-->

ผู้เขียน หัวข้อ: แคทเทิล มิวทิเลชั่น (Cattle Mutilations) ฝืมือคนหรือต่างดาว  (อ่าน 298 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

แคทเทิล มิวทิเลชั่น (Cattle Mutilations) ฝืมือคนหรือต่างดาว

เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายปีจนถึงบัดนี้ เป็นเรื่องประหลาดเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องที่
ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่บรรดาชาวไร่ ชาวนา ตลอดจนปศุสัตว์ต่างๆเป็นจำนวนมาก
เพราะเรื่องที่ว่า ก็เกี่ยวพันถึงชีวิตสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนมาก




นั้นคือปรากฏการณ์ที่สัตว์เลี้ยง เช่น วัว แพะ แกะ ถูกฆ่าและโดนตัดเอาอวัยวะสำคัญบางส่วนไป
โดยอวัยวะที่ถูกเฉือนไปนั้นก็ได้แก่ เนื้อบางส่วนตรงคอ อวัยวะสืบพันธุ์ หู ลิ้น หัวใจ เป็นต้น โดยใช้
วิธีการหรือเครื่องมือที่ทันสมัยและล้ำหน้าเอามากๆ และทิ้งซากสัตว์จำนวนมากไว้ทุ่งร้าง


ไม่ใช่แค่ในอเมริกาเท่านั้นนะครับ ที่บราซิลหรือแถบอื่นๆของโลก ก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
เพียงแต่ไม่มากและเป็นข่าวครึกโครมเท่าที่เกิดในทั่วสหรัฐอเมริกา เท่านั้นเอง บริเวณที่พบเหตุการณ์
ประหลาดนี้มากที่สุด ได้แก่ รัฐโคโลราโด และที่นิวแม็กซิโก จากยอดที่ได้รับการแจ้งความมายัง
สถานีตำรวจท้องถิ่นนั้น สัตว์เลี้ยงที่ตายไปมียอดรวมเกิน 300 ตัว



9 มิถุนายน 2005 ได้เกิดปรากฏการณ์วัวตายอย่างลึกลับในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและ
ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่เมืองพอนเดรา มอนตานา หลังจากที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองนี้และบริเวณใกล้เคียง
มาแล้วนับสิบแห่งเมื่อปี 2001


เจ้าของวัวที่เคราะห์ร้ายคือ มาร์ค ทาเลียเฟอโร ซึ่งเคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้เมื่อปี 2001 คราวนี้
เขาพบลูกวัวตอนแล้วหมายเลข 304 นอนตายอยู่ในทุ่งหญ้าห่างจากบ้านไม่ถึงสองไมล์ทาเลียเฟอโร
โทร.แจ้งทางการทันทีเพราะซากของวัวที่ตายมีรูที่ท้องของมัน ซึ่งเป็นการตายที่ผิดปกติ

นายอำเภอ โทมัส เอ. คูกา ได้รุดมายังที่เกิดเหตุเพื่อทำการสืบสวนทันที การชันสูตรพบว่าลูกวัวมีรูที่ท้อง
บริเวณเต้านมทะลุเข้าไปในลำไส้ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้มันตาย คูกาบอกว่า รูที่ท้องวัวมีรูปทรงกลม
และเหมือนกับถูกทำให้ไหม้ด้วย และลูกอัณฑะหายไป รูดังกล่าวพุ่งตรงเข้าไปในท้องจนเห็นข้างในเลยทีเดียว
ทว่าไม่มีเลือดออกและไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ เลย นอกจากนั้น ลิ้นของลูกวัวส่วนปลายยังถูกตัด
ด้วยมุมเฉียง 45 องศา ซึ่งคูกาบอกว่า มันไม่เหมือนเคสอื่นๆ ที่เขาเคยเห็น คือลิ้นวัวจะหายไปทั้งหมด
คูกาให้ความเห็นว่าสัตว์นักล่าไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้

และสรุปว่า รูที่ท้องของลูกวัวตัวนี้น่าจะเกิดจากการถูกตัดด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้และ
ตั้งคำถามว่า มีเครื่องมือชนิดใดที่ทำเช่นนี้ได้ ?




และนี่คือ ปรากฏการณ์ประหลาดที่เรียกกันว่า "การชำแหละวัวในท้องทุ่ง" (Cattle Mutilation Phenomena)
ที่ระบาดในอเมริกาเหนือมานานแล้ว ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ แต่ไม่มีเลือด
ไหลออกมา และอวัยวะบางส่วนโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัว
หรือแม้กระทั่งรอยเท้าในบริเวณที่มันตาย  หลายเคสซากวัวมีรูขนาดใหญ่บริเวณรอบกระดูกขากรรไกรและ
ขากรรไกรและลิ้นของมันหายไป และอีกหลายเคสอวัยวะเพศของวัวทั้งตัวผู้และตัวเมียจะหายไป สำหรับวัวตัวเมีย
ลูกตาและเต้านมจะหายไปด้วย


นอกจากนั้น ยังพบรังสีตกค้างบริเวณใกล้ซากวัวและที่น่าประหลาดใจ ก็คือ สัตว์ที่กินของเน่าจะไม่แตะต้องซากวัวเลย
และเมื่อนำผลการตรวจสอบเนื้อเยื่อจาก Lab พบว่า ซากสัตว์เหล่านั้นเน่าเปื่อยไวกว่าปกติอย่างที่ควรเป็นถึง 3 เท่า
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ สัตว์ที่กินของเน่าจะไม่แตะต้องซากวัว




ปรากฏการณ์นี้มีข้อสังเกตหลายอย่าง คือ หลายเคสวัวที่ตายจำนวนมาก ถูกทำเครื่องหมายซึ่งเรืองแสง ว่ากันว่า
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เห็นได้ในเวลากลางคืน และสิ่งนี้อธิบายได้ว่ามันไม่ได้เกิดจากฝีมือของสัตว์นักล่าอย่างหมาป่า
หรือสุนัขจิ้งจอก และหลายเคสยังเกิดขึ้นในบริเวณใกล้บ้านเจ้าของวัวซึ่งเลี้ยงหมาไว้ด้วย ซึ่งหากมีคนหรือสัตว์
บุกรุกเข้ามาหมาจะเห่า แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงเห่าจากหมาเลย

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ในกรณีที่เกิดกับลูกวัว ปกติแม่วัวจะคอยดูแลปกป้องอันตรายให้กับลูกวัว หากมีอันตราย
เข้ามาใกล้แม่วัวจะร้องซึ่งจะทำเจ้าของวัวได้ยิน แต่กลับไม่มีเสียงร้องจากแม่วัว

การศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร

ครั้งหนึ่งมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย ดร. จอห์น อัลชูเลอร์ โดยการเปรียบเทียบเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัด
โดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์ (LASER SURGERY) ในวงการแพทย์ กับเนื้อเยื่อของวัวที่ตายอย่างลูกวัวของ
ทาเลียเฟอโร ซึ่งพบว่าเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์มีคาร์บอนปนเปื้อนอยู่ แต่กลับ
ไม่พบในเนื้อเยื่อของวัวที่ตายแบบเดียวกับลูกวัวของทาเลียเฟอโร ดร.อัลชูเลอร์ถึงกับกล่าวว่า ไม่รู้จริงๆ
ว่ารูที่ท้องวัวเกิดจากการตัดหรือผ่าโดยเครื่องมืออะไร


ปัจจุบันมีทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้อยู่ 3 ทฤษฎี  โดยมีดังต่อไปนี้



ทฤษฎีแรก
อธิบายว่าเกิดจากการทดลองอาวุธชีวภาพของรัฐบาล เหตุผลที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือ มีผู้เห็นเฮลิคอปเตอร์สีดำ
บินอยู่เหนือท้องทุ่งในยามค่ำคืน และรุ่งเช้าก็จะพบซากวัว แต่ทฤษฎีนี้แทบจะหาหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนได้เลย


แต่ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริง หัวขโมยจะต้องมีความชำนาญในเรื่องสรีระของสัตว์เป็นพิเศษ สัตว์บางตัวถูกตัดอวัยวะ
ที่ลึกลงไปถึง 18 นิ้วได้ โดยไม่มีรอยแผลเหวอะหวะแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผู้ที่เข้าไปสอบสวน รวมทั้งแพทย์
ต่างลงความเห็นว่า แผลที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดโดยการใช้แสงเลเซอร์ผ่าตัดก็เป็นได้

นอกเหนือไปจากรอยแผลที่ชวนให้สงสัยแล้ว สิ่งที่ก่อความงุนงงให้กับตำรวจและเจ้าของไร่ที่สุดคือ ไม่มีรอยเท้า
ของสัตว์เลียงหรือหัวขโมย ไม่มีรอยเลือดหยดเป็นทางอย่างที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำ รูปการณ์ยังส่อออกมาว่า
สัตว์เหล่านี้น่าจะถูกขโมยด้วยวิธีดึงตัวให้ลอยขึ้นสู่ที่สูง หลังจากชำแหละชิ้นส่วนที่ต้องการเสร็จ ซากของสัตว์
จะถูกทิ้งลงมาจากอากาศ เพราะหลายต่อหลายตัวกระดูกหัก ชำใน อันเป็นร่องรอยของการถูกทิ้งลงมาจากที่สูง
พื้นดินก็มีรอยบุ๋มอย่างชัดเจนเสียด้วยสิ



ทฤษฎีที่สอง
เกิดจากฝีมือของสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า "ชูพาคาบรา" (Chupacabra ) ซึ่งแปลว่า "ปีศาจดูดเลือด" มีรายงาน
การพบเห็นชูพาคาบราในแถบแคริเบียนและอีกหลายประเทศในอเมริกาใต้แม้กระทั่งที่ฟลอริดาในอเมริกาด้วย
โดยเฉพาะในเปอร์โตริโก ไก่และกระต่ายในฟาร์มต่างๆ ตายนับพันตัวโดยมีรูที่ลำตัวเหมือนถูกเจาะ


ผู้พบเห็นชูพาคาบราบรรยายว่า มันสูง 4 ฟุต ผิวหนังสีเทา ดวงตาแดง มีขาคล้ายจิงโจ้ และมีเดือยแหลมที่หลัง
ผู้พบเห็นบางคนรายงานว่า มันมีปีกและบินได้ด้วย

ทฤษฎีนี้อธิบายว่า "ชูพาคาบรา" จะออกล่าเหยื่อตามฟาร์มในยามค่ำคืน มันจะจัดการกับเหยื่อด้วยการดูดเลือด
และบางครั้งจะนำอวัยวะภายในออกไปกินที่อื่น บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ทดลองของรัฐบาล แต่บางคนเชื่อว่ามันเป็น
สัตว์ของมนุษย์ต่างดาว ที่นำมาปล่อยทิ้งไว้บนโลก  มีคนเชื่อทฤษฎีนี้มากเหมือนกัน แต่หลักฐานซากสัตว์ประหลาด
ที่ เดวิน แม็คแอนนาลี ยิงตายที่ฟาร์มไก่ของเขาที่เมืองพอลล็อค รัฐเท็กซัส เมื่อ วันที่ 14 ตุลาคม 2004 เป็นสัตว์
ที่คล้ายสุนัขจิ้งจอก สีน้ำเงินปนเทา ซึ่งไม่น่าจะมีพิษสงถึงขนาดฆ่าวัวได้ ทำให้ทฤษฎีนี้มีจุดอ่อน



ทฤษฎีที่สาม
อธิบายว่า เกิดจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ยูเอฟโอจะบินมาลอยอยู่เหนือท้องทุ่งแล้วปล่อยลำแสงยกวัวเข้าไป
ภายในยาน หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวจะทำการชำแหละวัวเพื่อศึกษาอวัยวะต่างๆ


นักจานผีวิทยาและผู้เชี่ยวชาญบางท่านกล่าวว่า สัตว์เหล่านี้อาจถูกลักพาและผ่าตัดโดยมนุษย์ต่างดาว เพราะย่าน
ที่มีคดีนี้ครึกโครมอยู่บ่อยๆนั้น บรรดาชาวไร่และเจ้าของปศุสัตว์ต่างพากันมองเห็น แวงประหลาดสีส้ม มีขนาดเล็ก
กว่าจันทร์เต็มดวงครึ่งหนึ่ง ลอยเรี่ยไปตามบริเวณที่พบซากสัตว์และบริเวณคอกสัตว์ บางคนเห็นเป็นดวงไฟสีน้ำเงิน
โดยเฉพาะกลางปีที่ผ่านมานี้นะครับ ชาวไร่ทั้งหลายได้เห็นแสงไฟนี้บ่อยที่สุดจนเป็นที่รู้จักกันดี และเรียกดวงไฟ
ชนิดนั้นว่า "แม่ใหญ่" หรือ Big Mama

นอกจากนั้นบริเวณที่พบใกล้ๆ ที่พบซากสัตว์ มีร่องรอยคล้ายกับลงจอดของ"ยาน"อะไรบางอย่างอยู่แถวนั้น เช่น
รอยขาหยั่งเป็นรูปกลมๆมากมาย อนึ่งการผ่าตัดสัตว์เหล่านี้แทบจะไม่มีปัญหากับมนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นเลย
แถมน้ำหนักสัตว์ร่วม 500 กว่ากิโลในแต่ละตัว ก็สามารถยกไปได้เงียบๆโดยที่ชาวบ้านไม่รู้ ซึ่งไม่น่าจะมีมนุษย์
ที่ไหนทำได้เลยจริงไหมล่ะครับ?



ตำรวจท้องถิ่นชื่อ เบอร์นาร์ด อิเนซ ผู้โชกโชนในด้านสืบสวนคดีเหล่านี้กล่าวว่า ปกติแล้ว เข้าไม่เคยพบรอยเท้า
มนุษย์หรือรอยอย่างอื่นในรัศมีร้อยเมตรรอบซากสัตว์ นอกจากรอยลงจอดดังกล่าว ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ
ในหลายรายที่พบซากใกล้ป่าละเมาะ บรรดากิ่งไม้ ยอดไม้ของพืชที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็หักกระจัดกระจาย เป็นพยาน
ตอบรับได้ดีว่า มันหักเพราะซากสัตว์ถูกทิ้งลงมาจากที่สูง เข้ากันดีกับรอยช้ำบนตัวสัตว์เหล่านั้น


และจากการสำรวจพบว่า มีวัวตัวเมียสามตัวและลูกวัวบางตัวในวัวจำนวนร้อยๆตัวนั้น มีร่องรอยประหลาดอยู่
บนตัวมันครับ ร่องรอยดังกล่าวก็คือ วัวพวกนั้นถูกฉายรังสีที่มีคุณสมบัติเรืองแสงอยู่บนตัวของมันครับ
นักวิทยาศาสตร์บางท่านจึงได้ตัดเอาขนที่ถูกฉายรังสีเรืองแสงดังกล่าว จากขนวัวที่ผิดปกติ รวมทั้งขนวัว
ธรรมดาไปวิจัยที่ห้องทดลอง Schoenfeld เมือง Albuquerque (อัลบูเคิร์ก) ด้วยวิธีการตรวจหาเสปกตรัม
เผื่อจะได้ผลอะไรคืบหน้าขึ้นมาบ้าง

แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบดี ปรากฏว่าละแวกนั้นก็เกิดเหตุการณ์พิกลขึ้น

ในวันที่ 2 ก.ค. นายอำเภอท้องถิ่นได้รับการแจ้งความเรื่องยานประหลาดสีชมพู เขาและลูกทีมจึงรีบไปยังที่
เกิดเหตุที่ไดรับแจ้งมาทันที ฟิลิปส์ คอร์โดว่า ผู้เป็นนายอำเภอ ได้สอบถามพยานหลายครอบครัวซึ่งชุมนุม
กันอยู่บริเวณเมืองเทาส์ของเขา ได้ความมาว่า พวกเขาไปชุมนุมกันเพื่อมีปาร์ตี้เล็กๆที่บ้านของเพื่อนบ้าน
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยดีตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งตอนที่แยกย้ายกันจะกลับบ้านนั้นเอง...


... ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ทุกคนได้ยินเสียงดังแกร๊ก.. และทันใด บริเวณดังกล่าวก็สว่างจ้าไปด้วย
แสงสีส้ม จนบางคนคิดว่าเกิดไฟไหม้ที่ไหนสักแห่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองออกไปข้างนอกก็พบว่า
ต้นตอของเสียงและแสงนั้นเกิดจากยานประหลาดลำหนึ่ง รูปร่างเหมือนจานมีทรงกลม หรือส่วนโค้งเป็นโดม
เล็กๆอยู่ด้านบน มันลอยอยู่เหนือพื้นดินร้อยกว่าฟุต เหนือบ้านของชายที่ชื่อว่า เลอรอย เกรแฮม ยานลำดังกล่าว
มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 ฟุต

ขณะที่ทุกคนกำลังอ้าปากค้าง มองดูยานลำนั้นอยู่นั่นเอง เจ้ายานดังกล่าวก็ได้ลอยห่างออกไปทางทิศตะวันตก
อย่างเงียบๆและรวดเร็ว ในช่วงที่ยานลอยนิ่งอยู่นั้น มันได้ขยับผ่านรถปิคอัพของเกรแฮมครับ และมีวัตถุประหลาด
หล่นมาจากตัวยานลงบนรถปิคอัพเสียด้วย วัตถุที่ว่ามีขนาดตั้งแต่ 1/16 คูณ 3/16 นิ้ว และหนาประมาณ
กระดาษแข็งคล้ายๆสีที่แห้งแล้ว มันหล่นลงไปกองกันอยู่บนกระจกหน้ารถครับ



เกรแฮมเองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวงรัฐนิวเม็กซิโก ได้รีบไปเอาเหยือกแก้วสะอาดๆ มาเก็บเอาหลักฐาน
ชิ้นสำคัญพวกนั้นไว้ทันที เพื่อส่งไปวิเคราะห์ต่อ ยัง Lab ของหน่วยงานรัฐบาลต่อไป


แรกสุด เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการคิดว่า วัตถุพวกนั้นน่าจะเป็นวัตถุอนินทรีย์ แต่หลังจากใช้วิธีวิเคราะห์โดยละเอียด
แล้วพบว่า มีสารประกอบกว่า 20 ชนิด ที่เคยพบในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต และแน่นอนครับ ท่านไม่ได้คาดเดาผิดหรอก
มีบางอย่างครับ ที่เป็นสารชนิดเดียวกันกับที่พบบนขนของวัวที่ถูกฉายรังสี แถมเป็นสารแบบเดียวที่พบในตัวของสัตว์
ที่ถูกขโมยไปชำแหละเสียด้วยสิครับ...

ส่วนประกอบของสารที่พบนั้นก็ได้แก่โปตัสเซียม แมกนีเซียมเป็นส่วนมาก ที่เหลือก็ได้แก่ แพลตตินัม วานาเดียม
แบเรียม และสตรอนเตียม


พอมาถึงจุดนี้นักวิจัยก็สรุปออกมาว่า วัตถุดังกล่าวเป็นอินทรียสารซึ่งอาจจะมาจากเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตก็ได้.......

นักวิจัยยูเอฟโอส่วนใหญ่เชื่อทฤษฎีนี้ บางคนบอกว่าไม่เพียงแต่มนุษย์ต่างดาวจะศึกษาสัตว์โลกเพื่อวัตถุประสงค์
ทางชีววิทยาเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือการสื่อสารที่ทำให้มนุษย์รู้สึกกลัว มนุษย์ต่างดาวจงใจจะบอกกับมนุษย์ว่า
"นี่คือสิ่งที่พวกเราทำได้และไม่มีทางที่พวกคุณจะหยุดยั้งมันได้ด้วย"

ทว่าทฤษฎีนี้ก็ยังขาดหลักฐานมาสนับสนุนเช่นภาพถ่ายที่น่าเชื่อถือ แม้ว่าจะมีรายงานการกล่าวอ้างว่ามีการ
พบเห็นปรากฏการณ์แบบนี้นับสิบรายก็ตาม มันจึงเหมือนกับปรากฏการณ์ยูเอฟโออื่นๆ หรือคอร์ปเซอร์เคิล
ซึ่งว่าไปก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 พฤศจิกายน 2018, 15:04:26 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่