-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานผีญี่ปุ่น Part7  (อ่าน 1662 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18221
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
ตำนานผีญี่ปุ่น Part7
« เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2014, 14:06:45 »


1. ยูกิ อนนะ หญิงสาวหิมะขาว



ผีตนนี้ เขาว่าเป็นผีก็ได้ เป็นเทพก็ได้ คงคล้ายกับเท็งกุ ที่ใครๆก็ว่าเป็นปีศาจเพราะชอบกลั่นแกล้งคน
แต่ก็ได้รับการยกย่องเคารพนับถือเป็นเทพภูเขา ส่วนผีตนนี้ที่จะกล่าวต่อไป คือ ยูกิ อนนะ เป็นปีศาจ
เกิดจากจิตแห่งหิมะ บางตำนานกล่าวว่าเกิดมาพร้อมสมัยกำเนิดเกาะญี่ปุ่นและเทพเจ้า เป็นเทพธิดา
ผู้รับบัญชามีหน้าที่ดูแลเขตที่มีหิมะ เธอมีศักดิ์เป็นเทพธิดา่แห่งหิมะ


อีกตำนานก็พลิกบทบาทจากเทพธิดากลับกลายเป็นปีศาจร้าย เป็นปีศาจที่เกิดจากหญิงสาวที่พลักพลาด
กับลูกในสงคราม คงเป็นวิญญาณแค้นแบบยูเร เำพราะมักจะตายด้วยความไม่เป็นธรรม และเข้าสภาพ
กับหิมะกลายเป็นปีศาจที่มักหล่อเลี้ยงพลังของตนด้วยพลังชีวิตของผู้ชาย ปีศาจตนนี้จะดูดพลังชีวิต
ของผู้ชายและชายคนนั้นก็จะตาย ใครๆก็คิดว่าเขาหนาวตาย แต่มีผู้ชายตายมากจนผิดสังเกต
จึงทราบได้เลยว่าเป็นฝีมือของยูกิ อนนะ
(ฟังไปก็นึกถึงผีแม่หม้ายบ้านเราสงสัยด้วยให้ผู้ชายญี่ปุ่นทาเล็บ ทาปากแดงจะได้พ้นจากยูกิ อนนะ)

เลยเกิดเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา เป็นตำนานความรักของภูตกับมนุษย์ที่ว่าเป็นเลิฟสตอรี่ได้เลย
แต่จะเป็นอย่างไรที่มนุษย์เดินดินธรรมดาอยู่กันกับภูตโดยไม่รู้ตัว....!!!




นานมาแล้วที่จังหวัดมุซะชิ ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวและมีหิมะตกแรงมาก มีพ่อลูกที่ยึดอาชีพตัดไม้
ทำฟืนเลี้ยงชีพ คนพ่อชื่อ"โมะซะกุ" และลูกชายชื่อ "มิโนะคิชิ" จำใจต้องไปหาเศษไม้และตัดไม้บนเขา
ที่ปกคลุมด้วยหิมะ มันทั้งหนาวและเย็นแสนทรมานจนเขากระดูก แต่พวกเขาด้วยอดทนเพื่อตัดไม้
ไปขายหาเงินเลี้ยงชีพ ระหว่างเขาทั้งสองหอบไม้กลับบ้าน เกิดพายุหิมะลำบากต่อการเดินทางกลับบ้าน
มองเห็นว่ามีกระท่อมอยู่ไม่ไกลจึงเข้าไปพักหลบพายุ แต่พายุหิมะช่างยาวนานเสียจริง จึงค้างแรมที่กระท่อม

       
พ่อและลูกนอนหลับพักอยู่นั้น ประตูกระท่อมถูกปิดออก แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นหญิงสาวในกิโมโนสีขาว
แววตาสีฟ้าเย็นยะเยือกมิโนะคิชิแอบลืมตาดู ก็เห็นหญิงสาวกิโมโนสีขาวและเขาสัมผัสได้ถึงไอความเย็น
ที่รุนแรงมาก หญิงสาวเดินเข้ามายังข้างกายของผู้เป็นพ่อ เด็กน้อยรู้สึกได้ถึงความกลัว

"นางเป็นคนหรือปีศาจกันแน่" เขาบอกกับตนเองในใจ

หญิงสาวก้มหน้าลงเบื้องหน้าของโมะซะกุ ไอสีขาวก็ลอยออกจากปากของโมะัซะกุ
เธอสูบควันนั้นเข้าไปในจมูก เด็กน้อยตื่นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นทำอะไรกับพ่อของตน

"เจ้าทำอะไรพ่อข้า..."
"หนูน้อย...ข้าคิดจะให้เจ้ารอด แต่ชะตาเจ้าคงไม่รอดเสียแล้ว..."
หญิงสาวเดินเข้ามาใส่เด็กน้อย

"พ่อ...พ่อ...."

ถึงเด็กน้อยจะเรียกพ่อเขาอย่างไรพ่อเขาก็ไม่ตอบกลับ แท้จริงหญิงสาวคนนี้คือ ยูกิ อนนะ
ปีศาจหิมะ นางสูบไอวิญญาณของพ่อมิโนะคิชิไปแล้ว หญิงสาวกำลังจะก้มหน้าลงตาของทั้งคู่สบกัน
เด็กน้อยร้องไห้ด้วยความกลัว
อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ...ขอร้อง...ผมกลัวแล้ว..."
ยูกิ อนนะก็ถอยหน้าของพ้นจากเด็กน้อย นางยืนและจ้องมองเด็กน้อยด้วยสีหน้าที่สงสาร

"หนูน้อย...พ่อของเจ้าตายแล้ว..."
"พ่อ...."
"ข้า ยูกิ อนนะ วิญญาณหิมะ จำเป็นต้องอาศัยดวงวิญญาณของผู้ชายหล่อเลี้ยงชีพ ความจริงเจ้าเห็นข้า
เท่ากับเจ้าต้องชะตาขาด แต่เจ้าทำให้ข้ามีจิตสัมผัสถึง.....? ข้าจะปล่อยเจ้าไปแต่เจ้าจงอย่าเล่าให้ใครฟัง
ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและพ่อของเจ้าในคืนนี้ วันใดเจ้าบอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด วันนั้นชีวิตของเจ้าจะจบลง
และอีกไม่นานข้าก็ต้องจากที่นี้ไป สายลมหิมะของข้าจะต้องจากไปด้วยฤดูกาลใหม่กำลังจะมาถึง....
พระแม่แห่งสวรรค์จะประทานความอบอุ่นแก่ทั่วหล้า ความหนาวเย็นของข้าจึงต้องหลบไป..."




จากนั้นยูกิ อนนะก็หายไป เด็กน้อยจำคำพูดของยูกิ อนนะไว้ และเขาก็กอดร่างที่ไร้วิญญาณของพ่อเขาไว้
วันรุ่งขึ้นเขามาตามแม่ของเขาและบอกว่าพ่อเขาตายด้วยความหนาวเย็น ผู้เป็นแม่ยินดีที่ลูกปลอดภัย
แต่นางก็เสียใจที่คู่ร่วมชีวิตที่อยู่กินกันมาได้ตายจาก


วันเวลาต่อมา...มิโนะคิชิ โตเป็นชายหนุ่ม เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวช่วยทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูแลครอบครัว
แม่และน้องๆ เขายังคงยึดอาชีพตัดไม้อยู่ และเขามักจะนึกถึงเหตุการณ์คืนนั้นทุกครั้งที่หน้าหนาวมาเยืยน
แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ฝูงเป็ดป่าบินลงใต้ไปหาดินแดนที่อบอุ่น เขาคงเสมอว่าวันนั้นที่ยูกิ อนนะต้องมา
เอาชีวิตเขา เขาเป็นคนขยันและเป็นที่ชื่นชมของผู้คนในหมู่บ้าน

วันหนึ่งมีสาวงามนามว่า "โอ ยูกิ" มาพักอาศัยที่หมู่บ้าน นางมีผิวที่ขาวสวยงามดั่งหิมะในฤดูหนาว
และมีใบหน้าที่สวยงามไม่แพ้หญิงใด มิโนะคิชิตกหลุมรักโอ ยูกิ เลยขอนางแต่งงาน และนางก็ยินยอม
ด้วยว่าเขาเป็นคนขยันและอบอุ่น ทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยามาหลายปี นานเป็น 10 ปี
จนมีลูกด้วยกัน 10 คน ชาย 5 หญิง 5 คน

มิโนะคิชินั่งพินิจพิจารณา โอ ยูกิ ซึ่งกำลังนั่งเย็บผ้าเพื่อส่งไปขายยังตัวเมือง ิมิโนะคิชิ สังเกตว่า
ภรรยาของตนอายุก็มากขึ้นแล้ว แต่ผิวและใบหน้าหาได้มีริ้วรอยแสดงถึงความมีอายุเลย กลับยังคง
ความสาวเหมือนตอนที่ตนพบครั้งแรก ซึ่งใครๆในหมู่บ้านก็พากันว่าโอ ยูกิมียาิวิเศษหรือวิชาดี
ที่สามารถคงความงามไว้ได้ เขาเองก็สงสัยในตัวภรรยาของเขาเช่นเดียวกับชาวบ้าน
มิโนะคิชินั่งมองไปมา จนโอ ยูกิรำคาญ


"ท่านพี่มองอะไรน้องจัง...ค่ะ"
"ก็มองความงามของเจ้านะซิ พี่เจอเจ้าเมื่อ10ปีเจ้าก็ยังคงความงามเหมือนเมื่อ10ปีก่อนไม่มีผิด"
"ท่านพี่ก็ชมข้ามากไปแล้ว คนผิวขาวอย่างข้าใครๆก็ดูว่าไม่แก่"
"แต่ว่า....เจ้าทำให้พี่นึกถึงใครบางคน...."
"ใครล่ะค่ะท่านพี่ คนรักเก่าของท่านหรือ"
ไม่ใช่....เหรอ..."
"แล้วใครกันค่ะ...ข้าอย่ารู้"
"ปีศาจหิมะ ยูกิ อนนะตอนนั้นพี่ยังเด็กมันนะฆ่าพ่อพี่ มันสูบวิญญาณพ่อพี่ไป...พี่นะแค้นมันจริงๆ..
ปีศาจร้ายอาศัยชีวิตคนเพื่อตัวมันเอง..."


"ท่าน....พี่....."
เสียงของโอ ยูกิเปลี่ยนไป



โคมไฟที่จุดไว้ก็ดับลง บรรยากาศเกิดหนาวขึ้นมาทันที นิโนะคิชิถึงกับควันออกปาก โอ ยูกิจ้องมองเขา
ด้วยความตายที่ไำม่พอใจจากเสียงที่อ่อนนุ่มก็เปลี่ยนเป็นเสียงที่แข็งกล้า

"ไหนเจ้าสัญญากับข้าว่าจะไม่บอกเล่าให้ใครฟังถึงเรื่องที่เกิดคืนนั้นไง...."

มิโนะคิชิถึงกลับตะลึงเมื่อโอ ยูกิแปลงเปลี่ยนกลายเป็นยูกิ อนนะ จากกิโมโนธรรมดากลายเป็นกิโมโนสีขาว
แววตาที่สดใสกลายเป็นดวงตาสีฟ้าและเยือกเย็น

"เจ้าจำได้ไหมว่า เมื่อเจ้าบอกเรื่องนี้แ่ก่ใครวันนั้นจะเป็นวันตายของเจ้า....."
"ไม่นะ...โอ ยูกิ เจ้าเป็นอะไรกันแน่.."
"โอ ยูกิ ก็คือข้า"
"นางปีศาจเจ้าปลอมมาหลอกข้าอีกเหรอ...."
"ไม่...ข้ารักเจ้า...และข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าก็คือเด็กน้อยในคืนนั้น....ดีล่ะข้าก็จะได้ฆ่าเอาพลังวิญญาณ
เจ้าเป็นการปิดปากไม่ใ้ห้เรื่องของข้าเป็นที่รู้แก่คนทั่วไป..."


ยูกิ อนนะขยับเข้ามาใกล้มิโนะคิชิ
"เจ้าเตรียมตัวไปพบพ่อเจ้าที่ปรโลกได้"
อยู่ๆ ยูกิ อนนะก็ต้องหยุด
"ช่วยด้วยหนูหนาวจังเลย"
"พ่อครับหนาวจัง"
"แม่ค่ะหนูหนาวจังเลย..."

เสียงลูกๆที่หลับอยู่ตื่นด้วยความหนาวเย็น ยูกิ อนนะมองไปทางห้องของลูกๆที่น้ำตาก็ไหลออกมา...



"ข้าจะไม่ฆ่าท่านพี่..."
"โอ ยูกิ...."
"ท่านพี่...ข้าไปก่อน...ข้าฝากลูกๆของเราด้วย..."
"ทำไม...โอ ยูกิ ไ้ด้โปรดพี่ขอโทษ..."
"ข้าอยู่กับท่านพี่ไม่ได้ ท่านทราบแล้วว่าข้าเป็นยูกิ อนนะ และท่านผิดสัญญากับข้า...ข้าอยู่กับท่านไม่ได้"


มิโนะคิชิลุกขึ้นพยายามจะเข้ากอดยูกิ อนนะ แต่ไอเย็นจากตัวนางรุนแรงมากจนแทบจะเหมือนกอดกับน้ำแข็ง

"ท่านพี่...ข้าต้องไปแล้ว ข้าคิดว่าจะอยู่กับท่านและลูกๆได้ แต่ลิขิตแห่งฟ้าภูตกับมนุษย์มิอาจจะอยู่ร่วมกันได้...
ข้าฝากลูกด้วย...ท่านต้องเลี้ยงเขาให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะมาปลิกชีพท่านไม่วันใดก็วันหนึ่ง"


ยูกิ อนนะหายวับไปพร้อมกับความหนาวเย็น บรรยากาศในบ้านกลับมาปกติ มิโนะคิชิวิ่งออกจากบ้านและตะโกนเรียก

"โอ....ยู..กิ....."



จากนั้นมาเขาต้องรับหน้าที่เป็นพ่อของลูกๆทั้ง 10 คน ทุกคนล้วนหน้าตาดีและผิวพรรณขาวสะอาด
เหมือนโอ ยูกิผู้เป็นแม่ มิโนะคิชิไม่เคยคิดจะมองหญิงอื่นหรือหาแม่ใหม่ให้กับลูกๆ ยามเข้าหน้าหนาวเขามัก
จะขึ้นเขาไปหาฟืน เขาก็จ้องมองไปทั่วยังเขาที่มีหิมะปกคลุม และเขายังคงหวังที่รอคอยว่าอาจจะได้
พบเจอ ยูกิ อนนะ ภรรยาที่รักของเขาอีกครั้ง....


ว่าไปเรื่องเล่าตำนานนี้ก็ดูจะเข้าตำราหนังจีนเรื่องโปเยโปโลเย แต่นี้เป็นโปเยโปโลเยฉบับญี่ปุ่น...
ตำนานความรักระหว่างคนกับภูตหิมะ...



2. อาวยะกิ นางไม้ที่ปรารถนาจะมีรัก



ในบรรดาตำนานเรื่องเล่าของญี่ปุ่นที่ว่าด้วยเรื่องของภูตผีปีศาจ เรื่องต่อมาที่จะเสนอต่อไปนี้ เป็นตำนาน
ที่ไม่ต่างจากเรื่องที่เล่าไปก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าที่ญี่ปุ่นจะมีตำนานความรักระหว่างปีศาจกับมนุษย์
อย่างเรื่องยูกิ อนนะ ที่เล่าถึงความรักของปีศาจหิมะกับมนุษย์หนุ่ม แต่วันนี้จะมาเล่าถึงตำนานความรักของ   
วิญญาณสาวงามที่สถิตในต้นหลิวที่มาหลงรักกับมนุษย์


ทุกวันคงเคยแล้วที่เล่าถึงปีศาจโคดามะ ที่เป็นความเชื่อของคนญี่ปุ่นว่าในต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่และอายุนับ
มากกว่า100ปี จะมีวิญญาณสถิต ซึ่งความเชื่่อของเขาและเราก็ไม่ต่างกันเท่าไร แต่เรื่องนี้ที่จะเสนอนี่
จะมิใช่ปีศาจเต็มร้อย น่าจะเป็นภูตเทพธิดาผู้พิทักษ์ต้นหลิว อย่างบ้านเราคงไม่พ้นนางไม้ จึงขอเรียกว่า
นางไม้ล่ะกัน อย่างบ้านเรานางไม้เท่ากับเป็นเทพธิดาที่มีวิมานสถิตในต้นไม้ที่มีอายุมากกว่า 100ปีขึ้นไป

เรื่องเล่าของตำำนานรักที่จะออกแนวโปเยโปโลเยฉบับยี่ปุ่นมีดังต่อไปนี้...

ในสมัยบุมเม มีซามูไรหนุ่มที่รูปงามนามเพราะว่า "โทะโมะทะดะ" เขามีเจ้านายเป็นเจ้าเมืองโนะโต
และเจ้าเมืองก็รักเอ็นดู ให้เขาเรียนหนังสือทั้งวิชาการและการทหาร พอเขาเรีัยนจบก็มีความสามารถ
ฉลาดเฉลียวและมีฝีมือในทางอาวุธต่างๆเป็นที่โปรดปรานของเจ้าเมือง ต่อมาเขาได้รับมอบหมาย
ไปติดต่อราชการลับกับเจ้าเมืองโตเกียว ซึ่งเป็นญาติกับเจ้าเมืองโนะโต


ขณะที่โทะโมะทะดะเดินทางไปทำธุระราชการลับที่โตเกียวระหว่างทางเกิดอากาศด้วยช่วงนั้นเป็น
ฤดูหนาวมีหิมะตกหนัก จึงลำบากต่อการเดินทางกลับเมืองโนะโต เขาเดินทางใช้เวลาถึง 3 วัน
โทะโมะทะดะเดินทางด้วยม้าพายุหิมะก็พัดแรงเขาอ่อนแอเหน็ดเหนื่อยและเขาก็เดินทางจนมาถึง
กระท่อมหลังหนึ่ง และมีต้นหลิวต้นใหญ่ 2 ต้น และต้นเล็กสูงไม่ถึงเข่า

โทะโมะทะดะลงจากม้าและเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าของกระท่อม ซึ่งก็มีหญิงชรา
และชายชราออกมาดู
"พ่อคุณมาทำอะไรตรงนี้พายุหิมะมันเข้าดูๆหนาวตายเลยเข้ามา..เข้ามา"
"อาวยะกินำน้ำร้อนมาให้พ่อหนุ่มเขาหน่วยลูก"
"ค่ะ ท่านแม่"

ชายหนุ่มนั่งบนเบาะ ชายชรานำผ้าห่มผืนหนามาให้
"ห่มซะ จะช่วยให้บรรเทาความหนาวได้"

เปลวไฟที่ก่อเพื่อให้ความอบอุ่้น โทะโมะทะดะมองผ่านเปลวไฟตรงหน้า เขาเอามือเข้าผิงไฟ
"น้ำร้อนได้แล้วค่ะ"
โทะโมะทะดะมองไปตามเสียงของหญิงสาว เขาสะดุดมองใบหน้าที่สวยงามของหญิงสาว
"ดีเลยอ่ะ พ่อหนุ่มดื่มซะหน่วยเดี๋ยวยายใส่ชาให้มันหอมๆนะ"

โทะโมะทะดะ รับถ้วยชาและดื่ม
"ฮะ...อุ่น..อุ่นจริงๆ ขอขอบคุณท่านตาและท่านยายมากนะครับ"
"ไม่เป็นไรนะพ่อหนุ่ม ดีแล้ว..."


โทะโมะทะดะมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆหญิงชรา นางอายจึงหลบหน้าหันไปทางอื่น
"พ่อหนุ่ม..ฮา..ฮา..ฮา..นี่อาวยะกิลูกสาวข้า"
"อาวยะกิหรือ..."


โทะโมะทะดะมองไม่ขาดตา และเขาจึงเอ๋ยบทโคลงขึ้นว่า
"ระหว่างเดินทางไปหามารดาได้พบเยาวมาลย์ที่งามประดุจ บุปผางามกลางพนาวัลย์ เพื่อนางแล้ว
จึงได้พักค้างในเรือนนาง แม้นดวงสุริยาจะขึ้นแสดงถึงอรุณใหม่ข้ามิอาจอยากจะจากนวลนางไป"


โทะโมะทะดะกล่าวแล้วจ้องอายวะกิไม่วางตา อาวยะกิมองมาและยิ้มด้วยแก้มสีชมพูอ่อนงาม
และแววตาที่สดใสเหมือนมีดวงดาวทางช้างเผือกอยู่ภายใน นางจึงตอบเป็นโคลงไปว่า
"หากแม้นชายแขนอาภรณ์ข้าเร้นประดับด้วยสีสันแห่งดวงสุริยา หวังยิ่งว่าพี่ยาจะไม่จากน้องไป..."

โทะโมะทะดะได้ยินดังนั้น ตาตื่นลุกด้วยความยินดี ใจเต้นดีใจ อายวะกิรับความรู้สึกที่เขารักต่อเธอแล้ว...
"ข้าแต่ท่านตาท่านยายข้าทนมิหวังแล้ว ข้ารักบุตรสาวท่าน ข้าขอนางเป็นภรรยาได้หรือไม่ ข้าจะเลี้ยงนางเป็นอย่างดี"

และแล้วโทะโมะทะดะก็บอกกล่าวว่าตนเป็นใครมีที่มาอย่างไร พอหญิงชรา ชายชราทราบว่า
เขาเป็นซามูไรจึงยินยอมยก อายวะกิให้แก่เขา อาวยะกิก็ยินดีที่จะเป็นภรรยา วันต่อมาโทะโมะทะดะ
ก็พาอาวยะกิขึ้นม้าและมุ่งหน้าไปยังโตเกียว

โทะโมะทะดะได้สาวงามมาเขาก็คิดหนักเกรงกลัวนางจะไม่ปลอดภัยเพราะความงามของนาง แต่ก็เป็นจริง
นางก็ถูกจับไปเป็นนางกำนัลในวังของเจ้าเมืองโตเกียวจริงๆ โทะโมะทะดะก็ๆไม่รู้จะทำอย่างไร
จึงส่งจดหมายลับให้นางหนีออกจากวังและทั้งสองจะหนีอาญาไปอาศัยในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกล

แต่จดหมายนั้นกลับไปอยู่ในมือของเจ้าเมือง เจ้าเมืองอ่านและเกิดความประัทับในความรักเขาทั้งสอง
จึงจัดพิธีแต่งงานให้อย่างใหญ่โต โทะโมะทะดะและอาวยะกิก็ได้เป็นสามีภรรยาได้ดั่งใจที่ปรารถนา
5 ปีต่อมาของความสุขและความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งชมสวนและบ่อน้ำ
ที่ดอกบัวกำลังบานสะพรั่น อาวยะกิอยู่ๆในขณะที่กำลังจะในอยู่อ้อมกอดของโทะโมะทะดะ นางก็ร้องขึ้น
ด้วยความเจ็บปวด


"โอ๊ย................."
"อาวยะกิเป็นอะไร..."
"ท่านพี่...ข้าเจ็บเหลือเกิน...."


อาวยะกิน้ำตาไหลแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างมาก
"ท่านพี่....เรามาเป็นสามีภรรยากันได้เพราะผลแห่งบุญที่เราสร้างกันมา แต่....น้องช่างมีบุญน้อยเสียจริงๆ...
ฟ้าให้เรามาพบกันและฟ้ายังมาพรากน้องจากท่านพี่อีก..."
"อาวยะกิน้องพูดอะไร...ใครก็ได้ไปตามหมอมาทีเร็ว"

พวกคนรับใช้วิ่งกันวุ่นวาย

"ไม่นะ อาวยะกิน้องต้องไม่เป็นอะไรเดี๋ยวหมอก็มา เจ้าต้องหาย"
"ท่านพี่...เวลาของน้องมาถึงแล้ว...พญามัจจุราชท่านย่อมต้องการชีวิตใครท่านย่อมต้องได้...."


อาวยะกิสิ้นลมเสียแล้ว  "อาวยะกิ........................."

โทะโมะทะดะอยู่ในความโศกเศร้า เจ้าเมืองพยายามจะหาสาวงามมาแต่งกับเขา แต่เขาก็รักเสียอาวยะกิ
เพียงนางเดียว เขาจึงสละทางโลกมุ่งสู่ทางธรรม เขาบวชเป็นพระและออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ และเขาก็
เดินทางผ่านมาบริเวณกระท่อมที่เป็นสถานที่เขากับอาวยะกิพบกัน และเขาก็หวังจะเข้าไปเยี่ยมเยือน
ผู้เป็นพ่อตา แม่ยายเสียด้วย แต่เขากลับไม่พบกระท่อมเขาพบเพียงต้นหลิวใหญ่ 2 ต้น และต้นเล็ก1ต้น
ที่ถูกตัดไปแล้วจนเหลือแต่ตอเท่านั้น...!!! 


โทะโมะทะดะจึงทราบได้ว่าภรรยาของเขานั้นคือ นางไม้ต้นหลิว และตายเพราะถูกตัดโค่นต้นมิใช่โรคร้าย
หรือวิชามนต์ดำอันใดเลย... และเขายังคงอาลัยและส่งอุทิศส่วนบัญส่วนกุศลให้แก่อาวยะกิ นางไม้ต้นหลิว
อันเป็นที่รักของเขาตลอดไป...



3. จิกินินกิ เปรตกินศพ



จากการศึกษาแล้วผีญี่ปุ่นตนนี้มาพร้อมกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าญี่ปุ่นเขา
จะมีเหมือนกัน "เปรต" บ้านเราก็จะเชื่อกันว่า ด่าพ่อ ด่าแม่ ตีพ่อ ตีแม่ เมื่อตายไปจะเกิดเป็นเปรต
ซึ่งหากลองคิดดูแล้วที่ญี่ปุ่นจะมีเปรตก็ดูไม่ผิดเพราะที่ประเทศจีนแต่ก่อนก็เคยมีความเชื่อเรื่องผีเปรตเช่นกัน
ในช่วงราชวงศ์ถังที่เป็นช่วงพระพุทธศาสนารุ่งเรืองที่สุด ซึ่งเป็นไปได้ว่าผีตนนี้เกิดด้วยเหตุที่มาทางพระพุทธศาสนา
เพราะในตำนานเรื่องเล่าหรือนิทานของพระพุทธศาสนามักจะเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ใครทำสิ่งใดไว้
ทำดีผลดีย่อมสนอง หากทำชั่วแล้วผลแห่งความชั่วยังตามสนองอย่างเรื่องที่จะเล่าต่อไป...


จิกินินกิ เป็นผีเปรตที่เกิดจากผลกรรมร้ายที่เขาทำไว้ตอนยังเป็นมนุษย์ พอสิ้นบุญไปจุติยังโลกหน้าแล้ว
ผลกรรมที่ทำเอาไว้ได้บันดาลให้เขากลายเป็นเปรตต้องอดทุกข์ทรมานด้วยความหิวโหย แต่เปรตพวกนี้
ด้วยผลกรรมของพวกเขาทำให้มันต้องกินศพเป็นอาหาร ซึ่งเป็นที่น่ากลัวและน่าเวทนาต่อผู้ที่พบเห็นเป็นอันมาก
เลยมีตำนานเป็นนิทานเล่าถึงผีเปรตพวกนี้เป็นตัวอย่างให้ประกอบผลกรรมดีไว้จะได้ไม่มาเป็นเปรตกินศพอย่างนี้

เรื่องมีอยู่ว่า... มีพระสงฆ์รูปหนึ่งนามว่า "มุโซ โคะกุชิ" ได้ออกธุดงค์เข้าเขตจังหวัดมิโนะ และท่านก็เกิดหลงทางอยู่ใน
หุบเขาหาทางออกไม่ได้ ท่านหลังว่าจะพบหมู่บ้านเพื่อพักค้างแรม แต่ฟ้าก็ใกล้จะมืดเสียแล้ว ท่านจึงเลือกที่จะพักในป่า
จนท่านมีพบกับกระท่อมหลังหนึ่ง ท่านเขาไปหวังจะขอพักแรม แต่พอไปถึงกระท่อมกลับมีเจ้าของเป็นพระ
เช่นกันแต่แก่ชรามาก




"อาตมาเดินทางมาไกลและหลงทางในเขานี้มานานแล้วขอท่านค้างแรมคืนนี้ในกระท่อมของท่านได้หรือไม่ขอรับ"
"อย่าเลย...อาตมาต้องการความวิเวก แต่อาตมาจะบอกทางไปหมู่บ้านให้"

พระชราก็ชี้ทางและให้คบเพลิงเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำแก่พระมุโซ

พระมุโซเดินทางมาตามทางที่พระชราบอกก็พบกับหมู่บ้านกลางหุบเขา ท่านเดินเข้าไปยังในหมู่บ้าน
เหล่าชาวบ้านก็ทำการต้อนรับเป็นอย่างดี ท่านพักในบ้านของชาวบ้านที่หลังใหญ่ที่สุด แต่วันนั้นเป็นวันที่
ทางหมู่บ้านมีงานพิธี คือ พ่อของเจ้าของบ้านที่ใ้ห้พระมุโซพักแรมท่านเสียชีวิตเมื่อวาน และวันนี้เป็นวันจัดพิธีศพ
เป็นเวลาเหมาะเพราะกำลังต้องการพระมาทำพิธีอยู่พอดี พอทำพิธีกรรมทางศาสนาสวดส่้งดวงวิญญาณ
ไปสู่สุคติแล้ว ผู้เป็นลูกชายของผู้ตายก็เข้ามาพูดกับพระมุโซ

"หลวงพี่ขอรับ...คือหมู่บ้านเราเมื่อมีคนตายหลังจากทำพิธีส่งดวงวิญญาณแล้ว เราทุกคนในหมู่บ้าน
ก็จะทิ้งศพของผู้ตายพร้อมเครื่องเซ่นไหว้ไว้และไปค้างคืนที่หมู่บ้านข้างๆครับหลวงพี่"
"ทำไมทำเช่นนั้นเหล่าโยม"
"มันเป็นประเพณีครับหลวงพี่ เราทำก่อนมาแตุ่รุ่นทวดของทวด มันเป็นสิ่งที่เรามิอาจจะขัดต่อเจตจำนง
ของบรรพชนได้ เพราะมันจะมีสิ่งประหลาดที่น่ากลัวเกิดขึ้นครับหลวงพี่หากเราอยู่ต่อไปมันอันตราย"
"เช่นนั้นพวกโยมไปกันเถอะ อาตมาขออยู่ที่นี้เป็นเพื่อนศพล่ะกัน จะได้แผ่เมตตาด้วย"


จากนั้นชาวบ้านทุกคนย้ายเดินทางกันไปอยู่ที่หมู่บ้านใกล้เคียง หมู่บ้านเงียบสนิท แม้แต่เสียงของสัตว์
อย่างแมลงหรือหนูก็ไม่มีให้ได้ยิน พระมุโซยังคงทำการสวดมนต์อยู่ในห้องที่ไว้ศพ ท่านนั่งสมาธิอยู่นั้น
เพียงท่านลืมตาด้วยสัมผัสถึงความผิดปกติเท่านั่นเอง ภาพที่เห็นตรงหน้า ปีศาจรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว
กำลังกินศพอย่างตระกะมันฉีกศพทั้งแขนและเครื่องในอย่างน่าสยดสยอง พระมุโซเห็นดังนั้นจะหนีก็หนีไม่ได้
ราวกลับต้องอะไรบางอย่าง จึงขยับร่างกายไม่ได้ ท่านดูการกินของมันอย่างน่าสยดสยอง ปากของมัน
ที่กว้างยักทุกสิ่งทุกอย่างลิ้นของมันที่เลียเมือกและเลือดอย่างเอร็ดอร่อย กระดูกของศพเองยังกัด
เสียงดังกรอบกรอบ... ขวักลูกตาของศพกลืนอมให้ในปาก


ศพของผู้ตายที่น่าสงสารแทนที่จะได้ฝังให้ลูกหลานไว้กราบไหว้ดังมากลายเป็นอาหารของปีศาจร้ายตนนี้
จากศพที่วางบนเตียงและแต่งด้วยดอกไม้ กลับหายไปในพริบตา ปีศาจร้ายมันลูบท้องไปมาแต่ยังมีเสียง
ท้องร้องซึ่งส่งเสียงดังรู้ไ้ด้เลยว่ามันยังไม่อิ่ม มันหันไปกินเครื่องเซ่นมากมายมันเขมือบอย่างตระกะมือ
ของมันสาวได้สาวเอาหยิบได้หยิบเอาเข้าปากอย่างไม่หยุด พอเครื่องเซ่นหมดเท่านั้นมันก็ยังคงลูบท้อง
เสียงท้องยังคงดังอยู่ๆเรื่อยๆ และมันก็เดินหายไปในความมืด

พระมุโซที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ลุกขึ้นและเดินตามไปดูก็ไม่เห็นปีศาจตนนั้นแล้ว ท่านก็กลับมา
ยังเตียงที่ไว้ศพ ท่านยกมือพนมขึ้นและสวดมนต์อีกครั้งและแผ่เมตตาให้แก่ปีศาจร้ายตนนั้น
รุ่งเช้าชาวบ้านกลับมาและพากันไปหาพระมุโซซึ่งกำลังนั่งเตรียมของจะเดินทางต่อไป ลูกชาย
ของผู้ตายเข้ามาถามพระมุโซ

"หลวงพี่...โธ่พี่คิดว่าหลวงพี่จะแย่แล้ว..."

พระมุโซมองไปยังห้องไว้ศพ เห็นคนในครอบครัวทำการทำความสะอาดแต่แปลกประหลาดที่เขาไม่ร้องไห้
หรือโศกเศร้าแต่ทำตัวเหมือนว่ามัีนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว...

"หลวงพี่เขา เมื่อคืนนี้หลวงพี่คงได้เห็นอะไรที่มันน่ากลัวแล้วใช่ไหมครับ"
"โยม อาตมาขอถามหน่วยนะ การที่ศพหายไปนี้พวกโยมไม่คิดสงสัยหรือเศร้าเสียใจเลยหรือ"
"ไม่ครับ...หมู่บ้านก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ทุกคนที่มีคนตายศพก็มักจะหายไปและเป็นประเพณีที่ต้องทิ้งศพ
ไว้เช่นนั้นครับหลวงพี่แต่ผมก็ยังประหลาดใจอยู่จึงอยากทราบว่ามันเป็นเพราะอะไรครับที่ศพหายไป..."


พระมุโซได้บอกถึงเหตุการณ์ที่พบเห็นมาเล่าให้ลูกชายของผู้ตายและชาวบ้านฟังถึงปีศาจที่มากินศพ
แต่ชาวบ้านกลับเฉยและรู้อยู่แล้ว
"ที่หลวงพี่เล่ามานั้น พวกเราพอทราบบ้างแล้วครับ ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่ากันมาเหมือนกัน"
"และพระที่อยู่บนเขาไม่เคยมาทำพิธีศพในหมู่บ้านบ้างเลยหรือ"
"พระที่ไหนครับหลวงพี่...บนเขานี้ไม่มีพระมาอยู่นานมากเลยนะครับ"

หลังจากนั้นพระมุโซก็ร่ำลาชาวบ้าน แต่ท่านยังสงสัยอยู่ในพระชราที่พบเมื่อวานจึงขึ้นเขาไปอีกครั้งเพื่อไปดูให้รู้
พระมุโซก็หากระท่อมนั้นพบและพระชรายังคงอยู่ในกระท่อมนั้น แต่ท่าทีของพระชราดูเปลี่ยนไป
"ท่านผู้ทรงศีลเป็นบุญอย่างมากที่ท่านมาเยือนกระ่ท่อมที่ใกล้พังเช่นนี้"
"หลวงตาอย่างดีพูดเช่นนั้น อาตมาต้องขอขอบพระคุณที่ท่านชี้บอกทางไปยังหมู่บ้านแก่อาตมา
เช่นนั้นอาตมาคงไม่มีที่พักค้างแรมแน่ๆ"
"ท่านผู้ทรงศีล การที่ข้าน้อยมิอาจจะให้ท่านพักในกระท่อมนี้ได้ เพราะข้าน้อยเกรงท่านจะ
ไม่จำเริญตาจำเริญใจกับข้าน้อย"


พระชราก็ร้องไห้ออกมา
"ข้าน้อยเป็นคนบาป ตายไปแล้ววิญญาณมิอาจจะไปไหนได้นอกจากกระท่อมหลังนี้ที่ตนสร้างไว้
เป็นที่ปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา รูปลักษณ์ของข้าน้อยก็น่าเกลียดน่ากลัว เพราะผลกรรมทำให้ร่างของข้าน้อย
และยังกลายเป็นอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัว และทรมานด้วยความหิวโหยเป็นเปรตที่ใครไม่ทำบุญให้
อาศัยกินศพของคนตายเพื่อดำรงชีพ ซึ่งความจริงไม่อยากจะกินเลยแต่ทนความหิวไม่ไหว...
ท่านผู้ทรงศีลได้โปรดช่วยข้าน้อยให้ดวงวิญญาณพ้นจากสภาพนี้ทีเถอะ...."


"และท่านก่อกรรมใดไว้จึงมารับผลกรรมเช่นนี้"



"ข้าน้อยตอนยังเป็นมนุษย์ เคยบวชในพระพุทธศาสนาเป็นภิกษุสงฆ์ ออกธุดงค์และมายังเขานี้อาศัยพื้นที่
สร้างกระท่อมนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และชาวบ้านทราบว่ามีพระมาอยู่ที่เขาก็มักจะนิมนต์
ไปทำการสวดส่งวิญญาณไปสู่สุคติ และพวกเขามักให้เป็นสิ่งของตอบแทนจนข้าน้อยเกิดกิเลศ เข้ามากๆ
ก็เรียกสิ่งตอบแทนแพงขึ้น พอตายก็มาเป็นเปรตเพราะกรรมที่เคยหากินจากงานศพนี้ล่ะครับท่านผู้ทรงศีล"


พอสิ้นคำพูดของพระชรานั้น พระมุโซมารู้ตัวอีกทีก็เห็นซากของกระท่อมและมีหลุมศพอยู่ ท่านเลยทราบว่า
หลุมศพนี้เป็นของพระชรานั่นเอง และท่านก็ทำการบอกแก่ชาวบ้านให้ช่วยกันประกอบความดีและแผ่ผลบุญ
ไปถึงพระชราที่เป็นเปรตด้วย... จากนั้นหมู่บ้านก็ไม่มีเปรตมากินศพอีกเลย....



4. สยบวิญญาณร้าย



เรื่องต่อไปนี้เป็นเ้รื่องเล่าขานตำนานชวนสยองขวัญอีกเรื่องของญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีคติความเชื่อ
แนวเอเชีย คล้ายบ้านเราเหมือนกัน เมื่อมีคนทำความผิด มีบ้านก็ต้องมีกฎของบ้าน มีเมืองก็ต้องมีกฎของเมือง
นั่นคือ ทุกคนจะต้องอยู่กันในสังคมก็ต้องมีกฎหมาย ใครทำผิดย่อมต้องลงทัณฑ์จะร้ายแรงก็ตามที่ผู้นั้นกระทำ
ใครเป็นหัวขโมย ใครเป็นผู้ร้ายปล้นชิงฆ่าสังหารผู้คน ย่อมต้องโทษที่สมควรคือ "ประหารชีวิต"
และผู้ที่ต้องทำหน้าที่ประหัดประหารชีวิตนักโทษอาญา ก็ต้องเป็นหน้าที่ของ "เพชฌฆาต"
(พูดไปก็นึกถึงหลวงนฤบาลอย่างไงอย่างนั้น)


เพชฌฆาตของญี่ปุ่นเป็นชนชั้นซามูไร เป็นผู้มีความสามารถที่มีแรงสามารถฟัดให้คอขาดในดาบเดียว
ซึ่งตามปกตินักโทษที่กำลังอยู่ในแดนประหาร และกำลังกลัวกับการที่ชีวิตต้องมาจุดจบทั้งๆที่ไม่ได้ตายไป
ตามธรรมชาติ (ก็ดันมาทำตัวผิดกฎบ้านกฎเมืองกันทำไม) ความเชื่อของเขาเชื่อว่า วิญญาณของนักโทษ
เป็นวิญญาณแค้น และมันจะตามล้างแค้นกับผู้ที่่เป็นเพชฌฆาต ผมศึกษาเรื่องนี้มาก็เข้ากับละครเรื่อง โรงแรมผี
อย่างไงไม่รู้ซิ

เรื่องที่จะมาเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพชฌฆาตท่านหนึ่งที่มีวิธีการสามารถสยบวิญญาณไม่ให้
กลับมารบกวนหรือมาล้างแค้นตนได้


สวนยะชิกิอันเป็นลานประหารแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น สวนแห่งนี้จะต้องนองไปด้วยเลือดของนักโทษ
คราวนี้มีนักโทษผู้หนึ่งที่ชะตาขาดในวันนั้น นักโทษถูกมัดคุกเข่าไว้แน่น นักโทษเริ่มกลัวและรู้ว่าวันนี้
คอตนเองขาดหลุดขาดจากบ่า เงามืดอันน่ากลัวของเพชฌฆาตทอดยาวมาทางนักโทษ นักโทษ
เห็นเงาของเพชฌฆาตถึงกับตัวสั่นจนน้ำตาไหล... เพชฌฆาตหยุดอยู่และชักดาบออกจากฝัก


"ใต้ท้าวขอรับ...ได้โปรดเถิดขอรับ ข้า้น้อยทำการฆ่าเขาโดยมิได้เจตนาขอรับ ได้โปรดเห็นใจข้าน้อยด้วย"
"ข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้...เจ้าทำผิดถึงขั้นพลาดชีวิตผู้อื่น โทษของเจ้าก็ต้องชีวิตใช้ชีวิตเพื่อเป็นแบบอย่าง
ไม่ให้ชนรุ่นหลังอย่าเอาเป็นแบบอย่าง..."


"เช่นนั้นข้าจะกลับมาแก้แค้นท่าน........"

"จริงหรือ...เจ้าจะมาแก้แค้นข้า และเจ้ามีข้อยืืนยันไหมว่าเจ้าจะกลับมาแก้แค้นข้า...."
"ข้าต้องกลับมาแก้แค้นเจ้าแน่...."
"เช่นนั้นก่อนที่คอเ้จ้าจะขาดออกจากบ่า เจ้าเห็นหินโทบิ-อิชินั้นไหม"
"เห็น...."
"ในขณะที่ข้าจะตัดคอเจ้า...เจ้าจงพยายามจะกัดหินก้อนนั้นได้ หากหัวเจ้าหลุดไปกัดหินนั้นได้
ข้าจะยอมรับว่าเจ้าจะกลับมาแก้แค้นข้าจริงๆ"


"ข้าทำได้"

นักโทษจ้องมองไปยังก้อนหินด้านหน้า เพชฌฆาตชักดาบและยกขึ้นสูงฟันลงบนคอของนักโทษขาด
ปรากฏว่าหัวของนักโทษไปกัดก้อนหินนั้นจริงๆ และร่วงลงบนพื้น (หินโทบิ-อิชิน่าจะเป็นหินประเภทหนึ่งที่ใช้ประดับสวน)
เพชฌฆาตก็มอบดาบให้แก่คนรับใช้นำไปล้างและเก็บเข้าฝัก เหล่าบ่าวไพร่ที่มาดูนายประหารก็พากันกลัวว่า
วิญญาณของนักโทษคนนี้จะกลับมาแก้แค้นจริงๆ จึงพากันกลัวไม่เป็นอันสบายตามแต่ก่อน เพราะเจ้านักโทษ
ทำตามที่ผู้เป็นนายสั่งซึ่งแสดงว่าจะกลับมาแก้แค้นจริงๆ


ด้วยผู้คนพากันกลัวตกในห้วงแห่งความกลัวนั้น ก็พยายามหารือปรึกษากันก็เลยขอให้ผู้เป็นนายนิมนต์พระ
มาทำพิธีปัดรังควานขับไล่วิญญาณร้าย

"ไม่จำเป็นเหรอ...."

เหล่าบริวารพากันตกตะลึงกับคำพูดของเจ้านาย

"ข้ารู้ว่าพวกเจ้านะกลัว แต่รับรองได้ว่าจะไม่มีวิญญาณใดมารบกวนเราอีก ข้าจะบอกเจ้านะว่า การที่ข้าให้
เ้จ้านักโทษนั้นกัดก้อนหินเป็นการยืนยันว่าจะกลับมาแก้แค้นก็จริง แต่เจ้าจงเข้าใจว่าเมื่อข้าให้มันจิตอยู่กับก้อนหิน
มันก็จะคิดถึงก้อนหินอย่างเดียว ความอาฆาตที่มันคิดก็จะไม่มีอยู่ในหัวและมันพยายามจะดิ้นรนให้หัวพุ่งไป
กัดหินให้ได้ เท่ากับว่าในขณะที่ตายไม่มีจิตคิดอาฆาตข้าเลยเพราะมันมีจิตมุ่งแต่ก้อนหินนั้น.....
พวกเจ้าจึงไม่ได้กลัวว่าจะมีวิญญาณร้ายอะไรมาแก้แค้นเหรอ...."


พอคำเฉลยของผู้เป็นนายออกมาเช่นนั้น เหล่าบริวารก็สบายใจและอยู่กันตามปกติตลอดมา และไม่มีวิญญาณใด
มารบกวนเลยนับแต่นั้นมา เรื่องนี่น่าเชื่อถือได้เพราะจิตของคนก่อนตายหรือใกล้ตายจะมีจิตที่แรงกล้ามาก
จึงอาจเป็นที่มาของวิญญาณแค้นที่เรียกว่า "ยูเร" อย่างที่เคยกล่าวไปแล้ว..... ใน ยูเร วิญญาณอาฆาตแค้น....



5. อิคิเรียว ถอดจิตไปฆ่า



ขอมาพูดถึงผีญี่ปุ่นอีกตน... ว่าไปไม่รู้ว่าจะเรียกว่าผีดีไหม..? แต่ถึงอย่างไรก็น่ากลัวสยดสยองไม่แพ้ผีตนอื่นๆเลย
อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ซึ่งวิญญาณร้ายของญี่ปุ่นนั้นมักเป็นวิญญาณที่มีความอาฆาตแค้นพยาบาทและยังคงแค้น
จนมาถึงสุดท้ายของญี่ปุ่นแต่ก็ยังไม่ยอมจบตาม ยังคงกลับมาแก้แค้นถึงจะอยู่คนละภพกันแล้วก็ตามที
แต่ถึงอย่างไรผีก็เป็นผีอยู่วันยังค่ำ แต่เรื่องนี้ที่เสนอต่อผู้อ่านเป็นเรื่องของ คนที่มีความแค้นพยาบาทมีใจ
จิตแค้นจนสามารถถอดจิตหรืออย่างภาษาบ้านเราเรียกว่าถอดกายทิพย์ไปสังหารบุคคลที่เป็นศัตรูหรือคนที่
เราเกลียดแค้นได้... น่ากลัวเหมือนกันนะนี้ แต่อย่างว่าไม่ใช่ผีแต่เป็นคนที่ถอดกายไปฆ่าโดยไม่ได้ไปด้วยตนเอง
(ฟังดูแลคงจะสบายๆชอบกล) เขาเรียกผีแบบนี้ว่า "อิคิเรียว"


อิคิเรียว เป็นผีญี่ปุ่นที่เข้าขั้นติดลำดับผีที่น่ากลัวเพราะเป็นผีที่เจ้าตัวยังไม่ตายแต่ดันมาแก้แค้นศัตรูตนเองได้....
เลยมีตำนานเป็นเรื่องเล่าขานมานงนานของผีตนนี้....


เรื่องราวมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งกำลังจะเดินทางไปยังเมืองนาโกย่า ตอนนั้นเป็นช่วงเวลามืดกลางคืน เขาเดินอยู่
ทางแยกของเมืองโตเกียว เขาก็พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์ที่ดูมีราคาท่าทางเป็นลูกคน
ผู้ดีตระกูลสูงศักดิ์ยืนอยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มก็สงสัยและกลัวว่าหากปล่อยให้เธอยืนอยู่คนเดียวในช่วงเวลาเช่นนี้
อาจจะตกเป็นเหยื่อของคนร้ายได้ เขาจึงคิดว่าจะเข้าไปถามนาง แต่เขาคิดไปคิดมาเลนตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่ง
เพราะไม่ใช่เรื่องธุระอะไรของเรา และนางคงรอให้ญาติมารับหรือไม่ก็อย่างอื่น แต่ในขณะที่ชายหนุ่ม
กำลังเดินไปนั้นปรากฏว่า


"ท่านค่ะ...ท่าน....ท่านกำลังจะเดินทางไปไหนค่ะ"

ชายหนุ่มหยุดต่อเสียงอันนุ่มนวลของนาง
"ข้าเหรอ...ข้ากำลังจะไปนาโกย่า"
"ท่านคงรีบร้อนแน่เลย...นาโกย่าอีกไกลและตอนนี้ดึกมากแล้วด้วย...."
"ใช่...แล้วแม่นางมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็ถูกผู้ร้ายมาทำมิดีมิร้ายเหรอ..."
"ข้ามาหาคนๆหนึ่ง...และข้าหาบ้านของเขาไม่พบไม่ทราบด้วยว่าบ้านเขาอยู่จุดไหนของเมืองนี้"
"แล้วคนที่แม่นางหานี้ เขาชื่ออะไร บางทีข้าอาจจะรู้จัก"
"เขาชื่อ...มินบุ โนะ ไทฮุ"
"ที่แท้ก็ท่านมินบุ โนะ ไทฮุ รู้จัก รู้จัก ท่านเป็นคนที่เป็นที่รู้จักของเมืองเลย ทุกคนพากันอิจฉาท่าน
เพราะท่านได้แต่งงานกับเจ้าสาวที่อายุน้อยและสวยมากๆด้วย"
"สวย...กว่าข้าไหม......"

หญิงสาวพูดด้วยเสียงที่เย็นและตาแข็งน่ากลัวแววตามีแต่่ความแค้น ชายหนุ่มอึ้งเงียบไป
"น่าโทษค่ะท่าน...เมื่อท่านรู้จักได้โปรดพาข้าไปยังบ้านของเขาได้ไหมค่ะ"
"แต่ข้ารีบนะ ต้องรีบไปนาโกย่าด้วย"
"ได้โปรดเถิดค่ะ"

ชายหนุ่มจึงใจอ่อนและพาหญิงสาวไปยังบ้านของมินบุ โนะ ไทฮุ
"ที่นี้เละ บ้านท่านมินบุ โนะ ไทฮุ"

หญิงสาวมองไปรอบๆบ้านและยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูแลมีเล่ห์สนัย เหมือนดีใจที่ท่านบรรลุเป้าหมาย
ที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้น และมีการหัวเราะแบบเบาๆดูแล้วแปลกๆ
"ขอบคุณท่านนะเจ้าค่ะ"
"ไม่เป็นไรเหรอ เมื่อข้าพาเจ้ามาส่งถึงบ้านคนรู้จักแล้วข้าก็หายห่วงแล้ว"
"อย่างไรก็ขอขอบคุณท่านด้่วย...หากท่านผ่านไปเมืองชิกะ ได้โปรดแวะไปเยี่ยมเยือนข้าด้วยนะคะ"
"ดูก่อนล่ะกัน หากผ่านไปจะไปแวะหา เดี๋ยวข้าไปก่อนนะ"


หญิงสาวโค้งทำความเคารพขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มก็โค้งกลับ และเขาก็เดินจากไปได้ระยะหนึ่ง
เขาก็หวังจะหันมาดูว่ามีใครออกมาต้อนรับหญิงสาวคนนั้นแล้วหรือไม่ แต่พอเขาหันกลับไปกลับไม่มี
หญิงสาวคนนั้นอยู่แล้ว...! แต่ถึงเขาจะประหลาดใจแต่เขาก็คิดว่าเธอคงเข้าไปในบ้านแล้ว เขาก็เดินทางต่อไป...
แต่แล้วก็มีเสียงดังออกจากบ้านมินบุ โนะ ไฮกุ ชายหนุ่มตกใจและคิดเป็นห่วงหญิงสาวกลัวว่าจะเิกิดเรื่องขึ้น
เขาเข้าไปในบ้านนั้น ผู้คนวิ่งไปมาอย่างอลวน ชายหนุ่มเขาและจับตัวคนรับใช้คนหนึ่งและถาม...
"เกิดอะไรขึ้น..."
"นายหญิง....นายหญิง....เธอเสีย....แล้ว"
"อะไรนะ...ภรรยาสาวของท่านมินบุ โนะ ไฮกุเสียชีวิตแล้วหรือ"
"ใช่...." คนรับใช้ตอบทั้งน้ำตา
"แล้วเขาตายอย่างไงล่ะ"
"อยู่ๆนายหญิงก็กล่าวว่าเห็นหญิงสาวในชุดสีส้มแววตาน่ากลัวยืนอยู่และแล้วนายหญิงก็เอามือของเธอ
มาบีบคอตัวเองเลยขาดอากาศตาย....ท่านมินบุ โนะ ไฮกุเสียใจมาก ที่ภรรยาทั้งสาวทั้งสวยของท่านจากไป
ท่านทิ้งภรรยาเก่าที่เมืองชิกะและมาแต่งกับนายหญิงผู้อ่อนต่อโลก และยังมาตายอายุน้อยอีก
ข้านะสงสาร...สงสารนายหญิงของข้าจริงๆ"


ชายหนุ่มเริ่มมีความสงสัยขึ้นภายในใจ
"ท่านมินบุ โนะ ไฮกุมีภรรยาอยู่ก่อนแล้วที่เมืองชิกะ ไม่เห็นมีใครทราบเลย"
"ก็ท่านเป็นขุนนางมาจากที่อื่นท่านก็ย้ายไปประจำตามที่ต่างๆ ต่อมาท่านก็เลิกกับภรรยาเก่าและมาแต่ง
กับนายหญิงของข้า... ข้าว่าการตายของนายหญิงต้องเป็นฝีมืออิคิเรียวของภรรยาเก่าท่านมินบุ โนะ ไฮกุแน่ๆ..."


ชายหนุ่มเริ่มกลัว
"อะไรกันนี้...."

หลายอาทิตย์ต่อมา ชายหนุ่มเดินทางผ่านเมืองชิกะ เขานึกถึงคำพูดของหญิงสาวคนนั้น เขาประทับใจ
ในกิริยามารยาทและรูปโฉมของนาง เขาจึงมาหานางตามที่นางบอกไว้ ชายหนุ่มมาหยุดที่บ้านหลังใหญ่โต
อย่างคฤหาส์น สาวใช้คนหนึ่งออกมาต้อนรับ
"ตอนนี้นายหญิงรอท่านอยู่ที่เจ้าค่ะ"

ชายหนุ่มตกตะลึง
"อะไรกัน นายหญิงของเจ้าทราบได้เช่นไรกัน"
"ตามข้ามาเถิดนายหญิงเตรียมของไว้ต้อนรับท่านตั้งแต่เมื่อวานแล้วเจ้าค่ะ"

ชายหนุ่มหยุดข้อสงสัยและเดินทางสาวใช้เดินผ่านสวนที่ประดับด้วยหินและดอกไม้นานา สาวใช้
พาเขามายังเรือนหนึ่งและบานประตูก็เลื่อนออก ในห้องที่ประดับด้วยแจกันที่ประดับด้วยช่อดอกไม้สวยงาม
และเครื่องแก้วต่างๆ มีควันหอมของกำยานอ่อนๆ
"นายหญิงเจ้าค่ะ แขกของท่านมาถึงแล้วเจ้าค่ะ"

ม่านไม้ไผ่สีขาวถูกชักออก ภาพเบื้องหน้า หญิงสาวคนนั้นแต่งกายด้วยกิโมโนลายดอกเบญจมาศสีแดงออก
และผมประดับด้วยเครื่องประดับปิ่นงดงาม ใบหน้างดงามไม่ผิดไปจากวันที่ชายหนุ่มพบ
"เชิญท่านนั่งก่อนค่ะ"

ชายหนุ่มนั่งลงบนเบาะและเบื้องหน้าเขามีโต๊ะที่วางขนมอาหารและเครื่องดื่มมากมาย
"ท่านเชิญกินได้ขนมและอาหารเหล่านี้ข้าตั้งใจทำเพื่อรับรองท่านเลย"
"เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจนะ น่ากินทั้งนั้นเลย"


ชายหนุ่มนั่งกินขนมอย่างอร่อยและพูดคุยกับหญิงสาวถึงสารทุกข์สุขกัน
"หากคืนนั้นท่านไม่ช่วยข้า ข้าน้อยคงไม่สุขใจเช่นนี้"

ชายหนุ่มอึ้งนิ่ง เขาคิดว่า คำว่าคืนนั้น คืออะไร และภาพนั้นปรากฏต่อเขา ภาพของความอลวนในบ้านท่านมินบุ โนะ ไฮกุ
"ไม่เป็นไรเหรอ"
"ข้าสะใจมาก นางแพศยาตายได้ก็ดี..."


ชายหนุ่มเริ่มจะกลัวแล้ว แต่หญิงสาวกลับรู้สึกตรงข้ามกับเขา เธอใบหน้ามีแต่รอยยิ้มที่มีความสุข
และแววตาที่เธอสมหวัง เขาช่วยให้ภารกิจของนางในการแก้แค้นสำเร็จ ใช่ นางก็คือภรรยาเก่าของ
ท่านมินบุ โนะ ไฮกุ นางถอดจิตมาแก้แค้นฆ่าภรรยาสาวของสามีตนเอง...

ชายหนุ่มได้รับสิ่งตอบแทนจากนางเป็นสิ่งของที่มีค่า ทั้งแก้วแหวนเงินทองและผ้าไหมชั้นดี แต่ชายหนุ่ม
ยังรู้สึกผิดอยู่ดีว่าตนเองเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ภรรยาสาวของท่านมินบุ โนะ ไฮกุเสียชีวิต และหากเขา
ไม่สนใจหญิงสาวในคืนนั้นเรื่องคงไม่เกิด..... 


credit :: มะเดหวีมาตา@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 พฤษภาคม 2014, 14:05:03 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่