-->

ผู้เขียน หัวข้อ: บทสัมภาษณ์พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก "ธรรมนำทาง The Art of Happiness"part1/5  (อ่าน 851 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

chocokizz

  • บุคคลทั่วไป

ส่วนตัวฟ้า มีความศรัทธา และชื่นชมในความสามารถ ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก (มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ)
จึงขอเอาบทสัมภาษณ์ ที่พี่ป๊อดโมเดิร์นด็อกไปสัมภาษณ์พระอาจารย์ มาฝากกันค่ะ


เมื่อปี พ.ศ.2541 ป๊อด-ธนชัย อุชชิน ได้เดินทางเข้าสู่การค้นหาภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ณ วัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี
ซึ่งมีพระมิตซูโอะ คเวสโก เป็นเจ้าอาวาส ถึงแม้ภายหลังจะลาสิกขาออกมาแล้ว นักร้องขวัญใจคนรุ่นใหม่ผู้นี้ก็ยังคงฝากตัวเป็นศิษย์ และนำหลักธรรมของพระอาจารย์มาใช้ในชีวิตประจำวันเสมอ

ธนชัยออกตัวว่าเขาไม่ใช่ศิษย์ที่ช่างสงสัยนัก และเขาเอาก็ทราบดีว่าคำตอบในวิถีแห่งธรรมไม่อาจได้มาด้วยการตั้งคำถามเพียงเท่านั้น
หากแต่ต้องตั้งมั่นในการปฏิบัติด้วยคำถามที่เขาตั้งขึ้นในวันนี้จึงเปรียบเสมือนคำถามแทนใจผู้คนมากมายที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวิถีแห่งโลก
และคำตอบที่พระอาจารย์เมตตาในวันนี้จึงไม่ต่างอะไรจากคบไฟนำทางซึ่งมีแสงสว่างแห่งปัญญาเป็นเป้าหมาย






"ทุกวันนี้คนเรามีความทุกข์กันมาก ควรทำอย่างไรให้หายทุกข์ครับ"


           ปัจจุบันนี้ปัญหาทางด้านจิตใจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ จะเห็นได้จากรายงานของกรมสุขภาพจิตเมื่อไม่นานนี้ว่ามีคนไทยประมาณ 2 ล้านคนกำลังเป็นโรคซึมเศร้า
นี่ขนาดยังไม่รวมคนที่เป็นโรคทางจิตประเภทอื่น ๆ หรือที่องค์การอนามัยโบกได้เคยออกรายงานเกี่ยวกับโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรงของมนุษยชาติในปัจจุบันนี้ 5 อย่าง โรคเกี่ยวกับจิตก็เป็น 1 ใน 5 นั้น
และเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นโรคร้ายอันดับหนึ่งของมนุษยชาติทั่วโลก จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลและทุกคนควรร่วมกันเอาใจใส่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นปัญหาใหญ่ต่อไป

ทีนี้เราลองพิจารณาดูในครอบครัวกันบ้าง สมมติถ้ามีสมาชิกในครอบครัวของเราเป็นโรคทางกาย ทุกคนในครอบครัวก็ต้องมีภาระมากขึ้นในการช่วยกันสอดส่องดูแลสุขภาพ
แต่ถ้าสมาชิกคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้า โรคประสาท โรคเครียด หรือโรคจิตชนิดต่าง ๆ ก็จะมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของทุกคนในครอบครัว ลักษณะเหมือนการขยายพันธุ์ของหนู
ถ้าคนหนึ่งเป็นโรคก็จะขยายออกไปได้ครั้งละเป็นสิบคน จึงเป็นปัญหาที่น่ากลัวกว่าโรคทางกายเสียอีก เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ประมาท และให้ความสำคัญในการแก้ปัญหานี้ตั้งแต่ต้น ไม่ปล่อยให้ทวีขึ้นเป็นปัญหาใหญ่

โรคเครียดเกิดจากอะไร ก็เกิดจากเราไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจกฏแห่งกรรม ไม่เข้าใจธรรมะ สิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้เกิดความเครียด หม่นหมอง เศร้าหมอง
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า อย่าเพิ่งให้ความสำคัญกับความสำเร็จที่นำมาซึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่แน่นอน และมีความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ การนินทา ความทุกข์แฝงตัวอยู่ด้วยเสมอ
ดังนั้นไม่ว่าทำอะไรก็ตามให้เราตั้งใจทำให้ดีที่สุดด้วยอิทธิบาท 4 อันประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จตามที่ตั้งใจ เพราะใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า
หากเราปฏิบัติตามหลักอิทธิบาท 4 เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว ผลที่ได้เป็นสิ่งไม่แน่นอน ผลจะออกมาอย่างไร เราควรทำใจเป็นสันโดษ ปล่อยวางยินดีพอใจในผลที่ได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความรักอื่นเสมอรักตนไม่มี มนุษย์เรานี้ควรรักและเมตตาแก่ตัวเอง เราจึงต้องรู้จักโอปนยิโก คือน้อมเข้ามาดูกายดูจิตใจของเรา แล้วให้ความเมตตาความรักแก่ตัวเองก่อน
เริ่มต้นที่สร้างค่านิยมอย่างนี้ในระดับบุคคล และสร้างค่านิยมในระดับประเทศ ถือเป็นวาระแห่งชาติที่จะรู้จักตัวเอง มีเมตตาแก่ตัวเอง โดยเริ่มต้นที่เราก่อนแล้วก็ขยายไปแก่คนทุกคน
รู้จักรักษาสุขภาพจิตใจตัวเอง โดยให้ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว พระพุทธเจ้าทางวางแนวทางปฏิบัติไว้ให้นั่นก็คือ ศีล 5 อันเป็นหลักธรรมพื้นฐานเพื่อให้ตั้งมั่นอยู่ในความดี ละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้บริสุทธิ์
เพราะเมื่อเรารักษาศีลได้ นั่นก็เท่ากับเรารู้จักรักตัวเองแล้ว และเมื่อรักตัวเองเป็น ก็จะเป็นรากฐานสำคัญในการรักผู้อื่น เพื่อให้เราและคนที่เรารัก ต่างมีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย ความเครียดความหม่นหมองของคนในสังคมก็จะรักษาได้

อีกวิธีหนึ่ง อาจารย์เรียกว่าหัดตายทุกวัน เริ่มต้นก็ให้ถือเอาช่วงเวลาก่อนนอนเป็นช่วงสำคัญของชีวิต เราควรจะจัดเวลาไว้สัก 20-30 นาที เพื่อทบทวนชีวิต ตั้งแต่เช้าที่เราได้ประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ
ทั้งเรื่องที่ทำให้เราพอใจและไม่พอใจ ให้ตั้งสติระลึกทบทวนเพื่อจะได้เป็นบทเรียนไว้แก้ไขปรับปรุงตัวให้เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้พัฒนาจิตใจ
ทุกข์เป็นเหมือนยาบำรุงกำลังที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น แล้วก็พิจารณาปล่อยวางความทุกข์นั้นไว้กับอดีต พิจารณาการนอนหลับเปรียบเหมือนความตาย ถ้าทำใจให้ปล่อยวางได้ก็เหมือนเจริญวิปัสสนา
การหลับที่ดีทำให้เป็นสุข การตายด้วยจิตใจปล่อยวาง สบายใจ ก็ไปสู่สุคติ ตอนเช้าตื่นขึ้นมารเมื่อลุกจากที่นอนก็ลุกขึ้นอย่างมีสติรู้ตัว ดูจิตใจของเราว่าเป็นอย่างไร เบิกบานหรือเศร้าหมอง
ทุกเช้าเริ่มต้นวันใหม่ให้ทำความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นวันเกิดของเรา จัดเวลาไว้สัก 20-30 นาที เพื่อเจริญเมตตาภาวนา หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ
ตั้งสติระลึกถึงลมหายใจ ตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า “หลักการดำเนินชีวิตของเราคือ คิดดี พูดดี ทำดีในทุกสถานการณ์” เริ่มต้นที่ชีวิตของเรามีความสุข แล้วจึงแผ่ขยายออกไปให้คนอื่น ๆ ในสังคม ก็จะทำให้สังคมมีความสุขได้



ขอบคุณที่มาจาก นิตยสาร LIPS