-->

ผู้เขียน หัวข้อ: โจ บอล (Joe Ball) นักหั่นศพแห่งเอลเลเมนดอร์ฟ  (อ่าน 685 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18236
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

โจ บอล (Joe Ball)  ชื่อเต็ม Joseph D. Ball
               


ในอเมริกานั้นมีเรื่องเล่า ที่เป็นตำนานหลายเรื่อง บ้างก็เรื่องจริงบ้างก็เรื่องโกหก แต่ยังมีอีกตำนานอีกบทหนึ่ง ที่หลายครั้งมีผู้นำไปสร้างในหนังคาวบอย
ในฐานะเรื่องราวดาวร้ายฆาตกรโรคจิตที่ชอบหั่นเหยื่อและนำไปให้จระเข้กิน  โหดจนเป็นที่เล่าขานปากต่อปากไม่รู้จบ หลาย ๆ คนชอบเรียกเขาว่า
โจ บอล นักหั่นศพแห่งเอลเลเมนดอร์ฟ 

             
ตำนานที่เป็นเรื่องจริง
               
ปลายทศวรรษที่ 18 ชายแดนสหรัฐอเมริกา พื้นที่นั้นว่างเปล่าตอนนั้นยังไม่มีผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นอาศัยกันมากเหมือนในปัจจุบัน เพราะสงครามกับพวกอินเดียนแดง
กับเม็กซิโก ทำให้ผู้คนต่างหนีหายและต่างคนต่างอพยพไปหาที่เจริญกว่า เช่นเดียวกับแฟรค์ บอล คนอพยพ เขาย้ายมาอยู่เมืองเอลเลเมนดอล์ฟ เท็กซัส
เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของซานแอนโตนิโอ เขาอพยพในปี ค.ศ. 1885


หลังจากที่ต้องรกรากที่เมืองนี้ไม่นาน แฟรงค์ก็กู้เงินจากธนาคารเพื่อตั้งโรงงานปั่นฝ้าย และดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขาเพราะมีการสร้างรางรถไฟผ่านเมืองนี้
มันทำให้ธุรกิจของแฟรค์บูมมาก มันทำให้เขากลายเป็นบุรุษที่มั่งคงด้วยทรัพย์สิน จากนั้นก็จับธุรกิจเรียลเอสเตท ด้วยการซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์
ท้ายสุดเขาก็เปิดร้านขายของขนาดใหญ่ขึ้นในเมือง ธุรกิจฟูถึงขีดสุด แฟรค์และอลิซาเบธ รวมทั้งลูก ๆ ทั้ง 8 คน กลายเป็นครอบครัวแข็งแรงสุดแกร่ง
และทรงพลังอำนาจในเมืองเอลเลเมนดอล์ฟแห่งนี้ เด็ก ๆ ทุกคนในครอบครัวต่างก็ประสบผลสำเร็จและหลายคนได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในชุมชน
แต่ยกเว้นเด็กคนหนึ่งที่เปรียบเสมือนกับแกะดำในครอบครัว "โจ บอล"


โจเซฟ ดี บอล เขาเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนที่สองของครอบครัว เกิดวันที่ 7 มกราคม 1896 ในวัยเด็ก โจเป็นเด็กที่เก็บตัว น้อยครั้งนักที่เขาจะมีส่วนร่วม
ในกิจกรรมต่าง ๆ เหมือนกับเด็กอื่น ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร โจก็เป็นเด็กที่ชอบกิจกรรมทางแจ้ง เช่น ตกปลา และการออกสำรวจไปยังสถานที่ต่าง ๆ
พ่อแม่รักลูกคนนี้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม

เมื่อโจบอลโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขามีรูปร่างใหญ่โต หน้าเหลี่ยม เขาเริ่มหันไปชอบปืนและหลงรักมัน และใช้เวลาต่าง ๆ หลายชั่วโมงในการฝึกยิงปืน
เขาฝึกมันจนกระทั้งเกิดความชำนาญสามารถยิงนกเกาะอยู่บนต้นไม้ได้ทีเดียว อย่างไรก็ตาม โจไม่รู้เลยว่า ทักษะนี้จะช่วยให้เขาก่อกรรมทำขวัญ
ได้สะดวกในอนาคตข้างหน้า

วันที่ 6 เมษายน 1917  ช่วงนี้อเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมัน และกระโจมเข้าไปในความขัดแย้งของยุโรป โจสมัครเข้าไปเป็นทหารและถูกส่ง
ไปยังแนวหน้าในยุโรป  จนกระทั้ง 1919 โจก็รอดชีวิตมาได้ เขาได้รับการเชิดชูเกียรติจากกองทัพ เขาเดินทางกลับสู่บ้านเกิดที่เอลเลเมนดอร์ฟในเวลา
นิสัยที่ติดตัวของโจมาด้วย คือ ชอบความท้าทาย บ้าบิ่น


เมื่อโจกลับมาถึงบ้านเกิด ระยะแรกเขาเข้ามาทำงานกับบิดาระยะหนึ่งแต่ก็ลาออกเพราะรู้สึกว่ามันไม่ท้าทาย เนื่องจากเขาใช้ชีวิตแบบทหารมานานปรับตัว
เข้ากับสภาพแวดล้อมไม่ค่อยได้ จากนั้นเขาจึงเริ่มการขายเหล้าเถื่อน แม้เป็นงานที่เสี่ยงอันตราย แต่โจสนุกไปกับมัน เขาขับรถฟอร์ดตระเวนไปจนทั่วเมือง
พร้อมกับขายเหล้าจำนวน 50 แกลลอนต่อบาเรลให้แก่ชาวเมือง

ต่อมาโจได้ว่าจ้างหนุมอเมริกันท่าทางอ่อนต่อโลกคนหนึ่งเขามีนามว่า คลิฟตัน วีลเลอร์ เขาคือผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการก่ออาชญากรรมของโจในเวลาต่อมา
วีลเลอร์พึ่งมารู้ที่หลังว่าตนโดนลากมาทำงานสกปรก แต่เขาจำเป็นต้องทำ เพราะนายจ้างของเขาข่มขู่ให้ทำงานต่อ และต้องทำงานอย่างหวาดผวาอีกเมื่อโจเมา
เขามักอาละวาดและมาระบายอารมณ์ลงที่เขา มีอยู่ครั้งหนึ่งโจจะยิงไปที่บริเวณเท้าของวีลเลอร์ เพื่อบังคับให้เขาเต้นจิตเตอร์บั๊กให้ดู (การเต้นบิดตัวแบบหนึ่ง)
               
แดนจระเข้



เมื่อหมดยุคของการห้ามผลิตเหล้าและขายสุรา โจก็ตัดสินใจเปิดร้านขายเหล้า ด้วยการลงทุนซื้อที่ดินผืนเล็ก ๆ ที่นอกเมือง โจตั้งชื่อร้านว่าโซไซเอเบิลอินน์
ที่ด้านหลังของโรงแรมจะมีห้องนอนอยู่ 2 ห้อง ขณะที่ชั้นบนของหน้าด้านนั้นเป็นบาร์ มีคนเล่นเปียโน และการแสดงรื่นเริงเช่นการชนไก่ การเฮฮาด้วยการดื่มเหล้า
บาร์ของโจฮิตติดระเบิดได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วกับการขายเหล้า แต่โจรู้สึกไม่พอใจกับมันมากนัก เขาต้องการอะไรอย่างหนึ่ง อะไรที่ทำให้ร้านของเขา
เป็นจุดเด่น และน่าสนใจ


ใช่แล้วจระเข้ไง!

เขาตัดสินใจที่จะเลี้ยงจระเข้ บนที่ว่างบริเวณด้านหลังของบาร์  โจสั่งช่างก่อซีเมนต์ทับหลุมหนึ่งแล้วก็น้ำหล่อเอาไว้ พร้อมกับสร้างรั้วสูง 10 ฟุต ขึ้นมาล้อมเอาไว้
จากนั้นก็นำจระเข้ ที่ซื้อมาปล่อย 5 ตัว ดูเหมือนโจจะรักจระเข้พวกนั้นมาก ความคิดของโจได้ผล ลูกค้าจำนวนมากสนใจกับสัตว์เลี้ยงของโจ โดยเฉพาะวันเสาร์
บาร์ของโจวุ่นวายมาก เพราะโจจัดโชว์พิเศษ ด้วยการโยนสัตว์เป็น ๆ อาทิ แร็กคูน แมว สุนัข รวมทั้งสัตว์อื่นๆ ลงในบ่อจระเข้เพื่อให้มันกินเป็นอาหาร
เป็นที่บันเทิงใจของแขกที่มาเที่ยวอย่างมาก

เอลตัน คูด เจอาร์.ลุกชายคนรองของนายอำเภอในเขตเบ็กซาร์เปิดใจภายหลังคดีของโจบอลว่า

"เมื่อพวกเขาโยนลูกแมวเข้าไปในบ่อจระเข้ มันก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด จระเข้ตัวใหญ่อ้าปากของมันขึ้น จากนั้นก็ปิดลงคล้ายกับเครื่องหนีบ
เจ้าลูกแมวส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดขาดออกเป็นสองท่อน 'ทุก ๆ ท่านจะมีอะไรสนุกไปยิ่งกว่านี้ นี้คือสัตว์เลี้ยงผม'โจ บอล ตะโกณ
จากนั้นเขาก็โยนลูกสุนัขเข้าไปในบ่อที่เต็มไปด้วยเลือดเป็นลำดับต่อไป"





ผู้หญิงสามคน



ปี 1934 โจก็ได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อมินนี ก๊อตฮาร์ดต์ สาวใหญ่ที่ใครๆต่างเรียกว่า มินนีใหญ่ โจตกลงหลงรักเธอทันที และชวนให้มาทำงานที่บาร์ของร้าน
แต่เพื่อน ๆ ของโจไม่ชอบหน้าเธอมากนักเพราะเธอชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านและทำตัวน่ารังเกียจ แต่โจไม่สนกับคำนินทานั้น ทั้งสองยังดำเนินกิจกรรมบาร์
ไปด้วยกัน 3 ปีจนกระทั้ง..............



3 ปีต่อมาโจได้ตกหลุมรักคนหนึ่ง ดอเลอร์ บัดดี กู๊ดวิน หนึ่งในสาวเสิร์ฟวัยรุ่นสุดสวยในบาร์เขา ดอเลอร์ก็ตกหลุมรักโจเช่นกัน แต่ไม่นานอีกโจก็ตกหลุมรัก
ผู้หญิงสาวสวยอีกคน ฮาเซล บราวน์
เธอมาสมัครงานที่ร้านบาร์ของเขา และด้วยเธอมีท่าทีเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและความสวย ก็ทำให้โจตกหลุมรักเธออีกคน
แต่มันกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของโจเพราะน้ำพริกถ้วยเก่า 2 ถ้วยยังอยู่ เขาต้องพยายามสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างผู้หญิงสองคนที่ทำงานที่เดียวกัน
จะทำอย่างไรดีน่ะ..............โจคิด

ทันใดนั้นเองโจก็คิดออกแต่......  มันเป็นความคิดของปีศาจชัด ๆ

 

คนหาย

ฤดูร้อน 1937 มินนี ก๊อตฮาร์ดต์ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ เธอไม่ส่งจดหมายไปให้ญาติอีกเมืองหนึ่งไปหลายเดือนแล้ว พวกเพื่อนและญาติ ๆ
ของมันนีไต่ไถ่ถามโจอย่างหนัก คำตอบของโจคือ


"มันหายไปตัวไปน่ะ ตั้งแต่มันคลอดทารกผิวดำออกมา"

หลักจากอีก 2-3 เดือนต่อมา โจแต่งงานกับดอเลอร์  ไม่กี่วันต่อมาเขาได้สารภาพเรื่องการหายตัวของมินนีว่า

"ความจริงแล้ว ช่วงมินนีหายตัวไปไหนหรอก ฉันเป็นคนฆ่าหล่อนเอง ฉันแอบนัดหล่อนไปที่ชายหาด รอมันเผลอ ฉันระเบิดกระสุนยิงเธอที่หัวเลยล่ะ
ไม่มีเสียร้องสักแอะ สมองกระจายเลยล่ะ และจากนั้นก็ฝังหล่อนไว้ในทรายตรงนั้นแหละ"


ดอเลอร์ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องโจเล่ามากนัก แต่ก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่นทำไมโจต้องเล่าเรื่องนี้กับเธอด้วย หรือว่า.......................
เดือนมกราคม 1938 ดอเลอร์ได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนทำให้เธอต้องตัดแขนซ้ายทิ้ง แต่จู่ ๆ ก็มีข่าวลือหนาหูว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะจระเข้
ของโจงับแขนเธอในขณะให้อาหาร ดอเลอร์ขอโจให้ฆ่าจระเข้ที่งับแขนเธอแต่โจไม่สนใจกับคำพูดเธอมากนัก ไม่ว่าเธอจะสูญเสียแขนไปเพราะสาเหตุใดก็ตาม
ในเดือนเมษายนดอเลอร์ก็หายตัวไปอย่างลึกลับอีกคน และในเวลาไม่นานนักฮาเซสก็หายตัวไปอีกคน

ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับผู้หญิงของโจ ต่างกับจระเข้ของโจที่มันยังรอเขาอยู่ที่เดิมเสมอ นับวัน โจรักจระเข้เขามาก เขาพร้อมปกป้องจระเข้
ของเขาสุดความสามารถถ้ามีอันตรายเข้ามารุกล้ำจระเข้ของเขา มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนบ้านของโจพูดจาเป็นเชิงตำหนิออกไปว่าเหม็นกลิ่นเนื้อเน่า
มันลอยจากหลังบาร์ของโจ ขอให้โจแก้ไขกลิ่นนี้

แต่เมื่อโจได้ยินเขาก็ชักปืนออกมาพร้อมกับตะโกณว่า

"จระเข้น่ะมันต้องการอาหารโว๊ย ไม่ใช้เรื่องของแกมายุ่ง ถ้าไม่อยากเป็นอาหารจระเข้ซะเอง ออกไปจากบาร์ชั้นเดียวนี้"

เพื่อนบ้านของโจเหล่านั้นจำต้องย้ายไปอยู่เมืองอื่นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขามีปืนนี้


ไม่ขาย

ถึงแม้ว่าปมปริศนาคดีการหายตัวลึกลับของผู้หญิง 3 คน จะยังไม่คลี่คลาย แต่ธุรกิจบาร์ของโจกำลังดำเนินไปด้วยดี จนกระทั้งในกลางปี 1938
ครอบครัวของมินนีเริ่มออกตามหาเธออีกครั้ง คราวนี้พวกเขาขอความช่วยเหลือจากสำนักงานนายอำเภอเขตเบ็กซาร์นายอำเภอได้ไปหาโจ
และตั้งคำถามหลายข้อ แต่เขาก็ยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยจนกระทั้ง....................


2-3 เดือนต่อมา มีครอบครัวหนึ่งแจ้งความตำรวจว่า ลูกสาวของเขาหายไป เธอชื่อว่าจูเลีย เทอร์เนอร์ วัย 23 ปี เธอทำงานเป็นพาร์ตไทม์ของโจ
และเมื่อเจ้าหน้าที่ของโจอีกครั้ง โจก็บอกว่าเธอมีปัญหาส่วนตัวจึงขอย้ายออกไปน่ะ และก็ไม่ได้ข่าวของเธออีกเลย เจ้าหน้าที่ต้องกลับไปด้วยมือเปล่าอีกครั้ง
แต่เมื่อตำรวจไปค้นห้องเช่าของจูเลียเช่ารวมกับเพื่อน  ก็พบว่าเธอไม่ได้เอาข้าวของเครื่องใช้ไปด้วย เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจไปที่บาร์เพื่อหาความกระจ่างอีกครั้ง
โจจำต้องบอกว่า เขาจำได้ว่าเธอเบื่องาน และอยากออกไปหางานใหม่ เขาให้ยืมเงิน 500 ดอลลาร์ ส่วนสาเหตุที่เธอไม่กลับไปเพราะเธอมีปัญหากับเพื่อนร่วมห้อง

ในอีก 2-3 เดือนต่อมา ลูกจ้างของโจหายไปอีก 2 คน แต่ไม่มีใครจำอายุและชื่อของพวกเขาได้ คราวนี้เจ้าหน้าที่ลงมือสอบสวนโจอย่างเข้มงวดนานนับชั่วโมง
แต่โจก็ยังยืนยันในความบริสุทธิ์ของเขา เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรกับโจได้ เพราะไม่มีพยานหลักฐานโดยสิ้นเชิงโจทำอย่างไรน่ะที่ทำให้ปราศจากหลักฐานได้

วันที่ 23 กันยายน 1938 จู่ๆ มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเป็นเพื่อนบ้านของโจ เขามาแจ้งตำรวจ

"ผมเห็นน่ะครับ เห็นโจกำลังตัดเนื้อมนุษย์ออกจากร่างด้วยอีโต้ขนาดใหญ่และให้จระเข้กิน พระเจ้ามันช่างสยดสยองเหลือเกิน"
แต่ก่อนที่ตำรวจจะทำอะไรพอดีมีคนเม็กซิกันแจ้งมาอีกว่า โจได้ทิ้งถังที่มีกลิ่นเหม็นเน่า หลังโรงฟาร์มน้องสาวของเขา
"กลิ่นมันเหม็นเหมือนกับคนตายอยู่ข้างใน"เขาเล่า
เกรย์และจอห์น เคิลเวนฮาเกน มาถึงที่บาร์ของโจ เพื่อพาโจไปที่ซานแอนโตนิโอเพื่อสอบสวนเล็กน้อย
"คอยก่อนน่ะครับ ขอเวลาให้ผมปิดบาร์ก่อน"โจบอกเจ้าหน้าที่

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งรอ โจถือโอกาสดื่มเบียร์ออกมาดื่มพร้อมกับวางลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปที่เครื่องรับจ่ายเงินสดอัตโนมัติ
และกดปุ่มที่ปรากฏตัวหนังสือ "ไม่ขาย" ขึ้นมา เมื่อลิ้นชักเปิดออก เขาก็หยิบปืน.45 คาลิเบอร์รีวอลเกอร์ กระบอกหนึ่งขึ้นมา ทันทีที่เกลย์
และเคิลเวนฮาเกนร้องตะโกณว่า "อย่า"

ไม่ทันแล้ว โจจี้กระบอกปืนไปที่หัวใจของเขาเอง โจเหนี่ยวไกพร้อมกับล้มลงนอนตายบนพื้นบาร์ แม้จะมีหลายคนเล่าภายหลังว่า เขายิงตัวเองที่หัว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็คือการยินตัวตายนั้นเอง
               
การค้นพบ          


               
ในเมื่อ โจ บอล ตายแล้ว ผู้ที่จะช่วยตำรวจกระจ่างได้มีคนเดียวเท่านั้นคือ คลิฟตัน วีลเลอร์ ลูกจ้างคนสนิทของโจ! เกลย์และเคิลเวนฮาเกน
ได้นำวีลเลอร์กลับไปที่ซานแอนโตนิโอเพื่อทำการสอบสวน ในตอนแรกวีลเลอร์ปฏิเสธไมรู้ไม่เห็นใด ๆ ทั้งสิ้น แต่แล้วเมื่อเจอคำถามรุกหนักก็สารภาพออกมา

"เจ้านายผมทำเองครับ ผมก็มีส่วนร่วมในการกระทำครั้งนี้ด้วย!"

เขาเล่าว่า ฮาเซล บราวน์ แฟนสาวอีกคนตกหลุมรักผู้ชายอีกคนและมีแผนหนีไปด้วยกัน โจโกรธมากกับข่าวนี้ เขาจึงลงมือสังหารฮาเซล และฝังเธอไว้ในที่หนึ่ง
ตำรวจขอให้วีลเลอร์ไปชี้จุดฝังร่างฮาเซลในวันต่อมา วีลเลอร์ได้นำตำรวจไปยังสถานที่รกร้างห่างไกลจากผู้คนจุดหนึ่ง ห่างจากเมือง 3 ไมล์ ใกล้ๆ
กับแม่น้ำซานแอนโตลิโอ เขาชี้ตรงจุดที่ฝังศพ

"ตรงนี้แหละครับ"

เมื่อเจ้าหน้าที่ขุดลงไปที่พื้นดิน หลังจากนั้นไม่กี่นาที เลือดก็เริ่มซึมออกจากดินในหลุม และกลิ่นเหม็นอันสุดจะทานทนก็โซยไปทั่ว มันเป็นกลิ่นเหม็นเน่า
ชวนคลื่นเหียนอันสุดบรรยาย วีลเลอร์ดึงแขนของศพขึ้นมาจากหลุม ซึ่งมีอยู่ 2 แขน 2 ขา และลำตัวเท่านั้น จากนั้นวีลเลอร์ก็ชี้ไปที่แคลป์ไฟที่อยู่ใกล้ ๆ
ตำรวจทำการค้นหาอย่างละเอียดก็พบซากกราม ฟัน รวมถึงชิ้นส่วนศพที่เหลือทั้งหมดของ ฮาเซส บราวน์ วีลเลอร์ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ภายหลังการพบศพว่า

"คืนวันหนึ่ง หลังจากที่ผมเมาได้ที่ จู่ ๆ โจมาชักชวนผมมายังสถานที่นี้ โดยให้ผมนำถังขนาด 55 แกลลอนใส่รถปิกอัพมาด้วย เมื่อไปถึงที่หมาย
ทันทีที่เปิดถังออกก็พบว่า นี้เป็นศพของฮาเซล เขาบอกว่า 'ฉันใช้ปืนยิงหล่อนเองแหละ ส่วนแกไปขุดหลุม' จากนั้นก็เอาปืนมาจ่อหัวผมบังคับให้ทำตาม
ผมจำเป็นต้องขุด และเมื่อขุดเสร็จ เขาก็บังคับอีกว่าให้หั่นศพ ผมปฏิเสธ โจจำเป็นต้องลงมือเสียเอง แต่เนื่องจากเขาเมามาก ผมต้องช่วยจับแขนขาของศพให้
และเมื่อหั่นศพเสร็จ ผมและโจก็ช่วยกันกลบเกลี่ยดินฝังศพและโยนหัวของฮาเซลเข้าไปที่แคมป์ไฟ"


เมื่อตำรวจถามมินนี ก็อตฮาร์ดต์ วีลเลอร์ก็เล่าว่า

"โจพามินนีไปยังอินกิลไซด์ที่อยู่ใกล้ ๆ กับโบสถ์คอปัส คริสตี้ เมื่อพบสถานที่เงียบสงบ ก็ลงมือเดิมขนาดหนัก โจรอมินนีว้าวุ่นใจอย่างมากก็เอาปืนยิงที่หัว
สาเหตุที่โจฆ่าเธอก็เพราะเธอท้อง เขาไม่ต้องการให้มินนีเข้ามาแทรกแซงความสำพันธ์ระหว่างเขากับดอเลอร์ ผมและโจฝังร่างของมินนีไว้ใต้ฝืนทรายและขับรถกลับที่บาร์"


14 ตุลาคม 1938 ตำรวจก็พบร่างที่ยังหลงเหลือของมินนีใต้ทรายที่วีลเลอร์ชี้ หลังจากนั้นตำรวจสอบสวนเกี่ยวกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่หายไป
วีลเลอร์ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ ท้ายสุดตำรวจก็ค้นพบดอเลอร์ในแคลิฟอร์เนีย เธอสุขสบายดีและเริ่มต้นชีวิตใหม่
และตำรวจก็พบผู้หญิงอีกคนในบัญชีสูญหายที่ฟินีสซ์ ส่วนผู้หญิงในบัญชีสูญหายตำรวจหาไม่พบคาดว่าโจหลังจากฆ่าพวกเธอแล้วให้จระเข้ของเขากิน
และชำระกรงให้สะอาด
               
ก่อนจบ

ในปี 1939 คลิฟตัน วีลเลอร์ ถูกสั่งจำคุกในข้อหาหั่นศพ หลังจากถูกปล่อยตัวออกมา เขาก็ไปทำอาชีพเปิดบาร์เป็นของตัวเอง!

ส่วนจระเข้ของโจนั้นถูกบริจาคให้กับสวนสัตว์ซานแอนโตลิโอ และพวกมันก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีเสียด้วยสิ! สรุปคือคดีนี้ปิดลง โดยไม่รู้แน่ชัดว่า
โจฆ่าคนไปเท่าไหร่กันแน่หรือมีสักกี่คนตกเป็นเหยื่ออาหารของจระเข้ แต่เรื่องราวของเขายังมีชีวิตชีวาจนกระทั้งทุกวันนี้ ในโลกอาชญากรรม
ต่างรู้จักเขาในนาม โจ บอล นักหั่นศพแห่งเอลเลเมนดอร์ฟ 


ข้อมูลจากนิตยสาร LIPS 6/16 กุมภาพันธ์ 2548
credit:: Cammy@dek-d

<a href="http://www.youtube.com/v/nja9eAIFqdY" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/nja9eAIFqdY</a>
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่