-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Adolfo de Jesus Constanzo & Sara María Aldrete นรกที่เม็กซิโก  (อ่าน 1755 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18237
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Adolfo de Jesus Constanzo & Sara María Aldrete นรกที่เม็กซิโก
« เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2015, 16:33:16 »

Adolfo de Jesus Constanzo & Sara María Aldrete นรกที่เม็กซิโก



ประเทศเม็กซิโก หรือชื่อทางการคือสหรัฐเม็กซิโก เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนจรดสหรัฐอเมริกาทางเหนือ
และจรดเบลีซและกัวเตมาลาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโกเป็นประเทศที่อยู่ทางเหนือสุดและตะวันตกสุดของภูมิภาค
ลาตินอเมริกา และเป็นประเทศที่มีผู้ใช้ภาษาสเปนมากที่สุดในโลกเพราะอดีตประเทศนี้เคยเป็นอาณานิคมของสเปน


พูดถึงเม็กซิโก สิ่งที่เรารู้จักเม็กซิโกกันดีในฐานะเมืองที่อันตรายอันดับต้นๆ ของโลกภาพลักษณ์ของเม็กซิโกที่มีความดิบเถื่อน
คดีอาชญากรรมเกิดขึ้นทุกๆ วัน ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจของเม็กซิโกไม่สู้จะดีนัก ทำให้เกิดความเฐานะไม่เท่าเทียมในสังคม
จนเกิดความเลวร้ายต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นยาเสพย์ติด, โสเภณี และฆ่ากันตายรวมถึงฆาตกรรมต่อเนื่อง

เมื่อปี 1989 ได้เกิดเรื่องช็อกโลกที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและเม็กซิโกเกิดขึ้น หัวหน้าลัทธิเอลพาดริโน คอนสแตนโซได้
กระทำการฆ่าเหยื่อนักศึกษาชาวอเมริกามาร์ค คิลรอย โดย ให้สาวกออกไปสุ่มหาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย เพื่อสังเวยต่อ มนตร์ดำ
ที่มาตาโมเรส ในประเทศเม็กซิโก ปกติลัทธินี้จะมีการทรมานเหยื่อก่อนทำการฆ่าสังเวย และ ก่อนหน้านาย คิลรอย ตำรวจเชื่อว่า
มีผู้เคราะห์ร้ายมาแล้ว จำนวนมากถึง 25 ศพ และออดอลโฟ ก็รอดจากการจับกุมได้ มาตลอดเพราะเขามักเจาะจงเหยื่อที่เป็น
โสเภณี, คนไร้บ้าน, คนขายยาข้างถนน แต่เป็นเพราะการหายตัวไปของ คิลรอย ทำให้เรื่องขยายวงกว้างออกจนเรื่องราวถูก
เปิดเผยและถูก ทำการจับกุมอย่างจริงจัง ออดอลโฟ ได้พยายามหนีจาก เงื้อมมือของตำรวจได้หลายครั้งก่อนถูกจับตาย
ในอีก 2 เดือน
 
 
เอลพาดริโน คอนสแตนโซ และมาเรียอันเดรเต้
(Adolfo de Jesus Constanzo & Sara María Aldrete)


 
เอลพาดริโน คอนสแตนโซ (1 พฤศจิกายน 1962 6 พฤษภาคม 1989) เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกัน ผู้แทนจำหน่าย
ยาเสพติดและผู้นำลัทธิ เขามีฉายาที่หลากหลาย เช่น เจ้าพ่อแห่งมาทาโมรอส พ่อมดหมอผี


เรื่องราวเริ่มต้นที่เมืองมาทาโมรอสเมืองหนึ่งในเม็กซิโกซึ่งอยู่เลียบแม่น้ำริโอแกรนด์ฝั่งตรงข้ามกับรัฐเท็กซัส เป็นเมืองพวก
หนุ่มๆ สาวๆ ชาวนักศึกษาจากเท็กซัสมักจะหาโอกาสเวลาในวันหยุดข้ามสะพานมายังมาตาโมเรสเสมอ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมาก
กฎหมายของมาตาโมโรสประเทศเม็กซิโกนั้นระบุอายุขั้นต่ำของผู้ดื่มแอลกฮอล์ไว้ที่ระดับ 18 ปี เท่านั้น ในขณะที่ทุกรัฐ
ในอเมริกานั้นผู้ที่ดื่มเหล้าเบียร์ได้ต้องอายุ 21 ปีขึ้นไป ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยที่ทำไมหนุ่มสาวชาวมหาลัยเป็นพันๆ
คนต้องอาศัยในช่วงปิดภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิตข้ามแดนไปที่นั้นอย่างหนาตา


แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ในเวลาเพียง 10 อาทิตย์ก่อนเดือนมีนาคมปี 1989 นั้น มาตาโมเรสมีสถิติคนหายสาบสูญมาก
ถึง 60 ราย อย่างลับลับ และทางการเม็กซิโกไม่สามารถสิบหาได้เลยว่าคนจำนวน 60 รายหายไปไหน??

ที่มาทาโมรอสมีเกาะเย้ายวนใจเกาะหนึ่งอยู่ตรงปลายพรมแดนเท็กซัสพอดี มันมีชื่อเกาะว่าเกาะปาเดรเป็นเกาะที่มีสาวมหาลัย
ชอบมานอนอาบแดดริมชายหาดชนิด กึ่งเปลือย กันอย่างโจ่งแจ้งเป็นอาหารแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก บางทีความเย้ายวนใจเช่นนี้
กเป็นแม่เหล็กที่ทำให้ หนุ่มๆ ทั้งหลายพาไปเกาะแห่งนี้ก็ได้



มาร์ก คิลรอย นักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งแห่งมหาลัยเท็กซัส อายุ 21 ก็คือหนึ่งในนั้น โดยวันที่ 13 มีนาคม 1989 เวลานั้น
มาร์ก คิลรอย ปี และเพื่อนอีก 3 คน ที่ประกอบด้วย บิล ฮัคเดิลตัน, เบรนท์ มาร์ติน และแบรดลีย์ มัวร์ต่างมีแผนย่ำไปหา
อะไรดื่มกันที่เมืองมาทาโมรอสของเม็กซิโกในวันรุ่งขึ้น


พอเช้าวันใหม่หนุ่มสาวอเมริกันต่างใช้วันหยุดเต็มที่ ในการเที่ยว ดื่มกินอย่างมโหฬาร รวมทั้งไปเที่ยวกับสาวๆ โดยไม่มี
การจำกัดอายุต้องห้ามแต่อย่างใด และแล้วเวลานั้นก็มาถึง ตีหนึ่งบาร์ทุกบาร์ของเม็กซิโกจะปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว นักเที่ยว
สาวๆ หนุ่มๆ ต่างพากันข้ามไปอเมริกาช่วงนี้จะเป็นช่วงที่คนมากมายเรือนพันต่างเบียดเสียดยัดเยียดกันเต็มแน่นบนถนนเพื่อ
มุ่งหน้ากับอเมริกา ความหนาแน่นของผู้คนทำให้มาร์กและเพื่อนๆ ถูกคลื่นมหาชนซัดจนแตกแยกออกจากกัน และเวลานั้นเอง
ที่พวกเขาเห็นคิลรอยครั้งสุดท้าย โดยไม่มีใครรู้เลยว่าชะตากรรมหลังจากนั้นของเขาเป็นอย่างไร



ทางด้านเพื่อนๆ ของคิลรอยหลังจากรู้ว่าคิงรอยหายไปพวกเขาจึงโทรไปหาพ่อแม่ขอเขา ซึ่งครอบครัวคิลรอยเป็นผู้มีอำนาจ
ในระดับหนึ่ง และลุงของเขาก็ทำงานในกงศุลของสหรัฐฯ หลังทราบข่าวการหายตัวของคิลรอยก็พยายามระงับอารมณ์
และพากันแจ้งความกับนายอำเภอจอร์จ กาวิโต ซึ่งประจำอยู่ที่นั้น แต่นายอำเภอก็ลงความเห็นว่าบางทีมาร์กอาจจะหายไป
เพราะไปนอนกลบสาวที่ไหนก็ได้ และแล้วเรื่องก็เงียบหายไปแต่ครอบครัวของคิลรอยไม่ท้อถอยจึงมีการสืบค้นหาตัวคิลรอย
กันอย่างเข้มข้น พร้อมประกาศจะมอบเงินรางวัล 15,000 ดอลล่าร์สำหรับข้อมูลใดๆที่จะนำตัวมาร์คคิลรอยกลับมาโดยปลอดภัย
หรือจับกุมผู้ที่ลักพาตัวเขาไปได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเบาะแสใดๆมาถึงพวกเขาเสียที



 
   
สถานที่พบศพของคิลรอยและเหยื่อรายอื่นๆ


 
เรื่องราวของคิลรอยเกือบจะถูกลืมเลือนไปแล้ว จนกระทั่ง...วันที่ 9 เมษายน ได้มีการจับกุมคนค้ายาคนหนึ่งชื่อซาราฟิน เฮอร์นานเตซ
ที่พยายามแหกด่านตำรวจ ตำรวจตรวจค้นรถของเขาพบว่ามีกัญชาและโคเคนจำนวนมาก จากการสืบสวนและขยายผลเพิ่มเติม
พวกเขาได้สะกดรอยตามจนไปถึงฟาร์มกลางทุ่งเปลี่ยว และในโรงนาเก่าโทรมนั้นเอง พวกเขาก็ตรวจพบกัญชากับโคเคน
ระหว่างที่ทำการจับกุมกลุ่มคนร้าย ตำรวจยังพบหม้อซึ่งส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงวางอยู่หน้าแท่นบูชาที่เต็มไปด้วยรูปปั้นประหลาดมากมาย
ซึ่งเมื่อชะโงกดูก็พบว่าในหม้อดังกล่าวนั้นมีสมองคนกำลังต้มอยู่


คนร้ายหลายคนซึ่งอยู่ในโรงนาไม่แสดงท่าทีขัดขืนการจับกุม ซ้ำยังหัวเราะด้วยความมั่นใจว่าตำรวจไม่มีทางทำอะไรพวกเขาได้
แล้วอ้างว่าพวกตนมีเกราะเวทย์มนต์ที่จะสะท้อนกระสุนและการคุกคามใดๆที่ผู้อื่นจะทำอันตรายต่อพวกเขา

แน่นอนว่าเวทย์มนต์ไม่มีอยู่จริงในโลก ตำรวจทำการรวบตัวคนร้ายทั้งหมดในที่นั้นเอาไว้ได้ และเมื่อทำการเก็บหลักฐาน และรีดคำ
รับสารภาพจากพวกของซาราฟิน และนั้นเองที่ทำให้ตำรวจไปพบหลุมฝังศพของคิลรอย ตลอดจนเหยื่ออีก 12 ศพที่ฝังใกล้ๆ กัน
จากการตรวจสอบพบว่าหลายศพถูกยิงในระยะใกล้ หรือตอนมีดขนาดใหญ่ฟันจนกะโหลกแยกออกและสมองหายไป



ราฟาฟินได้ระบุชื่อผู้นำของพวกเขาว่าเป็นชายคนหนึ่งชื่อเอลพาดริโน คอนสแตนโซ เขาเป็นเจ้าลัทธิ ที่หลายคนเชื่อว่าเขาเป็น
จอมขมังเวทย์ที่มีเวทมนตร์ลึกลับ โดยพวกเขาถูกสั่งให้ล่าเหยื่อเพื่อนำมาฆ่าจากนั้นก็ชำแหละอวัยวะต่างๆ ใส่ในหม้อขนาดใหญ่
เพื่อประกอบพิธีกรรมตามลัทธิของพวกเขา โดยหนึ่งในเหยื่อจำนวนนั้นมีคิลรอยอยู่ด้วย โดยพวกเขาได้หลอกล้อให้เขาขึ้นรถตอนที่
เขาแยกยากเพื่อนฝูง จากนั้นสมาชิกซาตานต่างพากันเปลือยร่างรอยล้อมคิลรอยผู้น่าสงสาร พวกมันไม่ต้องการให้ชีวิตของคิลรอย
ผ่านเลยไป 13 ชั่วโมง(หลังถูกจับมา) เพราะเลข 13 ถือเป็นเลขไม่ดี ดังนั้นพวกมันจึงเร่งเรีบให้เอล พาดริโนหัวหน้าใหญ่ของพวกมัน
เร่งฆ่าเหยื่อเสียใช้มีดฟันที่หัวของคิลรอยจนเจาะลึกถึงสมองทั้งเป็น จากนั้นก็กระทำการป่าเถือนด้วยการตักมันสมองของคิลรอย
ออกจากระโหลดสดๆ แล้วนำไปใส่หมอซุบทันที พร้อมกับผ่าหน้าอกของคิลรอยและควักหัวใจใส่ลงไปในหม้อซุปขนาดใหญ่นั้นด้วย
จากนั้นก็นำซุปไปแบ่งแจกจ่ายกินแล้วสวดคาถาเฉพาะกลุ่ม ก่อนที่ร่างของคิลรอยจะถูกนำไปฝังเหมือนเหยื่อรายอื่นๆ ก่อนหน้า



 
เอลพาดริโน คอนสแตนโซ

เอลพาดริโน คอนสแตนโซ ตามประวัติของเขาแล้วเขาเป็นคนอเมริกันไม่ใช่เม็กซิโก โดยเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1962
ที่ไมอามี่ รัฐฟลอริด้า มารดาของเขาเป็นผู้ลี้ภัยจากคิวบาอพยพ เธอคลอดเขาเมื่ออายุ 16 ปี จากลูกสามคนของเธอ ยึดอาชีพ
เป็นหมอผีลัทธิวูดู ที่มีรากฐานมาจากศาสนาพาโลอัสซึ่งเป็นนิกายหนึ่งในแอฟริกากลางที่แผ่ขยายไปยังคิวบาและเปอร์นิวโก
ที่เชื่ออำนาจวิญญาณและธรรมชาติ ซึ่งเอลพาดริโนได้รับอิทธิพลนี้กับแม่โดนตรง ก่อนที่จะย้ายไปซานฮวน เปอร์โตริโก
หลังจากสามีคนแรกเสียชีวิต และครอบครัวก็กลับมายังไมอามี่อีกครั้งในปี 1972 และต่อมาพ่อเลี้ยงของเอลพาดริโนก็ตาย
ทำให้เอลพาดริโน แต่งงานกับสามีใหม่ซึ่งเป็นนายหน้าค้ายาและหมอผีเช่นเดียวกับแม่ตน



 
ด้วยอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมและความเสื่อมโทรม ความรุนแรงและยาเสพย์ติด ทำให้เอลพาดริเสียเด็ก ชอบไปสุมหัวที่บาร์เกย์
และก่อคดีอาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ เอลพาดริโนและแม่ของเขานั้นถูกจับกุมหลายครั้ง ในข้อหาอาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ
เช่นโจรกรรม ใช้ความรุนแรง ต้มตุ๋น ขโมยของเล็กๆ น้อย  เขาเรียนอยู่มัธยมแต่เธอไล่ออกจากโรงเรียน สำหรับแม่ของเขาแล้วเชื่อว่า
ลูกคนนี้มีความสามารถทางเวทมนต์คาถา โดยครั้งหนึ่งเธอได้เห็นเขาสำแดงเดชคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าในเหตุการณ์ลอย
สังหารอดีตประธานาธิบดีสหรัฐโรนัลด์ เรแกนในปี 1981 ว่าเรแกนจะรอดอย่างถูกต้องแม่นยำมาแล้ว และนั้นเองทำให้เอลพาดริโน
มุ่งเน้นเอาดีเรื่องเวทมนต์คาถา

ปี1980เอลพาดริโนไปเยือนเม็กซิโก และผันตัวเองเป็นหมอดูไพ่ทาโรต์ ครั้งแรกเขาได้คัดเลือกคนรับใช้และสาวกของเขาสองคน
ก่อนที่จะกลับไมอามี่และย้ายมาอยู่เม็กซิโกในช่วงกลางเดือน 1984 เขาเริ่มใช้วิชามนต์ดำที่เรียนรู้จากแม่ในการผูกมิตรกับคนรอบข้าง
และผันไปเป็นเจ้าลัทธิและนักค้ายาเสพติดจนมีชื่อเสียงทั่วเมือง กล่าวว่าเขาสามารถทายอนาคตและสามารถชาปแช่งศัตรูของเขา
ให้ตายด้วยมนต์ดำ รู้ค้าบางรายยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อขอให้เขาทำพิธีกรรม และยังยินดีที่จะสู้ของปลุกเสกมาไว้บูชาโดยไม่สนว่า
เป็นของหลอกลวงหลายคนต่างให้ความเคารพเขา ไม่ว่าจะเป็นคนค้ายาด้วยกัน อลังหาริมทรัพย์ แพทย์ นางแบบ นักแสดง
คนทำอาชีพไนท์คลับ หรือจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่เว้น ทั้งหมดอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา โดยเฉพาะสาวกแก๊งของเขาที่เชื่อว่า
ภายใต้การนำของเอลพาดริโนสามารถทำนายการขนส่งยาที่แม่นยำปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและด้วยความเป็นเจ้าลัทธิทำให้
ยาเสพติดของเขามีราคาแพง(เนื่องจากเขาอ้างว่าผ่านการปลุกเสก) แต่กระนั้นหลายคนก็เต็มใจที่ซื้อ


ปี 1987 เนื่องจากองค์กรค้ายามักจะมีปัญหาเรื่องเขตแดนการค้าขาย เอลพาดริโนอาศัยจังหวะนี่แยกตัวมาทำธุรกิจค้ายาด้วยตนเอง
ที่เมือง ที่องค์การต่างๆกำลังต่อสู้กันเอง แยกตัวออกมาเริ่มธุรกิจของตัวเองที่มาตาโมเรส  ลูกน้องของเขาชื่อว่าหัวหน้ามีอำนาจเวทมนต์จริง
มีพลังอำนาจที่ทำให้เป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย ร่างกายทนต่ออาวุธต่างๆ ได้ ซึ่งด้วยความเชื่อนี้ทำให้ลูกน้องของเอลพาดริโนต่างบ้าบิ่น
ไม่กลัวตายด้วยเชื่อว่าร่างกายพวกตนเป็นอมตะ และเชื่อว่าเจ้านายของตนจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของเม็กซิโกและของโลกในไม่ช้า
และในปี 1987 นี้เองที่เอลพาดริโนเริ่มฆ่าคนที่ขวางทางเขาโดยอ้างว่าเพื่อนำมาสังเวยบูชายัน

ในช่วงปี 1986 1989 เกิดคดีคนหายสาบสูญไปอย่างลึกลับใน หลายราย  ไม่ว่าจะเป็นกีเยรโม ซานเชซ ลาดาและครอบครัวหก
ชีวิตที่หายจากบ้านเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม จากการตรวจสอบตำรวจพบเทียนหลายเล่มละลายอยู่ในสำนักงายของเขาเหมือนทำ
พิธีกรรมแปลกๆ หกวันต่อมามีศพเจ็ดรายที่พบที่แม่น้ำ  Zumpango ในสาภาพบ่บอกชัดเจนเลยว่าถูกทารุณทรมานมา ไม่ว่าจะเป็น
การตัดนิ้วมือนิ้วเท้าและหูออก หัวใจและอวัยวะเพศถูกตัด สองศพสมองหายไป โดยต่อมาสาวกของเอลพริโนได้สภาพว่าในส่วนที่
หายดังกล่าวได้ถูกนำไปทำพิธีกรรมและกลายเป็นทหารในของพวกเขา โดยมีความเชื่อว่าหากกินเนื้อของศัตรูแล้วจะมีร่างกาย
ที่แข็งแกรง ซึ่งความจริงแล้วสาเหตุที่ฆ่ากีโยรโมนั้น เป็นเพราะเขาเคยเป็นหุ้นส่วนของเอลพาดริโนหากแต่ต่อมาก็ขัดแย้งเรื่องส่วน
แบ่งทำให้เอลพาดริโนโกรธแค้นและคิดหาทางกำจัดเท่านั้นเอง
 
 
มาเรีย อันเดรเต้
 
นอกเหนือจากเอลพาดริโน แล้ว อีกคนหนึ่งที่เลวร้ายพอๆ กันก็คือ มาเรีย อันเดรเต้ เธอเป็นทั้งมือขวา เลขานุการ และสาวก
ที่ซื่อสัตย์ของเอลพาดริโน ที่เธอนับถือเขาอย่างยิ่งยอด และยินดีจะทำตามคำสั่งของเขาโดยไม่สนว่ามันจะผิดหรือถูกก็ตาม
แต่ที่เหลือเชื่อก็คือตามประวัติแล้วแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะรู้จักกับเอลพาดริโนเพราะอดีตแล้วเธอเคยเป็นนักเรียนที่มีอนาคต
ไกลคนหนึ่ง




มาเรีย อันเดรเต้ เกิดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 1964 ในมาทาโมรอส ตาเมาลีปัส เม็กซิโก เธอลูกสาวของช่างไฟฟ้าเป็นสาว
ที่ค่อนข้างฉลาด เธอสูง 6 ฟุต1.85 เมตร แม้ว่าจะเกิดในเม็กซิโกแต่เธอก็ข้ามแดนเพื่อไปเรียนโรงเรียนมัธยมในบราน์ส เท็กซัส สหรัฐ
จากคำให้การของคุณครูของเธอ ได้เล่าว่าเธอเป็นดีเด่น เป็นนักเรียนดีเด็ก นอกจากนั้นเป็นดาวโรงเรียนที่หลายคนชื่นชอบ
ในปี 1983 เคยแต่งงานแต่ว่าเพียงแค่ห้าเดือนก็หย่าร้าง ปลายปี 1985 เธอได้รับสถานะคนต่างด้าวที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยในสหรัฐ
ต่อมาเธอก็เธอเข้ามหาลัยเท็กซัสเซ้าท์โมสท์ เรียนเอกพลศึกษา เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงที่แข็งแรง ร่างกายสูงมากกว่าผู้หญิงทั่วๆไป
ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอกลายเป็นนักเรียนทุนได้อย่างสบาย และบางทีเธออาจเป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตสงบสุขทั่วๆ ไปหากเธอไม่รู้จัก
เอลพาดริโนเสียก่อน

วันที่มาเรียเจอเอลพาดริโนเป็นวันที่ 30 กรกฎาคม 1987 วันนั้นเธอขับรถผ่านมาทาโมรอส ซึ่งถนนค่อนข้างคับแคบและขรุขะ
ทันใดนั้นจู่ๆ มีรถตัดหน้าเธอจนเกือบเป็นอุบัติเหตุ ระหว่างนั้นเองชายที่ขับรถตัดหน้าก็ลงมาจากรถเพื่อขอโทษ ดูภายนอก
เหมือนเป็นคนอ่อนโยน เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อเอลพาดริโนและนั้นเป็นเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ ซึ่งเอลพาดริโนได้
แนะนำมาเรียให้รู้จักเวทมนต์คาถาและยาเสพติด มาเรียเบลี่ยนแปลงอย่างรวดเรุดท้ายก็กลายเป็นสาวกของเอลพาดริโนในที่สุด
เธอไต่เต้าตำแหน่งเรื่อยๆ จนกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของลัทธิ ซึ่งหลายคนรู้จักกันดีในชื่อ ลา มาเดียนา อันเป็นฉายา
ที่เอลพาดริโนตั้งให้ แปลว่า แม่อุปภัมภ์ เธอมีส่วนอย่างมากนักการลงมือฆ่าเหยื่อเพื่อทำพิธีกรรม

จะว่าไปแล้วพิธีกรรมของเอลพาดริโนมีส่วนผสมของการบูชายันมนุษย์แอซแท็กกับลัทธิในแอฟริกา ด้วยหลังจากฆ่าเหยื่อพวกเขา
จะทำการชำแหละชิ้นส่วนเหยื่อลงไปในหม้อปรุงขนาดใหญ่ที่ใส่สมุนไพร่ต่างๆ ซึ่งมาเรียเป็นคนรับคำสั่งเอลพาดริโนเพื่อถ่ายทอด
ให้แก่เหล่าสากวก และเธอยังกำกับดูแลธุรกิจการขนส่งยาเสพย์ติดจากชายแดนเข้ามายังสหรัฐด้วย

หลังจากนั้นเป็นต้นมาพิธีกรรมเอลพาดริโนซับซ้อนและความโหดมากขึ้น และเพื่อความสะดวกพวกเขาได้ย้ายสำนักงานใหญ่
ไปกระท่อมฟาร์มนอกเมือง 20 ไมล์ และใช้ที่นั้นเป็นที่ฝังศพของเหยื่อด้วย  ในวันที่ 28 พฤษภาคม เอลพาดริโนได้ยินตัวแทน
จำหน่ายยาเสพติดคนหนึ่งชื่อเฮ็กเตอร์ เดอ ลา ฟูเอนเตและเกษตรคนหนึ่งชื่อมอยส์ เพียงแค่ขัดใจเขา เหยื่อบางรายถูกฆ่า
และนำชิ้นส่วนศพทิ้งบนถนนสาธารณะ บางรายลักพาตัวถูกลักพาตัวทั้งครอบครัวและทรมานก่อนที่จะฆ่าด้วยปืนแบบไม่
เกรงกลัวกฎหมาย

จะอย่างไรก็ดีหลังจากพบ 15 ศพในฟาร์ม ทำให้ตำรวจต้องหันมาเอาจริงกับการปราบปรามลัทธิของเอลพาดริโน เพราะหนึ่ง
ในจำนวนศพนั้นมีศพของคิลรอยที่เป็นลูกของคนมีชื่อเสียงและเส้นสายทางการเมือง ทำให้คดีดังกล่าวลุกลามกลายเป็น
ปัญหาระหว่างสองประเทศ ตำรวจท้องถิ่นถูกบังคับให้ไขคดีนี้ให้เร็วที่สุด และนั้นเป็นเหตุทำให้อำนาจของเอลพาดริโน
เสื่อมถอยหมดไป

 
 
การตายของเอลพาดริโนและเกย์คู่ขา


 
เอลพาดริโนหนีจากเงื่อมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังจาก 12 ชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่มาถึงฟาร์มปศุสัตว์ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ล้มเลิก
ในการตามหาเอลพาดริโน จนกระทั้งในวันที่ 6 พฤษภาคม 1989 ตำรวจพบเบาะแสว่าเขากำลังซุ่มตัวอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ในเม็กซิโกซิตี้
จึงนำกำลังเข้าล้อมที่กบดานของเขาเอาไว้ตั้งแต่กลางวันแสกๆ มีการยิงปืนโต้ตอบกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่ซาร่า มาเรีย อัลเดรเต้ผู้เป็น
คนรักของเอลพาดริโนและรองหัวหน้าได้ตะโกนพร้อมกับวิ่งออกมา "เขาตายแล้ว! เขาตายแล้ว!!" ตำรวจจับกุมมาเรียพร้อมพวกอีกสามคนทันที
เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปในห้องและพบศพของเอลพาดริโนในชุดกางเกงขาสั้นเดินชายหาดกับมาร์ติน ควินทาน่า ซึ่งเป็นเกย์คู่ขา
นอนจมกองเลือดอยู่ในตู้เสื้อผ้า


หลังจากสอบปากคำ เอล ดูบี้ลูกน้องของหัวหน้าให้การว่า เอลพาดริโนเจ้านายของตน รับสภาพว่าหมดทางหนี เขาจึงส่งปืนให้ดูบี้
และสั่งให้ยิงเขาและคู่ขาซะ เขายินดีตายดีกว่าจะให้ตำรวจมาจับเขาเข้าคุก ดูบี้กล่าวอย่างมั่นใจแม้กระทั่งหลังจากถูกจับกุมว่า
พ่อทูลหัวยังไม่ตาย เขาจะฟื้นคืนชีพเร็วๆ นี้


แต่จนบัดนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าเอลพาดริโน คอนสแตนโซ จะคืนชีพแต่อย่างใด..
 
   
สมาชิกของเอลพาดริโดที่ถูกจับกุม
 
แม้ว่าตัวการใหญ่เอลพาดริโนจะชิงตัวตายก่อนแล้วก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงต้องสะสางคดีดังกล่าวให้เสร็จสิ้นด้วยการจับลูกน้อง
ของเอลพาดริโนที่มีมาเรียเป็นแกนนำ และลูกน้องอีกจำนวนหนึ่งถูกลงโทษตามกระบวนยุติธรรมตามบทลงโทษของแต่ละคน ส่วนมาเรีย
นั้นถูกพิพากษาจนจำคุก 68 ปี และหากเธอออกจากคุกก็ต้องรับโทษต่อในอเมริกาในคดีของคิลรอยอีกกระทง


<a href="https://www.youtube.com/v/ivjwqI8t6Zk" target="_blank" class="new_win">https://www.youtube.com/v/ivjwqI8t6Zk</a>

เรื่องราวของเอลพาดริโน และพรรคพวกถูกดัดแปลงใส่เข้าไปในสื่อภาพยนตร์เรื่อง Borderland (2007) หรือในชื่อไทยคือข้ามแดนไปสับ
ยาวประมาณ 101 นาที โดยเป็นเรื่องของ 3 นักศึกษามหาวิทยาลัยเท็กซัสที่ไปท่องเที่ยวที่เมืองๆหนึ่งที่อยู่ติดชายแดนของประเทศเม็กซิโก
หวังหาความสุขรื่นรมณ์กับสาวต่างเมือง ก่อนรับปริญญา พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเจอะเจอที่สุดในชีวิต นั่นก็คือ
พิธีการบวงสรวงสุดสยอง ที่สำคัญ พิธีที่ว่านี้ก็กำลังต้องการมนุษย์อย่างพวกเขามาสังเวยเลือดเพื่อทำให้การบูชายัญครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์
อยู่พอดิบพอดี

และแล้วเรื่องราวของมาร์ก คิลรอยกลายเป็นอุทธาหรณ์ในเรื่องข้ามพรมแดนไปหาความสุขในดินแดนที่ไม่รู้จัก ผลคือเขาเอาชีวิตไปทิ้ง
ที่นั้นเพราะความประมาณนั้นเอง.......



credit :: cammy@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 กรกฎาคม 2015, 12:03:40 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

PLAYBOY ขั้นเทพ

  • V.I.P.
  • อาชาคะนองศึก
  • *
  • กระทู้: 1345
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +6/-2
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
Re: Adolfo de Jesus Constanzo & Sara María Aldrete นรกที่เม็กซิโก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2015, 20:02:20 »

นรกชัดๆ
***** PLAYBOY ขั้นเทพ #  PRESENTS   การบ้านสะท้านปฐพี   ==> ความมันส์!..กำลังจะบังเกิดแล้วครัชพี่น้อง *****

FreeFly

  • แอบหื่น
  • ***
  • กระทู้: 45
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: Adolfo de Jesus Constanzo & Sara María Aldrete นรกที่เม็กซิโก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2015, 20:13:38 »

นรกบนดิน