cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: etatae333 ที่ 03 พฤษภาคม 2018, 15:02:11

หัวข้อ: กีย์ เดอ โซลิอาร์ค (Guy de Chauliac) แดจังกึมแห่งยุโรป
เริ่มหัวข้อโดย: etatae333 ที่ 03 พฤษภาคม 2018, 15:02:11
กีย์ เดอ โซลิอาร์ค (Guy de Chauliac) แดจังกึมแห่งยุโรป 

ซีรี่ย์ “แดจังกึม” จอมนางแห่งวังหลวง ของราชสำนักเกาหลีได้สร้างความประทับใจ อย่างใหญ่หลวงแก่ผู้ชมทั้งเอเชียและทั่วโลก
โดยเฉพาะในเหตุการณ์ตอนหนึ่ง ซึ่งเกิดโรคระบาดในหมู่บ้านชนบท ขณะที่ผู้คนพากันอพยพหนีจนทางการต้องสั่งปิดหมู่บ้าน
เพื่อป้องกันการระบาด แต่แดจังกึมกลับอยู่เฝ้าพยาบาลเด็กชายผู้ป่วยอย่างไม่เกรงกลัวการติดเชื้อ และในที่สุดก็พบ
วิธีการรักษาเอาชนะโรคร้ายได้

เหตุการณ์ลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นในอดีตของยุโรปเช่นกัน แต่ครั้งนั้นการระบาดของโรครุนแรงกว่าอย่างเปรียบมิได้
เพราะผู้คนล้มตายถึง 25 ล้านคน และหมอผู้ต่อสู้ กับโรคร้ายอย่างทรหดจนได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษมีนามว่า

กีย์ เดอ โชลิอาร์ค

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1525414864-1022.jpeg)

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 คือปี ค.ศ. 1347 กองทัพมองโกลอันเกรียงไกร ได้ยกมารุกรานยุโรปและปิดล้อมเมืองท่า
แคฟฟาชายฝั่งทะเลดำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางค้าขายไปสู่อิตาลี แต่ตีไม่สำเร็จ เพราะทหารมองโกลเกิดป่วยตาย
กันมากมาย ข่านฮานิเบก ผู้เป็นแม่ทัพก็เลยถอนกำลัง แต่ก่อนจะกลับได้สั่งให้เอาศพทหารใส่เครื่องยิงก้อนหิน
แล้วดีดข้ามกำแพงเข้าไปในเมืองแคฟฟา หมายทำลายล้างชีวิตพลเมืองด้วยเชื้อโรค


เมื่อศึกสงบ เรือสินค้าจากแคฟฟาก็ขนเครื่องเทศไปยังเมืองท่าเยนัวของอิตาลี แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า ได้ขนเอาทูตมรณะ
ติดไปด้วย นั่นคือหนู ซึ่งหลบอาศัยอยู่มากมายในเรือ และงอมแงมไปด้วยเชื้อ...กาฬโรค!

พอขึ้นบก เหล่าหนูก็แพร่กระจายไปตามท้องถิ่นแล้วก็ตาย จากนั้นผู้คนก็ล้มตายตาม ภายในเวลาแค่สิบปี กาฬโรค
ก็ระบาดทั่วยุโรปราวกับไฟไหม้ป่า คร่าชีวิตชาวยุโรปเป็นจำนวนมหาศาล ราษฎรอิตาลีถูกฝังไปครึ่งประเทศ กรุงเวียนนา
ของออสเตรียมีอัตราตายวันละ 700 คนติดต่อกันหลายปี เก้าในสิบของชาวลอนดอนสูญชีวิตด้วยโรคนี้ เยอรมัน
ซึ่งนับว่าอัตราตายต่ำกว่าประเทศอื่นก็ยังสูญเสียประชากรถึง 1.2 ล้านคน ใน ค.ศ. 1348 แค่ปีเดียว

แต่ไอซ์แลนด์และไซปรัส คนเดียวก็ไม่เหลือ !!

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1525414864-1872.jpeg)

อาการของโรคร้ายนี้เริ่มจากปวดหัว เป็นไข้ หนาวสั่นวิงเวียนคลื่นเหียน หัวฝีดำแข็งปรากฏบริเวณขาหนีบและใต้รักแร้
ต่อมน้ำเหลืองบวม สร้างความเจ็บปวดรุนแรง มันจะกลายเป็นสีดำ และบวมปูดขนาดเท่ากำปั้น จึงได้รับสมญาว่า
มรณะมืด (THE BLACK DEATH) สุดท้ายคนไข้ก็กระอักเลือดและตายในเวลาไม่เกิน 3 วัน

ประดาหมอทั่วยุโรปหมดหนทางรักษา ขนาด คาลิน เดอ วินาริโอ หมอที่เก่งที่สุดแห่งยุคยังยอมรับว่า...
คนที่เป็นโรคนี้ต้องตายสิ้น หลายคนจึงหันไปพึ่งไสยศาสตร์ เช่น ฆ่าวัวบูชายัญแด่เทพเจ้า ใช้แส้เฆี่ยนตีตนเอง
ไปตามท้องถนน ด้วยเชื่อว่าการระบาดเกิดจากความผิดบาปของมนุษย์ พระเจ้าจึงลงโทษ
 
บ้างก็หาวิธีรักษาแบบพิสดารสุดแต่จะสรรหาคิดค้นขึ้นมาได้ เช่น สร้างกลิ่นเหม็นเพื่อขับไล่มรณะมืด ด้วยการ
เอาอึมาทาตัวบ้าง เอาแพะตัวเหม็นไปร่วมอยู่ในห้องนอนบ้าง บางคนถึงกับเสี่ยงโดยกินหนองจากหัวฝีที่สุกงอม!
แต่โรคร้ายก็ไม่ทุเลาลง เหล่าผู้มั่งมีต่างหลีกลี้หนีไปอยู่คฤหาสน์ในชนบทที่ปลอดจากกาฬโรค เหล่าคนยากใน
เมืองใหญ่ยังคงล้มตายเกลื่อนกลาดบนท้องถนน ไม่ว่าจะที่ลอนดอน ปารีส โรม เบอร์ลิน สัปเหร่อเข็นรถกระบะ
บรรทุกซากศพที่สุมอยู่ดั่งกองฟืน

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1525414864-1317.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1525414863-9915.jpeg)

ความตายปรากฏทุกหนแห่งจนผู้คนเกิดอาการวิกลจริต พากันกระโดดโลดเต้นเหยียบย่ำศพบนถนนจนสิ้นแรง
ล้มตายเอง เรียกกันว่า เต้นมฤตยู (THE DANCE OF DEATH)

แต่ในท่ามกลางความสิ้นหวังนี้ ก็ยังเหลือบุรุษผู้หนึ่งซึ่งไม่ย่อท้อต่อการต่อสู้กับโรคร้าย

กีย์ เดอ โชลิอาร์ค (Guy de Chauliac) เป็นหมอผ่าตัดประจำพระองค์กษัตริย์ฟิลิปที่ 6 แห่งฝรั่งเศส
รวมทั้งดูแลโป๊ปคลีเมนต์ที่ 6 ซึ่งประทับอยู่ที่อาวิยอง, ฝรั่งเศสด้วย โชลิอาร์คได้รับการฝึกฝนจากแพทย์
ผู้เชี่ยวชาญที่สุดของยุโรป ณ ศาสนสถานแห่งมองต์เปลิเยร์ ทำให้เขาเป็นหมอที่ปราดเปรื่อง อาทิ
นำเอาวิธีใช้ปลิงดูดเลือดเสียจากร่างผู้ป่วยมารักษาไข้

ต้นฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 1348 กาฬโรคเริ่ม ระบาดเข้าสู่ปากแม่น้ำโรนและสู่อาวิยอง ที่พำนักของโป๊ป ทำให้
โชลิอาร์คทูลให้ทรงลี้ภัย แต่โป๊ปคลีเมนต์ที่ 6 ทรงปฏิเสธที่จะทิ้งวัง เชื้อโรคแพร่สะพัด ต่อไปปารีส
ที่นั่น...คนครึ่งเมืองกำลังล้มตาย

เหล่าหมอทั้งหลายยุติการตรวจรักษาคนไข้ เพื่อป้องกันชีวิตตนเองให้อยู่รอด ทว่า โชลิอาร์ค ทำในสิ่งตรงกันข้าม

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1525414864-2071.jpeg)

เขานำวิชาการที่เรียกได้ว่าทันสมัยแม้ในปัจจุบัน นั่นคือเมื่อเขาไม่อาจรู้ได้ถึงสาเหตุของโรค เขาจึงอุทิศตน
เข้าคลุกคลีดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด แล้วเขียนบันทึกถึงสิ่งซึ่งได้สังเกตเห็น ในบันทึกอันทรงคุณค่าของเขานั้น
โชลิอาร์ค ได้ระบุถึงลักษณะอาการป่วยอย่างละเอียดทุกขั้นตอน (ในแดจังกึมก็ใช้วิธีนี้) พร้อมทั้งลงคำแนะนำ
วิธีการรักษาที่เขาคิดว่าน่าจะได้ผลที่สุด

ว่ากันว่า ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1348 โชลิอาร์ค ได้เสนอแนะโป๊ปถึงการนำเอาไฟมาใช้ในการป้องกันโรค โดยเอา
กระถางใบใหญ่ใส่น้ำมันและฟืน วางตั้งไว้สี่มุมรอบบัลลังก์ของโป๊ป แสงเพลิงที่โชติช่วงจะช่วยพิทักษ์มิให้
เชื้อโรคกล้ำกรายเข้ามาได้ แม้จะประทับอยู่ท่ามกลางความร้อนระอุ แต่ดูเหมือนความร้อนและควันจะช่วย
ทำลายล้างสิ่งสกปรกโสโครกรวมทั้งเชื้อโรคอย่างได้ผล เพราะ...โป๊ปทรงรอดพ้นจากโรคร้าย

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1525414863-9168.jpeg)

ชนชาติที่เคราะห์ร้ายที่สุดจากมรณะมืดก็คือยิว พวกเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวบาปที่พระเจ้าทรงพิโรธและบันดาล
ให้เกิดภัยพิบัติครั้งนี้ อันที่จริงเป็นการหาเรื่องกับยิวแท้ๆ เนื่องจากความกลัว ความสับสน ความโศกเศร้าที่เกิดขึ้น
ทำให้ผู้คนหาทางออกเพื่อระบายอารมณ์ และก็มาลงที่ชาวยิวเป็นแพะรับบาป (ตลอดกาล)

ผลก็คือยิวถูกเข่นฆ่าสังหารอย่างมโหฬารในทุกหนแห่ง เฉพาะในวันวาเลนไทน์ปี 1349 ประชากรเมือง
สตาร์สบวร์กพากันล้อมกรอบจับยิวเผาทั้งเป็นถึงสองพันคน

ฤดูหนาวปี ค.ศ. 1349 คริสเตียนในเยอรมัน ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ ตัดขาดมิตรภาพกับเพื่อนบ้านชาวยิว
แล้วจับเอาไปประหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม เพื่อคลายความพิโรธของพระเจ้า แต่โรคร้ายก็ยังมิได้บรรเทาลงแต่อย่างใด

ในที่สุดเมืองอาวิยองที่ประทับของโป๊ปก็เต็มไปด้วยคนป่วย เหล่าผู้ดีมีเงินทั้งหลายพากันทิ้งเมืองไปอยู่ชนบท
แม้กระทั่งโป๊ปก็ต้องย้ายวังไปชนบทเช่นกัน ไม่ทรงเชื่อกำแพงอัคคีที่พิทักษ์อยู่รอบบัลลังก์อีกต่อไป เหลือเพียง
คนเดียวที่คงอยู่ ใช่แล้วครับ หมอกีย์ เดอ โชลิอาร์ค เขายังคงตระเวนรักษาคนป่วยในอาวิยอง โดยใช้วิธี
เปิดหัวฝีคนไข้แล้วเอาเหล็กเผาไฟแดงๆ คว้านทำความสะอาดไล่เชื้อโรค คนไข้หลายคนรอดชีวิตได้...
ถ้าทนความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการรักษาได้

และแล้วโชลิอาร์คก็ติดเชื้อกาฬโรคเข้าจนได้

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1525414864-2013.jpeg)

แม้จะสัมผัสกับคนไข้มากมายเพียงใด แต่ยามที่ต้องล้มป่วยนอน เพียบอยู่บนเตียงนั้น โชลิอาร์ค ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี
ว่าสมมุติฐานแท้จริงของโรคนั้นคืออะไร และอย่าว่าแต่ประชากรของอาวิยองจะลดลงไปถึงครึ่งหนึ่ง แม้แต่ในศาสนสถาน
ที่โชลิอาร์คฝึกฝนวิชาแพทย์เอง จำนวนหลวงพ่อทั้งหมด 140 รูป เหลือเพียงแค่ 7 รูป!

อย่างไรก็ตาม โป๊ปคลีเมนต์ที่ 6 ผู้ละทิ้งอาวิยองไปยังคงพระชนม์ชีพอยู่ได้

แต่เหลือเชื่อกว่านั้น กีย์ เดอ โชลิอาร์ค หมอวีรบุรุษของเราได้หายจากโรคร้าย ดังในบันทึกของเขาที่ว่า

“...ในช่วงท้ายของกาฬโรค ข้ามีอาการบวมที่ขาหนีบ ข้านอนป่วยอยู่เกือบหกสัปดาห์ เมื่อฝีบวมเต็มที่ ข้าได้รักษา...
โดยกินผลมะเดื่อกับหัวหอมต้มสุกผสมกับยีสต์และเนย... ข้ารอดชีวิตมาได้...ด้วยพรจากพระเจ้า... มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์
เพื่อนเอ๋ย ขอให้เรามาร่วมสวดมนต์ด้วยกันเถิด”


(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1525414863-9336.jpeg)

กีย์ เดอ โชลิอาร์ค ได้เขียนผลงานของเขาไว้ใน “เชอร์รูเกีย มันยา” หรือ “การรักษาอันยิ่งใหญ่” ซึ่งได้ใช้เป็นตำราแพทย์
ของยุโรปอยู่นานต่อมาถึง 300 ปี โชลิอาร์คเขียนขึ้นจากประสบการณ์ ของเขาล้วนๆ มิได้อ้างอิงวิชาการดั้งเดิมแต่อย่างใด
เขาได้รับการยกย่องอย่างสูงในบั้นปลายของชีวิต

หลังจากคร่าชีวิตมนุษย์อยู่ 300 กว่าปี พอถึง ค.ศ. 1666 กาฬโรคก็พลันอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว อันเนื่องจาก
การสุขาภิบาลและการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นนั่นเอง