-->
cmxseed สังคมราตรี
มิตรภาพไร้พรมแดน
This topic
This board
Entire forum
Google
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ปฏิทิน
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
cmxseed สังคมราตรี
»
หมวดหมู่ทั่วไป
»
ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก
»
CMXSEED ธรรมะ
»
นิทาน เรื่อง"พ่อค้ากับพระฤๅษี"
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: นิทาน เรื่อง"พ่อค้ากับพระฤๅษี" (อ่าน 851 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Nobody
บุคคลทั่วไป
นิทาน เรื่อง"พ่อค้ากับพระฤๅษี"
«
เมื่อ:
26 เมษายน 2009, 23:58:45 »
Tweet
เรื่องพ่อค้ากับพระฤๅษี
ในยุคสมัยที่ยังมีการเล่นแร่แปรธาตุกันอยู่นั้น ก็มีฤๅษีอยู่องค์หนึ่งที่สามารถเสกทองได้ อยู่มาวันหนึ่งมีพ่อค้าคนหนึ่งทำการค้าขายมาแล้วถูกโจรปล้นไปจนหมดเนื้อหมดตัว เขาก็มาพบพระฤๅษี พระฤๅษีก็เห็นใจชายหนุ่มคนนี้เพราะรู้ว่าถ้าหากเขาไม่มีเงินทองกลับไป ภรรยา ลูกเต้า พ่อตาแม่ยายที่เขาอุปการะอยู่ก็คงจะรุมด่าว่าเขา และตัวเขาก็เป็นห่วงคนที่บ้านเขา กลัวว่าจะลำบาก ตัวเขาเองก็เศร้าโศกเสียใจ เมื่อเขามาขอความช่วยเหลือจากพระฤๅษี พระฤๅษีก็ถามเขาว่าต้องใช้เงินเท่าไร เขาก็ตอบว่า ถ้านับเป็นเงินก็ ๑๐ กำปั่น ถ้านับเป็นทองก็ ๒ กำปั่น กำปั่นหนึ่งมีน้ำหนักประมาณ ๑๐๐ กก. พระฤๅษีก็บอกว่า
?
ไม่ยากหรอกนะ แต่เธอต้องเข้าไปในป่า ไปเอากล้วยมานะ เอามาเยอะ ๆ ?
?เขาก็เข้าไปขนกล้วยในป่ามาให้พระฤๅษี คิดอยู่ในใจว่าถ้ายิ่งนำกล้วยมามากเท่าไร ก็จะยิ่งได้เงินทองมามากเท่านั้น พระฤๅษีก็บอกให้เขารอที่ปากถ้ำ ภายใน ๗ วันห้ามเข้าไปในถ้ำ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าพระฤๅษีทำอะไร แต่ว่าพอครบกำหนด ๗ วัน พระฤๅษีก็มาบอกให้เขาเข้าไปขนทองออกมา ก็เป็นจำนวน ๒ กำปั่น กลับเอาไปบ้าน แต่ว่าก่อนกลับ พระฤๅษีได้กำชับเขาไว้ว่า ห้ามไปเล่าให้ใครฟังว่า ได้ทองมาอย่างไร แต่ว่าคนเราหนะมันอดเม้าท์ไม่ได้ มันอึดอัด เดี๋ยวอกอีแป้นจะแตก ดังนั้นเมื่อเขากลับไปบ้านได้หลาย ๆ วันแล้ว เขาก็รู้สึกอัดอั้นมาก เวลานอนก็กระสับกระส่าย อยากจะพูดเต็มที ภรรยาเขาก็ถามว่าเป็นอะไร ทำไมนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ฝ่ายสามีก็ลังเลใจ จะพูดดีหรือไม่พูดดี ฝ่ายภรรยาก็เลยตบพลั้วะเอา เพราะนึกว่าสามีไปนอกใจมีเมียน้อย สามีก็รีบอธิบายใหญ่ว่าไม่ใช่ แล้วจึงเล่าเรื่องพระฤๅษีเสกทองให้ภรรยาฟัง แล้วก็กำชับว่า อย่าไปบอกใครนะ ฝ่ายภรรยาก็เมื่อได้ฟังแล้ว ทีแรกก็เก็บเอาไว้ ไม่ยอมเล่า แต่พอนาน ๆ เข้าก็อยากจะเล่า ก็มีอาการเหมือนสามี คือ กระสับกระส่าย อยู่ไม่เป็นสุข พ่อก็ถามไถ่ว่าเป็นอะไร เพราะเห็นอาการกระสับกระส่ายของลูกสาว ลูกสาวเธอก็บอกว่า
?ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ฉันมีเรื่องที่อยากจะเล่า แต่สามีเขาห้ามฉันเอาไว้ ไม่ให้เล่าให้ใครฟัง?
ฝ่ายพ่อกับแม่ก็กระทุ้งไปกระทุ้งมา สุดท้ายก็เล่าออกมาเสียหมดเปลือกเลย ทีนี้เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ฝ่ายพ่อเมื่อรู้เรื่องเข้า ก็ไปหาลูกเขยบอกว่าให้พาไปหาพระฤๅษี เราจะขนกล้วยไปขอให้ท่านเสกทองมาให้ ก็ขนกล้วยไปเต็มเกวียนใหญ่ ๆ เลย ฝ่ายลูกเขยก็ทนรบเร้าไม่ได้ ก็พาไป พอไปถึงปั๊บ เขาก็บอกให้พ่อตาคอยอยู่ก่อน ตัวเขาจะเข้าไปดูว่าพระฤๅษีอยู่หรือไม่ เขาก็เข้าไปพบกับพระฤๅษี ท่านก็ร้องถามว่า
?
มาทำไม มีเรื่องเดือดร้อนอะไรอีกหรือ?
?เขาก็ตอบว่า
?
ผมมีเรื่องเดือดร้อนมาครับ ความลับแตกแล้วขอรับ พ่อตาขนกล้วยมา ๓ เกวียนขอรับ จะมาขอให้เสกเป็นทองให้หน่อย?
?
พระฤๅษีท่านก็บอกว่า
?
เออ ๆ ๆ มา ๆ ๆ แต่มีข้อแม้นะ ว่าต้องให้พ่อตาของเอ็งขนกล้วยคนเดียวหมดทั้ง ๓ คันรถเลยนะ?
?แล้วพ่อตาก็ยอมรับปากขนกล้วย เรื่องเล็ก ๆ ระหว่างขนกล้วย แกก็ท่องไปเรื่อย นับไปเรื่อย ทอง ๑ กำปั่นแล้ว ๒ กำปั่นแล้ว ไปเรื่อย ๆ ของแก พอแกขนกล้วยหมดไป ๑ คัน เรี่ยวแรงแกก็ยังดีอยู่ แต่พอเริ่มคันที่ ๒ ชักจะไม่ไหว พอใกล้จะหมดคันที่ ๒ เท่านั้นหละ แขนขาแกก็หมดเรี่ยวแรง พับเพียบแปร้ ลุกไม่ได้ เป็นอัมพาตไป เพราะความโลภอยากได้ ฝ่ายพระฤๅษีนั้นท่านถือสัจจะวาจาเป็นสำคัญ ถ้าตกลงกันไว้ว่าจะทำโดยมีเงื่อนไขอย่างไหน ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระฤๅษีท่านก็เลยบอกว่า
?เราทำให้ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าพ่อตาของเอ็งไม่สามารถจะทำตามคำพูดที่ตกลงกันไว้ได้ พาเขากลับไปเถอะ?
?ลูกเขยก็พาพ่อตากลับไป
พอกลับไปถึงบ้าน พ่อตาก็ไปเล่าเรื่องพระฤๅษีให้ทุกคนฟัง ทุกคนที่ได้ฟัง ก็รุมด่าพระฤๅษีอย่างนั้นอย่างนี้ ด่าว่าท่านเสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งผลจากการพูดจาให้ร้ายผู้มีพระคุณนี้ (พระฤๅษีมีพระคุณที่ช่วยเสกทอง ๒ กำปั่นให้ชายผู้นี้นำมาจุนเจือครอบครัวของเขา แต่ว่าคนในครอบครัวของเขากลับพูดจาไม่ดีต่อพระฤๅษี) มันส่งผลให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทรัพย์สินของพวกเขาก็ค่อย ๆ สลายหายไป ชั่วระยะเวลาไม่ถึงปี เงินที่เขามีจากการทำมาค้าขายก็หายไปหมด เหลือแต่ตัวเท่านั้น บ้านก็ต้องขายไป ไม่มีที่อยู่ คนในครอบครัวบางคนก็ต้องถือกระเบื้องหัก ๆ ขอทานเขากิน บางคนก็เข้าไปในป่าหากิ่งไม้มาเผาเป็นฟืนไปขายในตลาด อีกคนก็เดินไปเก็บเศษข้าวเปลือกที่ร่วงตกอยู่บนพื้นมากิน บางคนก็หนีไป ไม่อยู่ด้วย ไป ๆ มา ๆ ทุก ๆ คนก็ทรุดโทรมลง หมดกำลังใจในการต่อสู้หาเลี้ยงชีวิต ยกเว้นแต่ตัวลูกเขยเท่านั้น ที่ยังมีกำลังเรี่ยวแรงในการทำมาหาเลี้ยงดูพ่อตาแม่ยายด้วยความกตัญญู คอยทำมาหาเลี้ยงคนในบ้าน แม้กระทั่งพ่อตาที่เป็นอัมพาต เขาก็ยังหาเลี้ยง คอยดูแลอยู่ตลอด คนไหนทำอะไรไม่ไหว เขาก็มาช่วยตลอด ตอนเย็นก็มาช่วยพาพ่อตากลับบ้าน
แต่คนเหล่า ๆ นี้ก็ไม่วายที่จะตำหนิติเตียนพระฤๅษีอยู่ตลอด ว่าพระฤๅษีเป็นต้นเหตุ พระฤๅษีเป็นคนใจร้าย เป็นคนทุศีล ไม่ช่วยเหลือกันเลย แต่ลูกเขยก็บอกอยู่ตลอดว่า อย่ากล่าววาจาที่เป็นโทษต่อเราแบบนี้อีกเลย พอเถิด เพราะความโลภของพวกเราแท้ ๆ ที่ทำให้เราฉิบหายแบบนี้ แล้วพวกเขาก็มาต่อว่าว่า
?อย่ามาแก้ตัวแทนพระฤๅษี มึงหนะตัวดีนัก ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน ทำให้ทรัพย์สินต้องสูญหายไป เรื่องมันถึงได้เป็นแบบนี้ ๆ?
?ตาลูกเขยก็คิดว่า คนเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเกื้อกูลอุปถัมภ์ ความดีสักนิดก็ไม่มีอยู่ในใจของเขา เราจะมาอยู่ทรมานแบบนี้เพื่อคนเลวอย่างนี้ไปทำไมกัน สิ่งที่เราทำมามันก็มากพอควรแล้ว เขาก็เลยตัดสินใจที่จะเดินจากออกมา
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Nobody
บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"พ่อค้ากับพระฤๅษี"
«
ตอบกลับ #1 เมื่อ:
27 เมษายน 2009, 00:17:00 »
Tweet
เมื่อเขาเดินจากออกมาแล้ว เขาก็คิดได้ว่า ถึงอย่างไร เขาก็ควรที่จะไปกราบขอบพระคุณพระฤๅษีสักครั้งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อเขาเดินทางไปถึงอาศรมของพระฤๅษี พระฤๅษีก็ถามว่า
?มีอะไรรึ ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า"
ตัวเขาก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้พระฤๅษีฟัง พระฤๅษีก็ทำท่าสลดใจ
สัตว์ทั้งหลายไม่รู้จักคำว่าอิ่มและพอแห่งตัณหา
ถ้าเป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้า ท่านก็ว่า
โลกนี้ตัณหาพร่องอยู่เป็นนิตย์ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น คนโลภก็เป็นแบบนี้ ได้เท่าไรก็ยังโลภ ได้น้อยก็จะเอามาก ได้แล้วไม่ได้ดังที่ตัวเองคิด ก็โทษตำหนิติเตียนผู้อื่น นี่อย่างนี้เป็นคนพาลไหมหละ คนอย่างนี้ไม่ควรคบ คนอกตัญญูหนึ่งไม่ควรคบค้าสมาคม
พอฟังอย่างนั้นแล้วพระฤๅษีก็ถามว่า
?
แล้วเธอจะไปที่ไหนหละ?
เขาก็ตอบว่า
?ผมไม่มีทางไป ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ผมรู้แต่ว่า ผมอยากสงบ อยากจะอยู่อย่างที่ท่านเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อช่วยแนะนำผมด้วย?
พระฤๅษีก็แย้มปากน้อย ๆแล้วชี้ไปที่สระน้ำ แล้วบอกว่า
?เธอจงไปที่สระน้ำ ไปชำระล้างร่างกายให้สะอาดเสียก่อน?
เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จ พระฤๅษีก็ชี้ไปที่กล้วยที่แขวนเอาไว้ บอกว่าให้กินกล้วยเสียก่อน พอกินกล้วยไปแล้ว น้ำตาเขาก็ร่วง เพราะเขานึกถึงเรื่องในอดีต ว่าเป็นเพราะตัวเขา ที่เป็นต้นเหตุของความฉิบหายของญาติพี่น้อง เขาผิดคำพูดที่รับปากว่า จะไม่เล่าเรื่องพระฤๅษีเสกทองให้คนอื่น ๆ ฟัง ตัวเขาไม่ได้มองว่าที่เรื่องมันเกิดขึ้นแบบนี้ มันเป็นเพราะกรรมนะ แต่เขามองว่าเขาเป็นต้นเหตุความฉิบหายของหมู่ญาติ เขากินกล้วยไปก็ร้องไห้ไป เขากินเสร็จก็เดินกลับมาหาพระฤๅษี พระฤๅษีก็บอกว่า
?เธอจงคิดใหม่ซะ สิ่งที่เธอคิดหนะมันเป็นความคิดของเธอ แต่มันไม่ใช่ความเห็นที่เป็นตามจริง?
เขาก็คลายอารมณ์ลง และบอกว่า
?
ผมอยากจะทราบว่าจะมีอะไรถอดถอนความเศร้าหมองภายในใจของผมออกไปได้?
พระฤๅษีก็ชี้ไปอีกแล้วบอกว่า
?เธอจงไปนั่งที่โคนหินข้างหน้าโน้น ห่างจากอาศรมนี้ไปด้านโน้นนะ มันเป็นป่าละเมาะ มันมีโขดหินอยู่นะ เธอไปนั่งคอยอยู่เถอะนะ เดี๋ยวเราจะตามไปสอน?
เขาก็เดินไป พอถึงที่นั่ง เขาก็นั่ง โขดหินมันก็เย็น มีกระแสน้ำลำห้วยรินไหล เสียงก็ดังจ๊อก ๆ เขาก็เอาใจมาจดจ่ออยู่กับสิ่งแวดล้อมอันนี้ สิ่งที่เขาครุ่นคิดภายในใจมันก็เลยหายไปหมด ตัวเขาก็เพลิดเพลินไป แล้วก็หลับตาลง พอหลับตาปั๊บ มันก็มีความสว่างพรึ่บขึ้นมา เขาก็ลืมตาขึ้นมา มองหาว่าแสงสว่างนี้มาจากไหน มีใครถือโคมถือไฟมาหรือเปล่า เขาก็พบว่าไม่มีใคร แล้วเขาก็เลยนั่งหลับตาลงใหม่ ลมก็โชยพัดไปตามเรื่อง มันก็มีความสว่างโพรงขึ้นมาอีก แต่เที่ยวนี้เขามานั่งคิดอยู่ในใจว่า
เราอย่าสะดุ้ง เราอย่าสนใจ ปล่อยไปเถิด จะเกิดอะไรก็ปล่อยมันเถิด ชีวิตเรามันเกิดเรื่องมาเยอะแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่อยากไปวุ่นวายด้วยแล้ว ไม่อยากนึกถึงด้วยแล้ว ปล่อยมันเถอะ
อยู่เหมือนคนแบบทอดอาลัยแล้ว ปลดเปลื้องทุกอย่าง ไม่มีข้างหน้าคืออนาคต ไม่มีข้างหลังคืออดีต แม้แต่ปัจจุบันก็เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรเลย ที่จะพอทำให้จิตใจมันอยู่ในที่ ๆ ควรอยู่ คือมีความสุขบ้าง สบายใจบ้าง เขาแค่ปล่อยใจว่าง ๆ ไม่คิดอะไร แต่มีอารมณ์หนึ่งที่เขาจะได้สัมผัสกับสิ่งรอบตัว มันทำให้เขาสบายใจ จิตมันก็เลยดื่มด่ำความสงบนิ่งไป แสงสว่างที่เห็นในสมาธินั้น มันก็มีอยู่เรื่อยไป จากแสงสว่างจ้าก็เปลี่ยนมาเป็นแสงที่เยือกเย็น เป็นแสงระยิบระยับ เขาก็นั่งหลับตาไม่สนใจ จะเกิดอะไรก็เกิดไปเถิด ฉันไม่สนใจ ที่สนใจอยู่อย่างเดียวก็คืออยากอยู่นิ่ง ๆ ไม่อยากจะทำอะไรแล้ว ปล่อยใจจนลืมตัวไปว่านั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ก็นั่งอยู่จนหินขึ้นตะไคร่หนะ นานแค่ไหนเนี่ย
ฝ่ายพระฤๅษีก็รู้อยู่แล้วว่า ชายผู้นี้เป็นผู้ที่สะสมบุญบารมีมาดีแล้วแต่มีบุพกรรมที่จะต้องเผชิญกับสิ่งที่ทำให้คับแค้นใจ ทรมานจิตใจ พระฤๅษีเข้าใจถึงเหตุและผลที่เขาได้กระทำอยู่นี้ จึงปล่อยให้เขากระทำไปเรื่อย ๆ อย่าว่าแต่ตะไคร่ขึ้นเลย นานจนกระทั่งเสื้อผ้าที่เขาใส่ตะไคร่ก็ยังขึ้น นานจนพระฤๅษีหนะม่องเท่งไปนานแล้ว ท่านก็ยังไม่ลุกไปจากตรงนั้นเลย
นานหนัก ๆ เข้าก็เดือดร้อนพรหมผู้เป็นพ่อมาในกาลก่อน ว่าลูกของเราตะไคร่เกาะเสียแล้ว จะอยู่อย่างนี้ให้มันเกิดประโยชน์อะไร ทำก็เหมือนไม่ได้ทำ เพราะไม่มีจุดหมาย ทำไปอย่างนั้น ปล่อยไปอย่างนั้น ไม่มีความรู้ ไม่มีความคิด ไม่มีการนึกอะไรเลย ปล่อยมันไป หมดอาลัยไปอย่างนั้น แต่ภายในของเขามันก็โพรงสว่าง เรื่องภายในไม่มีความทุกข์ใดมากระทบ เรื่องทั้งหลายไม่เข้าถึงใจ อยู่อย่างนั้นมันโพรง สว่าง สบาย มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น มันเหมือนกับคนที่ถูกเรื่องราวต่าง ๆ มากระทบเยอะแยะแล้วอยู่ ๆ ก็มาถึงจุดที่พักที่มันนิ่งสงบ มันก็ไม่อยากถอดถอนออกไปวุ่นวายเรื่องอื่น แค่นี้พอแล้ว
พรหมผู้เป็นพ่อก็ทนไม่ไหวแล้ว ลูกข้าจะนั่งนานเกินไป พรหมก็ลงมา ซึ่งในการที่จะแหวกสมาธิเข้าไปสู่จิตของคนที่ตั้งอยู่แบบนี้ ให้สะดุ้งหวั่นไหวออกมานั้นมันยากที่สุด แต่ว่าคน ๆ นี้เขามีจุดหนึ่งที่จะสะดุ้งต่อคำ ๆ เดียว ก็คือคำว่า
?ไม่รักพ่อแล้วหรือ??
เสียงก็ลอดเข้าไปในสมาธิได้ ก็คลายตัวลง แล้วเขาก็มานั่งดูตัวเอง นึกว่ามานั่งอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ มาทำอะไร พรหมผู้เป็นพ่อก็เลยพูดมากลางอากาศว่า
?ก็มัวแต่นั่งอยู่อย่างนี้ซิ คนอื่นเขาไปไหน ๆ กันหมดแล้ว เขาบำเพ็ญบารมีกันจนจะเป็นพระพุทธเจ้ากันกี่องค์ ๆ กันแล้วก็ไม่รู้?
พอเขาได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้าขึ้นมา จิตก็เริ่มมีจุดหมายปลายทาง สัญญา (ความจำ) เดิมมันก็ผุดออกมา ก็เลยหันกลับไปตามเสียง แต่ไม่พบใคร แล้วเขาก็นึกว่า
?พระพุทธเจ้า ทำไมชื่อนี้เพราะจัง ทำไมใจเราถึงโหยหาชื่อนี้จังเลย? เราจะมีโอกาสได้พบกับบุคคลชื่อนี้ได้หรือไม่? และทำยังไงเราจึงจะได้พบกับบุคคลชื่อนี้??
ไอ้กำลังของสมาธิหนะ ให้นั่งนานแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้มีความเมื่อยล้าเลย กลับทำให้มีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นมาอีก เขาก็ลุกสะบัดตัว แล้วพบว่าตัวเปลือย เขาก็ลงไปชำระกายในน้ำ แล้วก็หาใบไม้ที่เป็นเยื่อมาคลุมกาย แล้วก็เดินไปยังถ้ำที่พระฤๅษีอยู่ ปรากฏว่ามีผ้าผืนใหม่กองเอาไว้ให้ มีไม้เท้าอันเก่าของพระฤๅษี เขาก็อธิษฐานขอไม้เท้านี้กับพระฤๅษีเพื่อเป็นที่ระลึก แต่ไม่เท้าอันนี้มันเป็นไม้เท้าวิเศษ มันสามารถที่จะทำให้อะไรมันเป็นไปดังใจนึกได้ เขาก็นึกในใจว่า เขาอยากจะไปที่นั่นที่นี่ เขาก็มาถึงได้ทันที เขาก็นึกรู้ว่ามันเป็นฤทธิ์จากไม้เท้าที่พระฤๅษีท่านได้ทำเอาไว้ให้ เขาก็เลยกลับไปที่อาศรมของพระฤๅษี แล้วยกมือวันทาขอบพระคุณท่าน แล้วเขาก็ยกไม้เท้าขึ้นหาทิศทางที่ตัวเองควรจะไป เมื่อจิ้มไม้เท้าลงพื้น ตัวของเขาก็จะลอยขึ้น ไม่ได้เดินบนพื้น เดินผ่านไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีสัตว์ที่ไหนมองเห็นว่าเขาเป็นศัตรูสักนิดเดียว ตัวเขาก็มุ่งหน้าเดินออกไปแสวงหาสิ่งที่เขาต้องการต่อไป
http://tales.me/
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
cmxseed สังคมราตรี
»
หมวดหมู่ทั่วไป
»
ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก
»
CMXSEED ธรรมะ
»
นิทาน เรื่อง"พ่อค้ากับพระฤๅษี"