-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก  (อ่าน 1309 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก
credit พี่พิซซ่า@pizzapeach

โคลัมบัสแล่นเรือไปพิสูจน์ว่าโลกกลมเลยได้พบทวีปอเมริกา



ในปี 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้ทุนจากศาสนจักรให้แล่นเรือเดินทางไปยังเอเชียตะวันออก ทั้งที่คนยุคนั้นกลัวมากว่า
เขาจะต้องทำไม่สำเร็จแน่ๆ เพราะโลกแบน ถ้าโคลัมบัสแล่นเรือไปเรื่อยๆ ก็จะตกขอบโลกและหล่นลงไปในปากของเต่า
ที่แบกโลกอยู่แน่นอน ทว่าโคลัมบัสไม่ตกขอบโลก แต่กลับไปพบทวีปใหม่คั่นเส้นทางไปยังเอเชียตะวันออกแทน นั่นคือ
ทวีปอเมริกานั่นเอง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จึงกลายเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ค้นพบว่าโลกกลม และกลายเป็นบุคคลสำคัญ
ของอเมริกาไปเลย


เงิบกันเลยมั้ยล่ะ เพราะความจริงแล้วมนุษย์เรารู้ว่าโลกกลมมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล พีทากอรัส
คือนักปราชญ์คนแรกๆ เลยที่คำนวณแล้วสรุปว่าโลกกลม เพลโตเองก็ได้ศึกษาคณิตศาสตร์ของพีทากอรัส และก็ได้ข้อสรุปว่า
โลกกลมเช่นกัน จากนั้นเพลโตก็สอนลูกศิษย์เช่นนี้เรื่อยมา อริสโตเติลผู้เป็นศิษย์เอกของเพลโตก็สังเกตการมองเห็นดวงดาว
ในหลายพื้นที่และคำนวณออกมาว่าโลกเป็นทางกลม (ส่วนเรื่องโลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลนั้นว่ากันอีกเรื่องนึง)



นอกจากนี้ทางเทคนิคแล้วโคลัมบัสไม่เคยได้ขึ้นฝั่งที่พื้นทวีปอเมริกาจริงๆ เลยด้วย เขาขึ้นฝั่งที่บาฮามาสต่างหาก ส่วนตัวทวีปอเมริกา
เองนั้นก็มีชาวยุโรปมากมายเคยค้นพบมาก่อนแล้ว ที่มีหลักฐานชัดเจนเลยคือคณะสำรวจชาวไวกิ้งของ Leif Erikson ชาวยุโรปคนแรก
ที่ค้นพบทวีปอเมริกา โดยคณะของเขาขึ้นฝั่งบริเวณประเทศแคนาดาในปัจจุบัน และที่ผู้คนในยุคโคลัมบัสกลัวว่าเขาจะทำไม่สำเร็จ
ก็เป็นเพราะเขาดูถูกไซส์ของโลกมากเกินไป คนจึงกลัวว่าเสบียงเขาจะหมดกลางทางก่อนไปถึงเอเชีย เพราะดูจากแผนการของเขาแล้ว
คนทั่วไปคิดว่าคงไปได้ถึงแค่ครึ่งทางแหงๆ





แต่ละส่วนของลิ้นรับรสได้คนละรส



เรื่องนี้หลายๆคน คงเคยเรียนมาสมัยประถมกันใช่ไหมว่า โคนลิ้นจะรับรสขม ด้านข้างของลิ้นฝั่งค่อนไปทางโคนรับรสเปรี้ยว
ด้านข้างของลิ้นฝั่งค่อนมาทางปลายลิ้นรับรสเค็ม และปลายลิ้นรับรสหวาน ความเชื่อนี้เริ่มมาจากงานเขียนด้านจิตวิทยา
ในภาษาเยอรมันที่มีชื่อว่า Zur Psychophysik des Geschmackssinnes ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1901 ในงานเขียนนั้น
มีข้อมูลว่าแต่ละบริเวณของลิ้นจะรับรสได้เพียงรสเดียวเท่านั้น




แต่ตั้งแต่ปี 1974 เป็นต้นมาก็มีการทดลองเพื่อตรวจสอบความเชื่อนี้อยู่เรื่อยๆ และสรุปได้ว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิด
เพราะจริงๆแล้วปุ่มรับรสพันๆ ปุ่มบนลิ้นสามารถจับได้ทุกรสไม่ต่างกัน และมันก็จะส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อแปลว่า
นั่นคือรสอะไรอีกที ฉะนั้นลิ้นไม่ได้บอกรสแต่เป็นสมองต่างหาก







นโปเลียนเป็นคนเตี้ยมาก (และนั่นน่าจะทำให้เขามีปม)



เรื่องนี้อาจไม่ได้อยู่ในหลักสูตรการเรียนโดยตรง แต่ในวิชาประวัติศาสตร์ของหลายๆ ประเทศในยุโรปมักมีประวัตินโปเลียน โบนาปาร์ต
ให้อ่านเป็นหนังสือนอกเวลา หนังสือหลายๆ เล่มระบุว่านโปเลียนมีความสูง 5 ฟุต 2 นิ้ว (ประมาณ 157.5 เซนติเมตร) ซึ่งตัวเลขนั้น
ก็ถูก เพียงแต่หลายสำนักพิมพ์ดูจะลืมอธิบายว่า นั่นคือ ฟุตและนิ้วแบบฝรั่งเศส ในยุคนั้นที่ไม่ตรงกับฟุตและนิ้วแบบสากลของยุคนี้


แต่ถ้าแปลงแบบหน่วยแบบฝรั่งเศสยุคเก่าแล้ว จะได้ความสูงที่ประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้วหรือประมาณ 170.2 เซนติเมตร บางคนอาจ
จะมองว่า 170 ก็น่าจะเตี้ยของฝรั่งอยู่ดีนะ แต่อย่าลืมว่าความสูงเฉลี่ยของผู้ชายฝรั่งเศสในยุคนั้นคือ 5 ฟุต 5 นิ้วนะ (ประมาณ 165 เซนติเมตร)
ฉะนั้นตามมาตรฐานยุคนั้นแล้วนโปเลียนจัดว่าสูงใช้ได้เลย ดังนั้นการเรียกผู้ชายตัวเตี้ยที่มีปมในชีวิตจากความไม่สูงว่า "เป็นโรคนโปเลียน"
จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเลย

จริงอยู่ที่ว่าช่วงบั้นปลายชีวิตของนโปเลียน เขาถูกชาวบ้านเรียกว่า Le Petit Caporel หรือนายพลตัวน้อย แต่นั่นเป็นเพราะนโปเลียน
มักไปไหนมาไหนโดยมีบอดี้การ์ดรายล้อม และการจะเป็นบอดี้การ์ดของนโปเลียนได้ก็ต้องเป็นชายร่างสูงใหญ่เท่านั้น นโปเลียน
ผู้สูง 170 ยืนอยู่กลางกลุ่มชาย 180 ขึ้นก็ย่อมดูเหมือนเตี้ยเป็นธรรมดา นอกจากนี้การเรียกว่านายพลตัวน้อยนั้นก็เหมือนเป็นคำเรียก
แบบน่ารักๆ ด้วย ไม่ใช่คำด่า ฉะนั้นนโปเลียนไม่ได้เตี้ยแล้วมีปมจนต้องไปรบเพื่อขยายอาณาเขตประเทศเพื่อชดเชยความสูง มันไม่เกี่ยวกันเล๊ย







กำแพงเมืองจีนคือสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างเพียงแห่งเดียวที่มองเห็นได้จากอวกาศ



ข้อมูลนี้เคยเจอทั้งในหนังสือเรียนและหนังสือความรู้รอบตัว ที่วางขายอยู่ทั่วไปด้วยหละ จริงๆ ก่อนที่มนุษย์จะไปเยือนดวงจันทร์
ก็เคยมีความเชื่อที่สืบทอดกันต่อมาด้วยนะ ว่าสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์เลย แต่นักบินอวกาศที่เคยไปดวงจันทร์
ก็ยืนยันแล้วว่าขณะอยู่บนดวงจันทร์จะมองเห็นโลกเป็นเหมือนลูกบอลที่มีสีขาวเยอะมาก มีสีฟ้ารองลงมา มีสีเหลืองเล็กน้อย
และนานๆที จะเห็นสีเขียวบ้าง แต่ไม่มีทางเห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลย นั่นทำให้ความเชื่อนี้หายไป เหลือแต่เชื่อกันว่ายังคงมองเห็น
กำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศอยู่


ส่วนผู้ที่ทำลายความเชื่อนี้ก็คือนักบินอวกาศของจีนเอง Yang Liwei คือนักบินอวกาศคนแรกจากประเทศจีนที่ได้ขึ้นไปอยู่ในอวกาศ
ด้วยโครงการอวกาศของจีนเอง เขายืนยันว่าขณะบินอยู่เหนือจีนและมองโกเลีย เขาเพ่งสุดๆ ยังไงก็ไม่เห็นกำแพงเมืองจีนเลย
ตอนนั้นก็เป็นข่าวใหญ่อยู่เหมือนกัน หลายคนออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนข้อมูลในหนังสือเรียนใหม่เลยด้วย แต่เรื่องนี้ก็มีคำอธิบายนะ
สาเหตุที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจากอวกาศก็เพราะกำแพงเมืองจีนสีกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง แต่ถ้าใช้กล้องเรดาร์
ของสถานีอวกาศนานาชาติถ่าย ก็จะเห็นแนวเส้นที่บอกได้ว่านั่นแหละคือกำแพงเมืองจีน

จริงๆแล้ว นักบินอวกาศสามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นได้มากมายเลยนะ ส่วนมากมักเป็นแสงไฟยามค่ำคืน
แต่ถ้าพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นแล้วล่ะก็ มหาปิระมิดแห่งกีซ่า สามารถมองเห็นได้ชัดจากสถานีอวกาศนานาชาติ




มนุษย์มีประสาทสัมผัสแค่ 5 อย่างเท่านั้น



เป็นสิ่งที่เรียนกันมานานแล้วว่าคนเรามีประสาทสัมผัสอยู่ 5 อย่าง ได้แก่การมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัส
ความเชื่อเรื่องนี้ปรากฎมาหลายยุคหลายสมัยและในหลายศาสนาด้วย จิตรกรมากมายในยุคก่อนๆ ก็วาดภาพที่สื่อถึงประสาททั้ง 5 นี้เช่นกัน


แต่เท่าที่นักวิจัยค้นพบจนถึงตอนนี้พบว่ามนุษย์เรามีประสาทสัมผัสเกิน 20 ได้ เช่น การรับรู้อุณหภูมิ, การรับรู้แรงดัน, การรับรู้อากัปกิริยา,
การรับรู้ความเจ็บปวด, การรับรู้การทรงตัว, การรับรู้ความตึงของกล้ามเนื้อ, การรับรู้การยืดหดของอวัยวะภายใน, ความกระหาย, ความหิว,
การรับรู้ถึงสนามแม่เหล็ก และการรับรู้เวลา เป็นต้น





ปลาทองมีความจำสั้นแค่เพียง 3 วินาที



ข้อนี้อาจไม่ถึงกับเป็นเนื้อหาในบทเรียน แต่ก็เคยได้ยินครูบ่นอยู่บ้างนะว่านักเรียนขี้ลืมเหมือนปลาทองเลย ซึ่งนั้นเป็นการใส่ร้ายปลาทอง
อย่างรุนแรง มีงานวิจัยจากหลายที่เลยที่ยืนยันว่าปลาทองจำได้เป็นเดือนๆ ไม่ใช่แค่ 3 วิ


มาดูตัวอย่างการทดลองแรกกัน เป็นผลงานของทีมวิจัยจากสถาบัน Technion Institute of Technology ในประเทศอิสราเอล
เขาฝึกปลาโดยเปิดเสียงเสียงหนึ่งในฟังผ่านลำโพงเวลาที่จะให้อาหาร ผ่านไประยะหนึ่งปลาก็จำได้ว่าถ้าเสียงนี้ดังขึ้นเมื่อไหร่แปลว่า
อาหารกำลังมา และพวกมันก็จะว่ายมารออาหารทันที หลังฝึกได้หนึ่งเดือนก็ปล่อยปลาไปตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติของมัน
เมื่อผ่านไปประมาณ 4-5 เดือน ปลาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทีมวิจัยนี้ก็เปิดเสียงนี้เรียกอีกครั้ง และปลาเหล่านั้นก็ว่ายกลับมาหาอีกครั้ง

ส่วนอีกการทดลองนึงที่ทดลองกับปลาทองล้วนๆ เลยคือผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Plymouth University นักวิจัยติดตั้งประตูลับ
ไว้ในตู้ปลา เมื่อปลาทองว่ายมาชนคันโยก ประตูลับก็จะเปิดและอาหารก็จะถูกปล่อยออกมา เมื่อปลาทองเริ่มคุ้นเคยกับการใช้คันโยกแล้ว
นักวิจัยก็ตั้งเวลาให้อาหารถูกปล่อยลงมาแค่ในช่วงชั่วโมงเดียวในหนึ่งวัน ผ่านไปไม่กี่วันปลาทองก็รู้แล้วว่าต้องว่ายมาชนคันโยก
แค่ตอนเวลานี้เท่านั้น ปลาทองหลายตัวถึงกับว่ายมารอหน้าประตูลับและดูกระวนกระวายตอนใกล้ถึงชั่วโมงให้อาหาร แต่ปลาทอง
ก็ไม่ชนคันโยกพร่ำเพรื่อ เหมือนกับมันเรียนรู้แล้วว่าถึงชนไปก็ไม่มีอาหารร่วงมาอยู่ดี การทดลองนี้ใช้เวลา 3 เดือนจึงทำให้รู้ว่า
ปลาทองไม่ได้มีความจำ 3 วิแน่นอน



เลือดเมื่ออยู่ในตัวเรามีสีน้ำเงิน แต่พอมันเจอออกซิเจนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง



ไม่เคยได้ยินความเชื่อแบบนี้ที่ไทย แต่ที่อเมริกายังมีบางโรงเรียนที่ครูสอนแบบนี้อยู่ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ เนอะ ความเชื่อนี้บอกว่า

"เลือดตอนที่อยู่ในตัวเราจะมีสีน้ำเงินเพราะมันยังไม่โดนออกซิเจนในอากาศ ไม่เชื่อก็ลองดูที่แขนสิ เส้นเลือดเป็นสีน้ำเงิน
หรือเขียวใช่มั้ยล่ะ แต่ทันทีที่เราหรือมีแผล ทำให้เลือดไหลออกมา เลือดจะเจอกับออกซิเจนและทำปฏิกิริยากันจนกลายเป็นสีแดง
เราจึงเห็นเลือดที่ไหลออกมาเป็นสีแดง"

อ่านแล้วก็อยากจะอุทานใส่รัวๆ เลย เชื่อว่าทุกคนที่อ่านบทความนี้รู้อยู่แล้วว่าเลือดเราสีแดงแน่นอน ไม่งั้นเวลาเอาเข็มฉีดยา
ไปดูดเลือดออกมาโดยตรงเพื่อตรวจเราก็ต้องเห็นน้ำสีน้ำเงินแล้วสิ ส่วนสาเหตุที่เรามองเห็นเส้นเลือดที่แขนเป็นสีน้ำเงินนั่น
ก็เพราะสายตาเราเอง แสงต้องผ่านฟิลเตอร์หลายชั้นในผิวเรา ทำให้ส่วนมากแล้วจึงเหลือแต่สีน้ำเงินที่สะท้อนกลับมาถึงตาเรานั่นเอง
นอกจากนี้เลือดเราก็ขนส่งออกซิเจนอยู่แล้วด้วยนะ ส่วนเลือดในเส้นเลือดดำก็ไม่ได้มีสีดำ แต่เป็นสีแดงเข้มต่างหาก





โทมัส เอดิสัน คือผู้ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกของโลก



จริงอยู่ที่เอดิสันมีชื่อเป็นนักประดิษฐ์คนดังแห่งยุค เพราะเขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ในอเมริกามากถึง 1,093 ชิ้น และยังมีอีกหลายชิ้น
ที่ได้จดสิทธิบัตรในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี รวมถึงยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรหลอดไฟ แต่เขาไม่ใช่คนแรกที่ประดิษฐ์หลอดไฟ
แต่เขาเป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์นี้ตังหาก หลังนำผลงานการประดิษฐ์หลอดไฟของนักประดิษฐ์หลายๆ คน มาทดลองต่อ

(เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "จดก่อน ชนะ!")

การประดิษฐ์หลอดไฟมีมานานก่อนหน้านี้แล้ว มีนักประดิษฐ์ถึง 22 คนที่พัฒนาหลอดไฟอยู่เรื่อยๆ แต่เอดิสันคือคนที่นำผลงาน
ของนักประดิษฐ์คนอื่นไปประยุกต์ให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน และยืดอายุการใช้งานของหลอดไฟให้มากขึ้น
ก่อนนำไปจดสิทธิบัตร

ทว่าเอดิสันก็มักถูกวิจารณ์อยู่เรื่อยถึงความเห็นแก่ตัวของเขา เพราะสิ่งประดิษฐ์ที่จดสิทธิบัตรในชื่อเขาส่วนมากคือการนำผลงาน
คนอื่นมาต่อยอด หรือบางชิ้นที่ประดิษฐ์ใหม่ก็เป็นผลงานที่บรรดาลูกจ้างของเขาทำขึ้น แต่เขากลับไม่แบ่งเครดิตให้คนอื่นด้วยเลย
หนึ่งในอดีตลูกจ้างคนดังของเขาคือ นิโคลา เทสลา




อ้างอิง
www.cracked.com/article_16101, www.therichest.com
matadornetwork.com, listverse.com
thoughtcatalog.com, www.reference.com
www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2828561
www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1106884
www.nasa.gov/vision/space/workinginspace/great_wall.html
www.todayifoundout.com/index.php/2010/03
www.todayifoundout.com/index.php/2010/07
www.imt.liu.se/edu/courses/TBMT36/pdf/blue.pdf
www.quora.com, www.iflscience.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 มีนาคม 2017, 16:26:36 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

kasuika255

  • ว๊องแมน
  • *
  • กระทู้: 7
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด

ได้ความรุ้ดี ขอบคุณครับ

น้ำขิง

  • เด็กหัดเสียว
  • **
  • กระทู้: 462
  • Country: 00
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: 8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2017, 23:04:22 »

มีความรู้เรื่องผิดมาตลอดเลย eta04