เรื่องเล่าลี้ลับ ตำนานต่างประเทศ Part 31. House so Hauntedหนึ่งในเรื่องเล่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาและทั่วโลก ที่เล่ากันว่าให้ระวังการซื้อบ้านมือสอง
ที่มีขนาดใหญ่หรือเป็นคฤหาสน์ ที่เปลี่ยนมือเจ้าของหลายราย ไม่งั้นจะได้สิ่งไม่พึ่งปรารถนาแถมมาด้วย
นั่นก็คือวิญญาณร้ายที่สิ่งสถิตในบ้านหลังนั้นที่จะทำให้เจ้าของหรือผู้อยู่อาศัยต้องขวัญผวา จนผู้อยู่อาศัย
ต้องย้ายออกไปทุกครั้งนอกจากนี้ในหมู่เด็กๆ ก็มักจะเล่าถึงบ้านขนาดใหญ่ร้างคนว่า
"ใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าวจะไม่ สามารถกลับออกมาอีกเลย เพราะมันเป็นบ้านกินคน
ที่มักกินคนที่หลงเข้ามาในบ้าน " และสถานที่คาดว่ามีผีสิงคาดว่าจะอยู่ มิชิแกน, โอไฮโอ และแคลิฟอร์เนีย และเรื่องที่โด่งดังที่สุด
คงจะไม่เกินไปกว่าเรื่องของ บ้าน อมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว ทางใต้ของนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบ้านทรงดัทซ์
โคโลเนียล ที่ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 เพราะเมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 และได้เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมา
ที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุ ไปในบัดดล โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี ของครอบครัว ของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่
บ้านหลังนี้ และได้พบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืน ไม่ว่าจะเป็น เสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ จนครอบครัวนี้
ทนไม่ไหวจนต้องย้ายบ้านในเวลาต่อมา จากเรื่องราวเหล่านี้ทำให้มันถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โด่งดังหลายเรื่อง2.The Blair Witch Projectตำนานแม่มดแห่งเมืองเบลล์ เป็นในตำนานเมืองที่ปรากฏในภาพยนตร์ The Blair Witch Project เป็นภาพยนตร์
ในแนวสารคดี ความยาว 86 นาที ออกฉายในปี ค.ศ. 1999 และเข้าฉายในประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน
ปีเดียวกัน ในชื่อ "สอดรู้ สอดเห็น สอดเป็น สอดตาย" หนังเป็นการถ่ายแบบกล้องวีดีโอเคลื่อนฟิล์ม 16 มม โดยเทป
บันทึกไว้เมื่อ ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1994 โดยนักศึกษา 3 คน ประกอบไปด้วย ฮีเธอร์ , โจซัว , ไมเคิล
ซึ่งได้เข้าไปในป่าแบล็กฮิลล์ มลรัฐแมรี่แลนด์ เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่องแม่มดเบลล์ อันเป็นตำนานความเชื่อ
ของคนพื้นถิ่น หากแต่ในเวลาต่อมาทั้งสามกลับหายตัวไปอย่างลึกลับจากนั้นหนึ่งปีให้หลัง หลักฐานต่าง ๆ ก็ถูกค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นตลับฟิล์ม กล่องฟิล์ม กล้องขนาด 8 มม. และขนาด 16 มม.
ซึ่งถ่ายทำวันที่ทั้งสามหายตัวไป และเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ฉาย ก็เกิดกระแสทำให้คนเชื่อว่าเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
หากแต่ความจริงแล้วเนื้อหาในภาพยนตร์ทั้งหมดเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น โดยโฆษณาว่าเป็นเหตุการณ์จริงเพื่อกระตุ้นรายได้
ภาพยนตร์ ผลก็คือมันได้ผลเพราะหนังประสบผลสำเร็จอย่างงดงามส่วนตำนานแม่มดแห่งเมืองเบลล์นั้นเป็นเรื่องจริง เป็นตำนานเมืองของป่าแบล็กฮิลล์ มลรัฐแมริแลนด์ ที่ว่ากันว่าป่าแห่งนั้น
มีแม่มดหรือหญิงชราวิกลจริตอาศัยอยู่ที่นั่นและมักปรากฏตัวให้ผู้คนที่เข้ามาในป่าแห่งเสมอ และบางครั้งอาจมาในสภาพ
ครึ่งคนครึ่งสัตว์ประหลาด โดยมีข่าวลือมากมายว่ามีเด็กหายไปในป่าแห่งนั้นหลายราย บางรายก็ปรากฏตัวออกมาในสภาพ
เป็นศพที่ถูกคว้านไส้พุงออกมาอย่างหมดจด3. Babysitter Upstairsเป็นเรื่องเล่าที่ฮิตของอเมริกาตลอดกาล ที่เกี่ยวกับหญิงสาวที่รับเลี้ยงเด็กเวลาพ่อแม่ไม่อยู่บ้านในตอนกลางคืน
โดยเฉพาะคืนนั้นเป็นคืนที่มีพายุหนักมาก และบ้านที่รับจ้างขนาดใหญ่ที่ว่าจ้างให้เธอรับเลี้ยงเด็ก แต่เมื่อเด็กนอนหลับ
เธอก็กลับมีโทรศัพท์แปลกๆโทรเข้ามา เมื่อเธอรับสาย เธอตกใจมากเมื่อปลายสายบอกว่าเขาจะมารับเธอ ด้วยความตกใจ
เธอเรียกตำรวจ ไม่กี่นาทีต่อมาตำรวจก็มาถึง ตำรวจเรียกเธอเพื่อบอกสิ่งที่พวกเขาสืบ โดยพวกเขาบอกเธอว่าปลายสายที่โทรมามาจาก
ภายในบ้านหลังนั้นเอง และบางทีมันอาจจะอยู่ข้างบนบ้าน แต่กระนั้นหลังจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
กลับไม่พบคนแปลกหน้าใดๆ อยู่ในบ้านเลยสักคน และเรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่นิยมมาก จนถูกนำไปเป็นพล็อต
สร้างภาพยนตร์สยองขวัญในเวลาต่อๆมา4. Three men and babyเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปี 1987 (แม้จะมีการรีเมคใหม่ แต่มันก็สู้ของเดิมไม่ได้เพราะมันไม่ถ่ายติดผี...?)
โดยเนื้อหาเป็นเรื่องราวของสามหนุ่มที่อาศัยอยู่ด้วยกันในอพาร์ทเมนท์ ที่ต้องเลี้ยงดูเด็กทารกที่ถูกนำมาทิ้ง
ที่หน้าบ้านอย่างไม่คาดฝัน ภาพยนตร์นี้ดังมาก หากแต่ที่ทำให้มันดังไม่ใช่เพราะเนื้อหาหรือการแสดงของ
ตัวละครในเรื่อง แต่ที่มันดังนั้นเนื่องจาก มีฉากหนึ่งดันมีสิ่งที่ไม่พึ่งปรารถนา ถ่ายติดมาด้วยฉากที่ว่าเป็นช่วงเกือบสุดท้ายของภาพยนตร์ เป็นฉากที่ แจ๊ค โฮลเด้น ( Ted Danson ) และแม่ของเขา ( Celeste Holm )
กำลังเดินไปหาทารกน้อยที่อยู่บนเตียงนอน ให้สังเกตว่าตอนที่เดินนั้นมีปืนลูกซองอยู่ที่หน้าต่างที่มีผ้าม่านด้านซ้าย(ภาพเร็วมาก)
เมื่อทั้งสองไปถึงทารกน้อย แม่ของเขาก็จับทารกขึ้นมาอุ้ม (สังเกตว่าด้านหน้าของฉากมีพระพุทธรูปไทยตั้งอยู่) จากนั้นแม่ของเขา
ก็อุ้มเด็กเดินกลับมาที่หน้าต่างที่มีปืนลูกซองวางยู่ ให้สังเกตฉากที่หน้าต่างซ้ายมือที่ตอนแรกมีปืนลูกซองวางอยู่ตอนแรกได้หายไปและกลับกลายเป็นว่ามีเด็กชายแปลกหน้า
ลึกลับใส่เสื้อสีขาว และกางเกงสีดำกำลังยื่นอยู่หลังม่านติดมาด้วยแทน!!(ปรากฏตัว 40 วินาทีในหนัง)
หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ฉาย ก็สร้างความฮือฮาต่อฝูงชนมาก และทีมงานภาพยนตร์ก็ยืนยันว่าโดยที่ถ่ายทำฉากที่ว่า
ไม่มีคนนอกที่ไหนเข้ามาในกล้องเด็ดขาด นอกจากนักแสดงในฉากนั้น.!!? และเมื่อผู้คนหาคำตอบไม่ได้ทำให้เรื่องนี้
โด่งดังในฐานะตำนานเมืองในปี 1990 โดยมีการเล่ากันต่อๆมาว่า เป็นลูกชายเจ้าของบ้านที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่ฆ่าตัวตาย
เพราะปืนลูกซอง ที่เอามาเล่นจนเกิดอุบัติเหตุลั่นใส่จนเสียชีวิต บ้างก็ว่าเป็นเด็กตกตึกตายเมื่อหลายปีก่อน
แต่กระนั้นหลังจากผีในภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดัง ก็มีผีอีกจำนวนมากที่ถูกฝ่ายติดในกล้องวีดีโอ จนเป็นเทรน
5. The Hookเป็นตำนานที่โด่งดังในช่วง 1940 เกี่ยวกับการการเตือนเกี่ยวกับหนุ่มสาว ที่นิยมร่วมรักกันในรถ ข้างทางเปลี่ยวๆ
และเรื่องเล่านี้ก็กลายเป็นจริงอีกด้วยเรื่องราวมีอยู่ว่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เป็นผู้ชายหล่อ และสาวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ผมสีบลอนด์ พวกเขาเป็นแฟนกัน
และ ตอนนั้นทั้งคู่กำลังขับรถกินลมชมวิว ฟังเพลงโรแมนติกอยู่ และด้วยบรรยากาศเป็นใจทำให้ทั้งคู่เกิดอารมณ์
ทั้งคู่จูบอย่างดูดดื่ม และเมื่อมีความรู้สึกอยากร่วมรัก ทั้งคู่เลยคิดจะจอดรถทางเปลี่ยวที่ไหนสักแห่งเพื่อทำกิจที่ว่า?
ในระหว่างที่พวกเขากำลังหาที่เปลี่ยวนั้นเอง เพลงโรแมนติกก็หยุดลงพร้อมกับข่าวด่วน ว่ามีคนบ้าหนีออกมา
โดยแจ้งลักษณะไปว่าให้มองหาคนผอมแห้งตัวสูง ท่าทางปวกเปียกและมือซ้ายเป็นมือตะขอหญิงสาวรู้สึกกลัวข่าวนั้น เธอจึงขอฝ่ายชายให้พาเธอกลับบ้าน แต่ฝ่ายชายบอกว่าไม่ต้องกลัว ฆาตกรที่ว่านั้น
อยู่ไกลเกินกว่าจะมาถึงที่นี้ได้ และเมื่อได้ที่เหมาะ ทั้งสองก็ร่วมรักกัน เมื่อเวลาผ่านไป ทันใดนั้นเองหญิงสาว
ได้ยินเสียงขูดนอกรถ เสียงได้ดังใกล้เข้ามา หญิงสาวเริ่มรู้สึกกลัวเธอบอกให้แฟนหยุดกิจกรรม แต่แล้วเสียง
ก็เงียบไป... ทั้งคู่หันๆไปที่ด้านหลังรถก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ แต่หญิงสาวกังวลมาก เธอเลยเร่งแฟนหนุ่ม
ให้ออกรถออกไปจากจุดนั้นซะ แฟนหนุ่มเลยจำใจต้องออกรถตามหญิงสาวขอ และเมื่อทั้งคู่ไปสถานที่ปลอดภัย
ก็พบว่าที่ประตูรถของพวกเข
ามีมือตะขอเกี่ยวอยู่ หลังจากนั้น ก็มีการเติมแต่งเรื่องให้ดูสยองขวัญมากขึ้น เช่น ระหว่างที่แฟนหนุ่มกำลังพูดหญิงสาวเรื่องได้ยิน
เสียงขูดอยู่นั้น ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งเมื่อได้เห็นตะขอปลายแหลมคลั่งได้ผลักประตูรถเข้ามา คนบ้าฆาตกรมือตะขอ
กำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว? และแล้วประตูรถก็เปิดออก มันได้ใช้ตะขอเกี่ยวแฟนหนุ่มของเธอออกนอกรถ
หญิงสาวกรีดร้องและปิดประตู แล้วรีบออกรถทันที โดยไม่ทันไปมองแฟนหนุ่มของเธอ และเมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน
เธอก็พบว่าประตูจับรถนั้นเปื้อนเลือด และมันเป็นเลือดของแฟนหนุ่มนั่นเอง
และนี้คือเรื่องเล่าในตำนาน ที่ถูกไปสร้างภาพยนตร์มากมาย อีกทั้งยังกลายเป็นจริงอีกด้วย เมื่อฆาตกรเช่น
ฆาตกรจักรราศี (Zodiac Killer) ฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อเหตุในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ในแถบพื้นที่ทาง
ตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือจะเป็นฆาตกรล่องหน (Phantom Killer) ฆาตกรต่อเนื่องที่เชื่อว่าเขา
ได้ฆ่าคนจำนวนหนึ่งในเขตมหานครเท็กซาร์คานาระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 เมษายน 1946 โดยฆาตกรสองรายล้วนชอบฆ่าหนุ่มสาว ที่คิดจะร่วมรักในรถทางเปลี่ยวทั้งสิ้น
6.The Automatic 4.0เป็นหนึ่งในตำนานเมืองที่เป็นเรื่องเล่าของมหาวิทยาลัยเขตตั้งแต่ปี 1970 และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์
และซีรีย์อเมริกา เรื่อง Dead Man on Campus 1998 (ภาพยนตร์ห่วยได้คะแนน 15% ของมะเขือเทศเน่า) โดยเล่ากันว่า หากในโรงเรียนหรือมหาลัยแห่งใด มีเด็กนักเรียนเพื่อนร่วมฆ่าตัวตายปัจุบันทันด่วน จะได้รับเกรด
เฉลี่ย 4.0 ของภาคเรียนการศึกษาโดยอัตโนมัติทันที ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการปลิดชีพของวิทยาลัย(ใจดีพิลึก)
ตำนานนี้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในเวลาต่อมา เช่น เกิดฆาตกรรมหรืออุบัติเหตุ แต่ยึดหลักพื้นฐานของเพื่อนร่วมห้องตาย
เกรดดีทั้งหมด (หมายถึงเกรด A นะไม่ใช้ D
) แน่นอนเรื่องนี้ ไม่เป็นจริง และเชื่อว่าที่มานั้น มาจากการเล่าเล่นๆ
เอาตลกของนักศึกษาซะมากกว่า
7. Mr. Rogers Was a Navy Sealเฟร็ด โรเจอร์ส (1928-2003) เป็นชาวอเมริกันนักแต่งเพลง และผู้จัดรายการโทรทัศน์ Mister Rogers’ Neighborhood
รายการเด็กที่ฮิตในช่วง 1968-2001 ด้วยบุคลิกเป็นคนอ่อนโยนเสียงเบาอ่อนหนุ่มและความตรงไปตรงมาทำให้หลายคน
ต่างติดใจรายการของเขา และ เขาพยายามเรียกร้องรัฐบาล ให้สนับสนุนรายการเด็กมากกว่าจะไปทำสงครามเวียดนาม
โดยจุดเด่นของเขาก็คือ การใส่สเวตเตอร์เสื้อแขนยาวสีแดงแล้วไปปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์อยู่เสมอ และเนื่องด้วยช่วงที่เขาทำรายการเป็นช่วงสงครามเวียดนามพอดี จึงข่าวลือว่า เขาเป็นเครื่องจักรสังหารในสงครามเวียดนาม
บ้างก็ว่ากันว่า เขาฆ่าพวกเวียดกงเป็นจำนวนมาก..? สามารถฆ่าคนด้วยมือเปล่า..? ทำให้เขามีบาดแผลเต็มตัว
จนต้องสวมเสื้อแขนยาวปกปิดบาดแผล และปกปิดรอยสักสุดโหดนี้เอาไว้ ซึ่งอันที่จริงแล้ว...ข่าวลือต่างๆนั้นไม่เป็นจริงแต่อย่างใด เพราะจากประวัติที่เขาเปิดเผย ชัดเจนว่าเขาไม่เคยทำหน้าที่
ทางการทหารใดๆ มาก่อนเลย หากข่าวลือก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ในปี 1990 ว่าเขาเป็นทหารในสงครามเกาหลี