-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 10 สัตว์ที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์(ลึกลับ)ประหลาด  (อ่าน 1583 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

10 สัตว์ที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์(ลึกลับ)ประหลาด

อย่างที่รู้ โลกสมัยก่อนยังขาดความรู้มาก ในเรื่องเทคโนโลยี ชีววิทยา การศึกษา ฯลฯ จึงไม่น่าแปลก การค้นพบดินแดนใหม่ๆ นั้น
กว่าจะเริ่มก็ปาไปกว่าร้อยกว่าปี   ที่นั้นพวกเขาค้นพบสัตว์ใหม่ๆ แปลกๆ เต็มไปหมด อย่างเช่น สมัยก่อนระบบการเดินทางเดินเรือ
ยังไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน พวกลูกเรือจึงหวาดกลัวทะเลมาก เพราะมันมีทั้งภัยพิบัติและสัตว์ร้ายๆ ต่างๆ นาๆ จนเกิดตำนานสัตว์ร้าย
ในทะเลขึ้นมา ที่โด่งดังที่สุดคือเงือก แต่แท้จริงแล้วมันคือพะยูนต่างหากละ เพราะความหวาดกลัวทำให้ดูพะยูนผิดเป็นผู้หญิงขึ้นมา


มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเขาค้นพบสัตว์ตัวหนึ่ง มันรูปร่างคล้ายม้า มีลายแปลกๆ ที่ตัวมัน แต่คอมันยาวจนน่ากลัว เขาเอามันกลับไปที่
ประเทศของเขา และตั้งชื่อว่า “ม้าลายจุด”จนกระทั้งปัจจุบัน การศึกษาได้ก้าวไกลขึ้น และต้องชื่อใหม่ให้กับมันว่า “ยีราฬ” นั้นเอง
สัตว์เร้นลับที่เขาพบอาจเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เรารู้จักกันดีก็ได้ใครจะไปรู้และนี้คือ 10 อันดับสัตว์สามัญที่ครั้งหนึ่งมันถูกเข้าใจผิด
ว่ามันคือสัตว์ลึกลับ
 


10.The Devil Bird


 
The Devil Bird หรือ “นกปีศาจ” เป็นสัตว์ลึกลับตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ของศรีลังกาครับ
ว่าเป็นนกที่ร้องเหมือนเสียงคนที่เป็นเพศหญิงครวญครางร้องไห้หรือกรีดร้องในตอนกลางคืนในป่า เชื่อกันว่า
เวลานกตัวนี้ร้องจะเป็นลางว่าจะมีคนตาย (คล้ายๆ กับคติความเชื่อนกเสกของไทย) นกตัวนี้ไม่มีจะไม่ค่อยมีใคร
พบเห็นตัว และ บินในลักษณะประหลาด




ในปี 2001 เจ้านกปีศาจนี้ก็ได้รับการไขแล้วว่ามันเป็นนกฮูกชนิดใหม่ รู้จักจะชื่อ นกเค้าแมวนกอินทรี(ภาวะต่อมน้ำเหลืองบวม)
(the spot-bellied eagle owl (bubo nipalensis) ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดานกฮูกศรีลังกา และอาการต่วมน้ำเหลืองบวม
ก็เป็นที่มาของเสียงกรีดร้องที่น่ากลัว จนกลายเป็นที่มาของสัตว์ลึกลับนี้


 
9.Ziphius


           
ในสมัยกลางเราเคยได้ยินสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์มหึมาที่อาศัยอยู่ทะเลที่ชื่อ Ziphius
(หมายถึงดาบลาตินหรืออาจหมายถึงครีบของสัตว์ที่สามารถเจาะเปลือกของเรือได้ดั่งดาบ)“นกน้ำ” ที่โจมตีเรือในทะเลเหนือ
รูปร่างของมันเหมือนปลาแต่หัวเหมือนนกฮูกคือมีดวงตาใหญ่และจงอยปากเหมือนรูปลิ่ม และครั้งหนึ่งมันก็เคยลอยติดชายหาด
คนแถบนั้นต่างเล่าลือว่ามันเป็นสัตว์พันธุ์ใหม่




แน่นอนครับใครอ่านมาถึงบรรทัดแรกก็รู้ๆ กันแล้วว่าเจ้าสัตว์นั้นที่โจมตีเรือก็คือ “วาฬ” นั้นเอง เนื่องด้วยสมัยก่อนคนโบราฬไม่ค่อย
พบเห็นวาฬพันธุ์ใหม่สักเท่าไหร่ โดยวาฬที่หน้าเหมือนนกฮูกดั่งกล่าวคือ ปลาวาฬคูเวียร์ (Cuvier's beaked whale)เป็นวาฬ
ที่หายาก พบในแถบไอร์แลนด์ และรูปร่างของมันก็กลายเป็นแรงบันดาลใจของ “นกน้ำ” นั่นเอง
 



8.The bondegezou


 
The bondegezou เป็นภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า “คนของป่า” เป็นเรื่องเล่าว่ามันเป็นวิญญาณบรรพบุรุษ
ของเผ่า โมนิ(Moni) ทางตะวันตกของอินโดนีเซีย รูปร่างมันเหมือนสัตว์อาศัยอยู่บนต้นไม้คล้ายมนุษย์
ขนาดเล็กมีขนปกคลุมสีขาวดำ มันชอบปีนต้นไม้ และมักยืนบนพื้นในท่าทางสองขา





ในปี 1980 ภาพถ่ายของ The bondegezou ถูกส่งไปยังนักวิจัยออสเตรเลียคนหนึ่งชื่อ Tim Flanney ก่อนที่จะถูกระบุว่ามันคือ
จิงโจ้ต้นไม้ (tree kangaroo) เป็นสัตว์กระเป๋าหน้าท้องพันธุ์ใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสีดำปนขาว มีลำตัวยาว 1.2 เมตร (4 ฟุต)
และหนัก 15 กิโลกรัม (33 ปอนด์)เพิ่งค้นพบในรัฐอิเรียน จายา บนเกาะนิวกินี ประเทศอินโดนีเซีย และพึ่งค้นพบอย่างเป็นทางการ
เมื่อปี ค.ศ. 1994



 
7. Kangaroo


 
ในการสำรวจประเทศออสเตเลียครั้งแรก มีการค้นพบสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่ชาวยุโรปไม่เคยเห็นมาก่อน โดยสัตว์ประหลาดรูปร่างนี้
บรรยายว่าเป็นสัตว์ที่หัวเหมือนกวาง แต่ยืนตรงเหมือนคนและกระโดดเหมือนกบ บางตัวมีสองหัวยื่นจากหน้าท้องที่กระเพาะอาหาร.........


ในปี 1770 ได้มีการจับสัตว์ประหลาดตัวนี้ในประเทศอังกฤษเพื่อให้สาธารณะชนได้เห็น และแล้วสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ชื่อว่า จิงโจ้
เป็นสัตว์ประจำท้องถิ่นออสเตรเลียนั่นเอง โดยที่มาของชื่อจิงโจ้นั้นเกิดขึ้นมาจากกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อชาวอังกฤษคนแรก
เดินทางรอนแรมมาถึงออสเตรเลีย เขาเห็นสัตว์หน้าตาประหลาดตัวนี้และไม่เคยเห็นมาก่อน จึงหันไปถามชาวอะบอริจินที่เพิ่งพบ
กันเป็นครั้งแรกว่า

“What is that thing? นั่นมันตัวอะไร”

ชาวอะบอริจินไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาก่อน ได้ยินภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงตอบเป็นภาษาอะบอริจินไปว่า
“Kangaroo!”  (เป็นภาษาอะบอริจินแปลว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร”)

นับแต่นั้นมาจึงมีสัตว์ที่ชื่อ “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร” กระโดดไปมาในสวนสัตว์เกือบทั่วโลก ซึ่งความจริงแล้วสัตว์ชนิดนี้
มีชื่อว่า “วาลลาบี” (Wallabee)
 



6.Platypus


 
เมื่อครั้งแรกที่นักธรรมชาติวิทยายุโรปพบสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งต่างงงงันไปทั่ว ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ช่างแปลกดีนัก มันมีพิษ
มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่มันสามารถวางไข่ได้ทั้งๆ ที่มันไม่ใช้สัตว์ปีก มันมีปากและหางเหมือนเป็ด พวกนักวิทยาศาสตร์
อังกฤษต่างนำซากของมันไปตรวจสอบถึงความลึกลับอันนี้เมื่อปี 1798


ปัจจุบันสัตว์นี้ก็คือ ตุ่นปากเป็ด( Platypus ) หนึ่งในห้าของ Monotarmesสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงไม่กี่ชนิดที่ออกลูกเป็น ไข่
เป็นสัตว์ประจำถิ่นของออสเตรเลีย ด้วยลักษณะรูปร่างที่แปลกประหลาด คือ มีรูปร่างคล้ายตัวนาก(แต่แบนกว่า) มีปากคล้ายเป็ด
(แต่ยืดหยุ่นคล้ายยาง) มีหางแบนคล้ายตัว บีเวอร์(แต่ใช้เพื่อควบคุมทิศทางในการว่ายเท่านั้น ส่วนบีเวอร์ใช้โบกไปมาเพื่อเคลื่อนที่) 
บริเวณเท้าหลังของตุ่นปากเป็ด จะมีเดือย ที่ มีรูตรงกลางเชื่อมไปยังต่อมพิษ แต่พิษนั้นไม่ร้ายแรงพอจะทำให้มนุษย์เสียชีวิต


 

 
5.Dragons of The Deep
   


มีนิยายเก่าแก่ของทั่วโลก ที่บรรยายถึงสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในทะเลที่ มีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง
ชาวประมงต่างประเทศเคยพบสัตว์ประหลาดชนิดนี้ ขณะที่แล่นเรือหาปลาอยู่ในทะเล ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย
สำหรับไทยเรียกสัตว์นี้ว่า “พญานาค” ตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็น
งูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี





แท้ที่จริงแล้ว มังกรทะเลก็คือปลาประหลาดชนิดหนึ่ง.ที่เรียกว่า ปลาใบพาย หรือ ปลาริบบิ้น บางทีก็เรียกว่า ปลาออร์ (OAR FISH)
นั่นเอง ปลาชนิดนี้มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต คลีบบนหลัง ยื่นออกมายาวเลยหัว มีคลีบพิเศษ ยื่นออกมาทั้งสองข้าง
ของส่วนหัว คล้ายใบพาย และมีลำตัวแบน  ค่อนข้างหายากเพราะมันอยู่ในความลึกของท้องทะเล ถึง 3,000 ฟุต และเคยพบตัวใหญ่ที่สุด
มีความยาวถึง 200 ฟุต แต่มันมีอยู่ทั่วโลก จึงไม่แปลกอะไรที่มีรายงานพบมังกระทะเลเกือบทุกมุมโลก จนปลาลักษณะพิเศษนี้
มีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริง




4.Komodo Dragon
           


ใน ปี 1912 มีนักบินผู้หนึ่งเกิดได้ลงจอดเครื่องบินฉุดเฉินลงที่เกาะโคโมโด ในประเทศอินโดนีเซีย  ที่นั่นเขาได้พบสัตว์เลื้อยคลาน
ขนาดใหญ่ หน้าตาเหมือนสัตว์ดึกดำบรรพ์ รูปร่างเหมือนกิ่งก่า แต่มันมีขนาดใหญ่หลายเท่า มันมีจำนวนมากและรายล้อมเครื่องบิน
เขารีบวิ่งหนีออกมาทันที และรอดชีวิตออกมาได้ จากการสอบถามคนบนเกาะก็พบว่าจากสัตว์ตัวนี้เป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์น่ากลัว
ที่อาศัยอยู่บนเกาะมาช้านาน คล้ายจระเข้ แต่อยู่บนบก ออกล่ากวาง หมูป่า และคนกิน พวกเขาเรียกมันว่า บูอาจา ดารัต
(BOEAJA DARAT) หมายถึง จระเข้บก


ในเวลาต่อมามีผู้เชี่ยวชาญเข้าไปเกาะนี้และพบสัตว์ชนิดนี้และประกาศไปว่ามันก็คือเหี้ยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมันก็คือ มังกรโคโมโด
(Komodo Dragon) นั่นเองเป็นสัตว์เลื้อยคลานในอันดับกิ้งก่าชนิดหนึ่ง มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะโคโมโด รินคา ฟลอเรส และกิลีโมตาง
ในอินโดนีเซีย อยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกับเหี้ย จัดเป็นเหี้ยชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้



 
3.Mountain Gorilla


   
หลากหลายเรื่องราวของคนจ๋อยักษ์แห่งแอฟริกาตะวันตก ที่หลายเผ่ามีตำนานว่ามีสัตว์ใหญ่น่ากลัวดุรายแข็งแรงมีขนชอบลักพาตัว
และกินมนุษย์ โดยสัตว์ที่ว่ามีหลายชื่อ เช่น ngila, ngagi และ enge-ena


ในปี 1902 เจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่งได้ไปรวันดาวิรุงกา พวกเขาได้พบสัตว์ชนิดใหม่สายพันธุ์ลิง นั่นก็คือ กอริลล่าภูเขา
(หรือ Gorilla Beringe เพื่อเป็นเกียรติต่อคนตั้ง) เป็นสัตว์กินพืชที่มีขนยาวแขนสั้นกว่ากอริลลาทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่า
มันปีนต้นไม้ได้ แต่ชอบอยู่บนดินมากกว่า มักอยู่กันเป็นฝูงราว 30 ตัว มีการจัดระบบโครงสร้างทางสังคมชัดเจน โดยมีตัวผู้
ที่อาวุโสสุดเป็นหัวหน้าฝูง หากถูกท้าทายมันจะแสดงท่าทางขึงขังและกร้าวร้าว แต่ตามปกติแล้วกอริลลาเป็นสัตว์รักสงบ
เว้นเสียแต่ว่าถูกรบกวน ปัจจุบันมีกอริลลาภูเขาเหลืออยู่ทั่วโลกประมาณ 700 ตัวเท่านั้น ในจำนวนนี้เกือบครึ่งหนึ่งอาศัย
อยู่ป่าแถบแอฟริกากลาง



2.Okapi


 
ในสมัยชาวยุโรปมาแอฟริกากลาง  พวกเขาได้พบสัตว์แปลกประหลาดมานานหลายศตวรรษ รูปร่างมันเหมือนยูนิคอน
เพราะมันมีเขาโดยรู้จักในชื่อ Atti หรือ O’api ที่มันมีลักษณะคล้ายกับการผสมพันธุ์ระหว่างม้าลาย, ลา และยีราฟ
มันเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดมากๆ ในอียิปต์มันก็ปรากฏในรูปแกะสลักโบราณ


ในปี 1901 สัตว์ตัวนี้ก็เผยออกมาแล้วว่าเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งเรียกว่า โอกาปิ
( Okapi- Okapia johnstoni )

ญาติใกล้ชิดกับยีราฟแต่คอสั้นมาก พบในป่าดงดิบในทวีปอัฟริกา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคองโก  ปัจจุบันมันมีจำนวนเพียง
10,000 – 20,000 ตัวเท่านั้น


 




1.Giant Squid



           
คราเคน เรื่องของ คราเคนนั้นมันมานานเท่าใดไม่ปรากฏ  แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ครับเป็นเรื่องราวที่อ้างถึง
สิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อThe Natural History of Norway ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen
Pontoppidan ได้บรรยาย เกี่ยวกับ คราเคน เอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำ ขนาดย่อม ขนาดความยาวลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์
มีขนาดใหญ่มหึมานี้บ้างก็ว่าพบเห็นในรูปของมนุษย์เงือกขนาดใหญ่ บ้างก็พบในรูปของหมึกยักษ์ มีหนวดใหญ่ยุ่บยั่บ


มันชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกะทันหันเพื่อหาอาหารแปลกๆ(คงเบื่ออาหารทะเล) มันจะโผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่า
เสากระโดงเรือ มันจะโอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อน
เข้าปากอันน่ากลัวของมัน และจมเรือในที่สุด แต่เรื่องราวในช่วงหลังๆ คราเคนก็ค่อยๆลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมา
โอฬารอย่างในอดีต ถึงกระนั้นคราเคนก็ยังมีขนาดใหญ่อยู่ดีส่วนมากแล้วมักปรากฏในตำนานของทะเลเหนือ



ในสายตาของนักชีววิทยาแล้ว มันคงเป็นสัตว์ประเภทหมึกยักษ์เสียมากกว่า หมึกยักษ์  ใช่แล้วหมึกยักษ์มันเป็นสัตว์ประเภทหอย
อีกประเภทหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยพบเห็นมากนัก และมีความรู้เกี่ยวกับตัวมันน้อยมากๆ โดยเฉพาะข้อมูลของปลาหมึกในสายพันธุ์
อาร์คิเท อูธิส Giant Squid ซึ่งบางตัวมีขนาดใหญ่พอๆ กับรถประจำทาง หนวดยาวประมาณ 30-40 เมตร มีปากและงอยปาก
คล้ายนกแก้ว นัตย์ตายาว 18 นิ้วหรือฟุตครึ่ง หนัก 2-3 ตันโดยปลาหมึกชนิดนี้มักจะก้าวร้าวรุกราน และสามารถกินคนได้สบายๆ เลย

แม้มันไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยนัก แต่คนก็กลัวมันอยู่ดีแหละ มีเรื่องเล่าถึงตัวมันในรูปแบบของคราเคนมาตั้งแต่ยุคโบราณกว่าร้อยกว่าเรื่อง
แต่งเติมสีสันจนเป็นนิยายปรัมปรา มีหลักฐานการเผชิญหน้าระหว่างคนกับหมึกกยักษ์ในยุคหลังๆ จนครั้งล่าสุดในปี 1930 เรือบรันสวิค
เรือบรรทุกน้ำมันขนาด 15,000 ตัน ของนอร์เวย์มีรายงานการโจมตีเรือของเจ้าปลาหมึกชนิดดังกล่าวถึงสามครั้ง




ครั้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปลาหมึกยักษ์ว่ายน้ำตามเรือบรรทุกน้ำมันก่อนที่จะหนวดรัดรอบๆ ตัวเรือ แต่รัดอยู่ไม่นานมันก็ลื่นไหล
หนีเมื่อหนวดโดนใบพัดฟันลำตัวและหนวดจนแหลกเหลว มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุที่หมึกยักษ์ นี้โจมตีเข้า เพราะเรือของมนุษย์
เราดันไปมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ อาหารหลักของเจ้าปลาหมึกนี่เอง โดยหมึกยักษ์โจมตีมนุษย์ครั้งสุดท้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (จริงๆ)
ที่มันดีฟมันจมเรืออังกฤษขนาดย่อมสองลำ แล้วจับทหารกินหมด
 



0.Giant Panda



ครั้งในปี 1869 ปีแยร์ อาร์มองด์ ดาวิด (Pierre Armand David) มิชชันนารีฝรั่งเศสผู้สนใจศึกษาด้านธรรมชาติวิทยาที่มา
เผยแผ่ศาสนาในจีน เดินทางจากกรุงปักกิ่งไปเมืองเฉิงตู และไปยังชายขอบด้านตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน จนไปพบหนังสัตว์
พิเศษชิ้นหนึ่ง เขาบันทึกไว้ว่า


“...วันที่ 11 มีนาคม, ข้าพเจ้าได้เห็นหนังสัตว์พิเศษผืนหนึ่ง มันเกือบจะมีขนสีขาวทั่วทั้งผืน ยกเว้น
แต่ช่วงแขน-ขา ใบหู และเบ้าตาเท่านั้น ที่เป็นสีดำ...”


สิบสามวันต่อจากนั้น เขาก็ได้ซากโสวฺงมาวอีกผืน เดือนต่อมาก็ได้เพิ่มมาอีกผืน จนทำให้เขาบันทึกอย่างมั่นใจว่าสิ่งที่เจอคือ
“สัตว์สายพันธุ์ใหม่ในสกุล Ursus” สัตว์สกุลเดียวกับหมี ทั้งนี้ เขายังจัดการส่งซาก กระดูก กะโหลก ไปยังพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ
กรุงปารีส พร้อมคำบรรยายว่าเป็นสัตว์ที่ “งดงามที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยพบ”

หลังจากตรวจสอบซาก อัลฟองเซ มิลเน เอ็ดเวิร์ดส์ (Alphonse Milne-Edwards)  รายงานกลับมาว่า ซากที่ส่งไปแม้มีสรีระคล้ายหมี
แต่อวัยวะและองค์ประกอบอื่นต่างไปอย่างสิ้นเชิง มันไปใกล้ชิดกับแพนด้าแดง เขาเลยตั้งชื่อมันว่า “Giant Panda” (แพนด้ายักษ์)
ชื่อจีน “ต้า (ใหญ่) โสวฺงมาว” และชื่อไทยคือ หมีแพนด้า


ทว่าการค้นพบนี้กลับนำภัยมาสู่แพนด้า เพราะก่อให้เกิดกระแสต้องการซากแพนด้าเป็นของสะสม
และทำให้แพนด้ากลายเป็นสัตว์หาที่ยากแต่เป็นที่ต้องการของหลายๆ คนในที่สุด
 
อันดับ(แต่เนื้อหาไม่เหมือน) มาจาก
http://listverse.com/2010/08/13/top-10-cryptids-that-turned-out-to-be-real/
ข้อมูลจาก wikipedia ไทยและเทศ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ธันวาคม 2016, 10:54:55 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่