-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานแวมไพร์ที่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ 8 ข้อ  (อ่าน 585 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

ตำนานแวมไพร์ที่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ 8 ข้อ
cr.cammy@dek-d



แวมไพร์ จากวิกิพีเดีย(ไทย) นิยามความหมายไว้ว่า แวมไพร์ ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง
เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร
เพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวัน
แพ้แสงแดด


แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก,
หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อน
ในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน




สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด
เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็น
เหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง

ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า
คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี เช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าว
ไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสาน
ให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการ
พันธนาการไว้ในโลง

เรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่
สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องแดรกคูลา ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้าง
เป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง
Nosferatu : A Symphony of Horror ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น




แน่นอนว่าเราไม่เถียงว่าแวมไพร์เป็นผีอมตะที่เรารู้จักกันดีไปทั่วโลก แต่กระนั้นเราก็มีข้อเท็จจริงหลากหลายที่สามารถอธิบายได้
เหมือนกันว่าแวมไพร์เป็นสิ่งที่เราเข้าใจผิดมาโดยตลอด  และนี้คือ 8 ข้อที่เราสามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์

 

8. Stake Through the Heart


   
หมุดปักผ่านหัวใจ เป็นตำนานความเชื่อที่ได้รับความนิยมที่สุดเกี่ยวกับแวมไพร์ว่า วิธีที่สามารถกำจัดแวมไพร์
ได้อย่างชะงักนั้นก็คือ การปักหมุดทะลุผ่านหัวใจแวมไพร์


โดยมีเรื่องเล่ากันว่าหากพื้นที่ใดมีแวมไพร์อาละวาด ชาวบ้านจะพยายามตามรอยว่ามีศพใดผิดปกติ และเมื่อพบ
พวกเขาจะขุดศพที่คิดว่าเป็นแวมไพร์ขึ้นมาจากหลุมฝังศพตอนกลางวัน(หรือศพดังกล่าวอยู่โรงเก็บศพ หรือไม่ก็
อยู่พื้นที่ลับอยู่ก่อนแล้ว) และเมื่อพบศพ จะพบว่าศพดังกล่าวมีรูปร่างผิดปกติแตกต่างจากศพทั่วไป หลังจากนั้น
พวกเขาจะใช้หมุดไม้หรือเหล็ก (อาจเป็นกางเขนสัญลักษณ์ศาสนาคริสต์)ปักอก ใช้ค้อนตอกจนมิด เลือดสดๆ
ทะลึกออกมากลิ่นเหม็นคาวคลุ้งไปทั่ว และศพดังกล่าวจะส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างกับคนยังมีชีวิตอยู่(ทั้งๆ ที่
ตายไปแล้ว) จารกนั้นศพจะบิดกายอย่างเจ็บปวด ส่งเสียงอืออาในลำคอก่อนที่สงบนิ่งไป

โดยตำนานดังกล่าวมาจากการดัดแปลงจากตำนาน revenant (ศพที่กลับมาจากหลุมฝังศพ ซึ่งเป็นอีกชนิดหนึ่ง
ของแวมไพร์)  ซึ่งเป็นวิธีการป้องกันไม่ให้ศพคืนชีพ ทั้งที่ความจริงแล้วเสียงร้องโหยหวนดังกล่าวเป็นเพียงภาวะศพอืด
พองตัว ที่ก๊าซถูกกักเก็บอยู่ในภาวะอาหาร ลำไส้ และหลอดอาหาร และเมื่อหมุดปักความดันจะทำให้ก๊าซทะลัก
ผ่านลำคอและดันปากเหมือนกับเสียงเพลง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดดังกล่าว

 


7.Bats


   
ตามความเชื่อของโรมาเนียเชื่อว่าค้างคาว แมลง หรือสัตว์ที่บินได้ ที่ผ่านซากศพ มันจะกลายเป็น revenant
และนอกจากนี้ยังเชื่อว่าค้างคาวเป็นร่างแปลงของแวมไพร์ ซึ่งมันกระหายที่อยากกินเลือดมนุษย์


โดยความจริงแล้ว ความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ อาจมีที่มาจากที่ภูมิภาคอเมริกากลาง
และทวีปอเมริกาใต้ ที่นั้นมีค้างคาวขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ชื่อค้างคาวดูดเลือด หรือค้างคาวแวมไพร์ ซึ่งมีพฤติกรรมชอบ
ดูดเลือดสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหารหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว โดยเวลาเจอเหยื่อค้างคาวจะบินเข้าไปใกล้เหยื่อและ
จะเกาะบนพื้นก่อนที่จะค่อยๆ คลานเข้าไปหาเหยื่อ และจะทำให้เกาะเหยื่อได้โดยที่เหยื่อไม่รู้สึกตัว(ส่วนมากจะเลือก
เหยื่อที่นอนหลับ) และใช้ฟันหน้าที่คมกรีดผิวหนังเหยื่อบริเวณที่ไม่มีขน แล้วจึงค่อยๆ เลียกินเลือดที่ไหลออกมาจนอิ่ม
ก่อนที่จะจากไป

จากพฤติกรรมของค้างคาวดูดเลือดนี้เอง ที่ส่งผลให้มีผู้เขียนนวนิยายนำมาดัดแปลงเป็น แวมไพร์ผีดูดเลือด ในเวลาต่อมา
ซึ่งความจริงแล้วค้างคาวดึงกล่าวไม่ได้ดูดเลือดแต่มันเลียเลือดจากแผลต่างหาก




 
6. Fresh Corpses



มีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับแวมไพร์ที่เป็นเรื่องจริง โดยเล่าว่าในช่วงกลาง ค.ศ. 1700 มีชายคนหนึ่ง ปีเตอร์ โปลโกโจวิทช์
ชาวไร่ชาวเซอร์เบียอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านกิสิโลวาแห่งตำบลราห์น เสียชีวิตลงเมื่ออายุ 62 ปี โดยไม่ทราบสาเหตุเสียชีวิตแน่ชัด
หลังจากที่ฝังศพเขาได้นานสิบอาทิตย์ ชาวบ้านก็เห็นโปลโกโจวิทช์ปรากฏกายขึ้นในยามค่ำคืน บรรดาผู้คนที่ได้พบเห็นเขา
กล่าวว่าเขาบุกรุกเข้าถึงเตียงนอนและทำร้ายเหยื่อ


โดยภายในเวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์ก็มีผู้ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตถึงเก้าคน หลังจากนั้นภรรยาของปีเตอร์ โปลโกโจวิทช์ก็บอกว่า
เขาเคยมาพบเธอและร้องขอร้องเท้าจากเธอ (เป็นความเชื่อ ของยุโรปว่าผีดูดเลือดแม้ตายแล้วยังมีกิเลสและยึดติดกับ
ทรัพย์สมบัติอยู่)

ภรรยาของเขาหวาดกลัวแล้วเผ่นหนีออกจาหมู่บ้านทันที ผลสุดท้ายชาวบ้านทนไม่ไหวจึงลงมิติขุดศพของนายโปลโกโจวิทช์
ขึ้นมาเพื่อทำลาย ให้สิ้นซากเสียเลยเมื่อ ชาวบ้านขุดศพขึ้นมา ชาวบ้านต่างตะลึงเมื่อศพไม่ส่งกลิ่นเน่าออกมาเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งสภาพศพก็ไม่เน่าเปื่อย นอกจากบริเวณจมูกและผิวด้านนอกของร่างกาย ที่น่าแปลกคือเกิดผิวหนังใหม่เข้ามาแทนที่ผิว
ด้านนอกที่เปื่อยหลุด ออก(ประมาณคล้ายงูลอกคราบ) เล็บของเขาหลุดออกก็ปรากฏเล็บอ่อนที่กำลังงอกขึ้นมาใหม่เช่นกัน
และบริเวณปากของเขาก็มีเลือดไหลซึมเป็นทางยาว บ้านรีบจัดการทำลายผีดูดเลือดตนนี้ โดยการใช้ตอกแท่งไม้แหลมทะลุ
ผ่านหัวใจ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างยืนยันว่ามีเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมามากมาย หลังจากนั้นชาวบ้านก็เผาศพทันที
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผีดูดเลือดก็ไม่มาทำร้ายชาวบ้านอีกเลย



ตามความเชื่อที่ได้รับความนิยมเกี่ยวกับศพที่ถุกสงสัยว่าแวมไพร์ก็คือ ให้สังเกตว่าศพที่จะเป็นแวมไพร์มักจะเป็นศพที่ดูมี
สุขภาพกว่าที่จะเป็น จะดูอ้วนและดูไม่มีสิ่งที่บ่งว่าจะเน่าเปื่อย ริมฝีปากและปากเต็มไปด้วยสีแดงคล้ายเลือดสด และเส้นผม
และเล็กของศพยังมีการเจริญเติบโตงอกอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามเรื่องศพไม่เน่าเปื่อยนั้นสามารถอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้อย่างมากมาย เริ่มจากความรู้พื้นฐานการ
ย่อยสลายศพนั้นก็สามารถอธิบายได้ว่า หากศพดังกล่าวอยู่ในพื้นที่มีไม่อากาศบริสุทธิ์และอยู่อุณหภูมิต่ำโดยเฉพาะ
อยู่ใต้ดินหรือพื้นที่สภาพเหมือนตู้เย็น ก็จะช่วยชะลอไม่ให้ศพเน่า




ส่วนกรณีริมผีปากแดงสดเหมือนเลือดนั้นเกิดกรณีที่ศพป่องเลือดจะถุกผลักมายังพื้นผิวก่อให้เกิดสีแดงสดที่แก้มหรือริมผีปาก
หรือแม้แต่เลือดในปากทำให้เหมือนคนตายแล้วไม่นาน ส่วนผมและเล็บยังงอกทั้งที่คนเราตายแล้วนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันไปเอง
เป็น จริง ๆ แล้ว เส้นผมและเล็บมือของเรา จะไม่งอกอีกต่อไปหลังจากที่เราเสียชีวิต แต่สำหรับบางรายอาจจะดูเหมือนมันงอก
ออกมาอย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเพราะ เมื่อเราตาย ร่างกายจะสูญเสียน้ำ ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นจนต้องหดตัวลง ทำให้เกิด
การเข้าใจผิดไปว่าเส้นผมและเล็บมือของศพนั้นยาวขึ้น



 
5.Fangs


   
โรคโพรพีเรีย(Porphyria) หรือโรคผีดูดเลือด เป็นโรคทางพันธุกรรมด้อยที่เกี่ยวกับเลือดที่เกิดจากความผิดปกติของเลือด
เนื่องจากร่างกายขาดเอนไซม์ที่ใช้สร้างร่างกายที่เรียกว่า “Heme” ซึ่งอาการของโรคจะแสดงออกสองลักษณะใหญ่ๆ
ก็คือทางจิต และผิวหนัง  ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีร่างกายอ่อนแอเพราะว่ามีเฮโมโกลบินน้อยเกินไปในการผลิตเลือด




โดยในสมัยก่อนโรคดังกล่าวมักเกิดขึ้นกับขุนนางที่แต่งงานระหว่างเครือญาติ โดยผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวจะเกิดอาการแทรกซ้อน
ทางผิวหนัง  แพ้แสงแดดอย่างรุนแรงถึงขั้นปวดแสบปวดร้อนและมีการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่บวม พุพอง และเกิดความ
ผิดปกจิต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม การเปลี่ยนแปลงของสีผิว การเสื่อมสภาพของริมฝีปากและจมูก สายตาที่น่ากลัว
และแน่นอน โรคนี้ยังส่งผลให้เหงือกของผู้ป่วยหดรัดตัวเข้าไปและมีฟันยืนออกมา

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคนี้จึงมีรูปร่างลักษณะและอุปนิสัย คล้ายแวมไพร์ดังกล่าว


 
4.Vampire's Reflection
   
อีกหนึ่งความเชื่อเรื่องแวมไพร์คือ ก็คือแวมไพร์ทุกตัวจะไม่มีเงาเมื่อกระทบแสงหรือสะท้อนในกระจก ซึ่งปกติแล้วกระจก
มักเกี่ยวข้องกับความเชื่อแห่งความตายเสมอ




ตามความเชื่อของตะวันตกแล้ว หากกระจกแตกจะหมายถึงลางร้ายบอกถึงการจากไปหรือการตายของใครบางคนในครอบครัว
ตามความเชื่อของบัลแกเรีย ศพคนตายไม่สะท้อนในกระจกหมายถึงจะมีความตายเกิดขึ้น ซึ่งทำให้มีประเพณีว่าเวลาจะ
เคลื่อนย้ายศพออกจากบ้านต้องออกทางหน้าตายและไม่ควรผ่านประตูหน้าบ้านเพราะประคูหน้าบ้านมักทำจากแก้ว



และผู้ที่เป็นโรคโพรพีเรีย(Porphyria)มักหวาดกลัวกระจกเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้เห็นตัวเอง(ที่หน้าตาอัปลักษณ์)
ในกระจกมากนัก




 
3. Photosensitivity
 


ผู้ที่เป็นโรคโพรพีเรีย(Porphyria) ผิวหนังจะเกิดอาการแพ้แสง และเกิดแผลพุพอง เนื่องจากร่างกายของผู้เป็นโรค
ขาดความประสิทธิภาพการซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังที่ถูกทำลายโดยรังสียูวี ทำให้ผู้เป็นโรคกลัวแสงแดด เพื่อเลี่ยงอาการ
เหล่านี้คนเหล่านั้นจึงมักออกจากบ้านในยามค่ำคืน

 

2. Aversion to Garlic



กระเทียมถือว่าเป็นสัญลักษณ์คลาสสิกในคติชนแวมไพร์ ที่แวมไพร์หวาดกลัวต่อกระเทียม แต่ทำไมต้องเป็นกระเทียม?
เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคโพรพีเรีย(Porphyria)จะมีอาการทางจิตชนิดหนึ่งคือหวาดกลัวกระเทียมเป็นอย่างมาก ทั้งที่กระเทียม
มีสารเคมีในการรักษาโรคโพรพีเรีย




1. Drinking Blood



และนี้คือความเชื่อเกี่ยวกับแวมไพร์ที่ฮิตที่สุด นั้นก็คือแวมไพร์มักกระหายเลือดตลอดเวลา จำเป็นต้องดื่มเลือดของมนุษย์
ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต


มีอยู่ตำนานหนึ่งที่เกี่ยวกับแวมไพร์เล่าว่าในปี 1970 - 1980  ที่เมือง มานอส ประเทศ บราซิล มีผู้พบศพเด็กอายุ
ประมาณ 10 ขวบ คนหนึ่งนอนตายอยู่ในเวลาพลบค่ำ ก่อนพบศพเด็กคนนั้นพยานได้เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินจ้ำ
ออกไปอย่างลุกลี้ ลุกลนเจ้าหล่อนผู้นั้นผิวขาวสวยผมสลวยลงเคลียไหล่ แต่งกายด้วยกระโปรงชุดมินิสเกิ๊ตสีอ่อน
และสวมถุงน่องสีดำ


เมื่อหล่อนลับตัวไปแล้วพยานจึงเข้าไปพบศพเด็กชายคนนั้น อยู่ข้างพุ่มไม้ทึบ สิ้นใจแล้วแต่เนื้อตัวยังอุ่นอยู่ ตรงลำคอ
มีรอยรูเล็กๆ 2 รู ตรงจุดที่เป็นเส้นเลือดใหญ่พอดี สันนิษฐานว่าคงถูกกัดเจาะด้วยเขี้ยวแหลมคมเหมือนเขี้ยวสัตว์
ต่อมาก็เกิดคดีเด็กเสียชีวิตแบบนี้อีก 2 - 3 ราย ทุกรายล้วนแต่มีผู้พบเห็นสตรีสาวในชุดมินิสเกิ๊ตป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยทั้งสิ้น
จึงโจษขานกันไปต่างๆนานาบ้างก็แจ้งความให้ตำรวจจับ ซึ่งตำรวจก็ไปซุ่มด้อมๆมองๆตามที่ซึ่งคิดว่ามีผีดูดเลือด
สาวสวยจะไป แต่ก็ปราศจากผล



จนกระทั่งคืนหนึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นไปบนโรงพักกุมลำคอที่โชกเลือดไปให้ดูด้วยว่ามันมีรูเล็กๆเหมือน
เขี้ยวสัตว์ 2 รู ที่นั่นเลือดไหลรินออกมาไม่หยุดชายหนุ่มเล่าว่าเขาได้พบสาวสวยคนหนึ่ง และ แต่งชุดมินิสเกิ๊ตเดินอยู่
ชายหาดเจ้าหล่อนชายหูชายตาให้เขาอย่างเป็นนัยๆ ชายหนุ่มก็เลยเข้าไปผูกสัมพันธ์ด้วยจนกระทั่งถึงขั้นกอดรัดใน
ความมืดแต่ทันใดนั้นเอง


" ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ " ชายหนุ่มเคราะห์ร้ายเล่า

" ทำให้นึกถึงเรื่องผีดูดเลือดขึ้นได้จึงสะบัดเต็มแรงจนผู้หญิงคนนั้นผงะไป ผมเห็นหล่อนอ้าปากกว้างมีเขี้ยวแหลม
ยาวสองซี่เปรอะเลือดของผมแดงเถือก เห็นเท่านั้นผมก็ตกใจเกือบสิ้นสติ รีบสะบัดจนหลุดแล้ววิ่งมานี่หละครับ "


คราวนี้ ตำรวจยกกำลังไปที่ชายหาดนั้นทันทีแต่ไม่พบร่องรอยสาวสวยผีดูดเลือดคนนั้น เลยแม้แต่เงาจนป่านนี้
ก็ยังหาตัวไม่ได้ แต่คดีคนถูกดูดเลือดจนตายไม่เกิดขึ้นอีกเลยนับจากนั้นเป็นต้นมา…

ทำไมต้องเป็นเลือด? ทำไมแวมไพร์ซึ่งเป็นศพที่ตายแล้วถึงมีความต้องการเลือดได้
มันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพศพหรือไม่?


แต่ที่แน่ๆ ก็คือผู้ที่เป็นโรคโพรพีเรีย(Porphyria) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากข้อบกพร่องของเฮโมโกลบินในเลือด
ที่ทำให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องการเลือดสดในบริมาณมาก โดยสมัยก่อนใช้วิธีดื่มเลือด(ปัจจุบันใช้วิธีถ่ายเลือด)
ซึ่งนั้นเองทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยทราบความจริงของโรคดังกล่าว ทำให้หลายคนเชื่อว่านี้คือ


“แวมไพร์”


 
อ้างอิงจาก+ +

http://listverse.com/2010/09/30/8-vampire-myths-explained/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 สิงหาคม 2018, 09:28:12 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่