-->

ผู้เขียน หัวข้อ: นิทานดี ให้ข้อคิดมากมาย  (อ่าน 1200 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

kaka123

  • บุคคลทั่วไป
นิทานดี ให้ข้อคิดมากมาย
« เมื่อ: 12 เมษายน 2009, 03:31:23 »

 งูตัวดำ






มีพญานาคสีดำตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นพญานาคนั้นเขาเคยเป็นมัคทายกวัดมาก่อน โดยเขาทำหน้าที่เป็นคนนำคนสวด เป็นผู้นำคนอื่นเขาทำความดีที่วัด เขาได้ฟังพระเทศน์มากกว่าคนอื่นเขา เวลาขอศีลพระเขาก็เป็นคนกล่าวนำ เวลาอุทิศส่วนกุศลก็เป็นคนกล่าวนำ เวลาพระเทศน์ก็เป็นคนกล่าวนำ เขาอยู่กับวัดมานานมาก เรียกว่าพวกแก่วัด ทีนี้อยู่ในวัดมานานเขาก็เลยมีทิฐิมาก ไม่ค่อยจะยอมฟังคนอื่นเท่าไร คิดว่าตัวเองนี่มีความรู้เยอะ และก่อนหน้านี้เขาก็เคยบวชเป็นถึงเปรียญ มีความรู้ทางศาสนามาเยอะ ตัวเขาก็ถือว่าเขามีภูมิความรู้ดีกว่าใครๆ ดังนั้นพระที่บวชมาใหม่ๆนั้นก็มักจะถูกเขาตำหนิ ว่าเอา ชอบเที่ยวไปสอนพระ แต่ว่าบังเอิญเขาไปสอนเอาพระอรหันต์เข้า เรื่องของเรื่องมันหนักก็ตรงนี้ล่ะ พระอรหันต์องค์นั้นเป็นเณร เขาไปเถียงกับเณรเข้า เขาเห็นว่าเณรยังเป็นเด็ก ยังอายุน้อยอยู่ แต่เณรที่เป็นพระอรหันต์ท่านรู้แจ้งในความจริงแล้ว ท่านก็พยายามที่จะชี้แจงในสิ่งที่เป็นความจริง แต่มัคนายกคนนี้ก็จะคอยเถียงว่า ไม่จริง ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องอย่างนี้ เณรน่ะไม่รู้จริง แต่ตอนที่เถียงกับเณรนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรกับหรอกนะ เพราะเขาก็มีความเคารพในพระเหมือนกัน แต่ว่าความคิดของมัคนายกเขายังไม่รู้จริง แต่ดันไปยึดเอาแต่ความคิดของตัวเองมาเป็นใหญ่ เที่ยวเอาความคิดเห็นของตัวเองไปชี้นำคนอื่นเขา พอคนอื่นเขาแย้งมาเขาก็จะแย้งกลับ กล่าวถ้อยคำทุ่มเถียงกัน ไม่ค่อยจะยอมใคร แกก็เป็นของแกแบบนั้นไปเรื่อยๆ  > >
จนวันหนึ่งแกก็ตายจากความเป็นคนไป เพราะโรคท้องมันกำเริบ พอจิตออกจากร่างปั๊บก็กลายเป็นพญานาคสีดำ ที่ตัวมีสีดำก็เพราะว่าจิตของเขาหมอง เพราะมัวแต่ไปครุ่นคิดในสิ่งที่มันโต้เถียงที่มันขัดแย้งอยู่ในใจของเขาอยู่ มันทำให้ใจของเขาขุ่นมัวอยู่เรื่อยๆ แต่มันก็ยังดีที่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายอะไร เพราะศีลเขาก็ตั้งใจรักษา แต่ว่าศีลที่เขารักษามันก็ยังไม่ได้บริสุทธิ์จริง ตัวเขาเองก็กราบพระไหว้พระแต่ก็ไม่ได้ถึงในคุณของพระจริงเพราะไปมองตัวเอง ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้เยอะกว่าคนอื่น ทำให้จิตของเขามันก็ยังมีเศร้าหมองอยู่ ไม่แจ่มใส ความเศร้าหมองมันก็สะสมไปเรื่อยๆ จิตมันก็เลยคล้ำไป ทำให้เวลามาเกิดเป็นพญานาคขึ้นมามันก็เลยมีสีดำทั้งตัว แต่ที่จริงแล้วพญานาคทั่วๆไปนี่เค้าจะมีสีถ้าไม่ทองก็ออกมรกต คือมีสีสันมีเครื่องแต่งกายที่ดูเหมือนเป็นเพชรนิลจินดา มีความสว่างสวยสด แต่พญานาคมัคนายกนี่ไม่ใช่ เวลาอยู่ในถ้ำเขาก็อยู่คนเดียวเพราะสมัยที่เขาเป็นคนนั้นเขาไม่เอาใคร ไม่เกื้อกูลกับใคร ตัวเขาถือว่าเขาเป็นใหญ่ในวัด คิดว่าวัดนี้มันเป็นวัดของเขา ทุกคนก็ยอมให้เขา ตัวเขาก็เลยย่ามใจคิดว่าตัวเขานี่เป็นผู้มีอำนาจพอในการตัดสิน ชี้เป็นชี้ตาย ใครมาที่วัดก็ต้องมาพึ่งพาเขา ตัวเขาก็คอยแต่จะติว่า ?อย่างนี้คุณทำไม่ได้นะ??อย่างนั้นทำไม่ได้นะ??คุณต้องทำไอ้โน่นไอ้นี่นะ? เขาก็เลยเป็นพญานาคที่โดดเดี่ยวอยู่ในถ้ำตนเดียว อยู่ในที่มืดๆ ไม่มีความสว่าง อยู่อย่างนั้นมานาน นานมาก ถ้าคำนวณเป็นเวลาของมนุษย์ก็ประมาณ ๒ ล้านปี ต้องมาอยู่ในที่มืดๆอยู่คนเดียว ขังอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่อย่างนี้ทรมานอยู่กับความคิดของตน เป็นทุกข์อย่างนี้อยู่ในสภาพที่เป็นพญานาค แต่เนื่องจากว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจโหดร้าย ไม่ได้อยากทำร้ายใคร ไม่ได้อยากลักทรัพย์ใคร ไม่ได้อยากผิดลูกผิดเมียใคร ของสงฆ์เขาก็ไม่แตะต้อง เขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ในวัดในวา ของสงฆ์คือของสงฆ์ เขาไม่เอาของสงฆ์มากินมาใช้ กับลูกกับเมียก็ไม่ยอมให้ละเมิดของสงฆ์ ฉะนั้นเรื่องบาปในส่วนที่จะพาเขาไปสู่อบายภูมิมันก็ไม่มี มันก็เลยกลายเป็นพญานาคอยู่แบบนี้ ซึ่งมันก็ยังดีกว่าไปตกนรก  > >
ต่อมาก็มีพญานาคผู้มีใจเมตตาที่อาศัย อยู่ในถ้ำห่างจากที่เขาอยู่ เป็นพญานาคที่มีอำนาจใหญ่ปกครองอยู่ในเขตนั้น โดยปกติแล้วพญานาคนั้นเขาจะแบ่งเขตปกครองกันออกเป็นโซน ในแต่ละเขตก็จะมีบริวารให้ปกครองเพราะว่าให้ความช่วยเหลือคนอื่นด้วยความยิน ดีเด็มใจ ไม่เหมือนพญานาคสีดำที่ช่วยคนอื่นเพราะว่าในฐานะที่เขาเป็นใหญ่ในการจัดการ จึงไม่ค่อยได้สนใจความรู้สึกของคนที่อยู่รอบๆเขา คิดแต่ว่าคนอื่นต้องมาคอยง้อเขามาพึ่งเขา จึงเป็นผลทำให้พญานาคสีดำนั้นต้องมาอยู่คนเดียว พญานาคที่มีสีทองนั้นเป็นพญานาคที่หมั่นทำสมาธิ หมั่นทรงฌานจนเกิดญาณเป็นเครื่องรู้ จึงมีอยู่วันหนึ่งภาพของพญานาคสีดำนั้นก็มาเกิดขึ้นในนิมิตสมาธิของเขาแล้ว ก็เห็นว่าทำไมพญานาคตัวนี้ถึงต้องมาอยู่ตนเดียวในที่อับๆมืดๆ ไม่สามารถออกมาจากบริเวณถ้ำที่เขาอยู่ได้เลย  > >
ถึงเวลาขึ้น ๑๕ ค่ำ ปากของพญานาคสีดำนี้ก็ไม่สามารถจะทนกับความร้อนที่อยู่ในปากของเขาได้เพราะ ในปากของเขานั้นจะร้อนขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าสมัยเป็นมนุษย์เขามีวาจาไม่ดี มันก็เลยมีไฟในปาก ถึงเวลาขึ้น ๑๕ ค่ำทีก็จะคายพิษออกมาทางปากครั้งหนึ่ง แล้วพอเลยวันขึ้น ๑๕ ค่ำไปแล้วก็จะเริ่มเก็บความร้อนในปากนี้ไว้ใหม่ การที่เขายังสามารถคายพิษความร้อนในปากได้ในวันนี้ก็เพราะว่าเขาระลึกได้ว่า วันนี้เป็นวันพระ สิ่งที่ทำให้เขาต้องมีไฟความร้อนอยู่ในปากอย่างนี้ก็เพราะว่าเขาจมอยู่กับ ความครุ่นคิดของตัวเขา แต่อาศัยว่าเขาพอมีบุญที่นึกถึงพระได้ กรรมตัวนี้มันก็เลยคลายตัวลงทำให้เขาหยุดความครุ่นคิดอันนี้ลงได้ ทำให้เขาสามารถคายความร้อนออกมา มันก็พอจะทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นได้หน่อย แต่พอเลยวันพระไปแล้วเขาก็กลับมาครุ่นคิดแต่เรื่องที่ขัดแย้งนี้ใหม่ ความร้อนในปากนี้ก็เลยสะสมเอาไว้อีก แต่พญานาคผู้เป็นใหญ่ที่เป็นผู้ดูแลนาคทั้งหลายนั้นเป็นผู้ที่เจริญสมณธรรม นั้นสามารถที่จะควบคุมพิษไฟของพญานาคได้ และสามารถทำให้เกิดไฟขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ อย่างเช่นในเวลาที่เขาโกรธ ซึ่งพญานาคสีดำนี่ทำไม่ได้ เมื่อพญานาคสีทองเห็นเหตุดังนี้แล้วก็จึงรู้สึกสงสาร อยากจะไปช่วย  > >
พญานาคท่านก็เลยแปลงเป็นพระสงฆ์ เดินเข้าไปในถ้ำของพญานาคสีดำ แล้วก็เอ่ยถามว่า ?ท่าน ทำไมถึงอยู่ด้วยความทุกขเวทนาอย่างนี้ ท่านอยากจะออกจากที่นี่ไหม?? พญานาคสีดำตนนั้นพอเห็นพระเข้าก็รู้สึกสลดใจ เพราะเขารู้สึกเสียใจเนื่องจากพอได้อยู่ในถ้ำนานๆเข้าเนี่ยก็ระลึกได้แล้ว ว่าไอ้สิ่งที่พูดที่ทำไปในสมัยเป็นมนุษย์นั้นมันไม่ดี คือเขาสำนึกได้ แล้วว่าตัวของเขาเป็นฆราวาสนั้นมีศีลแค่ ๕ ข้อ แต่พระน่ะมีศีล ๒๒๗ ข้อ ถึงแม้พระท่านจะยังเป็นผู้ที่ปฏิบัติยังไม่ดียังไม่งดงามเท่าไรแต่ว่าท่านก็ อยู่ในฐานะที่สูงกว่าเพราะท่านมีศีลมากกว่า เขาสำนึกได้แล้วว่าตัวเขานี่เลวเกินไปที่ทำตัวเป็นนายพระ เขารู้สึกเสียใจเสมอว่า เขาไม่ควรทำอย่างนั้นเลย เขาก็มีความเศร้าหมอง ทำให้ผิวพรรณมันคล้ำอยู่อย่างนี้ไม่มีความสว่างสดใส พอเขาเห็นผ้าเหลืองเห็นพระเดินเข้ามาเขาจึงเสียใจ ร้องไห้ ก้มลงกราบพระ ท่านพญานาคที่แปลงมาเป็นพระก็ได้กล่าวว่า ?ท่านอย่าเสียใจเลย ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดมาก่อน อย่าตามนึกถึงสิ่งที่เป็นความทุกข์และโศกเศร้ามาแต่กาลก่อนเลย ท่านจงตั้งใจมองไปเบื้องหน้าเถอะว่าชีวิตเรามันยังมีเวลาที่จะเห็นแสงสว่าง รออยู่ ทางสว่างของท่านยังมีอยู่ อย่ามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้เลย ตามเราไปเถอะ?  > >
พญานาคสีดำตนนั้นก็ตามพระไป พาไปอยู่ในที่ๆหนึ่ง พอจิตเขาคลายตัวลงจากความโศกเศร้าลง ถ้ำก็สว่างขึ้น สีตัวของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่ามเพราะเขาติดใจสีจีวรของพระ แล้วเขาก็เลื้อยเข้าไปขดตัวอยู่บนตั่งในถ้ำของเขา แล้วพญานาคก็บอกว่า ?ท่านจงรักษาใจของท่านเถิดอย่ามัวแต่คิดให้มีความเศร้าหมองเลย ใจของท่านนึกถึงสิ่งใดแล้วท่าน ผู้เจริญ เป็นสุขจงพยายามนึกถึงสิ่งนั้น อย่าไปนึกถึงสิ่งที่เป็นความเศร้าหมอง? พญานาคสีดำก็เลยนึกถึงผ้า เหลือง เขาคิดว่าพระนี่ล่ะทำให้เขามีความสุข เขาจึงนึกถึงแต่พระ ไม่มีคำภาวนาใดๆเลยนะ นึกถึงภาพพระสงฆ์ นึกถึงจริยาที่พระท่านเดิน พระท่านสวดมนตร์ พระท่านเทศน์  > >
นับวันเวลาผ่านๆไป กายของเขาก็เริ่มสว่างขึ้นๆ ผนังถ้ำที่เคยมืดมนก็กลับเป็นสีสว่างดั่งมีเพชรนิลจินดาประดับ ความเป็นทิพย์เริ่มดีขึ้น สดใสมากขึ้น จนเขาลืมตาขึ้นมาอีกทีก็แปลกใจว่าทำไมกายเขาจึงมีความสว่าง ผนังถ้ำก็สว่างไสว ตั่งเตียงที่เคยนอนก็มีความสว่างมีเพชรนิลจินดา นี่เป็นผลจากการสรรเสริญคุณของพระสงฆ์ เขานึกถึงเสมอ นึกถึงความดีของพระ นึกจนทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด พอระยะเวลาผ่านไปเขาก็คิดสงสัยว่าท่านผู้ใดเป็นผู้มีคุณแก่เราหนอ พระองค์ใดที่มีพระคุณแก่เรา ทีนี้พอจิตของเขามีความสงบ ไม่มีความเศร้าหมอง ความเป็นทิพย์ก็เกิด เขาก็เห็นภาพพญานาคซ้อนอยู่ในอกพระที่เขาเห็น เขาก็นึกรู้ว่านี่ไม่ใช่พระแต่เป็นท่านพญานาค เขาก็เลยเข้าไปหา พอเข้าไปในถ้ำที่เป็นอาณาเขตของท่านพญานาคปุ๊บร่างกายเขาก็เปลี่ยนไปกลาย เป็นเทวดาทันที เพราะเนื่องจากมันเป็นเขตของผู้มีศีล ทรงสมาธิ พอเข้าไปในเขตนั้นสัตว์เดรัจฉานใดๆก็เปลี่ยนร่างได้ เขาก็สงสัยว่าทำไมท่านจึงสามารถเปลี่ยนร่างเป็นพระสงฆ์ได้ทั้งที่แท้จริง แล้วท่านเป็นงู (พญานาคก็คืองูประเภทหนึ่ง) ท่านพญานาคก็ตอบว่า ?งูเป็น ของภายนอก เป็นกายหยาบไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราคือจิตที่ตั้งอยู่ในการเคารพพระรัตนตรัย รักษาศีลทำสมาธิจิตสงบว่างจากความชั่วทั้งหลาย เราจึงมีสภาพคล้ายกับพระแต่เราไม่ใช่พระ เราจึงสามารถทำร่างกายให้คล้ายกับพระสงฆ์ได้ ท่านจึงสามารถเห็นเราได้อย่างนั้น? พญานาคสีดำก็เลยถามว่า ?แล้วกระผมจะสามารถทำได้อย่างนั้นหรือไม่?? ท่านพญานาคก็ตอบว่า ?ทำ ได้สิท่านผู้เจริญ จงละเว้นใจของท่านที่จะคิดเบียดเบียนใครเขา ไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ เราจะไม่เบียดเบียนเขา จงเห็นเขาด้วยความสงสาร ว่าเขาเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เป็นไปด้วยความทุกข์ แม้เป็นมนุษย์ก็มีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น เกิดมาเพื่อเจ็บไข้ไม่สบาย เกิดมาเพื่อทนทุกข์เวทนาจากการงาน เกิดมาเพื่อรอแต่ความตายความพลัดพราก จงอย่ามีความคิดเห็นไปเพื่อเบียดเบียนกันเลย? ซึ่งตัวของพญานาคสีดำเองนี่โดยธรรมดาสมัยที่เป็นมนุษย์เขาก็ไม่เบียดเบียนใครอยู่แล้ว เขาก็รับปากว่า ?ผมทำได้ครับ ไม่ยาก? ท่านพญานาคก็พูดจ่อว่า ?แต่ท่านต้องทำด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์นะ? พญานาคสีดำก็แย้งว่า ?ผมไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าครับ? ท่านพญานาคก็ตอบว่า ?งั้น ไปกับเราสิ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน เวลานี้พระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาอยู่ที่ริมแม่น้ำทางด้านทิศเหนือของเรา ห่างจากนี่ไม่ไกลนัก เราไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน แต่เวลานี้ยังเป็นเวลาที่ยังไม่เหมาะสมนักเพราะว่ายังมีคนที่มาเข้าเฝ้าพระ พุทธเจ้าอยู่ รอให้เวลาล่วงไปเป็นเวลาที่ตะวันตกดินก่อน เราค่อยไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน? > >
พอถึงเวลา พญานาคทั้งสองก็พากันไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระนั้นจึงทรงยังไม่เสด็จกลับที่พัก พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระนามว่ากกุสันโธ เมื่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพวกเขาก็แปลงกายไปเป็นมนุษย์ที่แต่งตัวสวยงาม กิริยามารยาทเรียบร้อยเข้าไปกราบ พระองค์ก็ทรงเห็นแล้ว ทรงลืมพระเนตรแล้วทรงตรัสว่า ?ปุริสสะ บุรุษผู้เจริญ ความดีเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ไกลตัวของเธอหรอก ความชั่วอย่าแตะต้อง มันเป็นภัยใหญ่หลวง จงดำเนินอย่างพระอริยะทั้งหลายผู้ตั้งใจปฏิบัติ เบื้องหน้า เธอจะพ้นวิบากแห่งกรรมทั้งหลาย? แล้วพญานาคสีดำก็ถามว่า ความเป็นพระอริยบุคคลของมนุษย์นั้นเขาเป็นด้วยเหตุใด พระองค์ก็ทรงตรัสว่า ?บุคคล ที่ถึงซึ่งความเป็นพระอริยะเหล่านี้เป็นบุคคลผู้ซึ่งมีจิตใจอ่อนโยน มีความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้ง เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารว่าเป็นของน่ากลัวของตนเองและบุคคลอื่น ให้ความรักและความอ่อนโยนแก่บุคคลทั้งหลายด้วยความเมตตาสงสารเท่าตน เป็นผู้มีจิตปรารถนาที่จะพ้นจากความทุกข์โดยแท้ เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหวในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์แน่ เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ด้วยความจริง คือไม่ประมาทในสิ่งที่เป็นจริงอยู่ ระลึกอยู่เสมอว่าทุกชีวิตที่เกิดมานั้นไม่ว่าเราตถาคต หรือแม้สัตว์อื่นอย่างพญานาคก็ต้องมีวันที่จบจากการมีกายอย่างนี้ คือ ตาย เป็นความจริงโดยแท้ เบื้องหน้าของเราคือการที่เราจะไม่มีกายแบบนี้อีก พระอริยะทั้งหลายจึงไม่มัวหมกมุ่นอยู่กับกายอันเป็นของหยาบ ที่เต็มไปด้วยเรือนร่างให้แต่ความทุกข์อยู่เสมอ เป็นผู้ตั้งรู้อยู่ว่ากายนี้จะต้อง อนิจจา จะต้องอันตรธานดับไปในที่สิ้นสุด ทั้งหมดไม่ว่าจะปรากฎอยู่ในโลกนี้ไม่ว่าอะไรจะเป็นสุขอยู่ก็ตามพระอริยะทั้ง หลายกลับเห็นว่าเป็นเหตุแห่งความโศกเศร้าสูญเสีย เป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย พระอริยะคิดกันอย่างนี้เป็นปกติ? > >
พญานาคทั้งสองก็ก้มกราบพระพุทธเจ้า แล้วพระองค์ก็ทรงให้พร ขอความเจริญจงได้ปรากฎแก่เธอทั้งสอง แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับ แล้วพญานาคก็กลับไปอยู่ถ้ำของตน นึกถึงคำสั่งสอนของพระองค์ พยายามทำจิตใจของตนให้คล้ายกับพระอริยะ แต่บรรลุไม่ได้เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีความเคารพจริงในคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ถึงจะเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ตั้งมั่นถึงจะมีความเข้าใจในความทุกข์ทั้งหลายแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ถึง ซึ่งความเป็นพระอริยบุคคลได้ จนไม่นานนักทั้งสองท่านก็ละอัตภาพจากความเป็นสัตว์ไป แล้วไปเกิดที่พรหมโลกด้วยกันทั้งคู่  > >
นำมาจากหนังสือ รวมนิทานบ้านตลิ่งชัน เล่ม๑

โดยท่านจิตโต
 fsdg

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทานดี ให้ข้อคิดมากมาย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 12 เมษายน 2009, 21:50:02 »

งูตัวดำ


นำมาจากหนังสือ รวมนิทานบ้านตลิ่งชัน เล่ม๑

โดยท่านจิตโต
 fsdg

ไม่ทราบว่าจะหาหนังสือเล่มนี้ (รวมนิทานบ้านตลิ่งชัน เล่ม ๑) ได้ที่ไหนบ้างครับ 9ijn