-->

ผู้เขียน หัวข้อ: >>> มารู้จักกับ" ผี "ชนิดต่างๆ <<<  (อ่าน 928 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Nick2005

  • บุคคลทั่วไป
>>> มารู้จักกับ" ผี "ชนิดต่างๆ <<<
« เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2008, 21:38:13 »

ประวัติผีไทย

กระสือเป็นผีไทยที่มีชื่อเสียงมานานเนเกเล ผีกระสือขนานแท้และดั่งเดิม
"ต้องมีแต่หัวกับไส้" อาจจะแถมกระเพาะ ตับ ม้าม หัวใจ ผ้าขี้ริ้ว ปอด หรืออวัยวะ
อื่น ๆ แบบที่มีในหม้อตือฮวนเข้ามาด้วย เป็นการเพิ่มความสยอง
ประวัติความเป็นมา
กล่าวกันว่า กระสือเป็นวิญญาณของผีร้าย ชอบเข้าสิงเฉพาะผู้หญิงโดยไม่จำกัด
หรือมีข้อแม้ว่า จะต้องเป็นสาวโสดและสดด้วยหรือไม่ อ้วน ผอม ดำ ขาว ขายาวขาโก่ง
หากว่าถูกสเป็คเป็นเข้าสิง ได้ทั้งนั้นแต่มีข้อน่าสังเกตว่าผีกระสือมักจะชอบสิ่งเฉพาะ
ผู้หญิงในแถบเอเซียด้วยกัน เพราะไม่เคยได้ ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผีที่มีแต่หัวกับไส้จาก
ทางยุโรป ,อเมริกาหรือแอฟริกา
กระสือเป็นผีประเภทเดียวกับผีปอบ หากเข้าสิงในผู้หญิงเรียกว่า "กระสือ" แต่ถ้าเข้า
สิงในผู้ชายเรียกว่า "กระหัง"
ลักษณะอาการของคนที่เป็นกระสือ
เมื่อวิญญาณของผีร้ายเข้าสิงผู้หญิงคนไหนได้สำเร็จแล้วคุณเธอก็กลายเป็น
กระสือไปในทันที ซึ่งจะสำแดงตัวเฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น ตอนกลางวัน
ก็ดูเป็นผู้หญิงธรรมดาเพียงแต่มีพฤติกรรม บางอย่างที่ผิดแผกแตกต่างจากคนทั่วๆ
ไปจนพอจะสังเกตได้ เช่น ไม่ค่อยกล้ามองสบตาคน นัยน์ตาเลื่อน ลอยบางตำราว่า
ดวงตาจะลึกแบบที่เรียกว่าตาโหล เมือนคนอดนอนและชอบเก็บตัวอยู่คนเดี่ยวเงียบ ๆ
อีกข้อหนึ่งคือ ผีกระสือชอบลูบกันคนอื่นหากใครเผลอละก็คุณเธอจะควักล้วงเอา
ตับไตไส้พุงไปกิน หน้าตาเฉย ฉะนั้นอย่าเผลอเป็นอันขาด ใครมาก้อล้อก้อติกลูบ
หลังลูบก้น ระวังไว้ให้ดีอาจเป็นผีกระสือ ปลอมตัวมา
อาหารและวิธีการออกหากิน
ผีกระสือจะออกหากินในเวลากลางคืนและจะถอดแต่หัวกับไส้ออกไปจากร่าง
เท่านั้นคือ เจ้าตัวยัง นอนกางแขนกางขาแผ่หราอยู่ในบ้านผู้สันทัดกล่าวว่าจะมอง
เห็นเวลาผีกระสือออกหากินเป็นดวงไฟเรือง แสงวอมแวมอยู่ในความมืด จึงจะชอบ
อยู่ในย่านที่มีของสกปรกเช่น ส้วมหลุม ที่คนโบราณขุดเอาไว้ถ่าย และอาหารที่ชอบ
กินคือ ของเน่า ๆ ของคาว ๆ สด ๆ รวมถึงรกเด็กที่เพิ่งคลอดใหม่ ๆ เมื่อผีกระสือ
หากินแถบบ้านใครสามารถสังเกตได้ง่าย เพราะเสื้อผ้าที่ ตากค้างคืนเอา ไว้จะ
มีคราบเลือดหรือคราบสกปรก เป็น ดวง ๆ เพราะผีกระสือจะใช้ผ้าเช็ดปาก
วิธีการป้องกันและจัดการกับผีกระสือ
ผีกระสือจะกลัวพวกหนามต่าง ๆ โดยเฉพาะหนามไผ่และหนามพุทรา เพราะ
จะเกี่ยวไส้ให้ได้รับ ความเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงทรวง
อีกวิธีหนึ่งใช้ในการกำจัดผีกระสือ นำผ้าที่ผีกระสือใช้เช็ดปากนำมาต้ม ผู้ที่เป็น
กระสือจะรู้สึกร้อนทุรน ทุราย มาขอให้หยุดต้มหรือขอซื้อผ้าผืนนั้นเท่านี้ก็รู้แล้ว
ว่าใครเป็นผีกระสือ
ยังมีคำบอกเล่าอีกว่า หากใครที่เป็นผีกระสือ เวลาตำน้ำพริกกะปิจะเกิดหนอน
ขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่า เพราะอะไร
การถ่ายทอดเชื้อสายหรือรักษาพันธ์
ผู้ที่เป็นผีกระสือหรือถูกวิญญาญของกระสือเข้าสิง จะตายไม่ได้ ยกเว้นแต่
จะได้ร่างใหม่เข้าไปสิง ใหม่ และผู้ที่ได้รับมรดกก์คือลูกสาวหรือหลานสาวโดย
การถ่มน้ำลายใส่ในแก้วน้ำแล้วนำไปให้ผู้ที่ต้อง การจะให้รับบทผีกระสือต่อไป
2. ผีตายโหง [<<] [MENU] [>>]
ตายโหงเป็นคำเรียกหรือบอกลักษณะของคนตายแบบไม่ปกติธรรมดา
คือ ตายในลักษณะร้ายหรือตายไม่ดีตายมีปัญหา แทนที่จะแก่ตายหรือตายบนอก
ก็กลับตายเพราะวิ่งไปสะดุดแข้งนักเลง หรือโดนส่องด้วยลูกปืน รถชนประสบอุบัติเหตุ
ถึงแก่ชีวิตเป็นต้น ฯลฯ
ผีตายโหงส่วนใหญ่มักจะตายหรือจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร
เมื่อตายไปแล้ววิญญาณจึงไม่ค่อยสงบสุขอาจติดตามไปแก้แค้นผู้ที่ฆ่าตน
หรืออาจยอมรับสภาพตัวเองไม่ได้เพราะน่าจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไปอีกหลายปี
หาก ไม่ถึงแก่ความตายเสียก่อน จนเกิดอาการคลุ้มคลั่งอาละวาดหลอกหลอน
ผีตายโหงจึงเป็น ผีที่ค่อนข้างน่าสะพรึงกลัวไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วย
และมีความเชื่อกันมาแต่โบราณว่า
ศพของผีตายโหงหรือคนที่ตายนอกบ้านจะไม่นำใส่โลง มาทำพิธีในบ้าน แต่จะนำ
ไปไว้ที่วัดเพื่อสวดอภิธรรมเลย เพราะกลัวอาถรรณ์เกี่ยวกับผีตายโหง
ตายห่า เป็นคำเรียกคนที่ตายด้วย โรคห่า หรืออหิวาตกโรค ในสมัยโบราณ
ซึ่งหากหมู่บ้านหรือเมืองไหนเกิดโรคร้ายชนิดระบาดแล้วล่ะก็เป็นเบือเลยทีเดียว
เพราะในยุค
ก่อนนั้นการแพทย์ยังไม่ค่อยเจริญเหมือนปัจจุบันนี้บางตำราว่าหากมีการตายด้วย
กาฬโรค ก็เรียกว่าตายห่าเหมือนกัน
อีกตำราหนึ่งกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของคำนี้ไว้ว่า เมื่อวิญญาณของคนที่
ตายด้วยโรคห่า มาหลอกหลอนผู้คน จึงมีคำเรียกผีชนิดนี้ว่า ผีตายห่า คำว่า ผีห่า
นั้น หมายถึงผีที่ดุร้ายหรือมีความเลวร้ายไม่ผิดอะไรกับโรคห่า
ต่อมาอาจจะมีผู้เห็นว่าผีตายด้วยโรคห่าแทนที่จะไปสู่สุคติกลับมาหลอกหลอน
ผู้คนไม่ผิดอะไรกับผีร้าย อย่างผีห่า ความหมายของผีตายห่ากับผีห่า
ความหมายของผีตายห่ากับผีห่าก็เลยผสมกลมกลืนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานซึ่งยังสรุปอะไรไม่ได้นัก
ปัจจุบัน คำว่า ตายห่า ก็ใช้พูดกันนั้นไม่ได้หมายถึงการตายด้วยโรคห่าอีกแล้ว
แต่เป็นคำติดปากที่นิยมใช้กันพร่ำเพรื่อ หรือคำอะไรที่ต้องการแสดงให้เห็นว่า
เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็นิยมเอาคำว่าห่านี้มาต่อท้าย เช่น หนาวตายห่า
ร้อนจะตายห่า หรือยุ่งตายห่า ซึ่งเป็นคำไม่ค่อยสุภาพ
3. ผีตายซาก [<<] [MENU] [>>]
ตายซาก เป็นชื่อเรียกลักษณะของผีหรือศพที่ทิ้งซากแห้งให้เห็น
บางทีตายแล้วไม่มีใครรู้หรือได้กลิ่น เพราะอยู่ห่างไกลจากผู้คนกว่าจะไปเจอก็
เหลือแต่ซากแห้ง ๆ แบบนี้แหละที่เรียกว่าผีตายซาก ซึ่งดวงวิญญาณจะกลายไป
เป็นผีประเภทอื่นไม่ เช่น ผีเปรต ผีกองกอย นั้น แล้วแต่บุญกรรม ที่ได้ทำเอาไว้ตอน
มีชีวิตอยู่ สำหรับชื่อเรียกกล่าวมานั้นเป็นเพียงการเรียกสภาพของซากศพที่ได้พบ
เห็นเท่านั้น
อย่างกรณีมัมมี่ผีอียิปต์ ก็เรียกว่าผีตายซากได้เช่นกัน หรือบางทีใครที่ผอมแห้ง
แรงน้อยเห็น แต่โครงกระดูกเดินได้ ก็อาจจะถูกพวกปากหอยปากปูค่อนแคะ
ว่าผอมเหมือนผีตายซาก
4. ผีดิบ [<<] [MENU] [>>]
ผีดิบกับผีสุกหากจะให้แยกระหว่างกัน นั้นก็ค่อนข้างยากอยู่
สักหน่อยในพจนานุกรมฉบับรวมฮิต บอกว่าผีดิบคือผีที่ยังไม่ได้เผาแต่นั้นน่าจะ
หมายถึงผีหรือซากศพของคนธรรมดาสามัญ ทั่วไปมากกว่าเรียกว่าเมื่อทำการ
เผาแล้วก็แล้วกันไป
แต่ผีบางประเภทร่างก็ยังไม่ได้เผาเหมือนกัน เช่น ผีกระสือ ผีกระหัง หรือผ
ีปอบ จะเรียกว่าผีดิบได้หรือเปล่ายังเป็นปัญหาอยู่ หรืออย่างผีเปรต ผีนางตะ
เคียน ผีนางตานี จะเรียก ผีดิบหรือผีสุกดีเพราะบางทีเกิดไปตายในป่าไม่มีใคร
ไปพบศพเลยไม่ได้นำมาทำพิธีเผาจน ร่างกาย เน่าเปื่อยไปตามธรรมชาติ แล้ว
ดวงวิญญาณไปสิงสถิตอยู่ที่ต้นตะเคียน ก็กลายเป็นผี นางตะเคียนไปโดย
ปริยายตามกติกาก็บอกแต่เพียงว่าต้องเป็นผีผู้หญิงเท่านั้น
ไม่ได้จำกัดว่าต้องเผาแล้วหรือเป็นผีสุกหรือเปล่า
อีกนัยหนึ่งก็คือ ผีดิบน่าจะเป็นผีที่ยังไม่ได้เผาหรือซากศพผีที่ถูกฝังหรือ
เก็บเอาไว้ เพื่อพ่อมด หมอผีจะทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ปลุกขึ้นมาเพื่อใช้
งานซึ่งผีประเภทนี้จะใช้ร่างกายมากกว่าดวงวิญญาณสำหรับกระทำการ
ตามคำสั่งผิดกับบรรดาคุณ ผีที่กล่าวนามมาข้างต้นคือ ผีนางตะเคียนหรือ
นางตานี ซึ่งใช้วิญญาณในการปฏิบัติการหลอก
หลอนหรือบอกใบ้ให้หวย แต่พวกผีกระสือกระหังก็ยังใช้ร่างกายเดิมของตน
อยู่ดี หรือว่าจะจัดอยู่ในพวกผีดิบได้ แต่ผีที่ว่านี้หากถูกทำลายความเป็นผี
อาจารย์เก่ง ๆ ปราบได้แล้ว จะไม่สามารถนำร่างกลับมาใช้อะไรได้อีก
ผิดกับผีดิบที่บรรดาพ่อมดหมอผีปลุกขึ้นมาจากซาก ศพคนธรรมดา
5. ผีโพลง [<<] [MENU] [>>]
ผีโพลงนั้นมีลักษณะบางประการคล้ายกับผีกระสือ หรือจัดอยู่ใน
หมวดผีประเภทเดียวกันก็คงได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีการถอดหัวกับไส้ออกหากิน
แต่ผีโพลงก็ชอบไปป้วนเปี้ยน อยู่แถวเดียวกับที่ผีกระสือออกตระเวนหาอาหาร
เหมือนกัน
ประวัติความเป็นมาและลักษณะของผีโพลง
ตามตำรากล่าวว่า ผีโพลงมักเกิดกับคนที่มีว่านหรือเลี้ยงว่านชนิดหนึ่ง
เรียกว่าว่านผีกระสือ ต้นและหัวของว่านชนิดนี้มีลักษณะคล้ายขมิ้นอ้อย สีขาว
รสฉุนร้อน เมื่อหัวแก่มีธาตุปรอทลงกิน มีพรายเป็นแสงแมงคาเรือง ในเวลา
กลางคืน มีสรรพคุณอยู่ยงคงกระพัน
แต่บางตำราก็ว่าผีโพลงนั้นเกิดกับคนที่มีว่านหรือเลี้ยงว่านยาอันมีฤทธิ์แรง
กล้า ไม่ใช้เฉพาะว่านผีกระสือ และไม่ได้บอกด้วยว่าว่านยาที่ว่านั้นมีว่าน
อะไรบ้าง ในเวลากลางคืนตอนดึก ๆ โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกพรำ ๆ ว่าน
ชนิดนี้ จะออกหากินแบบเดียว กับผีกระสือ แต่จะไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใด ที่น่า
สังเกตก็คือ ผีโพลงนั้นจะมีหน้าตาคล้ายกับเจ้าของหรือผู้ปลูกว่าน แต่เจ้าตัว
เองนั้นยังคงนอนยิ้มแฉ่งอยู่ บ้านตามปกติไม่ได้ถอดหัวกับไส้ออกเที่ยวตะลอน ๆ
เหมือนกับผีกระสือที่กล่าวมาแล้วในบทต้น
อาหารและวิธีการออกหากิน
ผีโพลงชอบกินของโสโครก จะไปด้อม ๆ มองตาใต้ถุนเรือนที่มีหญิงอยู่ไฟ
คงจะไปหารกเด็กกินเหมือนผีกระสือน่ะแหละ แต่กินแล้วจะไปเช็ดปากกับผ้า
ห่มที่เขาตากไว้ บนราวด้วยหรือเปล่ายังไม่พบหลักฐาน

อิทธิ์ฤทธิ์ของผีโพลง
ในตำราบอกว่าหากผีโพลงไม่ชอบหน้าหรือเกลียดใครมันจะเอาไม้คานแม่
ม่ายขว้างข้ามหลังคาเรือน ผู้นั้นก็จะต้องอาถรรพณ์ประกบกับความพินาศฉิบ
หายต่าง ๆ นา สำหรับมันในที่นี้คงไม่ใช่ว่านที่ปลูกไว้แต่คงเป็นเจ้าของว่าน
มากกว่า แต่ถ้าเป็นเจ้าของว่าน ทำไม่ถึงมีฤทธิ์มากมายได้ขนาดนั้น

วิธีป้องกันและกำจัดผีโพลง
ผีโพลงมีลักษณะคล้ายกับผีกระสือโดยเฉพาะวิธีการออกหากินเราก็
สามารถใช้หนาม พุทธทราหรือหนามไผ่มาปิดไว้ตามช่องตามร่อง รอบ ๆ บ้านอาจเป็นการป้องกันได้

6. ผีจะกละ [<<] [MENU] [>>]
เหมียว..เหมียว ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า กำลังเขียนเรื่องผีให้
อ่านอยู่ดี ๆ ดันร้องเลียนเสียงแมวขึ้น มาทำไมคนละเรื่องเดียวกันเลย เข้าใจ
ผิดแล้วล่ะ รับรองว่าเรื่องเดียวันอย่างจริงแท้แน่นอน เพราะอะไร..นั่นต้อง
ตามกันต่อ
ประวัติความเป็นมา
ในพจนานุกรมฉบับรวมฮิต บอกว่าจะกละเป็นชื่อผีชนิดหนึ่งมีรูปเป็นแมว
เมี๊ยว ..เมี๊ยว อยู่ในจำพวกผีป่า หมอผีเลี้ยงไว้สำหรับใช้ไปทำร้ายศัตรูหรือคู่อริ ก็คงจะมีข้อมูลของประวัติผีจะ กละแค่นี้ หากจะถามต่อไปว่าเพราะอะไร
ผีจึงกลายเป็นแมว หรือแมวไปเกี่ยวข้องอะไรกับผี เห็นทีจะต้องรอให้พบตัว
จริงซะก่อนค่อยตอบคำถามเหล่านี้ได้

ลักษณะของผีจะกละ
จะกละคือผีแมว และน่าจะเป็นผีแมวป่าด้วย เพราะในตำราบอก่าสามารถ
พบเห็นได้ในป่า หากท่านเดินทางไปเที่ยวป่า แล้วเห็นแมวใส่ชุดยีนส์วิ่ง อย่า
ไปยุ่งกับมันเชียว เพราะอาจจะเป็นผีจะกละที่ว่าก้ได้

วิธีป้องกันและจัดการกับผีจะกละ
บรรดาหมอผีและชาวป่านิยมเลี้ยงเอาไว้สำหรับใช้ให้ทำร้ายศัตรู ด้วยเหต
ุนี้ชาวป่าทั้งหลาย จึงไม่ค่อยพิสมัยหรือชื่นชอบเท่าใดนัก คงจะเกรงว่าผีจะ
กละแปลงตัวมายังไม่สามารถพิสูจน์ ได้ว่าผีจะกละกลัวอะไรเลย

การถ่ายทอดหรือรักษาเผ่าพันธุ์
เนื่องจากผีจะกละเป็นสิ่งที่หมอผีปลุกเสกขึ้นมากฉะนั้นจึงไม่สามารถ
ทราบได้ว่าสามารถถ่าย ทอดได้โดยวิธีใด

7. ผีพราย [<<] [MENU] [>>]
ผีพรายเป็นพวกเดียวกับนางไม้ฉะนั้นเรื่องความสวยและความ
สาวรับรองไม่เป็นสองรองใคร และคงจะเป็นผีสาวมากกว่าผีเพศผู้ ผีพราย
ส่วนใหญ่มีนิวาสถานอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก แต่ผีพรายกับพรายน้ำที่ส่องแสง
วับ ๆ แวบ ๆเวลาต้องแสงไฟตอนกางคืนนั้นคนล่ะเรื่องเดียวกัน แหละตัวเอง
ประวัติความเป็นมาและอิทธิฤทธิ์ของผีพราย
ผีพรายเป็นผีประเภทนางไม้และชอบอาศัยอยู่ในน้ำ

ลักษณะของผีพราย
ผีพรายเป็นประเภทนางไม้สาวสวยและชอบอาศัยอยู่ในน้ำ หากเป็นผีพราย
เพศหญิงมักจะไว้ ผมยาว มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม หุ่นสเลนเดอร์อีกต่างหาก

อาหารและวิธีการทำมาหากิน
ผีพรายนั้นน่าจะกินพวกเครื่องเซ่น เหมือนผีธรรมดาทั่ว ๆ ไปแบบเดียวกับ
พวกผีนางไม้ทั้ง หลาย อันได้แก่ ผีนางตานี ผีนางตะเคียนเป็นต้น

วิธีป้องกันและจัดการกับผีพราย
ผีพรายผู้หญิงนั้นชอบอาศัยอยู่ในน้ำเวลาใครลงไปเล่นน้ำคนเดียวโดย
เฉพาะในที่ลึก ๆ อาจ จะโดนผีพรายเอาผมพันเขาลากจมหายไปก็ได้ทั้งนี้
เพราะต้องการจะเอาตัวไปเป็นบริวาร หรือไม่ก็ให้มารับตำแหน่งหน้าที่ผีพราย
น้ำแทนแล้วตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิด
วิธีป้องกันคืออย่างไปเล่นน้ำคนเดียว โดยเฉพาะที่ลึก ๆ และในเวลากลางคืน
ส่วนวิธีจัดการกับผีพรายนั้นคงต้องพึ่งหมอผีผู้เรืองวิทยาการทางด้านคาถาอาคม

8. เจ้าป่าเจ้าเขา [<<] [MENU] [>>]
ขึ้นชื่อว่าผีย่อมมีอยู่ทุกหนแห่งในโลกไม่ว่าจะเป็นตามบ้านเรือน
ทุ่งหญ้าป่าเขาในห้วยหนอง คลองบึงสำหรับเจ้าป่าเจ้าป่าเจ้าเขานั้นถือว่าเป็น
ผีระดับหัวหน้าหรือผีที่เป็นใหญ่กว่าผีป่าดง ทั้งหมดเหมือนกับผีป่าตามป่าช้าต่างๆ
ก็ต้องมีผีนายป่าเป็นหัวหน้าผีที่อาศัยอยู่ตามป่าก็ มีเจ้าป่าเจ้าเขา(เป็นผู้ดูแลควบ
คุมมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"พระพนัสบดี"แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ป่า) ซึ่งน่าจะมีทั้ง
เพศหญิงและเพศชาย
ประวัติความเป็นมา
บรรดาผีป่าผีเขาทั่งปวงเมื่อรวมกันอยู่เป็นหมู่มากก็ต้องมีการคัดเลือกหัวหน้า
หรือผู้ควบคุม ความสงบเรียบร้อยเพื่อความเป็นระเบียบคล้อย ๆ กับสังคมของ
คน เพราะผีส่วนใหญ่นั่นแต่เดิม ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นคนมาก่อน ดังนั้นย่อมมีวิธี
การปกครองของสังคม

อิทธิฤทธิ์ของเจ้าป่าเจ้าเขา
เจ้าป่าเจ้าเขานั้นสามารถให้คุณให้โทษกับผู้ที่ล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขต
แห่งป่าได้ ฉะนั้นเวลา ไปเที่ยวป่าพรานผู้นำทางหรือท่านผู้รู้มักจะเตือนไม่ให้
ทำอะไรเป็นการดูหมิ่นดูแคลนและให้ความ เคารพเจ้าป่าเจ้าเขาซึ่งเปรียบ
เสมือนเจ้าของสถานที่เช่นหากมีความจำเป็นจะต้องตัดไม้มาทำ ประโยชน์ก็ต้อง
เอ่ยปากขอต่อเจ้าป่าเสียก่อน เพราะนอกจากจะต้องขออนุญาติกับเจ้าป่าเจ้าเขา
แล้วจะต้องบอกนางไม้ หรือรุขเทวดา เพื่อท่านจะได้อพยพย้ายไปหาที่สร้าง
วิมานใหม่

เครื่องเซ่นสังเวย
ตอนเดินป่าเมื่อเวลาหยุดพักรับประทานอาหารจะต้องแบ่งอาหารส่วนหนึ่ง
ไส่ใบไม้ ถวายเจ้าป่าเจ้าเขาและบรรดาผีป่าและผีดงทั้งหลายเป็นการแสดง
ความคารวะตามประสาผู้มาเยือนที่ดีและช่วยให้เกิดความรู้สึกสบายใจ
นอกจากนี้หากมีการล่าสัตว์พรานอาจจะตัดเนื้อสัตว์ที่ล่าได้ส่วนหนึ่งวางไว้
ในที่อันควรเพื่อ เป็นการถวายแก่เจ้าป่าเจ้าเขา

9. ผีตายทั้งกลม [<<] [MENU] [>>]
อันว่าผีตายท้องกลม หรือตายทั้งกลม มีแต่เฉพาะเพศหญิง
เท่านั้น เพราะชื่อนี้หมายถึง ผีที่แม่ตายไปพร้อมกับเด็กหรือลูกในท้องหาก
คลอดออกมาแม่ตายและเด็กรอดหรือเด็กตายและแม่รอด ก็เรียกผีอย่างอื่น
ประวัติความเป็นมา
ผีตายทั้งกลมนั้นจะเหมือนกันหมด คือเมื่อหญิงสาวแต่งงานหรือมีสามี
แล้วหากปกติดีด้วย กันทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายหญิงก็จะตั้งครรภ์ แต่เกิดอุบัติเหตุหรือ
เหตุการณ์อะไรบางอย่าง ทำให้ต้องเสียชีวิตไปทั้งแม่และลูก โดยที่ทารกนั้น
ไม่อยู่ในครรภ์ ชาวบ้านก็พากันเรียกว่าผีตายทั้งกลม

ลักษณะของผีตายทั้งกลม
คือ ผีผู้หญิงมีครรภ์ที่เสียชีวิตพร้อมกันทั้งแม่และลูกที่อยู่ในท้อง ซึ่งผี
ประเภทนี้พ่อมดหมอผีที่หากินในทางทำเสน่ห์หรือน้ำมันพรายชอบนักชอบ
หนาพวกที่เรียนมาด้านไสยศาสตร์หรือ มนต์ดำ พอรู้ว่าที่ไหนมีผีตายทั้งกลม
ก็จะต้องเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในพิธี จัดการหาลูกศิษย์หรือสมัครพรรค
พวกพากันไปที่ป่าช้า ขุดศพขึ้นมาจากหลุม เพื่อใช้เทียนรนคางผีตายทั้งกลม
เอาน้ำเหลืองมาปลุกเศกทำน้ำมันพราย

ประโยชน์ของน้ำมันพราย
สรรพคุณยอดเยี่ยมคือ หนุ่มใดมีไว้ครอบครองสักขวดเล็ก ๆ เท่าขวดยา
นัตถุ์หมอมี เวลาเจอ สาวคนไหนชอบอกชอบใจ หรือสาวที่หมายปองเอาไว้
หล่อนไม่เล่นด้วย ก็ไม่ต้องตามจีบตาม ตื้อให้เสียเวลาเหยาะน้ำมันพรายสัก
2 หยดดีดหรือป้ายให้ถูกตัวสาวเจ้าหล่อนจะเคลิบเคลิ้มหลงไหลมีใจเสน่ห์หา
ตามมาถึงบ้านทันที แต่ท่านผู้รู้เคยบอกว่าหากสาวคนไหนถูกน้ำมันพราย
จะกลายเป็นบ้าใบ้ไม่มีสติเสียผู้เสียคนไปเลยก็มี ฉะนั้นใครไม่อยากสร้าง
บาปกลัวกรรมก็อย่าริ เป็นอันขาด มิหนำซ้ำหากไปขุดศพหรือทำอันตราย
อันใดกับศพแล้วญาติๆ เขามาพบเข้าโดน เหยียบอย่างไม่มีปัญหา

อาหารและวิธีการออกหากิน
ผีตายทั้งกลมกินเครื่องเซ้นหรืออาหารจากที่ญาตินำไปทำบุญถวายและ
กรวดน้ำอุทิศส่วน กุศลให้เหมือนผีธรรมดาทั่ว ๆ ไป

อิทธิพล วิธีป้องกันและจัดการกับผีตายทั้งกลม
ผีตายทั้งกลมแม้จะค่อนข้างดุและน่ากลัว แต่ก็กลัวพระ กลัวเครื่องราง
ของขลัง กลัวคนหลายใจ กลัวเถ้าแชร์

10. เวตาล [<<] [MENU] [>>]
เวตาลเป็นอสูรกายที่มีหน้าตาหน้ากลัวมีปีกเหมือนค้างคาว
ชอบสิ่งอยู่ในที่มืดและตามป่าช้าว่ากันว่านักปราชญ์บัณฑิตที่มีวิชาความรู้
แต่งกหรือหวงไว้ไม่ยอมถ่ายทอดสั่งสอนคนอื่น เมื่อตายแล้วจะได้เป็น
ปีศาจจำพวกเวตาล
ประวัติความเป็นมา
วันหนึ่งมีพ่อค้าจากต่างแดน นำผลไม้มาถวายพระเจ้าวิกลมมาธิตกษัติย์
แห่งเมืองอุชชยินี และผลไม้เหล่านั้น เมื่อผ่าออกภายในจะมีแก้วและทับทิม
อันสวยงามมาก พ่อค้าจึงบอกว่า ตนเองเป็นโยคี มีนามว่าศาติศีล กำลังจะ
ทำพิธีกรรมอย่างหนึ่งในป่าช้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวารี โดยเชื่อว่าเมื่อทำพิธี
นี้สำเร็จแล้ว ตนจะได้เป็นใหญ่ในโลก
ในป่าช้าแห่งนั้น มีอสูรตนหนึ่งชื่อว่าเวตาล โยคีขอให้พระเจ้าวิกลมมาธิต
ไปนำมาให้เพื่อใช้ ในการประกอบพิธีกรรมแต่มีข้อแม้ว่าเวลาไปนำมานั้น
ห้ามส่งเสียงใดเป็นอันขาดไม่เช่นนั้นมัน จะกลับไปยังที่เดิมและจะต้องกลับ
ไปนำตัวกลับมาใหม่
เวตาลเป็นอสูรกายนักเล่านิทานขณะที่เจ้าวิกลมมาธิตนำตนไปให้แก่
โยคีเจ้าเวตาลก็จะเล่า นิทานปริศนาไปตลอดทางแล้วทิ้งปมไว้ตอนท้าย
พระเจ้าวิกลมมาธิตตอบปริศนา 9 เรื่อง พอเวตาลเล่าเรื่องที่ 10 พระองค์
และพระราชบุตรไม่ยอมตอบปริศนาจึงสามารถนำไปให้โยคีได้สำเร็จ

ลักษณะของเวตาล
ลูกในตาเป็นสีเขียวเรือง ๆ ผมและหน้าสีน้ำตาล ตัวผอมเห็นซี่โครง
เอาหัวห้อยลงมาเหมือน ค้างคาว เมื่อจับถูกตัวก็เย็นชืดเหนียว ๆ คล้ายงู
เหมือนกับไม่มีชีวิตแต่หางซึ่งเหมือนหางแพะนั้น กลับกระดิกได้

อิทธิฤทธิ์ของเวตาล
เมื่อพระเจ้าวิกลมมาธิตพันกิ่งอโศกขาด เจ้าเวตาลก็ตกลงมาถึงพื้น
มันส่งเสียงร้อง อะแว้ อุแว้ เหมือนเด็ก ครั้นพระองค์ตรัสถามว่า เองเป็น
ตัวอะไรรับสั่งยังไม่ทันขาดคำ เจ้าเวตาลก็ส่งเสียง หัวเราะและกลับไป
ห้อยที่กิ่งอโศกตามเดิม เวตาลยังเป็นนักเล่านิทานที่เก่งโดยเล่าในเวลา
ที่เจ้าวิกลมมาธิตและพระราชบุตรกำลังจะพาตัวไปให้โยคีหากพระเจ้า
วิกลมมาธิตเผลอตอบเวตาล ก็จะกลับไปที่ต้นอโศกตามเดิม

11. ผีเปรต [<<] [MENU] [>>]
ผีเปรตในตำนานไทยกล่าวว่า มีอยู่ 12 ตระกูลใหญ่ ๆ คือ
1.วันตาสาเปรตตระกูล
2.กูณปขาทเปรตตระกูล
3.คูณขาทเปรตตระกูล
4.อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล
5.สุจิมุขเปรตตระกูล
6.ตัณหาชิตาเปรตตระกูล
7.นิชฌามกเปรตตระกูล
8.สัตตังคาเปรตตระกูล
9.ปัพพตังคาเปรตตระกูล
10.อัชครังคาเปรตตระกูล
11.เวมานิกเปรตตระกูล
12.มหิทธิกาเปรตตระกูล
นอกจากเปรต 12 ตระกูลนี้ยังมีเปรตอีก 19 จำพวกได้แก่
1. สุจิโลมา คือเปรตผู้มีขนเป็นเข็ม
2. ขุรโลมา คือเปรตผู้มีขนเป็นกรด
3. เอกปาทา คือเปรตผู้มีเท้าข้างเดียว
4. อเนกปาทา คือเปรตผู้มีเท้ามาก
5. เอกหตถา คือเปรตผู้มีมือข้างเดียว
6. อเนกหตถา คือเปรตผู้มีมือมาก
7. เอกเจตตา คือเปรตผู้มีจักษุข้างเดียว
8. อเนกเนตตา คือเปรตผู้มีจักษุมาก
9. ได้แก่ เปรตจำพวกที่กินมลพินครรภ์เป็นอาหาร
10. ได้แก่ เปรตจำพวกขนหยักเยื่อทูลศีรษะไว้เป็นนิตย์
11. ได้แก่ เปรตจำพวกกายยาว 25 เส้น นอนกลิ้งอยู่ดุจแผ่นศิลา
12. ได้แก่ เปรตจำพวกตัวจมอยู่บนภูเขาเพียงสะเอว ไฟไหม้อยู่
13. ได้แก่ เปรตพวกไถนาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
14. ได้แก่ เปรตจำพวกมีกายสูง มีกลิ่นตัวเหม็นยิ่งนัก
15. ได้แก่ เปรตพวกที่มีพืชเป็นเหล็กเป็นเปลวเพลิงรัดศีรษะอยู่
16. ได้แก่ เปรตจำพวกร่างกายผอม และเปลือยกายอยู่ตลอดเวลา
17. ได้แก่ เปรตจำพวกรูปชั่วตัวผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ศีรษะ
กลั้วไปด้วยฝุ่น
18. ได้แก่ เปรตจำพวกดำดุนตอไฟไหม้
19. ได้แก่ เปรตจำพวกสูงเท่าลำตาล มีแต่หนังหุ้มกระดูก

เปรตเป็นผีจำพวกหนึ่ง ซึ่งเคยทำบาปสร้างกรรมเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ครั้นตายลงแล้วก็
ต้อง มารับผลกรรมตามที่ได้สร้างไว้ทำให้ต้องมีความเป็นอยู่อย่าง
อดอยาก ผอมโซชอบส่งเสียงร้อง หรือปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็นเพื่อ
ขอส่วนบุญ ให้ช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บ้างเพราะอดอยากหิว
โหยซะเหลือเกิน

ลักษณะของเปรต
เปรตเป็นผีที่ร่างสูงมาก จนมีคำพูดติดปากล้อใครที่ตัวโย่ง ๆ ว่า สูงยังกับเปรตแต่เนื่องจาก กรรมที่กระทำในทางที่ชั่วร้ายมีแตกต่าง
กันไป เมื่อตายแล้วจึงได้เกิดเป็นเปรตชนิดต่างกัน เช่น
คนที่ชอบดุด่าตบตีพ่อแม่ผู้มีบุญคุณ จะต้องเป็นเปรตที่ปากเท่า
รูเข็ม มือโตเท่าใบพายหรือใบตาล อดอยากและหิวโหยอยู่เป็นนิตย์
คนที่ชอบฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ตีไก่ เชือดหมู เชือดวัว อยู่เป็นอาจิณย์เวลาตายจะต้องเกิดเป็นเปรต ประเภท ตัวเป็นคนหัว
เป็นไก่ หรือตัวเป็นหมูแล้วแต่ผลกรรม

ถิ่นที่อยู่และอิทธิฤทธิ์ของเปรต
เปรตมีที่อยู่แตกต่างกันตามประเภท อยู่ตามวัด อยู่ตามท้องทุ่ง
ตามทางเปลี่ยวใครไปไหนดึก ๆ เดินผ่านศาลาวัด หรือทางแยกอาจ
จะเจอเปรตเดินตามหลังมาส่งถึงบ้าน โบราณกล่าวว่า ถ้าเจอผีเปรต
ให้วิ่งไปข้างหน้าหรือวิ่งฝ่าไปเลย

อาหารและวิธีการออกหากิน
เปรตจะได้รับอาหารจากการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากลูกหลาน
หากไม่ได้รับร่างกายจะผ่ายผอม จะมีความอดอยากหิวโหย

วิธีป้องกันและจัดการกับผีเปรต
ผีเปรตกลัวพระ กลัวเครื่องรางของขลัง หากใครเจอผีเปรต
ให้รีบบอกว่าไปที่ชอบ หรือ ไปผุด ไปเกิดซะเถอะแล้วจะทำบุญอุทิศ
ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ เท่านี้ผีเปรตก็ไม่มาตอแยอีกต่อไป

วิธีถ่ายทอดและรักษาเผ่าพันธุ์
ผีเปรต เกิดขึ้นเองตามผลกรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้สมัยยังมี
ชีวิตอยู่ เวลาที่มีเปรตตัวเดิมจะพ้นจากกรรมได้ไปผุดไปเกิด จะมีเปรต
ตัวใหม่มารับตำแหน่งแทน


12. ผีเรือน [<<] [MENU] [>>]
ผีเรือน เป็นผีที่มีอยู่ประจำทุกบ้านหรือทุกครัวเรือนสำหรับ
บ้านที่ปลูกไว้เก่าแก่หรือเป็นมรดกตกทอดมาถึงรุ่นลูกหลานแต่ถ้าเป็นบ้าน
ที่ปลูกขึ้นใหม่ในสมัยโบราณก็จะต้องทำพิธีเชิญเจ้าที่เจ้าทาง
รวมทั้งผีบรรพบุรุษมาเป็นผีเรือนคอยให้ความคุ้มครองปกปักรักษา

ประวัติความเป็นมา
เนื่องจากผีเรื่อนนั้นเป็นผีเจ้าของบ้านหรือเจ้าของเรือนที่อยู่เรือนหลังนั้น
มาก่อนครั้นเมื่อหมดอายุลงวิญญาณยัง ไม่ได้ไปเกิดก็จะสิงสถิตอยู่ในเรือน
หรือบ้านของตนซึ่งลูกหลานเป็นผู้ครอบครองต่อมา บางที่หากบ้าน
ดังกล่าวเปลี่ยนเจ้าของหรือขายต่อให้ผู้อื่น ผีเรือนก็ยังอยู่ที่เดิมแต่ผู้ที่มาอยู่
ใหม่ควรให้ความเคารพนับถืออย่างน้อยก็ในฐานะเจ้าของเก่าหรือผู้อาวุโส
มีการนำอาหารมาเซ่นไหว้ ในช่วงเทศกาลสำคัญ ผีเรือนก็จะอวยชัยให้พรคอย
คุ้มครองดูแลความปลอดภัยไม่ให้ผีที่อื่นเข้ามาทำร้ายได้
ในกรณีที่ลูกหลานย้ายบ้านไปที่อื่น ก็อาจจะทำพิธีเชิญวิญญาณให้ย้าย
ตามไปด้วยก็ได้
ลักษณะที่อยู่ของผีเรือน
บางบ้านอาจทำหิ้งบูชาสำหรับผีเรือนโดยเฉพาะ และนำโกศใส่กระดูกไป
ตั้งไว้โดยเฉพาะเวลามีงานมงคลหรืองานต่าง ๆ ก็ต้องนำของไปเซ่นไหว้
บอกกล่าว เมื่อทำถูกต้องผีเรือนก็จะคอยคุ้มครองให้ความปลอดภัย ผีเรือนนั้นส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่เสาเอกของเรือนหรือถ้าเป็นเรือน
ที่มีเสาตั้งคือ เสาที่ตั้งบนรอดสำหรับรับอกไก่เรียกว่า เสาตั้ง ซึ่งเชื่อกันว่าผี
เรือนจะมาสิงสถิติอยู่ที่นี่

อาหารหรือเครื่องเซ่นสังเวย
นอกจากการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในตอนเช้าแล้ว ยังมีการจัดสำรับ
กับข้าวถวายพระพุทธรูปบูชาบนหิ้งพระภายใน บ้านอีกด้วย บางคนทำ
ทุกเช้าบางคนก็ทำในวันพระ และบางคนก็ทำสำรับกับข้าวอีกชุดหรึ่งสำหรับ
เซ่นสรวงผีเรือน

อิทธิฤทธิ์ของผีเรือน
ผีเรือนเป็นผีบรรพบุรุษหรือผีเจ้าของบ้านไม่ค่อยมีปาฏิหาริย์อะไร
มากส่วนใหญ่จะคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับ คนในบ้าน ไม่ให้
ผีพเนจรจากที่อื่นมายุ่มย่ามหรือสร้างความเดือดร้อนนอกจากผีเรือนแล้วยัง
มีผีพระภูมิเจ้า ที่เป็นด่านแรกคอยคุ้มครองป้องกันอยู่ที่ประตูหรือเขต
รั้วบ้านอีก


don

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> มารู้จักกับ" ผี "ชนิดต่างๆ <<<
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 21 พฤศจิกายน 2008, 01:27:02 »

 :(  น่ากลัว  iyor

3p

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> มารู้จักกับ" ผี "ชนิดต่างๆ <<<
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2008, 12:21:42 »

อัพหน่ออย..เผื่อได้น้ำมันพรายจากท่าน NICK..  l,l,

pagne2204

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> มารู้จักกับ" ผี "ชนิดต่างๆ <<<
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2008, 01:19:11 »

ขอบคุณครับ

ยาวมาก

แต่ก็ทนอ่าน

หลอนมากมาย