-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Gary Ridgway ปีศาจร้ายกลางสายน้ำเขียว  (อ่าน 1519 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18236
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Gary Ridgway ปีศาจร้ายกลางสายน้ำเขียว
« เมื่อ: 02 ตุลาคม 2015, 14:33:39 »

Gary Ridgway ปีศาจร้ายกลางสายน้ำเขียว



ในช่วงต้นยุคปี 1980 เหล่าผู้คนในเมืองซิแอตเทิลและทาโคน่า รัฐวอชิงตัน ต้องเผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
เมื่อผู้เคราะห์ร้ายมากกว่า 71 ราย ตกเป็นเหยื่อฆาตกรต่อเนื่อง นามว่า เดอะกรีนริเวอร์ และเขาคือนักฆ่าที่น่ากลัวที่สุดของฆาตกร
ต่อเนื่องสมัยใหม่ ที่น้อยคนนักจะเทียบชั้นกับเขาได้..............
 
 
แกรี่ ริดจ์เวย์ (Gary Ridgway)



วันที่ 5 พฤษภาคม 2000 ศาลในซีแอตเติล ประเทศอเมริกา แกรี่ ริดจ์เวย์ ช่างทาสีรถบรรทุกวัย  54 ปี ยอมรับสารภาพต่อศาล
ว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่สันนิษฐานว่าฆ่าเหยื่อมากกว่า 70 ราย (อาจมากกว่า 90 ราย) ระหว่างปี 1981 – 1998 ก่อนที่จะถูกจับกุม
ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2001) ส่วนมากเหยื่อจะถูกฆ่ารัดคอและนำไปทิ้งแม่น้ำกรีน  เมืองซีแอตเติลของรัฐวอชิงตันเมื่อปี 1982
อันกลายเป็นที่มาของชื่อ “เดอะกรีนริเวอร์” หรือ "ฆาตกรแม่น้ำกรีน" ที่ชาวอเมริกันทั่วประเทศ ต่างไม่เชื่อว่าชายที่ดูสุภาพเรียบร้อย
จะเป็นฆาตกรสุดโหดนี้ได้


"ผมเลือกหิ้วโสเภณีมาเป็นเหยื่อเพราะผมเกลียดโสเภณีที่สุด   และไม่ต้องการจ่ายเงินค่าหลับนอนด้วย   ผมเลือกโสเภณีเพราะผมรู้ว่า
คนพวกนี้จะไม่มีใครแจ้งว่าสูญหายปุบปับ...ผมเลือกโสเภณีเพราะผมชอบที่ผมสามารถฆ่าได้มากคนเท่าที่ต้องการโดยไม่ถูกจับกุม" 

 
จากนั้นเขาบรรยายขั้นตอนการเลือกเหยื่อเฉพาะที่เป็นหญิงขายบริการ   จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมให้ติดตามเขาไปโดยใช้รูปถ่ายของลูกชาย
เรียกร้องความสนใจเพื่อหลอกล่อให้เหยื่อตายใจ   จากนั้นก็หลับนอนด้วยก่อนจะแอบรัดคอเหยื่อด้านหลังจนขาดอากาศหายใจตาย 
การฆาตกรรมส่วนใหญ่มีขึ้นในบ้านหรือบนรถบรรทุกของเขา  ริดจ์เวย์รับว่าเหยื่ออย่างน้อย 10  คนหลังจากตายแล้วเขายังเก็บศพไว้
บำเรอกามอยู่หลายวันก่อนจะกำจัดด้วยการเอาไปทิ้งแม่น้ำหรือป่ารก ซึ่งบางครั้งศพอาจอยู่ในสภาพเปลือยและถูกตัดชิ้นส่วน

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2001 ในขณะที่ริดจ์เวย์ขับรถบรรทุกออกจากบ้านที่เรนตัน วอชิวตันเขาก็ถูกจับในข้อหาฆ่าผู้หญิง 3 คน
ซึ่งเชื่อมโยงมาถึงตัวเขาจากการตรวจดีเอ็นเอ  ซึ่งต่อมาเขาก็รับสารภาพจากการต่อรองในชั้นศาลเพื่อหนีตจากโทษประหารเหลือเพียง
จำคุกตลอดชีวิตและไม่มีทัณฑ์บน

ขณะที่ทนายของจำเลยร้องขอความเห็นใจให้กับลูกความ  โดยอ้างว่าเขาสะอื้นไห้รับสารภาพกับตนด้วยความสำนึกผิดและโทษว่า
ความบ้าคลั่งของเขาเป็นผลจากการติดเหล้าติดยา แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าริดจ์เวย์ถูกกดดันจากตัณหาและความโกรธที่ฝังลึกมาแต่วัยเด็ก
 
แกรี่ ริดจ์เวย์ มีชื่อเต็มว่า แกรี่ ลีออน  ริดจ์เวย์ ถือกำเนิดที่เมืองซอลต์เลก รัฐยูทาห์ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1949  เขาเป็นบุตรคนกลาง
ของลูกสองคนในครอบครัว และต่อมาก็ย้ายบ้านไปวอชิงตัน แม้ภายนอกเขาจะเป็นคนตัวใหญ่ 5.10 ฟุต สูง 155 กิโลกรัม แต่หลายคน
บอกว่าเขาเป็นคนดี พิถีพิถัน เขาเป็นคนพูดสนุกแต่ไม่คุยพูดเกี่ยวกับตัวเองมากนัก แต่กระนั้นก็เป็นคนมีอัธยาศัยดี เอาใจใส่ เป็นมิตร
แก่คนรอบข้าง ชอบสร้างความสนุกสนานแก่ทุกคน

ริดจ์เวย์มีงานอดิเรกที่อบตกปลา หรือล่าสัตว์ ว่างๆก็ตัดต้นไม้ ว่างๆ เขาก็อ่านพระคัมภีร์ ทำให้หัวข้อคุยมักเกี่ยวข้องกับศาสนา
และช่วยช่วยเหลือผู้คน โดยภรรยาคนที่สองของเขาเคยให้การว่า

“เขามักจะนั่งดูทีวีและเปิดพระคัมภีร์ที่วางบนตักของเขา และบ่อยครั้งเขาจะร้องไห้ระหว่างฟังธรรมในโบสถ์อยู่บ่อยๆ”

อย่างไรก็ตามตามประวัติชีวิตวัยเด็กของริดจ์เวย์เขาเป็นเด็กทั้งชีวิตเกลียดชังผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นแม่หรือภรรยา โดยตอนเด็กเขาถูกเลี้ยงดู
โดยแม่ที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน เขามักเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงหลายครั้ง ชอบฝันเปียก และเมื่อแม่เขามาเห็นมักอาบน้ำให้เขาทันที
พร้อมพูดจาดูถูก ยิ่งเมื่อเขาโตขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งมีความรู้สึกขัดแย้งกับแม่และกลายเป็นความโกรธแค้นที่มีต่อเธอ

ริดจ์เวย์มีทุกข์ทรมานจากไอคิวต่ำค่าเฉลี่ยเพียง 82 อีกทั้งยังมีความบกพร่องการอ่านและการเรียนรู้ ทำให้มีสติปัญญาต่ำ อย่างไรก็ตาม
การเรียนของเขานั้นนับว่าทำได้ดีแม้ว่าจะมีการซ้ำซั้นปีถึงสองครั้งแต่เขาก็เรียนผ่าน ส่วนเพื่อนในห้องการต่างบอกว่าเขาเป็นคนพูดจาถูกคอ
เข้ากันได้ดีกับคนอื่น แต่กะนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาอายุ 16 เขาเคยล่อเด็กอายุ 6 ปีเข้าในป่า จากนั้นก็แทงเข้าซี่โครงและตับ
และเมื่อริดจ์เวย์แทงเขาเสร็จ เขาก็หัวเราะและเดินจากไป แต่กระนั้นชคยังดีเด็กคนดังกล่าวสามารถรอดชีวิตมาได้

 
   
ริดจ์เวย์และภรรยาจูดิธ


 
ในปี 1969 ในขณะที่ริดจ์เวย์อายุ 20 ปี เขาได้จบจากโรงเรียนมัธยมและไม่ต่อมามหาลัย เขาตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเรือ นอกจากนี้
เขายังแต่งงานกับคลาวเดีย แบร์โรวส์แฟนคนแรกซึ่งรู้จักกันในสมัยเรียนมัธยม ก่อนที่จะส่งไปยังประเทศเวียดนามซึ่งตอนนั้นเกิดสงครามเวียดนาม 
เขาทำงานอยู่บนเรือส่งเสบียงได้เห็นการต่อสู้ความเป็นความตายมากมาย และในช่วงเวลาที่เขาเป็นทหารในเวียดนามเขาก็ใช้เวลาว่าง
ในการซื้อบริการทางเพศโสเภณีจนเป็นโรคหนองใน เป็นเหตุทำให้เขาโกรธแค้นโสเภณีมาก แต่เขายังไม่หยุดที่จะมีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี
และในเวลาต่อมาเขาก็หย่าขาดกับคลาวเดียเพียงแค่ปีเดียวหลังแต่งงาน


ในปี 1973 ริดจ์เวย์แต่งงานกับมาร์เซีย วินสโลว์และมีลูกชายกับเขาหนึ่งคน ระหว่างแต่งงานเขากลายเป็นคนบ้าคลั่งศาสนา จงรักภักดีต่อศาสนา
บ่อยครั้งเขามักร้องไห้ในขณะสวดมนต์และอ่านคัมภีร์ไบเบิล และอยากให้ภรรยาปฏิบัติตามคำสอนในพระคัมภีร์ แต่กระนั้นเขายังเป็นกระหายเซ็ก
ไม่รู้จักพอเช่นเดิม มาร์เซียต้องมีเพศสัมพันธ์กับริดจ์เวย์หลายครั้งต่อวัน บางครั้งเขายังต้องการมีเพศสัมพันธ์ในที่สาธารณะหรือในป่า หากภรรยา
ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการเขาได้ เขาจะชอบใช้บริการโสเภณีเพื่อมีเซ็กซ์ ทำให้เขาความรักและความเกลียดชังโสเภณีในขณะเดียวกัน

ต่อมามาร์เซียประสบปัญหาน้ำหนักตัว ทำให้ถึงขั้นต้องผ่าตัดกระเพาะอาหาร ในปี 1970 เพราะสูญเสียน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้มาร์เซีย
มีปัญหากับริดส์เวย์จนถึงขั้นใช้กำลัง ในช่วงเวลาดังกล่าวแม่ของริดส์เวย์เข้ามายุ่งกับชีวิตของคนทั้งคู่ พยายามจะถือครองสิทธิการเลี้ยงดูลูกชาย
อ้างว่ามาร์เซียไม่ดูแลหลานของเธอดีพอ ส่วนริดส์เวย์เองไม่สามารถปกป้องเธอได้เพราะแม่มีอำนาจเหนือตน ผลสุดท้ายริดส์เวย์และมาร์เซีย
ก็ยุติความสัมพันธ์ลงหลังการแต่งงาน 7 ปี

หลังจากออกเดทกับผู้หญิงมากมายหลายตา ริดส์เวย์ก็ได้พบจูดิธ มอร์สันภรรยาคนที่ 3 ของเขา ในปี 1985 ตอนที่พบครั้งแรกจูดิธดูริดส์เวย์
ภายนอกว่าเป็นคนอ่อนโยนและมีความรับผิดชอบ เธอชื่นชมเขาว่าน่าจะเป็นคู่รักสมบูรณ์แบบ และในช่วงเวลานั่นเองนักฆ่าเดอะกรีนริเวอร์
ก็ได้เริ่มออกอาละวาดฆ่าคนอย่างเงียบๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
 

 
การพบศพเว็นดี้ ลี คอฟฟิลด์



 
ไม่มีใครทราบว่าริดจ์เวย์ฆ่าคนเมื่อไหร่ ฆ่าไปกี่คน แต่จากการให้การสัมภาษณ์เชื่อว่าเขาจะเริ่มฆ่าเหยื่อในปี 1982 และ 1984 ตลอดทศวรรษ
ที่ 1980 และ 1990 มีการฆาตกรรมอย่างน้อย 71 คน ในซีแอตที และทาโคมา วอชิงตัน ส่วนใหญ่เหยื่อจะเป็นผู้หญิงหรือไม่ก็คนหลบหนีเข้าเมือง
โดยเขามักจะใช้วิธีฆ่ารัดคอและนำร่างกายของพวกเขาไปทิ้งที่พื้นที่ป่ารอบๆ แม่น้ำกรีนริเวอร์ และบางครั้งก็นำไปทิ้งนอกพื้นที่โดยมีสองศพที่
ยืนยันว่าเป็นฝีมือของเขาถูกพบในพอร์ตแลนด์ ศพถูกทิ้งส่วนมากมักอยู่ในสภาพเปลือย และบางครั้งเขาก็มีเพศสัมพันธ์กลับศพเหยื่ออีกรอบ
และสาเหตุที่ทำให้ริดจ์เวย์อยู่รอดมานานหลายทศตวรรษเนื่องจากร่างกายเหยื่อส่วนใหญ่มักถูกพบในสภาพเหลือแต่โครงกระดูก และไม่ปรากฏ
หลักฐานที่จะสื่อถึงตัวรอดจ์เวย์แต่อย่างใด แม้ว่าจะริดจ์เวย์ไอคิวต่ำ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขารู้วิธีที่จะเอาตัวรอด และเทคนิคในการฆ่าเหยื่อ
ไม่ให้ตำรวจจับได้ จากสภาพศพมีร่องรอยการตัดเล็บศพ เพื่อป้องกันตัวอย่างดีเอ็นเอที่ติดบนเล็บผู้ตายในขณะดิ้นรนต่อสู้ขัดขื่นเขา
หลักฐานส่วนใหญ่ที่พบที่เป็นบุหรี่ และวัสดุที่เป็นลายลักษณ์อักษรล้วนเป็นของคนอื่นซึ่งเป็นหลักฐานที่สร้างความสับสนแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า
อีกทั้งช่วงที่เขาฆ่าผู้หญิงอยู่นั้น เขาทำงานเป็นลูกจ้างทาสีรถบรรทุกในเรนตัน วอชิงตัน ซึ่งมีผลให้เขามีรถขับในช่วงนั้นหลายคัน หลายยี่ห้อ
ทำให้ยากที่จะระบุรถของผู้สงสัยที่เด่นชัดได้

ริดจ์เวย์เริ่มทำการฆาตกรรมโดยเริ่มจากเหย่อผู้หญิงที่ทำอาชีพเป็นโสเภณีเป็นหลัก โดยโสเภณีที่เขาเลือกส่วนมากจะขาบบริการเทศตามทางหลวง
แปซิฟิก สำหรับอาชีพโสเภณีในอเมริกาแล้วถือว่าเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกฆาตกรรมมากที่สุด นอกจากนั้นยังเป็นเหยื่อที่สังคมไม่ได้ให้ความ
สนใจมากนัก ว่าเธอจะอยู่หรือตาย  ในการล่อเหยื่อแต่ละครั้งของริดจ์เวย์ เขาจะทำตัวเป็นลูกค้าที่ท่าสนใจมาซื้อบริการโสเภณีเพื่อมีเพศสัมพันธ์
บางครั้งเขาก็เอารูปลูกชายของเขาให้พวกเธอดู เพื่อให้เกิดความเชื่อใจ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนดีไม่มีทางที่จะเป็นฆาตกรใจโหดฆ่าคนได้
และในขณะที่เขามีเพศสัมพันธ์กับโสเภณีเขาจะรัดคอจากด้านหลังของเหยื่อด้วยมือของตนเอง อย่างไรก็ตามจากการชันสูตรศพก็พบว่าเหยื่อ
จำนวนมากมีบาดแผลและรอยช้ำที่แขนแสดงให้เห็นว่าเหยื่อก็พยายามปกป้องตัวเองสุดฤทธิ์ และนั่นเองที่ทำให้ริดจ์เวย์เริ่มตะหนักถึงวิธีฆ่าของเขา
อยู่บ้างเพราะมันไม่รัดกุมมากเกินไป ส่งผลทำให้ช่วงหลังเขาเริ่มใช้อุปกรณ์ จำพวกผ้าหรือเชือกเพื่อให้ฆ่ารัดคอเหยื่อมากขึ้น และเหยื่อส่วนใหญ่
มักถูกฆ่าที่บ้านของเขาเอง รถบรรทุกของเขา หรือพื้นที่ที่เงียบสงบ



เรื่องราวของเดอะ  กรีน รีเวอร์ ได้เริ่มต้นเมื่อเดือน 8 กรกฎาคม 1982 เมื่อร่างกายของผู้หญิงคนหนึ่งถูกพบ
ในสภาพศพลอยน้ำมาเหมือนหุ่นชำรุด ในแม่น้ำกรีนรีเวอร์  แม่น้ำสีเขียวสายยาวถึง 65 ไมล์(105 กม.) ที่ไหลผ่านรัฐวอชิงตัน

จากการสอบสวนพบว่าศพนั่นคือ เว็นดี้ ลี คอฟฟิลด์ เป็นเด็กสาววัยรุ่นที่ริอาจทำอาชีพเป็นโสเภณีอายุ 16 ก่อนที่จะถูกฆาตกรรมโดยการถูกรัดคอ
เสียชีวิตมานานถึง 8 วัน ก่อนหน้านั้นเธอมีปัญหาชีวิตทำให้หายตัวจากบ้านก่อนถูกพบศพดังกล่าว การสืบสวนตามหาฆาตกรเต็มไปด้วยความล่าช้า
เพราะไม่พบหลักฐานใดๆ ที่เป็นประโยชน์ อย่างมากก็พบกางเกงในของเธอ ซึ่งถือว่าเป็นเหยื่อรายแรกของกรีนรีเวอร์ และด้วยสถานที่พบเหยื่อ
ครั้งแรกคือแม่น้ำสีเขียว ทำให้ได้รับฉายา เดอะ กรีน รีเวอร์ไป แม้ว่าจะมีรายงานอื่นๆ ว่าพบเหยื่อในสถานที่อื่นๆ ไม่ใช่แม่น้ำเพียงอย่างเดียวก็ตาม

 
   
เหยื่อของริดจ์เวย์


 
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการพบศพผู้หญิงมากมายในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสีเขียวจำนวนมาก วันที่ 25 กันยายน 1982 พบศพ จีเซล อายุ 17 ปี
ลอยตามน้ำ (ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1982) ต่อมาในวันที่ 12 สิงหาคม พนักงานบริษัทบรรจุเนื้อสัตว์เห็นบางสิ่งบางอย่างลอยตามน้ำ
ซึ่งมันก็คือร่างกายของ เดบอราห์ บอนเนอร์ อายุ 23 ปีถูกรัดคอเสียชีวิต( ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 1982) ลอยตามน้ำมาเหมือนหมาเน่า
ก็ไม่ปาน


วันที่ 15 สิงหาคม มีการพบศพโสเภณีสามคนในพื้นทีเดียวกัน เมื่อ โรเบิร์ต ไอน์สเวิร์ท วัย 41 ปี กำลังเดินทางท่องแม่น้ำเขียวที่พาดผ่านบริเวณขอบ
เมืองซีแอตเติลด้วยแพยาง ในขณะนั้นเองเขาสังเกตเห็นชายสองคนอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าถูกจ้องเขม็งจากสายตาคู่หนึ่งจากวัตถุ
ที่ลอยน้ำมา คล้ายกับหุ่นผู้หญิงวัยรุ่นผิวดำสำหรับลองผ้า จ้องเขม็งมาทางเขา จนไอน์สเวิร์ทเกิดความสนใจ จึงเอาไม้เขี่ยดู ทันใดนั้นแพยางเขาก็คว่ำลง
เขาจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช้หุ่น แต่เป็นศพ ศพผู้หญิง และหลังจากนั้นก็มีอีกศพลอยตามมา ไอน์สเวิร์ทรีบว่ายน้ำเข้าฝั่งทันที  และขอร้องให้คนขี่
จักรยานผ่านมาแจ้งตำรวจ พอตำรวจมาถึงและสอบถามเรื่องราวจากเขาเรียบร้อยจึงเรียกกำลังมาสมทบเมื่อกำลังสมทบมาถึงก็ทำการปิดกั้นบริเวณ
ที่ค้นพบศพ  เพื่อค้นหาศพผู้หญิงผิวดำสองคนนั้น แต่แทนที่จะพบสองศพดังกล่าวกับพบอีกศพหนึ่ง!  เป็นศพสาวผิวขาวอยู่บนผืนหญ้าริมฝั่งห่างจาก
ศพแรกแค่ 30 ฟุตโดยศพนั้นเป็นเด็กสาวเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ เธอถูกรัดคอด้วยกางเกงยืดชั้นในสีฟ้าของผู้ชาย บนร่างมีร่องรอยต่อสู้
จากการสอบสวนทราบชื่อภายหลังว่าคือ โอปาล มิลส์ อายุ 16 ปี (ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 1982)

หลังการชันสูตรทั้งหมด ระบุว่า ทั้งสามเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ส่วนชื่อสาวผิวดำสองคนนั้น จากการสอบสวนจึงทราบว่า ชื่อมาเซีย แช็ปแมน
วัย 31 ปี (ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 1สิงหาคม 1982) และ ซินเธีย ไฮนด์ วัย 17 ปี (ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1982) ทั้งสองมีหินรูปร่างเหมือนพีระมิด
อยู่ในช่องคลอด และทั้งคู่ถูกถ่วงด้วยหินลงสู่แม่น้ำ


จากการพบศพทั้งสามนั้น ตำรวจเชื่อว่าอาจเป็นฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน และตรวจสอบบันทึกการพบศพในเขตลุ่มแม่น้ำเขียว รัฐวอชิงตัน ตำรวจต้อง
ผงะเพราะก่อนหน้าพบศพทั้งสามยังมีศพอีกหลายรายที่พบบริเวณลุ่มแม่น้ำเขียวเช่นกัน และหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการสืบสวนคดีลุ่มน้ำสีเขียวอย่างจริงจัง

ในช่วงเวลาดังกล่าวริดจ์เวย์กลายเป็นลูกค้าขาประจำที่โสเภณีแถวทางหลวงแปซิฟิกรู้จักกันดี โดยถนนดังกล่าวเป็นเต็มไปด้วยบาร์, คลับ เรือ และ
โสเภณีที่ออกมาหารู้ค้าเป็นจำนวนมาก ในช่วงฝนตกพวกเธอมักพักอาศัยในรถบัสหรือร้านสะดวกซื้อ ซึ่งริดส์เวย์ได้จับรถถรนนตามเส้นทางดังกล่าว
บ่อยครั้งหลังจากกลับจากทำงาน เขามักจะล่องเรืออย่างช้าๆ โดยจะมีอยู่หญิงที่หา ตามสถานที่ดังกล่าวติดมือไปด้วย  โดยโสเภณีที่ริดจ์เวย์เลือก
ไม่รู้เลยว่าอีกจะกลายหนึ่งในเหยื่อของเขาสในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

เมื่อรู้ว่ามีฆาตกรต่อเนื่องเกิดขึ้น รัฐบาลรัฐวอชิงตันก็รีบจัดตั้งกองกำลังตำรวจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาของเขตคิงหรืออาจมากที่สุดในโลกด้วยซ้ำ
(มากกว่าของเท็ด บันดี) เพื่อล่านักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียว  โดยมีผู้พันริชาร์ด คราสเค หัวหน้าแผนกอาชญากรรม และนักสืบเดฟ ไรเชิร์ต เป็นผู้นำทีม
พวกเขาขอความสนับสนุนจากนักสืบที่ชำนาญเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอีกหลายคนจากเอฟบีไอ(นั้นจำนวนนั้นมี จอห์น ดักลาส และบ็อบ เคบเพล
ผู้ประสบผลสำเร็จในการตามล่าเท็ด บันดี เมื่อ 8 ปี ที่แล้วด้วย) โดยมีการตรวจสอบคดีฆาตกรรมและรายชื่อผู้ต้องสงสัยเท่าที่สืบค้นได้ รวมไปถึงการ
นำดีเอ็นเอและระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยเหลือการฆาตกรรม

ในระหว่างการสืบคดี ตำรวจพบว่าเหยื่อผู้หญิงทั้งหลายที่ถูกฆ่านั้นต่างรู้จักกัน เนื่องด้วยอาชีพเธอเป็นโสเภณี อาชีพที่ต้องพบปะพูดคุยกันเพื่อหาข่าวสาร
ตำรวจเริ่มสอบสวนโสเภณีตามท้องถนนตามที่ต่างๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง แต่โสเภณีหลายคนไม่ค่อยให้ความร่วมมือมากนัก เพราะโดยธรรมชาติแล้วโสเภณี
ไม่ค่อยถูกตำรวจ




เดือนกันยายน 1982 ถึง เมษายน 1983 มีเด็กหญิงประมาณ 14คนหายตัวไปก่อนที่จะถูกพบเป็นศพ โดยผู้หญิงส่วนมากอายุระหว่าง 15-23 ปี
และเป็นโสเภณี และส่วนใหญ่มีอาชีพเสริมเป็นนักระบำเปลือย ด้านฝ่ายตำรวจ จนบัดนี้การสืบสวนก็ยังไม่คืบหน้า การปฏิบัติการสืบสวนที่ใหญ่ที่สุด
ในประวัติศาสตร์ไม่มีประโยชน์สักนิด งบประมาณสืบสวนเพื่อตามล่าฆาตกรลุ่มแม่น้ำเขียวถูกนำมาใช้อย่างมหาศาลอย่างไม่คาดคิดมาก่อน

วันที่ 8 พฤษภาคม 1983 พบศพแครอล แอนน์ คริสเต็นเซ็น อายุ 21 ปี และในระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของปี 1983 หญิงสาวที่เป็นโสเภณี
หายไป 9 คน ฤดูร้อนก็มีการพบศพเพิ่มอีกหลายร้อยศพ ทั้งในถนนทัวลาตินตะวันตกเฉียงใต้ ใกล้สนามบินซีแท็ค สนามบินซีแท็คทางเหนือ

แม้กระทั้งฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ปี 1983 ฆาตกรก็ไม่หยุดพัก ผู้หญิงจำนวนมากหายตัวไป และมีการพบศพอีกหลายศพในบริเวณใกล้เคียง
จนตำรวจต้องขอแรงให้ลูกเสือให้ค้นหาศพที่มีมากมายในบริเวณลุ่มแม่น้ำเขียวแห่งนี้

วันที่ 13 พฤศจิกายน บริเวณสนามบินซีแท็คทางตอนใต้ ใกล้ถนน 192 ใต้ ตำรวจพบศพแมรี่ มีอาห์ และลูก แต่คราวนี้ฆาตกรมาแปลก เพราะเธอ
กับลูกถูกฝังลงบนดินทั้งร่าง ผิดจากศพอื่นๆ ที่ค้นพบล้วนแล้วถูกฝังเพียงบางส่วน หรือไม่ก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยขยะหรือใบไม้

นักวิเคราะห์ สรุปว่า ฆาตกรจะต้องเห็นผู้หญิงเป็น “ขยะมนุษย์” ไม่งั้นมันจะทิ้งศพมนุษย์เหมือนทิ้งขยะทำไมละ

ในปี 1984 การฆาตกรรมและการพบศพยังดำเนินการพบอยู่เนื่องๆ แต่เมื่อถึงเดือนสิงหาคม การฆาตกรรมก็ชะลอตัวลง โดยระหว่างเดือนตุลาคม
ถึงเดือนธันวาคม 1984 มีผู้พบศพอีก 2 ศพ และในเดือนมีนาคม 1985 มีการพบศพถูกฝังเพียงครึ่งเดียวอีก 1 ศพ

แม้ฆาตกรจะชะลอการฆ่าลง แต่การสืบสวนหาได้หยุดลงไม่ (สาเหตุที่หยุด เชื่อว่าเป็นช่วงที่ฆาตกรแต่งงานและได้รับความสุขทางเพศเพียงพอ
จนไม่ต้องออกล่าเหยื่ออีก)  พอดีช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ใกล้วันประหารฆาตกรต่อเนื่องสุดโด่งดังนามเท็ด บันดีพอดี โดยเท็ด บันดี ถูกตัดสิน
โทษประหารในคดีฆาตกรรม 30 -35 ราย หากในความจริงมีมากกว่านั้น โดยเขาเริ่มออกอาละวาด ในปี 1961-1978  โดยทำการข่มขืน
และฆาตกรรมหญิงสาวในรัฐโคโลราโด, ฟลอริดา, ยูทาห์, วอชิงตัน, โอเรกอน, ไอดาโฮ และด้วยสถิตดังกล่าวทำให้เขากลายเป็นฆาตกร
ต่อเนื่องที่น่าสะพรึ่งกลัวอีกคนของอเมริกา

เท็ด บัดดีได้ยินข่าวเกี่ยวกับเดอะ กรีน ริดเวอร์พอดีเขาเลยเสนอตัวขอช่วยเหลือตำรวจวิเคราะห์สภาพจิตฆาตกร เค็บเพลเข้าไปพบเท็ด บันดี
ในห้องขัง เพื่อตั้งคำถามให้เขาตอบ ซึ่งเท็ด บัดดีแนะว่าฆาตกรต้องรู้จักเหยื่อของเขา หรือไม่ก็มีความสัมพันธ์ฉันมิตรก่อนจะล่อลวงเหยื่อ
และเหยื่อบางส่วนที่ไม่มีการพบอาจถูกนำไปฝังในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสีเขียว และจุดเหตุใกล้บ้านตัวของฆาตกรเอง
แม้ว่าตำรวจจะพบว่าข้อมูลที่เท็ด บัดดีแนะนำจะน่าสนใจ หากแต่มันก็ไม่ได้การสืบสวนให้รุดหน้าขึ้น

 
 
แกรี่ ริดจ์เวย์


 
ในระหว่างปี 1986 กองกำลังตำรวจชุดไล่ล่านักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียวถูกสื่อลงความเห็นว่าขาดประสิทธิภาพ เพราะผู้ต้องสงสัยในคดีถูกปล่อยทุกราย
สื่อมวลชนตั้งฉายากองนี้ว่า “ตัวตลก”


ปลายปี 1986 เจ้าหน้าที่กองกำลังฯ ถูกลดจำนวนลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์  การสืบสวนก็เริ่มอ่อนลง จนคดีนักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียวถูกลืมไปตามกาลเวลา
คดีนี้เก็บเข้ากรุมานานถึง 20 ปี เต็มๆ คนอื่นแทบจะลืมเลือนกันแล้ว ถ้านักสืบไรเชิร์ตที่ตอนนี้ได้ดีเป็นนายอำเภอเขตคิง (เริ่มสนใจคดีนี้เมื่อ
เดือนเมษายน ปี 2001) แต่ยังไม่ลืมความผิดพลาดในอดีต จึงได้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ ไรเชิร์ดจัดทีมล่าเพิ่มปริมาณเป็น 30 คน คราวนี้ได้เพิ่ม
เทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ในเรื่องการพิสูจน์ดีเอ็นเอ นิติเวช เข้าไปด้วย


หลักฐานที่เก็บรวบรวมในปี 1987 ทุกชิ้นเกี่ยวกับฆาตกรถูกนำไปตรวจสอบในห้องแล็ปใหม่อีกครั้ง ตำรวจนำตัวอย่างน้ำกามที่พบในตัวศพเหยื่อที่ถูกฆ่า
เข้าไปตรวจพร้อมกับน้ำกามที่เก็บจากผู้ต้องสงสัยมาตรวจสอบด้วย

ด้วยการตรวจ วิเคราะห์ นิติเวชสมัยใหม่ ในวันที่ 10 กันยายน 2001 ตำรวจได้ข่าวดีที่น้ำกามที่พบในศพนั้นเข้ากับตัวอย่างที่เก็บจากผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง
ผู้ต้องสงสัยคนนั้นชื่อ แกรี่ ริดจ์เวย์

ความจริง ริดจ์เวย์ ไม่ใช้ผู้ต้องสงสัยใหม่แต่อย่างใด ชื่อของเขาอยู่ในบัญชีผู้ต้องสงสัย มาตั้งแต่ก่อนเกิดคดีนักฆ่าลุ่มแม่น้ำสีเขียวเสียด้วยซ้ำ
เมื่อปี 1980 เขามีประวัติรัดคอโสเภณีไม่ทราบชื่อคนหนึ่ง บริเวณสนามบินซีแท็ค แต่คราวนั้นเขาอ้างว่าถูกผู้หญิงกัด เขาทำเพื่อป้องกันเขาทำ
เพื่อป้องกันตัว จึงได้รับการปล่อยตัวออกมา


ปี 1932 แกรี่ ริดจ์เวย์ถูกตำรวจด่านสกัดขณะขับรถพาโสเภณีไปในรถบรรทุก แต่ก็ถูกปล่อยตัวไปอีกครั้ง แต่ภายหลังสืบได้ว่าโสเภณีดังกล่าว
ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องกรีน ริเวอร์ เหมือนกัน

ปี 1983 (ปีที่เกิดคดีแรก) ชื่อของ แกรี่ ริดจ์เวย์ ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ โดยเขาเกี่ยวข้องกับการหายตัวของแมรี่ มอลเวอร์ หนึ่งในเหยื่อของ
กรีน ริเวอร์ เมื่อเพื่อนชายของมอลเวอร์ให้การว่า คืนที่เธอหายไปมีชายในรถบรรทุกสีเข้มเป็นแขกของเธอ เขารู้สึกว่าชายคนนี้น่าสงสัย เขาลองขับ
รถบรรทุกนั้นไป แต่คาดสายตา และตอนเช้าจึงรู้ข่าวเรื่องมอลเวอร์หายตัวไปพร้อมกับเจอรถบรรทุกว่างเปล่า เขาจึงโทรเรียกตำรวจ แต่ในขณะนั้น
ตำรวจไม่มีหลักฐานเอาผิดกับริดจ์เวย์มากนัก อย่างมากก็แค่สอบสวนพอเป็นพิธี เสร็จแล้วก็ปล่อยริดจ์เวย์กลับบ้าน


 
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2001 ริดจ์เวย์ ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพนักงานช่างทาสีสเปรย์บริษัทเคนเวอร์ด ถูกตำรวจสกัดจับเอาไว้ในขณะที่เขาขับรถบรรทุก
และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมผู้หญิง 4 ราย ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จากการตรวจสอบดีเอ็นเอจากน้ำอสุจิและสีสเปรย์ที่พบบนตัวศพก็ล้วนเชื่องโยงมาถึงเขา

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2003 มีข่าวรายงานว่าริดจ์เวย์ได้ย้ายออกจากเรือนจำที่มีการรักษาความปลอดภัยที่สุดในเคาน์ตี้ไปยังสถานที่ลับ
ที่ไม่เปิดเผย สันนิษฐานว่าเขาพยายามต่อรองในชั้นศาลเพื่อแรกกับการลดโทษไม่ให้ถูกประหารชีวิต  เนื่องจากเขารู้ดีจากความผิดที่เขาก่อว่า
จะต้องโดนโทษประหารแน่นอน ดังนั้นเพื่อเอาตัวรอดจึงใช้วิธีการดังกล่าว โดยมีข้อตกลงกับทางการว่า เขาต้องให้ความร่วมมือในการปิดคดี
ของกรีนริเวอร์โดยปราศจากทัณฑ์บน


 วันที่ 5 พฤศจิกายน 2003 แกรี่ ริดจ์เวย์ วัย 54 ปี ยอมรับสารภาพเพื่อหลีกเลี่ยงโทษประหาร และเขาได้สารภาพจำนวนเหยื่อประมาณ 48 ราย
(ความจริงมากกว่านั้น) พร้อมบอกรายละเอียดการฆาตกรรมต่างๆ  และให้ความร่วมมือระบุตำแหน่งศพที่ยังไม่ถูกค้นพบ  ตั้งแต่ปี 1982-1984
ในวอชิงตัน

“ผมฆ่าโสเภณีก็เพราะผมคิดว่าผมสามารถฆ่าเท่าที่ผมจะฆ่าได้โดยไม่ถูกจับ”
“ผมเกลียดโสเภณีมาก ผมไม่อยากจ่ายเงินเพราะมีเซ็กซ์กับหล่อน”
ริดจ์เวย์กล่าว
“ผมเลือกเฉพาะโสเภณีที่เป็นเหยื่อก็เพราะพวกเธอไปด้วยได้ง่าย โดยไม่มีใครสังเกตเห็น และเป็นง่ายที่ไม่มีใครสนใจว่าพวกเธอหายตัวไป”

ถึงแม้ริดจ์เวย์จะสารภาพว่าเขาสังหารผู้หญิงไปทั้งหมด 48 คนแล้วก็ตาม แต่ในปี 1982-84 ตำรวจพบศพผู้หญิงเกือบเท่าจำนวนนี้ แล้วยังพบ
ศพอื่นๆ อีก หลังจาก ปี 1984 ซึ่งเกินจำนวนที่ริดจ์เวย์สารภาพ แสดงให้เห็นว่าริดจ์เวย์อาจฆ่าผู้หญิงมากกว่านั้นหรือไม่ก็มีฆาตกรลุ่มน้ำเขียวคนอื่นๆ อีก
วันที่ 18 ธันวาคม 2003 ริดจ์เวย์ถูกตัดสินจำคุก 480 ปี (หากแต่มีโอกาสลดโทษภายหลัง)ในข้อหาสังหารผู้หญิง 48 คน ปัจจุบันเขายังถูกจองจำ
ในเรือนจำวอชิงตัน ในวาลลาวาลลา




หลังจากริดจ์เวย์ถูกจับกุมคนรอบข้างไม่เชื่อว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง บางคนบอกว่าเขาเป็นลูกกตัญญูต่อแม่ด้วยซ้ำ แต่ยอมรับว่าเขาถูกครอบงำ
โดยแม่ และหลังจากแม่ของเขาตายด้วยโรคมะเร็งในเดือนสิงหาคม 2001 เขาก็ได้เปลี่ยนไป เขาเริ่มสนใจเรื่องล่าสัตว์

ปัจจุบัน ก็ยังมีรายงานการพบศพในลุ่มน้ำเขียว มาเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ จักสิ้น เสมือนหนึ่งว่า นักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียวยัง อยู่ ที่นี่ ไม่ได้หายไปไหน
รวมไปถึงหลายคดีที่ไม่ทราบว่าเป็นของริดจ์เวย์หรือเปล่า แสดงให้เห็นว่าริดจ์เวย์อาจฆ่าผู้หญิงมากกว่านั้นหรือไม่ก็มีฆาตกรลุ่มน้ำเขียวคนอื่นๆ อีก

เรื่องราวของกรีน เดอะ ริเวอร์ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์คนหนึ่งของอเมริกา และถูกนำไป
ดัดแปลงเป็น สารคดี ภาพยนตร์ และเพลงมากมาย



 

อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Gary_Ridgway
http://www.trutv.com/library/crime/serial_killers/predators/greenriver/index_1.html

 
credit :: cammy@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 ตุลาคม 2015, 15:54:11 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

chicarito14

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 107
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: Gary Ridgway ปีศาจร้ายกลางสายน้ำเขียว
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2015, 01:20:28 »

น่าสนใจครับ