ซีไอเอ เปิดเผยภาพถ่ายจากเครื่องบินจารกรรม U2 และ SR71 พบวัตถุประหลาดคล้ายเรือขนาดยักษ์บนยอดเขาเอรารัท!
กว่า50ปีที่ ซีไอเอ ปกปิดภาพถ่ายลับจากเครื่องบินลาดตระเวนของกองทัพอากาศขณะบินผ่านยอดเขาเอรารัท เชื่อกันว่าวัตถุประหลาดที่ปรากฏอยู่ในภาพนั้นก็คือเรือของโนอาห์
วันที่17 มิ.ย. 1949 ขณะที่เครื่องบินลาดตระเวนของกองทัพอากาศสหรัฐบินผ่านเทือกเขาเอรารัท บริเวณเขตชายแดนประเทศตุรกี นักบินได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนยอดเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บริเวณนั้นเป็นจุดที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า16000ฟุต หรือกว่า5000เมตร นักบินได้บังคับเครื่องบินตรงไปยังจุดนั้นทันที และทำการบันทึกภาพวัตถุประหลาดนั้นไว้
ภาพถ่ายนั้นถูกเก็บไว้ในแฟ้มลับของกองทัพโดยใช้ชื่อไฟล์ว่า "สิ่งผิดปกติบนเอรารัท" [ Ararat Anormaly] จนกระทั่งมาในปี ค.ศ.1993 ศาสตราจารย์ปอร์เชอร์ เทย์เลอร์ [Porcher Taylor] ได้ทราบข่าวและขอให้ทางการสหรัฐเปิดเผยภาพถ่ายนั้นตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการให้ข้อมูลข่าวสาร
ศาสตราจารย์ปอร์เชอร์คนนี้ แกเป็นอาจารย์สอนที่ศูนย์กลางวอชิงตันเพื่อการศึกษากลยุทธและการต่างประเทศ เขาเชี่ยวชาญทางด้านการทูตและการวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียม อีกทั้งยังเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขากฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยริชมอนด์ในรัฐเวอร์จิเนีย
ปอร์เชอร์พบว่าในแฟ้ม "สิ่งผิดปกติบนเอรารัท" นอกจากจะมีภาพถ่ายดังกล่าวในปี 1949 แล้ว ก็ยังมีภาพถ่ายที่ถ่ายโดยเครื่องบินจารกรรมU2 ในปี1956 ภาพถ่ายคุณภาพสูงจากดาวเทียม KH-9 ในปี1973 และภาพถ่ายอื่นๆที่ซีไอเอได้ส่งเครื่องบินไปสำรวจยอดเขาเอรารัทในปี1976,1990 และภาพถ่ายล่าสุดจากดาวเทียม KH-11 ในปี1992 คำร้องขอที่ปอร์เชอร์ทำถึงกองทัพสหรัฐเพื่อให้เปิดเผยภาพถ่ายลับนั้นถูกปฏิเสธในครั้งแรก แต่อย่าลืมสิว่าแกเองก็เก๋าในด้านกฏหมาย จึงใช้กลวิธีการหว่านล้อมซะทางการยอมมอบภาพถ่ายให้พีแกเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 1995
ต่อมาภาพถ่ายนั้นได้ถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Insight on the News (เจาะข่าว แปลโดยผมง่ะ) ฉบับวันที่ 20 พ.ย. 2000 แม้ภาพถ่ายเหล่านั้นจะถูกถ่ายในระยะไกลเกินที่จะบ่งบอกได้ว่าวัตถุประหลาดบนยอดเขานั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือเป็นแค่ก้อนหินประหลาดขนาดเขื่อง แต่ก็ชวนให้สงสัยกันไม่น้อยว่า ทำไมซีไอเอและกองทัพสหรัฐต้องปกปิดมันไว้ตั้ง50ปี? ทางเดียวเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าเป็นเรือโนอาห์จริงหรือไม่ คือต้องปีนไปดูด้วยตาตนเอง....
ตามไปดู
อย่าคิดว่าจะไม่มีคนกล้านะครับ อันที่จริงแล้วเคยมีคนเคยได้ยินเรื่องของเรือโนอาห์มาจากพระคัมภีร์เก่า หรือที่เรียกว่าGenesisนั่นล่ะ และก็ดันฉลาดตีความได้อีกว่าเรือโนอาห์น่าจะจอดอยู่บนที่ใดที่หนึ่งบนเทือกเขาเอรารัท ก่อนที่จะเห็นหลักฐานจากซีไอเอ
ในปี1904 จอร์จ ฮาโกเปียน [George Hagopian] ได้ฟังเรื่องที่ปู่เขาเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ปู่เขาเป็นแพทย์รักษาคนไข้แถบนั้น เคยมีคนไข้บอกปู่เขาว่ามีเรือลำใหญ่จอดนิ่งอยู่บนยอดเขาเอรารัท มันอยู่ระหว่างแอ่งที่ปากปล่องภูเขาไฟ2ปล่อง
ลุงของเขาก็ได้พาเขาขึ้นยอดเขาเอรารัทเมื่อปี 1908 เขาอายุได้8ปี เมื่อถึงช่วงที่เดินทางลำบาก ลุงเขาก็อุ้มเขาพาดบ่า พาเดินไปจนถึงยอดเขา ที่นั่นเขาได้เห็นเรือใหญ่จอดนิ่งอยู่และมีหิมะปกคลุมอยู่เกือบทั่วลำเรือ ลำตัวเรือด้านบนมีช่องเปิดอยู่เหมือนหน้าต่าง และที่ดาดฟ้าเรือมีช่องขนาดใหญ่ ทีแรกจอร์จคิดว่ามันสร้างด้วยหิน แต่ลุงเขาบอกเป็นไม้ จอร์จและลุงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้า มันราบเรียบจนเดินได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งสองใช้เวลาสำรวจนาน2ชั่วโมง เมื่อทั้งคู่กลับมาที่หมู่บ้าน จอร์จก็ได้ไปเที่ยวเล่าให้ชาวบ้านฟัง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาแปลกใจแต่อย่างใด และยังบอกด้วยว่าพวกเขาก็เคยเห็นเรือนั้นกันมาแล้ว
จอร์จได้เล่าเรื่องดังกล่าวผ่านเครื่องบันทึกเสียงก่อนที่จะเสียชีวิตลงในปี1972 ได้มีการนำเสียงของเขามาพิสูจน์ด้วยเครื่องจับเท็จ ผลก็คือเขาพูดความจริง แต่เรื่องราวนี้มันเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะยอมรับได้ แถมจอร์จยังเป็นพยานเพียงคนเดียวเท่านั้น และก็ไม่สามารถชี้จุดที่พบเรือบนแผนที่ได้ เพราะแกเดี้ยงไปแล้ว ทำให้เรื่องราวของเขาดูไม่มีน้ำหนักเท่าที่ควร
ตำแหน่งลูกศรชี้ คือ บริเวณที่ตั้งวัตถุที่เชื่อว่าเป็นเรือโนอาห์
ตุรกีก็ทราบเรื่อง
ราวเดือน พ.ค. 1948 ชาวไร่เคิร์ดได้ตามรอยแผ่นดินไหวไปบนยอดเขา และพบร่องรอยที่ดูจะเป็นซากเรือขนาดมหึมา ต่อมาในปี 1959 กองทัพอากาศตุรกีร่วมกับองค์การนาโต้ ได้ส่งเครื่องบินไปทำแผนที่ทางอากาศชายแดนแถบเทือกเขาเอรารัท เมื่อเครื่องบินไปถึงทางตอนใต้ห่างจากยอดเขาราว17ไมล์ เรืออากาศโทเคอร์ทิส นักบินได้สังเกตเห็นวัตถุคล้ายเรือขนาด 500x150ฟุต สูง45ฟุต
โดยปกติการถ่ายภาพเพื่อทำแผนที่ทางอากาศนั้นจะทำโดยการถ่ายภาพที่จุดๆเดียวกัน2ภาพ แต่มุมจะเหลื่อมล้ำกันนิดหน่อย เมื่อมองด้วยกล้องสองตา จะเห็นภาพนั้นมีความลึกเป็น3มิติ และภาพวัตถุประหลาดนั้นเมื่อมองผ่านกล้องสองตายิ่งทำให้เห็นชัดขึ้นว่ามันน่าจะเป็นเรือ! ชักสนุกแล้วสิ
แล้วภาพนั้นก็ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารจนได้ หลายปีต่อจากนั้นกองทัพอากาศตุรกีก็เปิดเผยภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นวัตถุคล้ายเรือ3ลำจมดินอยู่บนยอดเขา
เอรารัท ภาพถ่ายเหล่านั้นเองที่ไปกระแทกตาของรอน ไวแอทท์ [Ron Wyatt] นักโบราณคดีเข้าเต็มๆ
นี่แหละครับ สิ่งที่รอนอ้างว่าเป็นซากเรือโนอาห์
ค้นหาซากเรือ
ปี1977 รอนได้เดินทางมายังเทือกเขาเอรารัทเพื่อค้นหาซากเรือโนอาห์ เขาได้พยายามหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากสถาบันต่างๆ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนัก แต่การสำรวจเอรารัทไม่ได้ล้มเหลวเหมือนการหาเงินทุน รอนพบหลักฐานบางอย่างที่สามารถผูกโยงเรื่องเรือโนอาห์ได้เป็นอย่างดี เขาพบสมอเรือที่ทำด้วยหิน ท่อนไม้กลายเป็นหินที่พวกอาร์มาเนียนเอามาทำเป็นป้ายหลุมศพ รอนเชื่อว่าเป็นท่อนไม้ที่นำมาจากซากเรือโนอาห์ ซึ่งระยะเวลากว่า4000ปีทำให้ไม้กลายสภาพเป็นหินไป บ้านโบราณที่เชื่อว่าสร้างโดยโนอาห์พบแผ่นหินจารึกเรื่องราวเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ และภาพวาดคน8คน(ครอบครัวโนอาห์)กับเรือหนึ่งลำอยู่ท่ามกลางทะเลที่บ้าคลั่ง และหลุมฝังศพที่เชื่อว่าเป็นที่ฝังศพของโนอาห์
ปี1984 รอนได้ลักลอบขุดก้อนหินและดิน น้ำหนักรวมราว8.6ปอนด์มาจากบริเวณดังกล่าวเพื่อนำมาตรวจสอบและใช้ประกอบในการแสดงเพื่อหาเงินทุนสนับสนุน เมื่อทางตุรกีทราบเรื่องก็ไม่พอใจในการกระทำของเขาเป็นอย่างมาก ปีต่อมารอนได้เดินทางกลับมายังยอดเขาเอรารัทพร้อมกับเดวิด เฟโซลด์
[David Fasold] นักสำรวจอีกท่านหนึ่ง คราวนี้ทั้งคู่ได้พบกับไม้กางเขนเหล็กที่มีปลายยาวเท่ากันทุกด้าน ทำให้ทั้งคู่ยิ่งเชื่อขึ้นไปอีกว่า วัตถุที่เขาพบนั้นคือซากเรือโนอาห์จริงๆ การค้นพบของทั้งสองได้สร้างความตื่นตัวให้กับเหล่าคริสตศาสนิกชนและบรรดาผู้สนใจเหตุการณ์น้ำท่วมโลกที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เป็นอย่างมาก สถานีABCของสหรัฐได้ส่งทีมงานมาถ่ายทำสารคดีการค้นพบเรือโนอาห์บนเทือกเขาเอรารัท จนกระทั่งมาในปี1990 ดร.อัลเลน โรเบิร์ตส์ [Allen Roberts] นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียทราบเรื่องการสำรวจของรอน จึงได้จับมือกับรอนก่อตั้งองค์กรค้นหาเรือโนอาห์ [Ark Search]เพื่อเป็นศูนย์กลางเรี่ยไรเงินทุนที่จะใช้ในการสำรวจอย่างเป็นทางการ
เดือนกันยายน 1991 รอนและอัลเลน กับคณะสำรวจก็เจอดีเข้าจนได้ พวกเขาถูกกองโจรชาวเคิร์ดจับไปขังนาน3สัปดาห์ แต่โชคยังดี ที่พวกโจรเชื่อว่าพวกเขาเป็นนักโบราณคดีที่ไม่มีพิษภัยอะไร จึงได้ปล่อยตัวคณะโดยที่ไม่ทำร้ายแต่อย่างใด ในปีเดียวกันนั้นเอง ที่ทางการตุรกีสั่งปิดเทือกเขาเอรารัท ห้ามบุคคลใดขึ้นไปอีก
ไม่กี่ปีมานี้ได้มีการนำสารคดีการสำรวจของรอนและคณะออกมาให้ผู้คนได้ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง แต่ภายหลังมีคนออกมาโต้แย้ง เพราะหลักฐานของรอนนั้นยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของเรือโนอาห์จริงๆ ทำให้เรื่องของรอนค่อยๆซาลงไป
ลองดูกันอีกมุมนะครับว่ามันเป็นไปได้แค่ไหน
ซีไอเอ ยอมคลายความลับ
ในปี1998 มีคำสั่งตรงจากทำเนียบขาวให้ซีไอเอและหน่วยงานรัฐบาลทุกแห่งเปิดเผยข้อมูลลับที่มีมานานกว่า25ปี แต่ทั้งนี้ต้องผ่านการcensorเสียก่อน เอกสารทั้งหมดต้องพร้อมให้สาธารณชนตรวจสอบได้ภายในไม่เกินวันที่ 17 เม.ย. 2000
เอกสารลับที่มีอายุเกินกว่า25ปีจำนวนกว่า 65ล้านแผ่นถูกนำออกมาตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถเผยแพร่ได้ แต่ในจำนวนนั้นมีภาพถ่ายทางอากาศของเทือกเขาเอรารัทรวมอยู่ด้วยหลายใบ แต่พวกเขาก็ยังยืนยันที่จะไม่เปิดเผยภาพถ่ายคุณภาพสูงจากดาวเทียม KH [Key Hole]
อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของซีไอเอ กล่าวว่าเขาเคยเห็นภาพถ่ายในแฟ้ม "สิ่งผิดปกติบนเอรารัท" แล้วเขาก็เชื่อว่าสิ่งดูเหมือนเป็นซากเรือขนาดใหญ่จริงๆ แต่น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่ท่านอื่นๆกลับลงความเห็นว่ามันเป็นเพียงก้อนหินก้อนใหญ่ๆเท่านั้น
โฆษกของซีไอเอรวมทั้งเจ้าหน้าที่อีกหลายคนก็ต่างออกมาปฏิเสธว่าภาพถ่ายนั้น ไม่ใช่ซากเรือโนอาห์อย่างแน่นอน มันเลยน่าแปลกตรงที่ว่า งั้นทำไมต้องแยกภาพของเอรารัทออกจากภาพถ่ายทางอากาศอื่นๆ และยังตั้งชื่อให้หรูซะว่า "สิ่งผิดปกติบนเอรารัท" ด้วยล่ะ ถ้าเราย้อนไปดูเรื่องราวของซีไอเอ ก็ไม่แปลกที่ซีไอเอมักจะตั้งชื่อโครงการใดๆให้เป็นรหัสเพื่อให้คนสืบสาวราวเรื่องได้ยาก ทั้งยังสามารถเฉไฉไปเรื่อยเมื่อถูกจับได้ ก็จะให้ตั้งชื่อว่า "ภาพถ่ายเรือโนอาห์บนเอรารัท" ได้ยังไงใช่มั้ย?
ภาพถ่ายทางอากาศของเอรารัท ช่วยมองหน่อยว่าเรืออยู่ไหน(ผมยังไม่รู้เหมือนกัน)
ภาพถ่ายคุณภาพสูง
ในเมื่อภาพถ่ายที่ซีไอเอยอมคลายออกมานั้น จะดูอึมครึมอยู่สักหน่อย จึงทำให้ปอร์เชอร์ต้องไปว่าจ้างบริษัท Space Imaging บริษัทเอกชนที่รับจ้างถ่ายภาพคุณภาพสูงด้วยดาวเทียม Ikonos ทำการถ่ายภาพสิ่งผิดปกติบนยอดเขาเอรารัท ( บริษัทนี้เคยดังเป็นพลุแตกจากภาพ Area51ที่ละเอียดยิบที่ได้นำมาเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต) แต่งานนี้มีอุปสรรคก็ตรงที่ไม่รู้พิกัดที่แน่นอนของ "สิ่งผิดปกติบนเอรารัท" ว่าอยู่ไหนกันแน่?
ลำบากปอร์เชอร์อีกแล้วที่ต้องไปสาวข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระดับสูงจากเพนตากอน จนได้ตำแหน่งที่ตั้งของมันมาว่าอยู่ที่ เส้นรุ้งที่39องศา 42ลิปดา
10ฟิลิปดา กับเส้นแวงที่ 44องศา 16ลิปดา 30ฟิลิปดา
ภาพที่ดาวเทียมอิโคนอสถ่ายได้นั้นปรากฏวัตถุขนาดใหญ่มีรอยแตกออกเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขนาดยาว 534ฟุต กว้าง 80-98ฟุต แต่ไม่ทราบความสูง เนื่องจากมีหิมะปกคลุมอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับเรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ที่ว่า มีความยาว 30คิวบิก กว้าง50คิวบิก สูง30คิวบิก ซึ่งมาตราส่วน 1คิวบิกเท่ากับ20นิ้ว ก็จะได้ขนาดของเรือเท่ากับความยาว 500ฟุต กว้าง83ฟุต และสูง50ฟุต ใกล้เคียงกันมากมั้ยละครับ!
นักสำรวจหลายๆคนเชื่อว่าวัตถุที่พบบนเอรารัท ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เนื่องจากไม่พบวัตถุที่คล้ายกันทั่วทั้งเทือกเขาเลย และเรืออาจจะแตกเป็น2-3ส่วน เนื่องมาจากภูเขาไฟระเบิดในปี1840 หรือแผ่นดินไหวในปี 1883
เมื่อนำภาพถ่ายในปี1949 มาเทียบกับ ภาพจากอิโคนอสที่ถ่ายเมื่อปี2000 พบว่าวัตถุได้เคลื่อนจากตำแหน่งเดิม นั่นหมายความว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเขาเอรารัท
แต่ปอร์เชอร์ และบริษัท สเปซอิเมจิ้ง ก็ยังไม่กล้ายืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าภาพถ่ายวัตถุโดยดาวเทียมอิโคนอสนั้น เป็นเรือโนอาห์จริงหรือไม่ เขาบอกเพียงมันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และเรื่องราวของเรือโนอาห์ก็คงต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์กันอีกต่อไป