-->

ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?  (อ่าน 1159 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

chon

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?
« เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 03:41:41 »

บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?

ในบทก่อนเราได้เห็นพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเพราะมีกรรมเป็นไร่นา จึงมีวิญญาณเป็นเหมือนพืชตั้งอยู่ได้ ในบทนี้เราจะมองตามจริงว่า?

เพราะมีกรรมดีเก่ารองรับ วิญญาณมนุษย์เราจึงปรากฏมีอยู่ได้

และเพราะต้องมีวิญญาณมนุษย์ปรากฏอยู่ ร่างมนุษย์จึงต้องเกิดมีเป็นที่อาศัย

และเพราะต้องมีร่างมนุษย์ โลกมนุษย์จึงต้องปรากฏอยู่เป็นภาชนะรองรับ

และเพราะต้องมีโลกมนุษย์ มหาจักรวาลทั้งหมดจึงปรากฏออกมาจากความว่าง!

ความเป็นมนุษย์

บางคนนั่งชมทะเลอย่างเหม่อลอยก็เป็นสุขแล้ว ไม่ต้องการคิดอะไรเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์อีก

หลายคนได้เสพกามไปวันๆก็หนำใจพอ ศักยภาพมนุษย์อย่างอื่นมีอย่างไรบ้างไม่สน

หลายคนได้รับผิดชอบตนเองและครอบครัวให้อยู่รอดก็เหนื่อยแล้ว อย่าเข็นให้คิดใช้ความเป็นมนุษย์ในทางอื่นใดเพิ่มเติมเสียให้ยาก

หลายคนตั้งเป้าหมายและมุ่งมั่นบากบั่นไปจนถึงปลายทางสักครั้งเดียวก็เต็มอิ่มกับความเป็นมนุษย์แล้ว

หลายคนรักการใฝ่ฝันหลากหลาย และเต็มใจบินไปคว้าดาวจากหลายขอบฟ้า เพื่อรู้จักความเป็นมนุษย์อย่างพิสดารสูงสุด

แต่มีคนน้อยเท่าน้อย ที่ตั้งคำถามกับตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าอะไรคือประโยชน์สูงสุดที่สมควรได้จากความเป็นมนุษย์

ใครจะเห็นความเป็นมนุษย์อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจอใครมาบ้าง ประสบพบพานอะไรมาบ้าง และใช้ชีวิตอย่างไรมาบ้าง

แค่เพียงถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้เป็นวันแรก ก็เหมือนพวกเราเกิดความไม่ค่อยชอบใจกันแล้ว โดยประกาศผ่านการร้องไห้จ้าทันทีที่ออกจากท้องแม่ ถ้าไม่ร้องก็จะโดนตีให้ร้องเป็นการบริหารปอดกัน นอกจากนั้นยังมีใครบางคนต้องรับภาระแจ้งการเกิดของเราให้เป็นที่รับรู้ อยู่ๆจะยอมให้มาปรากฏตัวบนโลกเฉยๆไม่ได้ สำหรับในไทยกำหนดว่าอย่างช้า ๑๕ วันนับแต่ถือกำเนิด เกินกว่านี้ต้องมีใครสักคนโดนปรับเป็นพัน

และนับจากนาทีที่ถูกแจ้งเกิด เราจะมีเอกลักษณ์ประจำตัวให้สำคัญว่าเป็นตนคือชื่อพร้อมนามสกุล เราจะไม่รู้ตัวเลยว่าชื่อไปซ้ำกับใครเข้าบ้าง รวมทั้งไม่รู้เลยว่าร่วมใช้นามสกุลกับญาติกี่คน รู้อย่างเดียว หลายคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเพียงร่วมนามสกุลกับใครบางคน ก็อาจมีหน้ามีตาไปทั้งชีวิต หรืออาจต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆไม่อาจเป็นปกติสุขในสังคมได้อย่างคนอื่น

แต่แม้ขั้นตอนอันผิวเผินของการเกิดจะยุ่งยากเช่นนี้ จำนวนมนุษย์ที่มากมายน่าลายตามีส่วนทำให้เราไม่เลื่อมใสว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากสักเท่าไหร่ เหมือนใครๆก็มีชีวิตมนุษย์กันได้ แถมการเปลี่ยนแปลงของประชากรโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆดุจการโถมเข้ามาของคลื่นยักษ์เป็นการยืนยันเสียด้วย เมื่อสี่ร้อยปีก่อนจำนวนพลโลกเพิ่งมีแค่ ๔๐๐ ล้าน แต่ในปี ๒๕๐๔ พุ่งพรวดขึ้นเป็น ๓,๐๐๐ ล้าน และในเดือนกรกฎาคมปี ๒๕๔๖ โลกมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ ๖,๓๐๐ ล้านคน เกือบ ๑๖ เท่าของเมื่อสี่ร้อยปีก่อน! มากพอที่เรามองไปตามแหล่งชุมชนด้วยตาเปล่าแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองร่วมเป็นหนึ่งในขบวนมดปลวกบนเส้นทางอันไร้ความหมาย

และแม้เรายอมเชื่อว่าโลกนี้มีมนุษย์กว่าหกพันล้าน ก็ไม่ได้แปลว่าเราเข้าใจถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ ความจริงคือทุกวินาทีมีการเกิดตายถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆคือสมมุติว่าเราสามารถเป็นดวงตาสวรรค์ รู้ครอบโลกในคราวเดียว เราจะเห็นวิญญาณจำนวนหนึ่งมาสู่โลกและได้ร่างมนุษย์แหกปากร้องอุแว้วินาทีละ ๔ คน และเห็นมนุษย์จำนวนหนึ่งเดินทางลาโลกวินาทีละ ๒ คน ดุจฝนที่ตกลงมาจากเวิ้งฟ้าแห่งความว่างเปล่า และเป็นกระแสธารไหลบ่าออกไปสู่มหาสมุทรแห่งความไร้แก่นสาร ปริมาณมนุษย์ไม่เคยคงที่มีสมาชิกเก่าอยู่พร้อมหน้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว!

มนุษย์เกือบทุกคนต้องการเป็นที่จดจำ แต่มีไม่ถึงหนึ่งในล้านที่ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ อาจยาวนานหลายสิบปี หลายร้อยปี หรือหลายพันปี แล้วในที่สุดก็จะต้องถูกลืมเลือนไปจนได้ แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นหนึ่งในศาสดาของศาสนาใหญ่ก็ทรงเคยตรัสพยากรณ์ถึงยุคของสงฆ์รุ่นสุดท้ายที่เรียก ?โคตรภูสงฆ์? ซึ่งพ้นยุคนั้นไปแล้วจะไม่มีใครท่องจำธรรมบทได้อีก และนั่นหมายความว่าจะไม่มีใครรู้เลยว่าครั้งหนึ่งโลกนี้เคยเป็นที่อุบัติของมหาบุรุษผู้ทรงความสำคัญยิ่งยวดต่อมนุษย์และเทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์นับจำนวนไม่ถ้วน

จะพูดว่าพวกเราเกิดมาเพื่อรู้แล้วลืมก็ได้

จะพูดว่าพวกเราเกิดมาเพื่อถูกลืมก็ได้

แก่นสารและคุณค่าของความเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน? นี่คือสิ่งที่ถูกถามถึงมาตลอด แต่ละคนก็ให้ความหมาย ให้คุณค่ากันไปตามมุมมองของตน แท้จริงเราอาจได้คำตอบอันถูกต้อง หากตั้งคำถามเสียใหม่ให้ตรงประเด็นกว่าเดิม นั่นคือเราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ด้วยเหตุอันใดกัน?

องค์ประกอบของการเกิดเป็นมนุษย์

?การเกิด? ของมนุษย์นั้น เรานับกันตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดออกมา สอดคล้องกันทั้งทางแพทย์และทางศาสนา ฉะนั้นมาดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรในขณะแห่งปฏิสนธิ ท่านตรัสว่า เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ ประการมาประชุมพร้อมกัน ย่อมมีการหยั่งลงในครรภ์ องค์ประกอบทั้ง ๓ นั้นได้แก่

๑) มารดาและบิดาร่วมกัน

๒) ขณะนั้นมารดาอยู่ในช่วงเวลาไข่สุก

๓) มีวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อสืบกรรมจากภพอื่น โดยได้ที่ตั้งอยู่ในครรภ์มารดา

เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับความจริงตามพุทธพจน์ข้างต้นอย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาจาก ?ภาวะการมีบุตรยาก? ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก กล่าวคือบางคู่สุขภาพแข็งแรงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ได้เป็นหมัน และมีสัมพันธ์กันแทบทุกคืน ลูกก็ยังไม่เห็นมาสักทีทั้งที่อยู่กินกันเป็นสิบปีแล้ว หากอาศัยความเชื่อเพียงว่าถ้าร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกแล้วจะต้องตั้งครรภ์ ก็จะผิดจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ดังนั้นต้องมีองค์ประกอบมากกว่าการร่วมเพศในช่วงมารดามีไข่สุกอย่างแน่นอน

ทางการแพทย์พยายามอธิบายด้วยเหตุผลอันเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่นดื่มเหล้าสูบบุหรี่เก่ง มีความเครียด หรือเป็นไข้หวัดธรรมดาๆก็อาจทำให้ระบบฮอร์โมนเพศผิดปกติได้ พูดง่ายๆฝ่ายชายน้ำยาไม่พอ นอกจากนี้อาจมีกรณีทางสรีระอื่นๆของฝ่ายหญิง เช่นท่อนำไข่ตัน มีพังผืดอยู่ในอุ้งเชิงกรานหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน ก็ขัดขวางการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิได้

จะเห็นว่าถ้าตั้งคำถามกันอย่างจำเพาะเจาะจงเป็นรายๆไป ด้วยวิธีอธิบายแบบแพทย์เราอาจได้คำตอบของภาวะ ?มีบุตรยาก? ไปต่างๆนานา แต่ถ้าเอาคำตอบจากนักเก็บสถิติ คำตอบจะน่าประหลาดใจเป็นล้นพ้น กล่าวคือแม้คู่สมรสบางรายเต็มไปด้วยปัจจัยลบ เช่นเครียดเก่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ถี่บ่อย เขาก็มีลูกกันได้ แถมมีได้เร็วเสียด้วย โดยเฉพาะตอนกำลังกลุ้มๆเรื่องเงินเรื่องทองอยู่นั่นเอง

หากพิจารณาว่าธรรมชาติของการ ?หยั่งลงในครรภ์? เป็นจริงดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัส เราก็ตอบได้ง่ายๆไม่ต้องด้นเดาสันนิษฐานหรือหาเหตุผลทางสรีระมาสนับสนุนอีกต่อไป คำตอบสุดท้ายคือถ้าไม่มีสัตว์ในภูมิอื่นใดทั้งที่สูงกว่าและต่ำกว่าภูมิมนุษย์ เหมาะจะมาเกิดในท้องของหญิงคนหนึ่งๆได้ ต่อให้มารดาและบิดาพยายามจนตายก็ไม่มีทางประสพความสำเร็จเลย

ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก อย่างเช่นการทำเด็กหลอดแก้ว หลักการคือเขาจะใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้นให้มีการตกไข่จำนวนมากๆ แล้วนำมาผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว แทนที่จะเกิดขึ้นในครรภ์มารดาตามธรรมชาติ แล้วจึงค่อยมีการนำตัวอ่อนในหลอดแก้วใส่กลับคืนเข้าสู่ร่างกายมารดาในภายหลัง

ตรงนี้ทำให้หลายคนมองว่ากำเนิดมนุษย์น่าจะเริ่มต้นขึ้นจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเห็นง่ายด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง ขอแค่มีไข่หลายใบมาผสมกันกับน้ำเชื้อในหลอดแก้ว เก็บในตู้อบซึ่งมีการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ใกล้เคียงกับสภาพในมดลูกตามธรรมชาติ รอเวลาครึ่งวันให้ไข่กับอสุจิรวมตัวเป็นเซลล์เดียวกัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

ยิ่งถ้าวันหนึ่ง จับพลัดจับผลูนาโนเทคโนโลยีพาพวกเราไปไกลขนาดทำอะไรได้แผลงๆ เช่นสร้างอสุจิกับไข่สุกเทียมขึ้นมาสำเร็จ แถมสร้างตู้อบที่เลียนแบบครรภ์มารดาได้ครบถ้วนทุกประการ ต่อไปโลกจะไม่รู้จักแต่มนุษย์หลอดแก้ว แต่ยังมีมนุษย์ตู้อบขึ้นมาอีก หลายคนคงฟันธงทันทีว่ากำเนิดมนุษย์นั้น ?เป็นวิทยาศาสตร์? คือไม่ต้องเชื่อกันอีกแล้วเรื่องวิญญงวิญญาณ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กรรมวิบาก โยนทิ้งน้ำให้หมด

อันที่จริงเรามองให้เป็นสุดโต่งความเชื่ออีกด้านหนึ่งก็ได้ คือวิญญาณมีส่วนสำคัญสูงสุดเหนือรูปธรรม ธรรมชาติฝ่ายรูปนั้นสร้างขึ้นมาได้ ควบคุมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ได้ แต่เราไม่มีทางผลิตจิตวิญญาณขึ้นมาด้วยวิธีการอันเป็นรูปธรรมใดๆเลย

ถ้าไม่สมัครใจเชื่อว่าวิญญาณเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิสนธิ เราจะต้องตอบคำถามน่าสงสัยหลายต่อหลายเรื่องด้วยคำว่า ?บังเอิญ? เช่นทำไมแพทย์พยายามใส่เหตุปัจจัยช่วยปฏิสนธิดิบดีแล้วก็ไม่เห็นท้องอยู่ดี ทำไมเด็กบางคนคล้ายพ่อ บางคนคล้ายแม่ บางคนผ่าเหล่าผ่ากอไม่คล้ายทั้งพ่อและแม่ คำตอบและการอธิบายฝ่ายรูปอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกเหมือนขาดองค์ประกอบสำคัญไปเสมอ ทำนองเดียวกับพูดว่ามีคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว มีไฟฟ้าพร้อมแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นไฟฟ้าไหลเข้าเครื่องสักที ทำไมเครื่องไม่เปิดสักที ทำไมโปรแกรมในเครื่องเป็นร้อยเป็นพันไม่ทำงานสักที

กรณีคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานเอง เราก็อธิบายได้ง่ายๆว่าเพราะไม่มีคนไปกดปุ่มเปิดมันน่ะซี อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นๆ ซึ่งก็ทำนองเดียวกับการตั้งครรภ์ ถ้าบอกว่านอกจากไข่กับอสุจิแล้วยังต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นองค์ประกอบร่วมสุดท้าย ก็ดูเหมือนข้อกังขานานัปการจะถูกไขได้หมดจด แค่พูดคำเดียว คือถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิด องค์ประกอบฝ่ายรูปเป็นแค่ฐานที่ตั้งหรือภาชนะรองรับ แพทย์ทำได้แค่เพิ่มทางลงให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้า ?ไม่มีใคร? เหมาะจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยความคู่ควรกับครรภ์มารดาหนึ่งๆ อย่างไรเรื่องก็ต้องเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

การสรุปว่าถ้ามีบุญพอก็ต้องได้เกิดนั้น ทำให้หลายคนสบายใจ ครางออกมาได้ว่า อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เอง แต่ก็อาจจุดชนวนให้คนอีกค่อนโลกไม่จุใจ เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ว่า ?บุญพอ? นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนน้ำที่เต็มแก้วพอจะกินอิ่มมีกำลังวังชาไหม? อะไรบ้างที่ถือเป็นบุญ? บุญแบบไหนเป็นตัวกำหนดให้เกิดมายากดีมีจน? อันนี้ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ในข้อต่อไป

กรรมที่ทำให้เกิดศักยภาพของการตั้งอยู่ในครรภ์มนุษย์

ในกลุ่มมนุษย์ด้วยกัน ปริมาณคนยากจน ปริมาณคนผิวพรรณทราม และปริมาณคนโชคร้ายนั้น ล้นหลามเสียจนทำให้เรารู้สึกว่าพูดรวมๆแล้ว เป็นมนุษย์ไม่ใช่ว่าต้องมีจิตวิญญาณที่สูงส่งหรือทรงบุญญาธิการเท่าไหร่นัก แต่ความจริงก็คือก่อนหน้าจะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีการก่อกรรมอันเป็นไปในทางดีไว้มากพอดูทีเดียว

การพูดแค่ ?ต้องมีบุญพอจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้? นั้นไม่ทำให้เข้าใจกระจ่าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจจริงๆว่าบุญมาจากอะไร บาปเกิดมาแต่ไหน ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสเป็นใจความว่า เหตุเพื่อเกิดอกุศลกรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง

พูดง่ายๆว่าหากทำกรรมในขณะกำลังโลภ กำลังโกรธ หรือกำลังหลง กรรมนั้นก็ต้องเป็นดำท่าเดียว ส่วนจะดำสนิทหรือดำจางๆก็ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของกิเลสอีกที

ในทางตรงข้ามหากทำกรรมขณะกำลังมีน้ำจิตคิดให้ทาน กำลังมีน้ำจิตคิดเมตตา หรือกำลังมีปัญญาเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามจริง กรรมนั้นก็ต้องเป็นขาวแน่นอน ส่วนจะขาวสว่างหรือขาวขุ่นๆก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจในขณะนั้น

การก่อกรรมในแต่ละชาติจะไปรวบยอดตัดสินทีเดียวขณะถึงอายุขัยเพื่อเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ก่อกรรมหนักมาทางบุญจิตก็สว่างไสว ก่อกรรมหนักมาทางบาปจิตก็มืดมน และเป็นไปในภพภูมิอันสว่างไสวหรือมืดมนสอดคล้องกับสภาพวิญญาณนั้นๆ สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นใจความว่า ความเป็นเทวดาก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี หรือแม้สุคติภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ โทสะ โมหะเลย

สรุปคือถ้าถามว่าใครส่งวิญญาณมาเข้าท้องมนุษย์ มีตุลาการผู้ถืออภิสิทธิ์สามารถพิพากษาเปิดประตูสวรรค์นรกคัดสัตว์ได้ตามอำเภอใจหรืออย่างไร ก็ต้องตอบว่าไม่มีตัวตนผู้ใดทำหน้าที่ตัดสินทั้งสิ้น มีแต่กรรมดีของตนนั่นแหละส่งมา หากเคยทำกรรมอันประกอบด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไว้ได้น้ำหนักพอเพียงแล้ว เมื่อจิตดับจากภพเก่า (เรียกว่าจุติจิต) ย่อมเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นสืบกรรม (เรียกว่าปฏิสนธิจิต) ซึ่งก็ได้ภาชนะรองรับจิตวิญญาณเป็นครรภ์มนุษย์นั่นเอง

ดังนั้นจะยากดีมีจนเพียงใด ต่ำต้อยเหมือนไม่มีบารมีคุ้มกะลาหัวขนาดไหน อย่างน้อยเกิดเป็นมนุษย์ได้ก็ต้อง ?มีดี? เหนือสัตว์เดรัจฉานในโลกหลายขุม เพราะสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายปรากฏขึ้นก็ด้วยเพราะกรรมที่ทำขณะมีโลภะ โทสะ โมหะทั้งสิ้น

ณ ตรงนี้เราพูดกันกว้างๆก่อน อย่าเพิ่งสงสัยเล็งแลเข้าไปในรายละเอียด ขอให้เข้าใจว่าถ้าโดยมากเคยมีนิสัยทางการ คิด พูด ทำ หนักไปในแบบตามใจกิเลส เอาความโลภ ความโกรธ ความหลงผิดเป็นใหญ่ ปล่อยให้อารมณ์ด้านมืดครอบงำการประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปในทางเบียดเบียน เช่นนี้ก็ขาดแนวโน้มที่จะมาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์
ในทางตรงข้าม ถ้าโดยมากเคยมีนิสัยทางการ คิด พูด ทำ หนักไปในแบบหักห้ามกิเลส เอาการเสียสละ ความมีเมตตา และความมีสติปัญญาพิจารณาตามจริงเป็นใหญ่ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้ปราศจากความเบียดเบียน เช่นนี้ก็มีแนวโน้มที่จะมาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์สูงมาก

เกณฑ์วัดน้ำหนักโลภะ โทสะ โมหะ

ธรรมชาติมีเครื่องชั่งน้ำหนักของเขาอยู่ ว่าโลภะ โทสะ โมหะประมาณนี้ถือว่าเกินพิกัด พื้นโลกมนุษย์แบกไว้ไม่ไหว ต้องทะลุตกลงไปหมกไหม้ในนรก

เหตุการณ์หนึ่งๆจะเป็นตัวชี้ชัด ว่าโลภะ โทสะ โมหะเกินขีดจำกัด เกินเส้นแบ่งต้องห้ามไปแล้วหรือยัง เส้นแบ่งต้องห้ามนี้เรียกว่า ?ศีล?

ศีลคือกรอบ คือเกณฑ์ คือแนวทางประพฤติปฏิบัติทางกายและทางวาจา ยังไม่รวมว่าใจจะคิดอย่างไร อยากสักแค่ไหน ขอแค่ว่าเก็บอาการให้อยู่ ไม่ละเมิดไปจากกรอบอันควร ก็ถือว่ายังพอใช้ได้

คนไทยรู้จักคำว่า ?ศีล? ดี แต่น้อยคนจะจดจำขึ้นใจว่ามีอะไรบ้าง และยิ่งน้อยเท่าน้อยที่จะนำมาเป็นกรอบการประพฤติปฏิบัติตนจริงๆ หากผู้ใดอยู่ในกรอบของศีลดีแล้ว ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีโลภะ โทสะ โมหะน้อย คู่ควรแก่การเกิดใหม่ในสุคติภูมิ ทั้งโลกสวรรค์และโลกมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่ง

ที่ตรงนี้จะแสดงศีล ๕ โดยความเป็นเครื่องชั่งน้ำหนักโลภะ โทสะ โมหะ

๑) การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ? หากกระทำเพราะโลภอยากกินเนื้อ หรือโกรธแค้นเกินระงับ หรือหลงเชื่อลัทธิผิดๆเช่นบูชายัญแพะเพื่อปลดปล่อยวิญญาณพวกมันไปสู่สุคติภูมิ อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ

๒) การลักขโมย ? หากกระทำเพราะโลภอยากเอามาเป็นของตน หรือทำลายของเขาเพื่อแก้แค้น หรือหลงสำคัญผิดเช่นลักของคนรวยที่ไม่เดือดร้อนจะไม่บาป อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ

๓) การผิดลูกเขาเมียใคร ? หากกระทำเพราะโลภอยากเสพกามจนหน้ามืด หรือล่วงละเมิดทางเพศเพื่อให้เกิดความเจ็บใจ หรือหลงเชื่อแนวคิดวิปริตเช่นนำสาวพรหมจรรย์มาข่มขืนจะทำให้เทพพอใจ อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ

๔) การโป้ปดมดเท็จ ? หากกระทำเพราะโลภอยากได้หน้า หรือปั้นน้ำเป็นตัวด้วยความอาฆาตอยากให้ศัตรูประสบความหายนะ หรือหลงเห็นไปว่าการโกหกพกลมหลอกลวงใครๆได้เป็นการแสดงความฉลาดเฉลียวเหนือผู้อื่น อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ

๕) การร่ำสุรายาเมา ? หากกระทำเพราะโลภในรสบาดลิ้นชวนเคลิ้ม หรืออยากประชดชีวิตให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงไป หรือหลงมองตามเพื่อนว่าการร่ำสุรายาเมาเป็นของโก้เก๋ อย่างนี้มีหนึ่งแต้มใหญ่สำหรับการไปสู่ทุคติภูมิ

การตกอยู่ในสภาพเมาบาปแบบไม่ลืมหูลืมตานั้น ก็อาจวัดจากแต้มที่สะสมไว้ บางคนได้แค่ ๑ แต้มยังพอทำเนา บางคนซัดเข้าไป ๓ แต้มก็เริ่มหนักหน่วงเต็มที แต่บางคนอุตส่าห์เหมารวบครบทั้ง ๕ แต้ม อย่างนั้นน้ำหนักเกินพิกัดแน่นอน

สำหรับพวกสั่งสมแต้มไว้น้อยๆก็ใช่จะรอดจากโทษภัย แม้บุญด้านอื่นจะช่วยประคับประคองให้พอมายืนบนพื้นโลกมนุษย์ไหว ก็จะต้องประสบกับผัสสะอันไม่น่าอภิรมย์อยู่ดี

ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสจำแนกวิบากของการละเมิดศีล ๕ ไว้พอเป็นแนว โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการพูดจานั้น ขยายเพิ่มจากการโป้ปดมดเท็จออกไปเป็นวจีทุจริต ๔ ประการ ดังนี้

๑) ปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งปาณาติบาตอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นผู้มีอายุน้อยให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

๒) อทินนาทาน (การลักขโมย) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทานอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความพินาศแห่งสมบัติให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

๓) กาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดในกาม) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งกาเมสุมิจฉาจารอย่างเบาที่สุด ย่อมยังศัตรูและเวรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

๔) วจีทุจริต

๔.๑) มุสาวาท (การโป้ปดมดเท็จ) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

๔.๒) ปิสุณาวาจา (การพูดส่อเสียด) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งปิสุณาวาจาอย่างเบาที่สุดย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

๔.๓) ผรุสวาจา (การพูดจาหยาบคาย) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งผรุสวาจาอย่างเบาที่สุดย่อมยังเสียงที่ไม่น่าพอใจให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

๔.๔) สัมผัปปลาปะ (การพูดเพ้อเจ้อ) เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งสัมผัปปลาปะอย่างเบาที่สุด ย่อมยังคำไม่ควรเชื่อถือให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

๕) การดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย เมื่อเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งการดื่มสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

ขอให้สังเกตด้วยว่าถ้าใครประพฤติตนละเมิดกรอบเกณฑ์ธรรมชาติของศีลดังกล่าวทั้ง ๕ ประการนี้มากๆ ไม่จำเป็นต้องไปเกิดใหม่ ก็มีผลให้เห็นตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น ?โทษสถานเบาที่ได้รับเมื่อเป็นมนุษย์? กันแล้ว ตัวอย่างเช่นคนพูดเพ้อเจ้อบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย อยู่เงียบแล้วทนไม่ได้ต้องหยิบเรื่องไร้สาระมาจ้อ หรือคนอื่นเขาจะพูดกันเป็นงานเป็นการก็ก่อกวนชักใบให้เรือเสีย คนพวกนี้จะมีท่าทีที่คนรุ่นใหม่เรียกกันว่า ?ต๊อง? ให้เห็นโดยไม่จำเป็นต้องพูดสักคำ

เพียงตัวอย่างเดียวที่เห็นได้ชัดนี้ เป็นหลักฐานแสดงว่าคำพูดนั้นปรุงแต่งคลื่นจิตให้เพี้ยนผิดบิดเบี้ยวจนคนอื่นสามารถสัมผัสได้ ถ้าไม่พยายามปรับปรุงนิสัย ยังติดพล่ามเพ้อพูดมากไปจนตาย ก็จะเป็นพลังกรรมปรุงแต่งให้เป็นคนพูดจาไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย แม้พูดความจริง พยายามให้เป็นงานเป็นการ ก็จะขาดน้ำหนัก ชนิดที่คนอื่นฟังแล้วอยากเอาหูทวนลมมากกว่าเงี่ยหูเอาใจจดจ่อ

ในเมื่อความจริงตามธรรมชาติของกรรมวิบากเป็นเช่นนี้ หลายคนก็อาจนึกว่าโลกมนุษย์มีไว้แกล้งกัน หรือบีบคั้นกันให้ไหลลงต่ำ เพราะเกิดมาทุกคนต้องเจอเรื่องยั่วยุให้ละเมิดศีล ๕ แน่ๆ เช่นอยู่ของเราดีๆก็มียุงมากัดให้อยากตบ ทำมาหากินสุจริตนานไปก็เห็นช่องทางใช้หน้าที่ฉ้อฉล ไม่แสวงหาก็มีเพศตรงข้ามมาใกล้ชิดให้อยากสัมผัส เหตุการณ์โดยทั่วไปก็เหมือนน่าพูดบิดเบือนมากกว่าพูดจริง และถ้าอยากเข้าสังคมหลายๆกลุ่มก็ต้องมีเหล้ายาเป็นตัวกระชับมิตร

เพราะโลกนี้มีแรงดึงดูดยวนยั่วให้กระโจนลงที่ต่ำ เราถึงเห็นใบหน้าระทมทุกข์มากกว่าใบหน้าระรื่นสุข คนจนมากกว่าคนรวย คนผิวพรรณหยาบมากกว่าคนผิวพรรณดี คนขี้โรคมากกว่าคนแข็งแรง ความต่างระหว่างชั้นวรรณะเกิดขึ้นก็เพราะชาติที่แล้วๆมาผู้คนเจอสภาพแวดล้อมฉุดให้ตกต่ำทำนองเดียวกันนี้แหละ ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเราเข้ามาอยู่ในสนามสอบอีก จะผ่านด่านไปได้หรือไม่ ทุกอย่างตั้งต้นที่การศึกษา การตระหนัก การตัดสินใจเลือก และการเพียรเอาจริง

ถ้าแค่ตั้งใจเด็ดขาดว่าจะอยู่ในกรอบของศีลทั้ง ๕ ข้อ หรือพูดง่ายกว่านั้นคือ ถ้ามีใจละอายต่อบาป สะดุ้งกลัวต่อบาป ก็เป็นอันประกันว่าจะก่อกรรมอันเป็นฝักฝ่ายให้ได้เกิดเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน

ใจที่ละอายต่อบาป สำนึกผิดเป็น และไม่เห็นการทำผิดซ้ำซากเป็นเรื่องเล่นๆนั้น เป็นภาพรวมรวบยอดของจิตวิญญาณที่พร้อมจะถูกจุดแสงให้สว่างไสวคงทน เพราะคนที่มีใจจริงละอายต่อบาปเท่านั้น จะประพฤติตนอยู่ในกรอบศีล ๕ ได้ยาวนาน ต่างจากคนที่มีจิตสำนึกน้อย แม้ใครกระตุ้นให้ถือศีล อย่างมากก็ทำตัวดีได้สองสามวันก็ตบะแตก ต้องกลับมาละเมิดศีลอีก เพราะเคยชินจนอดรนทนไม่ได้ อึดอัดกัดฟันเป็นคนดีได้เดี๋ยวเดียวเท่านั้น

วิธีที่จะสร้างสำนึก ทำตนให้เป็นคนละอายบาปได้จริงๆ ก็ต้องสั่งสมบุญให้มากเข้าไว้ คือต้องทำตัวเป็นฝ่ายรุกด้วย ไม่ใช่ฝ่ายรับ ฝ่ายต้านทานประการเดียว บุญที่สั่งสมมากๆจะเป็นตัวตั้งใหม่ให้สังเกตเห็นความต่างระหว่างขาวกับดำ สว่างกับมืด และดีกับเลว จนเห็นโทษภัย เห็นความไม่น่ารักของอกุศลจิตในตน

สำหรับวิธีการสั่งสมบุญอย่างถูกต้องจะแสดงไว้ในตติยบรรพ

บทสำรวจตนเอง

เรามาสู่ความเป็นมนุษย์ก็ด้วยคุณธรรมคือความละอายต่อบาป ถ้าไม่ละอายต่อบาปด้วยใจจริง ชีวิตก่อนของเราไม่มีทางรักษาศีลข้อใดข้อหนึ่งด้วยใจเช่นกัน ดังนั้นจึงสมควรที่เราจะสำรวจตรวจสอบว่ายังมีพื้นฐานความเป็นมนุษย์อยู่มากน้อยเพียงใด กับดักและเล่ห์กลกิเลสในโลกชักนำให้ศีลของเราเสื่อมลงหรือว่าเจริญขึ้น ที่ท้ายบทนี้เป็นโอกาสเหมาะสำหรับการแจกแจงจาระไนตนเองเป็นข้อๆ

๑) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะฆ่าสัตว์ หรือเบียดเบียนชีวิตสัตว์ หรือกระทั่งทรมานสัตว์บ้างหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?

๒) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ หรือกระทั่งแสวงประโยชน์เล็กๆน้อยๆโดยมิชอบหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?

๓) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะลอบเป็นชู้ หรือลอบได้เสียกับลูกเขา หรือกระทั่งจ้องเล็งจะผิดประเวณีบ้างหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?

๔) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะพูดปดทั้งรู้ หรือพูดให้ใครหลงเชื่อผิดๆ หรือกระทั่งแกล้งทำให้คนอื่นเข้าใจผิดบ้างหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?

๕) ในช่วงต้นชีวิตเรามีความละอายที่จะกินเหล้าเมายา หรือเข้าหาสิ่งเสพย์ติด หรือกระทั่งลองลิ้มเล็กๆน้อยๆบ้างหรือไม่? แล้วในขณะนี้เรายังมีความเป็นปกติเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า?

เมื่อถามตัวเองว่าขณะนี้เล่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ยังละอายในการกระทำเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า? จะมีขณะหนึ่งที่เกิดสัมผัสถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นมา คือเข้าถึงพื้นฐานเมื่อครั้งรู้ผิดรู้ชอบ เพราะอย่างไรความเป็นมนุษย์ก็มีศักยภาพในการแยกแยะว่าอะไรบาป อะไรบุญ อะไรมืด อะไรสว่าง

หากได้คำตอบว่าส่วนใหญ่เราไม่เคยละอาย แต่บัดนี้ละอายแล้ว ปิดกั้นทางมาของความชั่วทั้งปวงแล้ว ก็เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะนั่นหมายความว่าเรามีความเจริญขึ้น มีความเป็นไปได้ว่าตายแล้วจะไปเกิดในสุคติน่าชื่นใจ

หากได้คำตอบว่าส่วนใหญ่เราเคยละอาย แต่บัดนี้ไม่ละอายแล้ว เปิดทางมาของความชั่วทั้งปวงอย่างกว้างขวางแล้ว ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะนั่นหมายความว่าเรามีความเสื่อมลง มีความเป็นไปได้ว่าตายแล้วจะไปเกิดในทุคติน่ากลุ้มใจ

หากได้คำตอบว่าส่วนใหญ่เราเคยเป็นแบบหนึ่ง แล้วบัดนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น ก็เป็นเรื่องน่าใส่ใจพิจารณา ว่าความเป็นเช่นนั้นดีพอหรือยัง เนื่องจากผู้รับผลดี ผู้เป็นทายาทแห่งผลจากการกระทำทั้งปวง มิใช่ใครอื่นใดเลยนอกจากตัวเราเองเท่านั้น

สรุป

พระพุทธเจ้าแสดงไว้พร้อมสรรพว่าเหตุใดเราจึงได้ความเป็นมนุษย์มา หากขาดความใส่ใจ หรือหากไม่พิจารณาอย่างแยบยลเข้ามาสำรวจในตนเอง ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย คล้ายคนกำลังหลงป่า มีโอกาสพบแผนที่ชี้ทั้งทางไปสู่เขตอันอุดมด้วยผลหมากรากไม้ และกระทั่งชี้ทางออกอย่างเด็ดขาดจากป่าทึบ แต่กลับไม่รับรู้ หรือรู้แต่ไม่สนใจ หรือสนใจแต่ไม่ขวนขวาย ก็ยังต้องกลายเป็นคนหลงป่าน่าวังเวงอยู่อย่างนั้น

แม้ความเป็นมนุษย์ก็ยังคงอยู่ในสภาพผู้หลงป่า ไม่ทราบว่าลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นตนอยู่กลางไพรได้อย่างไร ไม่ทราบว่าจะออกจากป่าได้อย่างไร แต่ความเป็นมนุษย์นั้นสุดประเสริฐกว่าสัตว์อื่นก็ตรงที่เพียรพยายามดั้นด้นค้นทางออกจากป่าได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเดินทางไปยังเขตที่อุดมสมบูรณ์กว่าที่กำลังอาศัยอยู่ได้ นี่แหละคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์ มิใช่เรื่องน่าดูดายแต่อย่างใดเลย

จากหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ของ ดังตริน

cmman573

  • บุคคลทั่วไป
Re: บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 08:34:29 »

เข้ามาเยี่ยมชม หลวงพีสั่งสอนธรรม

Dr_Drunkman

  • บุคคลทั่วไป
Re: บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 15:51:51 »

คงได้มีโอกาสสนทนาธรรมกันซักวันครับ  ;khhg

cmman573

  • บุคคลทั่วไป
Re: บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 16:40:02 »

หึๆๆ สนทนาธรรมกันในวัดหรือนอกวัด ละครับท่าน

chon

  • บุคคลทั่วไป
Re: บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 17:09:21 »

คงได้มีโอกาสสนทนาธรรมกันซักวันครับ  ;khhg

ยินดีครับ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าท่านทำบุญด้วยอะไร จึงได้รวยสาวๆเช่นนี้  kjhg kjhg

Lostman133

  • บุคคลทั่วไป
Re: บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2008, 00:50:23 »

 ghdfเริ่ม ไม่เข้าหัวแล้วน่ะเนี้ย

shinpe uhah

  • บุคคลทั่วไป
Re: บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์?
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 21 เมษายน 2009, 19:04:41 »

ขอบคุณมากครับ สัจจะธรรมข้อหนึ่งคือมนุษย์ทุกคนย่อมมีกรรม ที่จะต้องมาชดใช้เห็นได้ชัดๆคือทุกคนต้องเกิดมาแล้วมีความกลัวกับการพรากจากหรือการเสียชีวิตทุกคนครับ