เมื่อเปลี่ยนจากที่ชาวบ้าน
อยู่อาศัยมาสร้างเป็นสถานที่ราชการแล้วมักเกิดปัญหาที่น่าพิศวงตามมา เรื่องมีอยู่ว่า....หลังจากมหาวิทยาลัยมหิดล เตรียมพื้นที่ และสร้างอาคารเสร็จพร้อมจะให้นักศึกษาเข้ามาอยู่ ปรากฏว่าในวันเปิดตึกหอพักนักศึกษา
ได้มีนักศึกษาชายคนหนึ่งป่วยกะทันหัน โดยไม่มีเค้าว่าจะเป็นคนสุขภาพไม่ดีมาก่อน และผลจากการป่วยคราวนี้ทำให้กลายเป็นคนพิการ
ไม่สามารถเรียนต่อได้ เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ว่า นับตั้งแต่สร้างมหาวิทยาลัยมา มักมีคนตายบ่อยๆ เช่น มีอุบัติเหตุที่สี่แยกพุทธมณฑล
ทำให้นักศึกษาตายหลายศพ หรือมีการฆ่ากันตายที่ตึกคณะสิ่งแวดล้อม และนักศึกษาหลายคนก็มักจะเห็นคนเดินหายเข้าไปในต้นไม้
จากเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องมีอัญเชิญ พระพุทธรูปองค์หนึ่ง มาตั้งไว้บริเวณหน้าหอพักนักศึกษาหญิง
เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้อบอุ่นใจ เหตุการณ์ในทำนองนี้ยังเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา
ครั้งหนึ่งที่คณะสังคมศาสตร์ได้จัดให้มีการทำบุญ ขณะมีงานอยู่นั้นก็มีคนงานคนหนึ่งเกิดอาการคล้ายผีเข้า เมื่อทำการถามไถ่
ได้ความว่า ผีที่เข้าเป็น " ผีแขก " นับถือศาสนาอิสลาม ที่ตายที่นี่ และวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด
ซึ่งเมื่อผีแขกตนนี้ ออกไปแล้ว ในแต่ละปีเมื่อทางคณะทำบุญครั้งใด ก็จะต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้ทุกครั้ง
การมาปรากฏของ " วิญญาณ " ในแต่ละเหตุการณ์และสถานที่ ผู้ที่ประสบพบเห็นเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว
มักจำเรื่องราวที่ชวนขนหัวลุกนี้ได้อย่างแม่นยำ
เมื่อให้เล่า แต่ละคนจึงเล่าเรื่องเหล่านี้ได้อย่างออกรส เมื่อฟังแล้ว แม้มิได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ก็เหมือนกับอยู่ด้วย
วิญญาณ ซึ่งแสดงนานาอิทธิฤทธิ์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ก็เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่แสดงให้เรา
ซึ่งอยู่ในภพของมนุษย์รู้ว่า ในโลกเรานี้ยังมีอีกมิติหนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอยู่คู่กับเรา มิตินั้น คือ ภพภูมิของโอปปาติกะ
หรือ " สัมภเวสี " ที่เร่ร่อน ยังไม่ได้เวลาไปเกิดใหม่
เรื่องความน่ากลัวนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ขณะที่สร้างเรือนไทย เพื่อให้เป็นศูนย์วิจัยวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์
ผู้ประสบเหตุการณ์ท่านหนึ่งได้เล่าจบละครับ...
cradit :: thaighost.net