ค่าย 50 รุ่นสยอง
ผม เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แล้วก็มีโอกาสได้ร่วม กิจกรรมของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นกิจกรรมค่ายที่จัดติดต่อกันมาเป็นเวลานานแล้ว โดยผมเป็นรุ่นที่ 33 ต่อมาผมก็เลื่อนขั้นขึ้นเป็นพี่เลี้ยง โดยค่ายนี้จะฝึกโดย ใช้ครูฝึกทหาร จากค่ายฝึกรบพิเศษค่ายหนึ่งทางภาคอีสาน
ทุกรุ่น ที่ฝึกจะต้องมีเหตุการแปลกๆเสมอ แต่ครูฝึกกับพี่เลี้ยงจะ ไม่บอกกับพวกน้องๆเพราะกลัวว่าจะตกใจกันเพียงแต่จะบอกว่าให้ระวังอย่าทำอะไร ที่ เป็นการลบหลู่ เพราะพื้นที่บริเวณนั้นเคยเป็นสนามรบเก่ามาก่อน จนมาถึงค่าย รุ่นที่ 50 พวกเราพี่เลี้ยงก็เริ่มรูสึกตะหงิดๆแล้วเพราะว่า รุ่นนี้เป็นรุ่น ที่ 50 มีน้องไปค่าย 123 คน มีพี่เลี้ยง 13 คนคือตัวเลขมันสวยเกินไปรึเปล่า แล้วแต่ก่อนนี้ในรุ่นที่ 25 มันเคยมีเรื่องวุ่นวายค่ายแตกกันมาแล้ว เนื่องจาก มีน้องถูกผีเข้าอาละวาดกันมาแล้ว เราก็พยายามระวังตัว วันแรกที่ไปถึงเราจะ ต้องมีการไหว้ศาลเจ้าพ่อที่นั่นซึ่งมีหลายศาลมาก ปรากฎว่าจุดธูปไม่ติดทำอย่าง ไรก็ไม่ติด แถมอาจารย์คนใหม่ที่เพิ่งจะมาคุมกิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกยังประกาศยก เลิกพิธีบายศรีสู่ขวัญในคืนปิดค่ายเสียอีก เราก็เอาล่ะสิ... ระหว่างที่ทำพิธี เปิดค่ายกันอยู่น้องฝึกงาน(พี่เลี้ยงที่มา 13 คนจะเป็นพี่เลี้ยงฝึกงาน 4 คน)คน หนึ่งชื่อก้อย ก็เอาพวงมาลัยที่เราเตรียมเอาไว้ถวายศาลเจ้าแม่ตะเคียนที่หลัง ค่ายมาแกว่งเล่นพวกเราเห็นเข้าก็ตกใจ สุดท้ายเราก็เลยต้องเล่าเรื่องความแรงของ ค่ายนี้ให้ฟังแล้วก็พาไปขอขมาเจ้าแม่ พอตกกลางคืนเราก็มีการฝึกโดยจะแบ่งน้อง ออกเป็นกลุ่มแล้วปล่อยขึ้นเขา บนเขาจะมีฐานฝึกที่มีครูฝึกทหารควบคุมอยู การ เดินบนเขาจะไม่มีไฟฉายให้ ให้เดินงมกันไปเอง ส่วนพี่เลี้ยงจะจับคู่กันขึ้นเขา มีไฟฉายให้แต่ห้ามเปิดโดยไม่จำเป็น ผมจับคู่กับน้องผู้หญิงคนหนึ่งชื่อนุ่น ก็ เดินกันขึ้นไปเรื่อยๆเนื่องจากมาหลายรุ่นแล้วจึงคุ้นทาง เดินไปสักพักก็เห็นเงา ตะคุ่มๆของคนสักสิบกว่าคนนั่งเรียงแถวอยู่กลางทางเดินบนเขาซึ่งเป็นทางเดิน ในป่า ผมกับนุ่นก็เลยหยุดเพราะคิดว่าเป็นกลุ่มน้องที่หยุดรอเข้าฐานอยู่ แต่ก็รู้สึก แปลกใจอยู่เหมือนกันที่ทำไมน้องจึงนั่งกันเงียบนักไม่มีใครคุยกันเลย รออยู่สัก สิบนาทีพี่เลี้ยงอีกคู่ก็ตามขึ้นมา ชื่อหมีกับกี้แต่ผมน่ะเห็นว่ามากันสามคน อีก คนรูปร่างเหมือนน้องชื่อน้ำ(มันมืดจะเห็นแค่เงาดำๆเท่านั้น) ผมก็ถามไปว่าน้ำมา ด้วยเหรอ หมีก็ตอบว่าผมมากับกี้สองคน ผมก็งงแต่ก็ยังไม่คิดอะไรก็เลยเดินไปจับ หัวคนที่ผมคิดว่าเป็นน้ำเขย่า แล้วก็ถามว่านี่น้ำใช่ไหม แต่เขาก็ไม่ตอบได้แต่ ยืนก้มหน้า หมีก็ยังยืนยันว่ามากันแค่สองคน ตอนที่ผมหันไปพูดกับหมีพอหันกลับมา น้ำก็หายไปแล้ว พวกเราเริ่มรู้สึกว่ามันยังไงกันแล้ว ก็เลยหยิบไฟฉายขึ้นมาเปิด ปรากฎว่ามีกันอยู่แค่สี่คนนึกได้ก็ฉายไฟไปที่น้องที่นั่งกันอยู่ เท่านั้นแหละ เหงื่อแตกพลั่ก ไม่มีใครอยู่เลยสักคนทั้งๆที่ทางตรงนั้นเป็นทางตรงเกือบร้อย เมตร เป็นไปไม่ได้ที่คนเป็นสิบคนจะเดินไปโดยพวกเราสี่คนจะไม่เห็นหรือไม่ได้ยิน เลย พวกเราก็เลยเกาะกลุ่มกันวิ่งลงจากเขาให้เร็วที่สุด ลงจากเขามาได้ผมน่ะเล็บ เปิดเลยครับ
พอลงจากเขามาแล้วทั้งหมดก็มี น้องคนหนึ่งมาคุยกับผม เขาบอกว่าค่าย ตื่นเต้นดีมีครูฝึกทาหน้าขาวมานั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างทาง ผมฟังก็ได้แต่ยิ้มจืดๆ ไปเพราะผมรู้ว่าครูฝึกจะทำอะไรบ้างเนื่องจากนัดแนะกับไว้แล้ว แต่ไอ้ที่จะมานั่ง ทาหน้าขาวน่ะไม่มีแน่นอน..แล้วที่น้องเจอน่ะใครล่ะ
พอ ตกดึกหลังจากที่น้องเข้านอนหมดแล้ว พี่เลี้ยงก็จะมานั่งประชุมกัน แล้วก็เข้านอน เข้านอนได้สักพักก็ได้ยินเสียงคนคุยกันจากเรือนนอนถัดไป คือเราจะ แยกนอนชายหญิง เรือนนอนก็จะเป็นอาคารไม้ติดดินอยู่ห่างกันประมาณสามเมตร ผมก็นึก โมโหฝั่งผู้หญฺงที่ไม่นอนกันสักทีก็เลยกดโทรศัพท์หาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งว่า ทำไม ไม่นอนกัน เขาก็ว่ากลับมาว่าฝั่งผู้ชายนั่นแหละที่ไม่นอนเสียงดังมาก พวกผู้หญิง น่ะหลับกันหมดแล้ว ผมก็ว่าผู้ชายก็หลับเกือบหมดแล้วพูดจบก็ต่างคนต่างเงียบเป็น ที่รู้กันว่า "อีกแล้ว"
วันรุ่งขึ้นน้องที่ชื่อก้อยก็มาเล่าให้ฟังว่าที่เขาเล่น พวงมาลัยแล้ว ไปขอขมาน่ะ เจ้าแม่มาหาเขาถึงที่นอนเลยเพราะว่าเขากังวลมากในใจก็เลยพรำขอโทษ อยู่ตลอดเวลา ตอนนอนเจ้าแม่ก็เลยมาบอกว่าไม่เป็นไรแต่มาลอยอยู่ตรงหน้าชนิดว่า หน้าชนหน้าเลย ที่แปลกอีกเรื่องก็คืออาจารย์ที่ประกาศไม่จัดพิธีบายศรีวันรุ่ง ขึ้นก็รีบขับรถเข้าเมืองไปซื้ออุปกรณ์ทำบายศรีแต่เช้าเลย คาดว่าคงจะเจอดีเข้า ให้
จนถึงวันกลับก็มีการให้น้องเข้ากลุ่มอีก ครั้ง มีน้องกลุ่มหนึ่งแยก ตัวไปนั่งใกล้ๆศาลเจ้าแม่ตะเคียนซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงเลี้ยงแล้วส่งเสียงดัง มาก ครูฝึกก็เข้าไปเตือนน้องก็ยังไม่ฟัง สักพักผมก็เข้าไปเตือนน้องก็ยังไม่เบาเสียง ลงอีก พอผมหันหลังกำลังจะเดินออกมาก็ได้ยินเสียง "ตึก"เหมือนของหนักตกลงกระแทก ดิน พอหันไปก็เห็นว่าเป็นกิ่งตะเคียนขนาดใหญพอสมควรร่วงลงมาห่างจากตรงที่น้อง นั่งอยู่ไม่ถึงห้าเมตร ผมกับครูฝึกก็เข้าไปดู กิ่งตะเคียนไม่มีร่องรอยการฉีกจาก การถูกลมพัดแต่อย่างใด ลมในตอนนั้นก็ไม่แรง เหมือนกับทิ้งกิ่งลงมาเฉยๆ ผมกับครู ฝึกก็มองหน้าในเชิงรู้กันว่าเจ้าแม่ท่านคงเตือนแล้วล่ะก็เลยรีบไล่น้องให้ไป นั่ง กันที่อื่น
ที่จริงยังมีอีกหลายคนที่เจอดีที่ค่ายนี้แต่มันมาก จนลงในเรื่องตอน นี้ไม่ไหว เพราะว่าเจอกันทุกคนก็ว่าได้ แล้วคราวหลังจะส่งมาให้อ่านกันใหม่นะ ครับ
Credit - baby_Best_Devil