แฟนไม่มี มีแต่ผัว! คนเราเป็น 'แฟน' กันตั้งแต่เมื่อไร

ผู้เขียน หัวข้อ: แฟนไม่มี มีแต่ผัว! คนเราเป็น 'แฟน' กันตั้งแต่เมื่อไร  (อ่าน 532 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพหื่นไม่รู้ดับ
  • *
  • กระทู้: 23203
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

แฟนไม่มี มีแต่ผัว! คนเราเป็น 'แฟน' กันตั้งแต่เมื่อไร



เนื่องจากคนสมัยก่อน ไม่ได้มีช่องทางโซเชี่ยลมีเดีย หรือ แอปหาคู่ ทางเดียวที่หนุ่มสาวจะได้
เริ่มต้นความสัมพันธ์ จึงต้องทำความรู้จักกันซึ่ง ๆ หน้า และแต่งงานกันเท่านั้น ถึงจะอยู่ด้วยกันได้
เนื่องจากในอดีตนั้น บิดา เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในครอบครัว หากผู้เป็นพ่อไม่เห็นด้วยกับการที่จะ
ให้ลูกสาว พูดคุยหรือคบกับชายใด ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ผู้หญิงในอดีตนั้น จะสามารถมี
ความสัมพันธ์ หรือ ความรัก กับผู้ชายที่ชอบได้เหมือนในปัจจุบัน


ยกเว้นในกรณีที่ผู้เป็นพ่อ เห็นว่าสมควรที่จะยกลูกสาวให้ ตัวอย่างเช่น ในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
หากฝ่ายชาย ทำสัญญา ตกลงกับผู้เป็นพ่อได้สำเร็จ รวมถึงเสนอสินสอดให้จนเป็นที่พอใจ ก็จะ
สามารถแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้นได้ทันที หรือ ในยุคโรมัน ที่ผู้เป็นพ่อ ถึงขั้นสรรหาสามีที่
เหมาะสมให้แก่ลูกสาวด้วยตนเอง แม้พวกเธอจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 14-18 ปี เท่านั้น



ซึ่งอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ชายหญิงในสมัยก่อน ไม่ทันได้ศึกษาพูดคุย ในรูปแบบเป็นแฟนกันก่อน
แต่ต้องแต่งงาน โดยทันที นั่นก็เป็นเพราะ การแต่งงาน เปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือในการเลื่อน
สถานะทางสังคม หรือ วิธีได้มาซึ่งเงินทองด้วย เพราะในอดีตนั้น สังคมเป็นลักษณะของผู้ชาย
เป็นใหญ่ เป็นผู้มีอำนาจ ควบคุมทั้งเรื่องของเงินทอง และเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีการแบ่งชนชั้น
ทางสังคม ที่มีคนรวยและคนจน นั่นจึงทำให้หากบ้านใดมีลูกสาว แล้วมีผู้ที่มีอำนาจทางการเมือง
หรือ เงินทอง เข้ามาชอบหรืออยากมีความสัมพันธ์กับลูกสาวบ้านนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เป็นพ่อ
จะยกให้แต่งงานด้วยอย่างไม่ลังเล เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะทางสังคมที่สูงขึ้น หรือ สินสอด
ที่จะทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย


ส่วนเรื่องของความพึงพอใจในการครองชีวิตคู่ของคน 2 คนนั้น อาจเป็นเรื่องรอง นั่นจึงทำให้เกิดคติ
ผัวเดียวหลายเมีย ขึ้นมา ตามคติสังคมผู้ชายเป็นใหญ่เช่นเดิม โดยที่ฝ่ายชายสามารถมีเมียหลายคนได้
แบบไม่ผิดกฎหมาย หรือ ผิดจารีตประเพณีในสมัยก่อนแต่อย่างใด ในขณะที่ผู้หญิง กลับเป็นเรื่องต้องห้าม
แบบที่ถ้าทำแล้ว จะถูกลงโทษอย่างหนักเลยทีเดียว ซึ่งค่านิยมนี้ ปรากฏให้เห็นตั้งแต่อารยธรรมกรีกโบราณ
ที่อนุญาตให้ผู้ชายมีเมีย 3 คน ประกอบด้วย


เมียหลวง สำหรับมีลูก
เมียน้อย สำหรับหลับนอน
และเมียงามเมือง สำหรับความบันเทิง




ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคกลางในยุโรป แม้จะยังคงไม่ปรากฏว่า หญิงชายจะมีการศึกษาคบหาดูใจกัน ในทำนอง
เป็น แฟน กัน ก่อนหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ ผู้หญิงมีสิทธิ์ในการเลือกคู่ครองแล้วในตอนนี้
เพราะด้วยอิทธิพลของคริสต์ศาสนาที่เฟื่องฟู ส่งผลให้การเลือกคู่ครอง ไม่ได้อยู่ในอำนาจของผู้เป็นพ่อ
หากแต่อยู่ในอำนาจของพระเจ้าแทน ผู้หญิงในยุคนี้จึงมีสิทธิ์เลือกคนที่จะแต่งงานด้วยได้แล้ว โดยเพื่อ
แสดงว่า มีผัวหรือสามีแล้ว หลังจากแต่งงาน นอกจากจะสวมแหวนไว้ที่นิ้วนางแล้ว พวกเธอจะม้วนผมให้สั้น
คล้ายเป็นมวยผมเก็บไว้ เพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ว่า มีผัวแล้ว ส่วนใครที่ยังปล่อยผมยาวสวยประบ่าไว้
นั่นก็หมายถึง พวกเธอยังโสดอยู่

แล้วคำว่า Boyfriend / Girlfriend ในภาษาอังกฤษ กลายมาเป็นคำที่ถูกใช้เรียกว่า แฟน สำหรับชาว
อเมริกาและยุโรปเมื่อไหร่ สันนิษฐานว่า คงปรากฏเมื่อเริ่มเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา โดยเริ่มแรก
มีความหมายว่า เพื่อนชาย เพื่อนหญิง ตรงตัวมาก่อน แต่เมื่อถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
ถึงได้เริ่มใช้ในความหมายว่า แฟน กันจนมาถึงปัจจุบัน




เมื่อย้อนกลับมาดูในประเทศไทยเอง คนในสมัยก่อนก็คงอยู่ด้วยกันและเรียกกันว่า ผัวเมีย ดังปรากฏอยู่
ในกฎหมายชื่อว่า พระไอยการลักษณะผัวเมีย พ.ศ. 1904 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เขียนถึงประเภท
ของเมียไว้ 3 แบบ คือ

เมียกลางเมือง (เมียหลวง)
เมียกลางนอก (เมียน้อย)
เมียกลางทาษี (เมียที่มาจากทาสหรือไถ่ตัวมา)


นั่นจึงอาจสันนิษฐานได้ว่า คนไทยเรียก ผัวเมียกันเรื่อยมา ก่อนที่จะมาเรียกกันว่า แฟนในปัจจุบัน


...ถ้าเช่นนั้น คำว่า แฟน มาจากไหน ?

เอนก นาวิกมูล นักวิชาการ นักเขียนสารคดีชื่อดัง สันนิษฐานไว้ว่า อาจนิยมมาตั้งแต่ราว พ.ศ. 2490
มีที่มาจากคำว่า Fanatic ในภาษาอังกฤษ แปลว่า คลั่งไคล้ เริ่มแรก คำว่า แฟน จึงไม่ได้หมายถึง คนรัก
หากแต่หมายถึง ผู้คลั่งไคล้ ผู้ชื่นชอบ ตัวบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือหมายถึง แฟนคลับ
ในปัจจุบันนั่นเอง ดังที่ปรากฏเป็นคำร้องในเพลง แฟนตลอดกาล ของคุณพยงค์ มุกดา หรือ พาดหัวของ
หนังสือพิมพ์ ที่พูดถึงแฟนคลับที่ติดตาม นั่นจึงทำให้เมื่อคำว่า แฟน ถูกใช้แพร่หลายมากขึ้น จนติดปาก
คนทั่วไป ทำให้ในที่สุด คำว่า แฟน เลยเปลี่ยนไปเป็นความหมายในการเรียก คนรัก ดังที่เห็นกันในปัจจุบัน




อย่างไรก็ตาม คำจำกัดความและให้สถานะ คนรักของเรา ก็เริ่มมีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเช่นกัน
เมื่อในสหรัฐอเมริกา จากผลสำรวจในพ.ศ. 2562 พบว่า คนวัยรุ่นหนุ่มสาว เริ่มเรียก คนรักของตนว่า Partner
แทนคำว่า boyfriend/girlfriend กันแล้ว เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่า
เมื่อสังคมเริ่มเข้าสู่ยุคที่มีความหลากหลายทางเพศกันมากขึ้น การเรียกคนรักแบบชายหญิงในรูปแบบเดิม ๆ
อาจเป็นการแบ่งแยกสถานะความรักของกลุ่มเพศทางเลือก คือ เกย์ เลสเบี้ยน จึงทำให้พวกเขานำคำที่ชาวเกย์
หรือ เลสเบี้ยน ไว้ใช้เรียกคนรักของพวกเขา มาใช้เองเสียเลย ด้วยเหตุนี้ ทำให้คำว่า Partner เริ่มกลายเป็น
สถานะคนรักของคนหนุ่มสาวอเมริกันในปัจจุบัน

โดยไม่ใช่แค่วัยรุ่นหนุ่มสาวอเมริกันเท่านั้นที่นิยมใช้กัน แม้แต่คนในระดับชนชั้นนำอย่าง เจนนิเฟอร์ นิวซอม ภรรยา
ของ แกรี่ นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นครองตำแหน่งเมื่อพ.ศ. 2562 ก็ยังได้โพสต์
ในทวีตเตอร์ แสดงถึงจุดยืนที่เธอต้องการให้ทุกคนเรียกเธอว่า First Partner แทนที่จะเรียกว่า First Lady
เพื่อเป็นการสื่อว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหน ๆ ก็สามารถที่จะมีความสัมพันธ์อันน่ายกย่อง และมีสถานะที่เท่าเทียม
กับคนรักของคุณได้ โดยไม่ต้องให้คำจำกัดความสถานะความสัมพันธ์ มาเป็นตัวกำหนดชีวิตหรือความรักของคุณ



เมื่อดูวิวัฒนาการ คำจำกัดความสถานะคนรักของมนุษย์เรา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จึงจะเห็นได้ว่ามันมีการลื่นไหล
และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และถึงแม้จะมีสถานะที่ผูกมัดระหว่างคน 2 เอาไว้ ก็จะเห็นว่าไม่สำคัญเลย เมื่อคน
เป็นผัวในกรีก หรือ แม้แต่คนเป็นผัวในสมัยอดีตของไทย ต่างก็ได้รับอนุญาตให้มีเมียหลายคนได้ทั้งนั้น


และถึงแม้ในปัจจุบัน การขอเป็นแฟนของคนในปัจจุบัน จะมีความหมายในเชิงผูกมัดความรักของคน 2 คน
อย่างไรก็ตาม ก็จะเห็นได้ว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มั่นคงต่อกัน มันก็พร้อมที่จะมีมือที่ 3 เข้ามาสอดแทรกได้
อยู่เสมอ ดังนั้น ไม่ว่าความรักของคุณจะเป็นแบบไหน มีคำจำกัดความหรือไม่ ตราบใดที่คุณมีความรักและมั่นคง
ในความรู้สึกให้แก่กันเสมอ นั่นก็อาจเป็นสถานะความรักอันยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่คน 2 คน นั้นจะให้แก่กันแล้ว
ก็เป็นได้ โดยที่อาจไม่ต้องมีคำนิยามใด ๆ มาจำกัดความ

credit :: gqthailand.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 สิงหาคม 2022, 15:59:06 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย นวดกษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ นวดนอกสถานที่ อาบอบนวด นกป การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่