-->

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔  (อ่าน 3180 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2009, 21:47:19 »

http://grathonbook.net/book/17.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน  ๒๕๔๔   
ณ  บ้านอนุสาวรีย์ฯ 
          ถาม :   การบังคับนี่ก็แสดงว่าไม่ได้เข้าไปแทรก ?
       ตอบ :   ไม่ได้เข้าไปแทรก บังคับอยู่ภายนอก โดยส่งพลังจิตที่สูงกว่าบังคับเข้าไป
       ถาม :   เหมือนการสะกดจิต ?
       ตอบ :   ลักษณะเหมือนอย่างกับว่าตัวเราเป็นหุ่นยนต์ แล้วเขาใช้คลื่นวิทยุบังคับเรา
       ถาม :     ใกล้เคียงกับการสะกดจิต ?
       ตอบ :    ก็คล้าย ๆ กันเลย
       ถาม :     แต่ทีนี้ถ้าพูดถึงเรื่องของการแทรกนี่คือเบียดออกไปเลย ?
       ตอบ :  พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มาร้าย ถ้าหากว่ามาร้ายนี่ส่วนใหญ่จะใช้ลักษณะนี้ บางทีมันจะยึดร่างกายของเราเป็นของมันเลย ยึดรถเราเป็นของมันเลย คราวนี้พวกที่ยึดรถของเราเป็นพวกมันนี่ ส่วนใหญ่แล้วในปัจจุบันนี้ถ้าเรารู้ก็อย่างเช่นพวก ?ผีปอบ? มันอยู่ไม่พอ มันยึดเป็นของมันแล้วก็ไม่ดูแล ไม่รักษาไม่อะไร มันเอาแต่อาศัยกินไปวัน ๆ บางทีร่างกายของเรามันพังแล้ว แต่ว่าสามารถทรงอยู่ได้เพราะสภาพจิตของมันแทรกอยู่ บังคับอยู่ พอมันทิ้งปั๊บตัวคนนั้นตายเดี๋ยวนั้นเลย แล้วเน่าเดี๋ยวนั้นเลยก็มี เพราะว่าจริง ๆ แล้วก็คือตายมานาน เพราะจิตของเขาโดนเบียดมานานแล้ว แต่ว่าตัวนี้มันบังคับอยู่แทนอยู่
       ถาม :    ยังสงสัยอยู่นะฮะ คนที่ถูกเบียดออกไปก็คือไม่รู้ตัว ?
       ตอบ :  อันนั้นจริง ๆ ก็แสดงว่าของเขาต้องมีวาระกรรมของเขาอยู่ วาระกรรมที่เคยเนื่องกันมาทำให้ตัวที่มาแทนเขา สามารถที่จะเบียดเขาออกไปได้ ก็หมายความว่าบางทีอุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนของเขา ทำให้เขาต้องตายลงในช่วงนั้นเลย
       ถาม :     กรรมอะไรคะ ถึงทำให้มีในลักษณะนั้น ?
       ตอบ :    ส่วนใหญ่แล้วอุปฆาตกรรม จะเกิดจากปานาติบาต ฆ่าสัตว์ใหญ่มาต้องใช้กำลังใจสูงในการกระทำ ฆ่าสัตว์เล็ก ๆ ไม่ต้องใช้กำลังใจมาก ฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ใหญ่มาต้องใช้กำลังใจสูง โทษก็สูงไปด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลารับโทษไปแล้ว ดอกเบี้ยที่ตามมาก็แพงหน่อย ถึงตายเหมือนกัน
       ถาม :    จิตดวงนั้นนี่ ไม่เป็นไปตามวาระกรรมหรอกหรือคะ ?
       ตอบ :  เป็นไปตามวาระ เรื่องของวาระกรรมนี่มีก่อนมี หลัง อันไหนมาถึงก็ให้ผลก่อน คราวนี้ว่า ความดีรออยู่ก็จริง แต่อุปฆาตกรรมเข้ามาถึงก่อนก็ต้องไปตามนี้ก่อน พอคุณพ้นจากตรงนี้แล้ว คุณค่อยไปรับความดีต่อ แต่บังเอิญว่าอันนี้มัึนแรงไปหน่อยเราก็เลยตายเลย คราวนี้พอตายก็ต้องดูต้นทุนของเราตอนนั้นว่าดีกับชั่วเป็นอย่างไร สภาพจิตของเราตอนนั้นเกาะอะไร ? เราก็ต้องไปหารถคันใหม่ของเรา
       ถาม :     .........................
       ตอบ :      ถ้าหากว่าหมดอายุ ก็ต้องไปตามทางของเรา ต้องปล่อยให้มันยึดรถไป ไฟแนนซ์ดุ (หัวเราะ) ปัจจุบัน นี้ที่เขาทรงหาที่เป็น ?ของแท้? หมายความว่าบุคคลที่มาดี มาต้องการช่วยเหลือผู้อื่น มาเพื่อสร้างสมบารมีตัวเอง ของแท้นี่อยากจะกล่าวว่าเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระ น่ะหายากมาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของปลอมที่หลอกอาศัยเบื้องสูงเพื่อหากิน
              คราวนี้วิธีสังเกตง่าย ๆ ถ้าเราไม่ได้ทิพจักขุญาณที่จะพิสูจน์ได้ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ก็ให้สังเกตจากการกระทำของท่าน ถ้าเป็นของแท้ในความหมายที่อาตมาพูดไป คือเป็นเทวดา หรือพรหมหรือพระ อันดับแรกท่านจะไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา ส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพ อาจจะเป็นดอกไม้ธูปเทียนหรือว่าเงินบูชาครู ๓ บาท ๙ บาท เต็มที่ไม่น่าจะเกิน ๑๐๘ บาท เหล่านี้เป็นต้น จะไม่ซ้ำเติมให้เราเดือดร้อนยิ่งขึ้น
               อันดับต่อไปก็คือว่าท่านจะมาเป็นเวลา คืออาจจะมาเฉพาะวันอังคาร วันเสาร์ หรือวันพฤหัส ฯ อาจจะมาเฉพาะวันพระใหญ่ หรืออาจจะมา ๓ เดือนครั้ง ๖ เดือนครั้ง ปีละครั้ง เป็นต้น เพราะว่างานของท่านก็มี ไม่ใช่ถึงเวลานึกจะมาก็มา อันไหนมาได้ตลอดเวลาคิดไว้ก่อนเลยว่า ?ปลอม? อันดับต่อไปอันนี้สำคัญที่สุด ถ้าเป็นของอแท้เรื่องที่ท่านรับปากช่วยจะมีผลตามนั้น ถ้าของปลอมหลอกกินอย่างเดียว
              คราวนี้จำง่าย ๆ ว่า ถ้าป็นของแท้ท่านจะไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา บางคนต้องการแค่ดอกไม้ธูปเทียนในการแสดงออกซึ่งความเคารพ ถ้าเราไม่มีท่านก็ใช้ลูกศิษย์ของท่านจัดให้เราซะด้วยซ้ำไป อันดับที่ ๒ ก็คือว่าท่านจะมาเป็นเวลามีวาระจำเพาะของท่าน อันดับสุดท้ายก็คือเรื่องที่ท่านรับปากแล้วจะมีผลตามนั้น อันนี้พิสูจน์ง่าย ๆ สำหรับคนที่ไม่ได้ทิพจักขุญาณแล้วไปพิสูจน์ไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร
       ถาม :  มีเรื่องไม่สบายใจจะสอบถาม ก็คือคุณพ่อผมเพิ่งจะเสียชีวิต เคยได้ยินคนพูด พอดีมาเสียที่โรงพยาบาล ไม่สบายใจที่บอกว่าถ้าเกิดมีคนเสียที่โรงพยาบาลนี่เขาจะหาทางออกไม่ได้ ?
       ตอบ :   ไม่จริงจ้ะ ไม่จริง
       ถาม :    ซึ่งก็เป็นไปตามบุญกรรม ?
       ตอบ :    เป็นไปตามบุญตามกรรมของเขา แต่ส่วนใหญ่คนที่ตายพอจิตออกจากร่างใหม่ ๆ นี่ ยังไม่รู้ตัวว่าตาย มักจะกลับบ้านก่อน ที่บอกว่าหาทางออกไม่ได้ ไม่ใช่หรอกจ้ะ
       ถาม :    แล้วพิธีที่คนจีนเขาถือ พอดีผมมีแผนจะแต่งงาน ?
       ตอบ :   ทำตามไป ไม่ขัดคอเขาจะสบายเอง ถ้าขัดคอเขาเดี๋ยวเป็นเรื่องทะเลาะกัน
       ถาม :     คือเขามองว่าเหมือนกันไม่ดีต้อง ๓ ปี
       ตอบ :   ไม่เป็นไรหรอก รอก็รอ แต่เราอยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ ก่อน (หัวเราะ) ไม่ว่ากัน
       ถาม :     คือจริง ๆ ที่บ้านผมไม่ได้ถือมาก หมายความว่าจริง ๆ มันเหมือนเป็นแค่ธรรมเนียม ใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :  มันก็แค่ธรรมเนียมเท่านั้นเอง คือสมัยก่อนเขาอยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นกฎตายตัวเลยว่าลูกหลานต้องกตัญญูต่อ บุพพการีโดยเฉพาะพ่อแม่ของเรา คราวนี้ว่าเขาให้ไว้ทุกข์ถึง ๓ ปี ถ้าหากว่าช่วงนี้เราไปจัดงานมงคลอื่นซึ่งเป็นงานรื่นเริงหรือว่างานในลักษณะ เฉพาะตัวของเราเองเพื่อประโยชน์ตัวของเราเอง เขาถือว่าไม่ให้ความเคารพบรรพบุรุษ คราวนี้ถ้าเราไม่ได้ถือตรงจุดนั้น เราจะทำอะไรก็ทำไป ๓ ปีรอไหวมั้ย ? ลูกแก่พอดี (หัวเราะ)
       ถาม :     ผมก็เคารพอยู่แล้ว
       ตอบ :  ถ้าหากว่าญาติผู้ใหญ่ของเขา เขายังเห็นตรงจุดนี้เป็นเรื่องสำคัญเราก็คล้อยตามเขานะ แต่งงานมันเป็นแค่พิธีเท่านั้น สำคัญตรงคนอยู่ร่วมกันต่างหากล่ะ แต่งถูกพิธีตีกันบ้านแตกมาเยอะแล้วจ้ะ
       ถาม :     บวงสรวงทำไมเสาร์ห้า ?
       ตอบ :   วันเสาร์ห้า ตามสายครูบาอาจารย์ท่านถือเป็นวันไหว้ครูประจำสายของเรา พิธีบวงสรวงก็คือว่า เหมือนกับรำลึกถึงครูบาอาจารย์ ที่มีเมตตากรุณา สั่งสอนพวกเราสืบ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ลักษณะของงานบวงสรวงที่ทำก็ไหว้ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาเลย เพราะพระพุทธเจ้าต้องเป็นครูใหญ่อยู่แล้ว
       ถาม :     ทำไมต้องใช้เสาร์ห้านี้คืออะไร ?
       ตอบ :  คือวันเสาร์ขึ้นห้าค่ำ ถ้าได้เดือนห้ายิ่งดี ถ้าไม่ได้เดือนห้าเดือนไหนก็ได้แต่ต้องเป็นข้างขึ้นคือ ตามสายครูบาอาจารย์เขากำหนดมาอย่างนั้น
       ถาม :     ไม่มีเหตุผลเลยเหรอคะ ?
       ตอบ :   มีซิจ๊ะ แต่ว่าเหตุผลนี้ยิ่งยอมรับยากใหญ่ อย่างเช่น วันเสาร์ห้านี้เป็นวันแข็งวันที่กำลังสูงอยู่ ถ้าทำอะไรผลประโยชน์ก็จะได้มาก
       ถาม :    ใช่ ๆ คือคนนี่ชอบบอกแต่ว่ากำลังสูง วันแข็ง คำว่า ?กำลังสูง? คำว่า ?วันแข็ง? นี่จริง ๆ แล้ว หมายถึงอย่างไร ?
       ตอบ :  อยู่กับช่วงระยะ จังหวะ เวลา ของการโคจรของดวงดาวเรา ต้องยอมรับว่าโลกของเรามีพลังงาน ดวงดาวทุกดวงมีพลังงานของมันอยู่ จังหวะนั้นวาระนั้นเวลานั้น พลังงานจะหมุนเสริมกันมาสูงกว่า จังหวะอื่น มันเหมือนกับน้ำขึ้นน้ำลง มันขึ้นมันก็ขึ้นเป็นปกติ แต่วันนั้นมันจะขึ้นที่สูงที่สุด อย่างนี้เป็นต้น คราวนี้โบราณาจารย์ที่ท่านมีความรู้ในเรืื่องของโหราศาสตร์หรือว่าดารา ศาสตร์ การโคจรของดวงดาวต่าง ๆ ท่านจับเคล็ดตรงนี้ได้ ท่านก็เอาวันอย่างนี้มาเพื่อประยุกต์ใช้งานไป ไม่แจ่มแจ้งประท้วงได้นะ (หัวเราะ)
       ถาม :    กำลังสงสัยว่าถ้าเกิดพลังงานที่มันได้มาสูงในที่นี้นี่ แล้วเรามีความจำเป็นอะไรจะต้องไปข้องเกี่ยวด้วย ?
       ตอบ :    ในลักษณะของการข้องเกี่ยว คือว่าวันเสาร์ห้าจริง ๆ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ว่าเราทำเพื่อสงเคราะห์คนอื่นด้วย อย่างเช่นว่า คณะศิษย์ที่เขาต้องการที่จะให้การช่วยเหลือบางส่วนที่เขายังขาดอยู่ ถ้าหากมันไม่มากจนเกินไป อย่างเช่นว่า น้ำแก้วหนึ่งมีแค่นี้ ถ้ามันขาดอยู่แค่นี้ ถ้าอาศัยตรงจุดนั้นอาจจะเติมเต็มพอดี สิ่งที่เขาตั้งความปรารถนาไว้ก็จะสำเร็จตามนั้น แต่ถ้าหากว่ามันขาดมาก ๆ ก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน
       ถาม :  เรื่องพูดอย่างนี้ค่อนข้างจะไม่ค่อยเชื่อนะคะ ตรงที่บอกว่าถ้าเราตั้งปรารถนาแล้วเรามาได้ร่วม พิธีตรงนี้นี่จะส่งผลให้เราสมปรารถนา ?
       ตอบ :  อันนี้เราแค่มาดูในลักษณะของบุคคลทั่ว ๆ ไปแล้วกัน อย่างเช่นว่า เราอยู่ในตำแหน่งใหญ่ที่ให้คุณให้โทษคนได้ เราจัดงานขึ้นมาแล้ว บริวารเขามา..พูดง่าย ๆ มาโชว์ตัวให้เราเห็น โดยปกติทั่ว ๆ ไปก็ย่อมพอใจว่าเขายังมางานของเรา มันก็จะเกิดความเมตตามากว่าคนอื่่นเขาขึ้น นี่พูดถึงกำลังใจคนทั่ว ๆ ไปนะ ที่ยังประกอบด้วยอคติเต็มที่เลย
              ขณะเดียวกันคนที่ไม่มา เอ๊ะ....นี่มันไม่เห็นหัวกูนี่หว่า ก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าถึงเวลาถึงวาระที่จะต้องพิจารณาความดีความชอบหรือต้องช่วยเหลือใคร ก็จะช่วยเหลือคนที่เราเห็นหน้ามากกว่า นี่เปรียบเทียบง่าย ๆ อย่างหยาบ ๆ เลย แต่ว่าอันโน้นของเขามันลึกกว่าเยอะจ้ะ
       ถาม :     ที่เขาว่า ฟังดูแล้วมันจะขัดกับหลักของกรรม ใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :   มันไม่ใช่ขัดกับหลักของกรรม จริง ๆ แล้วมันตรงไปตรงมา เพราะว่าบุคคลที่เขามาร่วมพิธี เขาต้องทำกรรมดีมาหรือว่าได้มีส่วนอันนั้นมาร่วมกัน เขาถึงได้มาในพิธีนั้น คนอื่นที่นอกสายไปที่เขาไม่เลื่อมใสในตรงจุดนั้นเขาก็ไม่ได้มาร่วมกัน มันไม่ได้ขัดหรอก มันไปด้วยกันเลยแหละ แต่เพียงแต่ว่าของเราเองลืมมองไป
       ถาม :     คือฟังคำอธิบายขัดกับเรื่องของกรรม ก็เหมือนกับช่วยเหลือเกื้อกูล ?
       ตอบ :    มันมีอยู่ แต่ว่าลักษณะการช่วยเหลือบอกแล้ว ต้องขาดน้อย แล้วลักษณะที่ต้องการช่วยนี่ มันก็เหมือนกับว่าเปิดโอกาสให้คนทุกคนได้ แต่ว่าถ้าหากว่าคนนั้นวาระบุญวาระกรรมของเขาไม่ได้ถึงตรงจุดนั้นเขาก็ไม่ได้ มาร่วมกัน
       ถาม :     ฟังดูเหมือนเกี่ยวเนื่องของการยึดบารมีพระเข้ามาช่วยเหลือ ?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วคือใช้ตัวเอง คนที่มาร่วมพิธีเขาจะต้องมีการภาวนาในลักษณะนั้น ทำกำลังใจในลักษณะนั้น ในเมื่อการภาวนาลักษณะนั้น ทำกำลังใจลักษณะนั้น ก็คือการเติมส่วนที่ขาดให้กับตัวเองนั่นเอง ถ้าหากเราอยู่ที่บ้านบอกให้เขาทำสิ่งแวดล้อมมันไม่ชวนให้ทำ 
              แต่ถ้ามาอยู่ร่วมในพิธีกรรม ซึ่งเขารู้สึกว่ามันขลัง มันศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อมั่นของเขากำลังใจของเขายึดโยงได้ง่าย เขาก็จะทำได้ทำได้ดีด้วย จริง ๆ ก็คือตัวของเขาเอง เพียงแต่ว่าพิธีกรรมนั้นเป็นแต่เครื่องโยงเท่านั้นเอง เขาทำของเขาเอง จะไปตะโกนเรียกร้องให้ใครเขาช่วยก็ไม่ได้หรอก นอกจากการแนะนำเฉย ๆ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้า ท่านบอกแล้วว่าท่านมีหน้าที่แนะเท่านั้น จะทำหรือไม่ทำอยู่ที่ตัวเรา

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2009, 23:27:43 »

http://grathonbook.net/book/17.2.html

ถาม :   ผู้ที่มีบารมีมาก ๆ ที่ไม่ตกนรก เพราะว่าเขาสามารถบังคับจิตใจให้อยู่ในกองกุศลได้ตลอดใช่มั้ย ? 
       ตอบ :   เรียกว่าตลอดก็ไม่ใช่นะ แต่ตอนวาระสำคัญนี้สามารถทำได้ ระวังไว้ก็แล้วกันติดหนี้เขาเยอะ ถึงเวลาถ้ามันทวงทีเดียวอาจจะหมดตัว
       ถาม :  ค่อนข้างจะไม่เห็นด้วยที่บอกว่าเราสามารถบังคับตัวเองได้ให้อยู่ในศีลตลอด การบังคับตัวเอง นั่นก็ดี....(ไม่ชัด)....ใช่ว่ามีตัณหาอย่างเดียว เพราะฉะนั้นศีล....(ไม่ชัด).....?
       ตอบ :  ก็ไม่ได้หมายความตัวของเขาเองทำชั่วแล้วจะพ้นจากความชั่วนั้นโดยที่ไม่มี ความดีมาช่วย อย่าลืมว่า เขาใช้คำว่าเขาทำบุญทำกุศลและจิตใจเขายึดโยงในส่วนที่เป็นกุศลอยู่ สิ่งที่เขาทำเป็นกรรมชั่วมันมีกำลังน้อยกว่า มันยังตามไม่ทัน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเล็ก มันยังตามอยู่ตลอดเวลา ถึงวาระถึงเวลาเมื่อไหร่มันจะสนองทันที เมื่อครู่ถึงบอกเขาว่าระวัง มันทวงทีเดียวหมดตัวเลยแหละ
       ถาม :    ฉะนั้นจะใช้คำว่าบังคับแล้วไม่ตรง ไม่น่าจะใช้ได้
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันใช้ได้ แล้วตรงไปตรงมาที่สุดด้วย คือว่าถ้าหากว่ากำลังใจของเขาในตอนช่วงนั้น มันไม่เศร้าหมอง จิตของเขามีที่ยึดที่เกาะแปลว่าเขาต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก อย่างหนักชนิดที่เรียกว่าของเราเองทำไมถึงแต่ของเขาทำถึง ในเมื่อเขาสามารถทำถึงตรงจุดนั้น ตัวนั้นก็จะเป็นกุศลส่งผลให้เขาพ้นไปก่อนชั่วคราว แต่ไม่ได้พ้นตลอดหรอก เดี๋ยวก็เสร็จ
       ถาม :    แต่มีเงื่อนไขว่าก็แค่ชั่วคราว ใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :    ใช่ ถึงเวลาที่กุศลมันขาดช่วงเมื่อไหร่ก็เรียบร้อยแหละ เขาทวงที่นี้ก็ยาวเลย
       ถาม :    แต่ถ้าเขาทำมาจนชินแล้วก็เกิดใหม่ เขาสามารถจะทำอย่างนั้นต่อไป ?
       ตอบ :  ได้จ้ะ พระที่เข้านิพพานทุกองค์ไม่มีใครใช้หนี้หมด เพียงแต่ว่าสภาพจิตของตัวเองพอถึงเวลาบริสุทธิ์แล้วก็เป็นอันว่าจัดเป็น อโหสิกรรมต่อกันไป มันเหมือนกับว่าน้ำกับน้ำมันที่แยกตัวจากกันโดยเด็ดขาด ไม่สามารถจะปะปนกันได้แล้ว ไม่เหมือนน้ำกับนมจะเทลงไปเมื่อไหร่ก็ละลายรวมกันเลย
       ถาม :  อย่างเวลาพวกพุทธภูมิตายจากสภาพความเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ลงนรก ขึ้นไปบนสวรรค์เขาว่าจะเป็นพรหมเทวดา แล้วเขาจะมีเวลา.....หมายความว่าช่วงระยะเวลาหรือจะมีคนมาเตือนว่าให้ลงมา เกิดอีกหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :  ก็ต้องดูด้วยนะ ว่าของเราเองมีเพื่อนฝูงที่รักกันขนาดนั้นหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าไม่มีเขาก็ไม่มาเรียกเตือนคุณหรอก คุณอยากสร้างบารมีคุณก็ตะเกียกตะกายของคุณเองก็แล้วกัน
       ถาม :    แล้วลงมาจุติได้ตลอดเวลาหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :     ถ้าหากว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจะขยันเกิด ในเมื่อท่านจะขยันเกิดนี่ส่วนใหญ่ท่านจะไม่อยู่นานหรอก มันเสียเวลาสร้างบารมีของท่าน 
       ถาม :     สามารถลงมาเกิดได้เลย ?
       ตอบ :    กำลังของคุณสูง ต้นทุนของคุณมี คุณจะซื้อตั๋วใส่กระเป๋าไปเพื่อจะเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้คนมีตังค์น่ะ
       ถาม :  ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า อย่างคนที่ตายแล้วจิตเศร้าหมองหรือว่ามีกรรมหนักมาก นี่ก็คือจิตมันตกอยู่ในตรงนั้น มันก็เลยลงนรกแน่นอน แต่ถ้าเกิดคนที่แบบทำกรรมความชั่วด้วยนี่ถึงจะหักล้าง อย่างพระยายมราชท่านมีเมตตา ท่านก็เลยส่งคนมาดักแล้วเอาไป แล้วพยายามให้นึกถึงความดีที่ก่อมา ?
       ตอบ :      อันนี้เป็นไปตามที่เราเข้าใจ ที่เราว่ามาน่ะใช่เลย พระยายมไม่ได้มีหน้าที่เอาใครลงนรกแต่พระยายมกันคนไม่ให้ลงนรก เพราะฉะนั้นบรรดาคนที่ตายนะ พอถึงเวลารู้ตัวว่าตาย ต่อให้ไม่มีคนมารับก็พยายามจะตะกายไปหาท่าน
       ถาม :  เคยเห็นวิญญาณ เป็นแพตัวดำ ๆ สูง ๆ ใหญ่ ๆ แล้วก็ถือดาบใ่ส่ผ้าสีแดง ๆ ๒ คน จับคู่กันไม่ทราบว่าเป็นอะไร (แล้วเขามารับเราหรือเปล่าคะ) เปล่าแต่เขามาให้เห็น ?
       ตอบ :     ไม่แน่พวกนั้นอาจจะเป็นพวกที่เขามาดูแลรักษาเราก็ได้ อาจจะเป็นเพื่อนเป็นฝูงหรือเคยเป็นบริวารเก่ามาก็ได้ ถามแสงชัยซิ อาตมากับน้องชาย ๒ คนนอนอยู่ด้วยกัน กลางคืนตื่นขึ้นมาตัวเท่าตึกนุ่งหยักรั้งสีแดงมานอนเบียด เขามาช่วยรักษาเรา แต่เราเป็นเด็กอยู่ ๆ ตัวใหญ่มานอนเบียดด้วย ก็ตกใจร้องไห้กลางคืนบ่อย ๆ พ่อแม่รำคาญฟาดเอาเจ็บตัวไป แล้วเขาก็ตามอยู่เรื่อย ลักษณะเขาตามดูแล แต่ตอนนั้นเราไม่รู้จริง ๆ ว่า เขามาดูแลเรา พอถึงเวลาอย่างเช่นว่าจะไปเก็บฝรั่งกัน ก็ไปนั่งห้อยขาบนต้นฝรั่งตัวเท่าตึก แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะใส่เราอีก เด็ก ๆ เห็นกันทุกคนวิ่งกันตีนพลิกเลย สาปส่งฝรั่งต้นตั้นไปไม่มีใครกล้าขึ้นอีกเลย....กลัวผี
       ถาม :    แล้วทำไมเขาไม่มาแบบสวย ๆ (หัวเราะ) ?
       ตอบ :  นั่นเขามาในชุดทำงานของเขาแล้ว หน้าที่ของเขานี่ ทำงานไม่แต่งเครื่องแบบเดี๋ยวโดนเจ้านายปรับ จริง ๆ เขาไม่ได้มาน่าเกลียดน่ากลัวอะไรหรอกเพียงแต่ว่าตัวเขาใหญ่ ของเราเองพอเห็นคนตัวใหญ่ ๆ แปลกหน้าด้วย ก็ตกใจวิ่งเท่านั้นเอง
       ถาม :   ส่วนใหญ่คิดว่าผี ?
       ตอบ :    ใช่ ส่วนใหญ่คิดว่าผีไว้ก่อน 
       ถาม :    อย่างตานึกไปอย่างนี้ ยังเล็ก ๆ อยู่เลย มีคนมาฉุดมือขึ้นไปน่ะ
       ตอบ :     โบราณเขาเรียกว่า ?แม่ซื้อ? ?แม่ซื้อ? คือเทวดาประจำตัว ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อแม่หรือไม่ก็ญาติพี่น้อง หรือครูบาอาจารย์ หรือว่าเพื่อนฝูงกันในอดีต คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านี้พอตายแล้วไปเป็นเทวดา เมื่อตายแล้วเป็นเทวดาเขายังจำเราได้อยู่ ยังมีความผูกพันอยู่จะพยายามที่จะตามสงเคราะห์เรา อะไรที่ไม่เกินกฎของกรรมท่านพยายามช่วย ลักษณะนั้นล่ะ โบราณเขาเรียกว่า ?แม่ซื้อ? ที่ประเภทไปทำพิธีร่อนกระด้ง ๓ วัน ลูกผี ๔ วัน ลูกคน ลูกของใครรับไปเน้อ แม่ก็รีบบอกลูกของฉันจ้า ผีเลยอดเลย (หัวเราะ)
       ถาม :   ไม่ทำพิธีดีกว่าใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :     เขาเชื่อถืออย่างนั้น เขาก็ทำอย่างนั้น เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่น่าตำหนิ กำลังใจของใครแค่ไหนก็พูดแค่นั้นทำแค่นั้น
       ถาม :     พูดถึงเรื่องคนตาย เวลาคนตายจิตที่อยากจากร่างไปน่ะ จิตจะเหลืออะไรอยู่บ้าง ?
       ตอบ :     อันดับแรกความรู้ความจำของเขา อันดับที่สองสิ่ง นั้นจริง ๆ เป็นของปกติของเขาอยู่แล้ว แต่ว่าในสภาพของมนุษย์ที่เป็นกายหยาบประกอบไปด้วยกิเลส ตัณหาเป็นปกติ ก็จะโดนกดทับเอาไว้ สิ่งนั้นคือ ?ความเป็นทิพย์? ความเป็นทิพย์นี่สามารถรู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่สามารถรู้เห็นได้ อย่างเช่นว่า ถ้าเขามองออกไปข้างนอกนี่จะมองเห็นยาวตลอดไปเลย จะไม่มีตึกรามบ้านช่องมาขวางเขา ในสายตาของเขาก็เหมือนกับที่โล่งไปเลยอย่างนี้
       ถาม :     เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนั้น ?
       ตอบ :  บอกแล้วว่าเขาอยู่ในความเป็นทิพย์ ในเมื่อความเป็นทิพย์ลักษณะก็เหมือนกับคลื่นพลังงาน เพราะฉะนั้นคลื่นพลังงานที่เจาะทะลุทะลวงไปอยู่ตลอดเวลา อย่างปัจจุบันนี้รอบข้างตัวของเราก็เป็นอยู่อย่างนี้ เขาก็ไม่เห็นจะต้องไปหลบไปหลีกตึกรามบ้านอะไรที่ไหน
       ถาม :  คือหมายความว่าเขาเห็นสภาพ คือตัวนี้จะพูดถึงการรับรู้ใช่มั้ยคะ ? มีการรับรู้ เพราะฉะนั้นที่การรับรู้ตัวนี้ เห็นเป็นนึกเป็นอาคารมั้ยคะ ?
       ตอบ :  ถ้าหากต้องการจะรับรู้ลักษณะนั้นก็รับรู้ แต่ถ้าหากเขาไม่ต้องการจะรู้ เขาสามารถเดินทะลุไปเฉย ๆ เลย เพราะว่าในสภาพของเขาแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เหมือนอย่างกับว่าอยู่คนละคลื่นความถี่กันน่ะ แล้วอันดับต่อไปก็คือ ?ตัวเวทนา? คือการเสวยอารมณ์ ก็ยังรับรู้ความสุขความทุกข์ได้เป็นปกติ
       ถาม :    จะเกิดจากอะไร ในเมื่อไม่มีร่างกาย ?
       ตอบ :    เกิดจากในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อย่างเช่นว่า อยู่ในสภาพนั้น ถ้าอุปาทานยัง ยึดถืออยู่ว่า ความรู้สึกทั้งหมดยังเป็นคนอยู่ ถ้าหากว่าไม่มีของกินก็หิว ความรู้สึกตัวนี้จะเกิดของมันเอง เป็น ?จิตตสังขาร? ที่ปรุงแต่งขึ้นมาทำให้เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมา ก็ต้องไปเสาะแสวงหาหากิน ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องมาเที่ยวเสาะหาเอาตามญาติตัวเอง ต้องพยายามแสดงให้เขารู้เห็น ด้วยการทำให้เกิดเสียงบ้าง เข้าฝันบ้าง อะไรบ้าง เพื่อจะบอกกล่าวว่าเขาขาดอันส่วนไหน
       ถาม :     เหมือนกับบอกว่าเขาปรุงแต่งขึ้นมาเอง ถ้าอย่างนั้นนี่การหิวมีจริง เกิดขึ้นจริงมั้ย ?
       ตอบ :     ถ้าหากว่าเขาปรุงแต่งขึ้นมาก็เกิดขึ้นจริงสำหรับเขา ต้องใช้คำว่า ?เกิดขึ้นสำหรับเขา?
       ถาม :     แต่ไม่ได้หิวจริง ?
       ตอบ :     จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าของเขาเอง จิตของเขาประกอบไปด้วยบุญ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปปรุงแต่งตรงส่วนนั้น เขาก็จะไม่เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้น
       ถาม :     คือกุศลเข้าไปหล่อเลี้ยง ?
       ตอบ :  ใช่ ทำให้ความรู้สึกอันนั้นไม่เกิด แต่ถ้าหากว่าเขาขาดตรงส่วนนี้ จิตของเขาจะปรุงแต่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกนี่ขึ้นมา ก็ต้องไปเสาะแสวงหาส่วนที่ตัวเองขาดต่อไป...

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2009, 20:47:47 »

http://grathonbook.net/book/17.3.html

ถาม :    วิธีทำกรรมฐาน กายคตาหรือว่าอสุภะ ทำยังไงให้ถูกต้อง อย่างเช่น นั่งสมาธิก่อนแล้วถึงระดับไหน อะไรอย่างไงคิดอย่างไงคะ ?
       ตอบ :    จริง ๆ ต้องมีสมาธิก่อน เหมือนอย่างกับว่าลับมีดให้คมแล้ว เสร็จแล้วค่อยไปตัด คือ พิจารณา พอเราลับมีดให้คมแล้วพิจารณามันก็จะชัดเจนแจ่มใส เพราะกำลังของสมาธิมันสูงพอ
       ถาม :    อย่างกับนั่งสมาธิ ชั้นฌานสูงสุดที่เราทำได้ แล้วคลายสมาธิ จากนั้นก็พิจารณาไปใช่เปล่าคะ ?
       ตอบ :    จ้ะ พอเราทำเต็มที่แล้วถอยกำลังลงมา แล้วมาพิจารณาพอพิจารณาจนกระทั่ง ?อารมณ์ใจทรงตัว? มันจะภาวนาโดยอัตโนมัติ พอภาวนาไปจนถึงจุดเต็มที่มัน มันก็จะถอยลงมาอีก 
              คราวนี้ถ้าหากว่าช่วงมันถอยออกมา ถ้าเราไม่หาสิ่งที่ดีให้มันคิดมันจะคิดไปทางรัก โลภ โกรธ หลงแทน เราก็เลยต้องควบคุมความคิดของเราให้มันคิดในด้านดี ๆ เข้าไว้ แล้วก็ที่สำคัญที่สุด ?ทำบ่อย ๆ? ?ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก อยู่ในจุดเดิม? ไม่ใช่ทำ ๆ ไปแล้วก็เบื่อแล้วก็เลิก มันจะต้องย้ำจนกระทั่งประเภทที่ว่า ถึงเวลาบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้วมันเชื่อเลย โดยไม่มีการคัดค้านนั่นแหละถึงจะใช้ได้ ไม่ใช่บอกว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ได้อย่างไรวะตีเราก็เจ็บ (หัวเราะ)
       ถาม :    ที่คนพูดถึงเรื่องจิตตสังขารส่วนสัญญาจิตนี้ก็มีความจำของมัน แต่ทำไมเวลาเราแก่ตัวไป ทำไมเราหลงลืมได้ล่ะครับ ?
       ตอบ :  หลงลืมนั้นเป็นเรื่องของสมอง ประสาทร่างกายไม่ใช่จิต จิตมันบันทึกของมันอยู่ตลอด ถ้าหากว่าเราได้รับการฝึกมาดีแล้ว เราสามารถย้อนทวนไปดูเมื่อไหร่ก็ได้ ลักษณะของการย้อนทวน เป็น ?อตีตังสญาณ? หรือไม่ก็ ?ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ? หรือเป็น ?ยถากัมมุตาญาณ? ได้
       ถาม :   อย่างนี้ถ้าเกิดเราไม่ได้อยู่เหตุการณ์นั้นในอดีต เราอยากจะรู้ได้มั้ย ?
       ตอบ :    ได้จ้ะ
       ถาม :    รู้ได้อย่างไงคะ ?
       ตอบ :    เราย้อนอดีตลงไปตรงจุดนั้น กลายเป็นว่าเรากลับเข้าไปดูเหตุการณ์ในเดี๋ยวนี้เลย
       ถาม :    แสดงว่าทุกอย่าง ยังอยู่ของมันอย่างนั้น ?
       ตอบ :  มันไม่ไปไหนหรอก วิทยาศาสตร์เขาก็บอกแล้วไง บอกว่าสสารทุกอย่างไม่ได้สูญหายไปไหนในโลก เพียงแต่แปรสภาพไปเท่านั้น ในเมื่อมันแปรสภาพไปเป็นพลังงาน เราก็ย้อนกลับไปรวบรวมพลังงานนั้นกลับเข้ามาใ้ห้มันอยู่ในรูปที่หยาบให้พอ ที่เราจะรับรู้ได้ มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่เรารู้ขึ้นมาตอนนั้นเดี๋ยวนั้น
       ถาม :   ....................... ?
       ตอบ :    เป็นครูบาอาจารย์เขามันลำบาก หลวงพ่อท่านสอนว่าใครก็ตามที่อยู่ใต้การดูแลของเรา ไม่ว่าจะคนจะสัตว์ต้องดูแลเขาให้มีความสุขอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นอะไรมันเกิดขึ้นมา เราจะกินเองใช้เองมีความสุขอยู่คนเดียว นั่นผิดคำสอนแน่ ๆ เลย ก็เลยต้องเหลือเผื่อเขาอยู่ตลอด ลักษณะเป็น ?ครูบาอาจารย์? เขาเรียกว่า ?พ่อแม่คนที่สอง? ก็เหมือนกับพ่อกับแม่นั่นแหละ ต้องคอยตามจี้ตามเช็ดตามล้างตามถูกันอยู่ตลอดเวลา
              จนกระทั่งประทับใจพุทธวัจนะประโยคหนึ่งที่ท่านกล่าวว่า ?อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เราจักไม่ปฏิบัติต่อพวกเธอเหมือนช่างหม้อที่ปฏิบัติต่อหม้อดินที่ยังเปียก ยังดิบอยู่ด้วยความทะนุถนอม แต่ว่าเราจะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ชี้โทษแล้วชี้โทษอีก บุคคลที่มีมรรผลเป็นแก่นสารเท่านั้นที่จะทนอยู่ได้?
       ถาม :    ทำไมบางอารมณ์ มีโกรธ มีโมโห ......(ไม่ชัด)......... ?
       ตอบ :    พระที่ท่านทำถึงที่สุดแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ได้ไปไหนอยู่กับท่านเต็มที่นั่นแหละ แต่เพียงแต่ว่าที่านมีสติรู้อยู่ และตัดมันตั้งแต่ต้นเหตุมันไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเท่านั้น คราวนี้ว่าถ้าอยู่ในลักษณะที่เรียกว่ามันยังไม่สามารถที่จะตัดมันตั้งแต่ต้น เหตุได้ ยังมีโอกาสเผลอ อารมณ์เหล่านี้มันจะตีกลับทันทีที่มันมีโอกาส มันเหมือนยังกับคุ้นกันอยู่ ถ้าเผลอเมื่อไหร่มันก็ดันเราหงายท้องไป
                เพราะฉะนั้นห้ามเผลอ พระที่ท่านทำถึงตรงจุดนี้ท่าน ก็เลยยิ่งระวังมากกว่าปกติ เพราะว่ากลัวจะเผลอให้พวกนี้มันหลุดขึ้นมางอกงามใหม่ ท่านก็เลยจะทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ
       ถาม :   ตอนแรกเข้าใจว่า อารมณ์ ......(ไม่ชัด)........... ?
       ตอบ :    นั่นความเข้าใจของเราจ้ะ จริง ๆ แล้วมันยังอยู่ นอนยิ้มอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่มันไม่มีเชื้อให้เกิด เพราะท่านไม่ไปเติมเชื้อให้มัน ท่านไม่ไปใส่น้ำมันแล้วไปจุดไฟมัน
       ถาม :    มีอยู่ปัญหาหนึ่ง .............(ไม่ชัด)..........?
       ตอบ :  ตัวนี้เราต้องดูด้วยว่า เราได้รักษาอารมณ์ของเราให้ต่อเนื่องได้นานเท่าไร ส่วนใหญ่สมัยก่อนของเราพอเราไม่เคยชินกับมัน พอได้รับใหม่ ๆ ก็ตื่นเต้น เหมือนกับเด็กเห่อของก็เล่นนานหน่อย คือรักษาอารมณ์นานหน่อย มันก็อยู่กับเรานาน
                แต่พอมาระยะหลัง ๆ ความเคยชิน มันเกิดเลิกเห่อแล้วแต่หารู้ไม่ว่า ถึงเลิกเห่อแล้วคุณก็ต้องประคับประคองอารมณ์นี้เพื่อความสุขของคุณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ว่าเราไม่ได้ประคองมันไว้ มันก็เลยหายไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว
       ถาม :  ก็มี.....(ไม่ชัด).....เขาบอกว่า เอ....คนนี้ไม่ได้คุ้นปฏิบัติ ไม่ได้คุ้นพระนิพพานเลย เขาบอกว่าเวลาที่เขานั่งดูนิพพานในใจ คือเห็นในจิตสำนึกจนถึงขั้นนิพพาน เป็นไปได้มั้ยครับ ?
       ตอบ :    ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ สภาพจิตมันคิดยังไงมันก็เป็นอย่างนั้น แล้วขณะเดียวกันว่า บุคคลที่ท่านได้อภิญญาหรือได้ทิพจักขุญาณ ถ้าหากว่าท่านไปยังสถานที่นั้น เราอยู่ที่นั่นท่านก็เห็นเราไม่อยู่ท่านก็เห็น
       ถาม :    อธิบาย อรูปฌานไว้สั้น ๆ ได้มั้ยครับ ?
       ตอบ :    อรูปฌานถ้าเอาสั้นนี่ตายพอดี เอาเป็นว่าเราต้องศึกษารูปฌานให้ละเอียดก่อนจนกระทั่งถึงฌาน ๔ พอฌาน ๔ มันคล่องตัวแล้ว เราก็ตั้งรูปฌานอันใดอันหนึ่งของเราขึ้นมา คือ องค์กสิน อันใดอันหนึ่งในกสิน ๑๐ ขึ้นมา เสร็จแล้วก็เพิกภาพกสินนั่นเสีย หันมาจับความว่างของอากาศแทน โดยคิดเสียว่ากสินมันยังเป็นของหยาบอยู่ อากาศมันเป็นของว่างมันย่อมละเอียดกว่า เราทำความพอใจในอากาศนั้นแล้วก็รักษาอารมณ์นั้นจนกระทั่งทรงตัวเป็นฌาน ๔ คล่องตัว แปลว่าเราได้อรูปฌานที่ ๑ คือ ฌานที่สมาบัติที่ ๕ 
              เสร็จแล้วก็คลายกำลังนั้นลงมา ตั้งดวงกสินขึ้นมาใหม่ เพิกภาพกสินนั้นเสีย ทำความพอใจในความว่างไร้ขอบเขตของวิญญาณแทน คิดซะว่าอากาศมันยังมีขอบเขต คือวิญญาณ ความรู้สึกยังกำหนดมันได้อยู่ เพราะฉะนั้นวิญญาณต้องดีกว่าละเอียดกว่า ก็ทำความพอใจในความไร้ขอบเขตของวิญญาณนั้นแทน จนกำลังใจเข้าสู่ฌาน ๔ คล่องตัวเต็มที่ของมัน ก็เท่ากับว่าเราได้สมาบัติที่ ๖ คือ อรูปฌานที่ ๒ 
              แล้วหลังจากนั้นก็ถอยกำลังใจลงมา ตั้งภาพกสินขึ้นมาใหม่ เสร็จแล้วก็เพิกภาพกสินนั้นเสียพิจารณาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลางสลายไปในที่สุด สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเลยกระทั่งตัวเราก็ตายหมด จิตจะไม่เกาะอะไรแม้แต่นิดหนึ่ง ถ้าหากว่าอย่างนั้นเขาเรียกว่า เราได้สมาบัติที่ ๗ คืออรูปฌานที่ ๓ และหลังจากนั้นก็คลายกำลังลงมา พอมันทรงตัวเต็มที่มันจะเท่ากับฌาน ๔ หมดนะทุกขั้นตอน 
              แล้วเราก็คลายตัวของเรา ลงมาตั้งภาพกสินขึ้นมาใหม่ คราวนี้ก็กำหนดใจของเราว่าสิ่งที่ควรรับรู้ เราก็ไม่ต้องการรับรู้มัน เพราะว่าอาการของการรับรู้นี่้มันก็ยังเป็นทุกข์เป็นโทษอยู่ เสร็จแล้วเราก็ใช้กำลังของสมาธิในการข่มกลั้น แล้วก็เรียกง่าย ๆ ว่า ก้าวล่วงข้ามเวทนาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเรา อย่างเช่นว่าร้อนก็ต้องทำเป็นไม่ร้อน หนาวก็ต้องทำเป็นไม่หนาว หิวก็ทำเป็นไม่หิว กระหายก็ทำเป็นไม่กระหาย
              เนื่องจากว่าตัวกำลังสมาธิมันสูงอาการเหล่านี้เราจะสามารถที่ผ่านมันพ้นไป ได้ พอทรงตัวคล่องตัวเป็นฌาน ๔ เมื่อไร เราก็ได้สมาบัติที่ ๘ คืออรูปฌานที่ ๔ อันนี้ถือว่าอธิบายอย่างหยาบที่สุดเลยนะ แล้วยังมีคำภาวนาต่างหากของมันอีก อย่างเช่นว่า อากาสาอนันตา สำหรับสมาบัติที่ ๕ วิญญานัง อนันตัง สำหรับสมาบัติที่ ๖ นัตจิกิญจิ สำหรับสมาบัติที่ ๗ แล้วก็ เอตังสันตัง เอตังปณีตัง สำหรับสมาบัติที่ ๘ จะเป็นคำภาวนาเฉพาะของเขา
       ถาม :    ในคำภาวนั้นและอารมณ์ต้องเป็นไปตามนั้น ?
       ตอบ :  อารมณ์จะต้องเป็นไปตามนั้นด้วยมันดีตรงที่ว่า ลักษณะคล้าย ๆ การพิจารณา แต่การใช้กำลังของฌาน เพื่อพิจารณาอันนั้ันมันจะทรงฌานให้ได้
       ถาม :   สงสัยมานานแล้ว เพราะว่าอรูปฌานในตอนเช้า เข้าโดยไม่ได้ตั้ง ..........(ไม่ชัด)........ให้พิจารณาธรรมไปก่อน ?
       ตอบ :    ของเรานั้นแสดงว่าของเก่ามันต้องมีอยู่แล้ว พอต้นทุนเก่ามันมี มันปึ๊กเดียว มันก็เข้าเลย
       ถาม :    (ถามเกี่ยวกับเรื่องลูกถูกรถชนจะทำอย่างไรดี)
       ตอบ :    ทำอย่างไรดี ....จริง ๆ แล้วมันน่าจะสะเดาะเคราะห์ด้วยการทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็นกัน ซะยกหนึ่ง ทีนี้เรามาถามช้าไป พรุ่งนี้จะกลับแล้ว ไปให้พระที่ไหนทำก็ได้ บอกเขาว่าช่วยทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็นให้หน่อย ซื้อผ้าขาวไปซักเมตรครึ่ง สองเมตร
       ถาม :   วัดไหนก็ได้ใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :  จ้ะ วัดไหนก็ได้ท่านทำเป็นทั้งนั้นล่ะ มันเป็นการตัดกรรมอย่างหนึ่ง ช่วงนี้ช่วงใกล้วันเกิดเขาด้วยหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าใกล้วันเกิดนี่ ก่อนเดือนหลังเดือนต้องระวังให้ดีเพราะ ก่อนเดือนหลังเดือนนี่มันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะเกิดช่วงนั้นล่ะ ถ้าหากว่าเกิดเดือนตุลา ก็เท่ากับว่ากันยากับพฤศจิกาต้องระวังด้วย
       ถาม :   ...........................
       ตอบ :   (หัวเราะ) รีบ ๆ แก้ เดี๋ยวมันจะหนักกว่าเดิม คือช่วงวาระเก่ากับใหม่กำลังเปลี่ยนแปลงนี่ มันเหมือนกับช่วงเปิดช่องว่าง อะไรที่ไม่ดีมันจะแทรกได้ง่าย ไม่ยากหรอกใกล้ ๆ วัดไหนก็ได้ ถ้าไม่แน่ใจไปถามท่านก่อนก็ได้ว่าทำได้มั้ย ถ้าท่านบอกว่าทำได้ก็เอาเลย
       ถาม :     บังสุกุลเป็นบังสุกุลตายใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :    จ้ะ บังสุกุลเป็นบังสุกุลตาย มันเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ เคราะห์กรรมทั้งหลายมันก็ตายไปด้วย ไม่เกี่ยวกับเรา ใช้ผ้า ๑ เมตรครึ่ง จะเอาดอกไม้ ธูป เทียนไปด้วยก็ได้แล้วใส่ซองให้ท่านซะหน่อย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2009, 01:09:58 »

http://grathonbook.net/book/17.4.html

ถาม :  มีเพื่อนที่ได้ทำการปฏิบัติธรรมแล้วเขามีความรู้สึกว่า การปฏิบัติธรรมของเขาไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย พอปฏิบัติธรรมแล้วก็เหมือนกับอยู่กับที่ เขาได้พยายามทำสมาธิเองอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ก้าวหน้าขึ้น พอจะมีข้อแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้เขามีความก้าวหน้าบ้างมั้ยคะ ?
       ตอบ :   ลักษณะการปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้ามันประกอบด้วยสาเหตุอยู่ ๓ ลักษณะด้วยกัน อย่างแรก ทำเกิน อย่างที่ ๒ ทำขาด ถ้าทำพอดีก้าวหน้าทุกคน ทำเกินก็คือเคร่งเครียดจนเกินไป สภาพร่างกายมันไปไม่ไหว ทำขาดก็คือ ขี้เกียจจนเกินไป มันก็เลยไม่ก้าวหน้าด้วย 
                เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องทำให้พอดีถึงจะก้าวหน้า ตัวพอดีพระพุทธเจ้าตรัสว่า มัชฌิมาปฏิปทา คราวนี้คำว่ามัชฌิมา พอดีตรงกลางนี่ไม่มีอัตราตายตัวว่า ๕๐% เป๊ะ มันจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจิตใจของเราที่ได้รับการฝึกมา 
              ดังนั้นว่าของคนผู้หนึ่งมัชฌิมาปฏิปทาของเขาอาจจะนั่งตลอด ๓ วัน ๓ คืนเลย แต่ว่าของเราเอง ๓๐ นาทีก็แย่แล้ว ดังนั้นการปฏิบัติแรกเริ่มถ้าหากว่าเราภาวนาแล้วรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้วอย่า เพิ่งเชื่อมัน ให้ลองฝืนดูนิิดหน่อย ถ้าฝืนแล้วไปต่อได้ก็โอเค นี่โกหกแน่เมื่อกี้นี้แสดงว่าเป็นตัวถีนมิทธะนิวรณ์ มาหลอกให้เราขี้เกียจ 
              ถ้าหากว่าฝืนแล้วไปต่อได้ก็ควรจะตั้งเวลาไว้สักครึ่งชั่วโมงหรือว่าไม่เกิน ๑ ชั่วโมงแล้วพัก ถ้ามากเกินไปกว่านั้นบางทีมันเป็นการทรมานตัวเองมากเกินไป ยกเว้นบางท่านที่ต้องการดูเวทนา ต้องการจะแยกจิตแยกกายดูว่าอาการของมันเป็นอย่างไร อย่างนั้นเขานั่งกันข้ามวันข้ามคืน นั่งกันจนก้นแตกกันไปข้างหนึ่ง
                อีกอย่างหนึ่งที่ปฏิบัติไปแล้วไม่ก้าวหน้าก็คือ บางทีจะเน้นแต่สมาธิอย่างเดียว ตัวสมาธิกับตัวปัญญามันเหมือนกับคนที่ผูกขา ๒ ข้างด้วยโซ่เส้นหนึ่ง ถ้าหากว่าสมาธิไปแล้วปัญญาไม่ตามมันก็เหมือนกับเดินไปสุดแล้วโซ่มันกระตุก กลับ ดังนั้นเมื่อภาวนาจนอารมณ์เต็มแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเต็มที่ ก็มันถึงจุดสุดแล้วไม่สามารถไปต่อแล้วอารมณ์มันจะคลายออกมา
                ตอนอารมณ์มันคลายออกมาสำคัญที่สุดถ้าหากว่าเราไม่ บังคับให้มันคิดในสิ่งที่ดี ๆ มันก็จะคิดไปในทางรักโลภ โกรธ หลง พาเราฟุ้งซ่านไปเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมันถอยออกมาเราก็ให้คิดในวิปัสสนาญาณ คือให้คิดพิจารณาให้เห็นในความเป็นจริง ว่าสภาพร่างกายก็ดี โลกเราก็ดี มันประกอบไปด้วยไตรลักษณ์ คือความเป็นจริง ๓ อย่าง ว่า ๑. มันไม่เที่ยง ๒. มันเป็นทุกข์ ๓. มันไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเขาเราได้ หรือไม่ก็พิจารณาตามแนวอริยสัจ อริยสัจนี่จับแค่ทุกข์กับเหตุของการเกิดทุกข์เท่านั้น ถ้าเรารู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไรแล้วไม่สร้างเหตุนั้นทุกข์ก็ดับ ถ้าทุกข์ดับให้เรียกว่า นิโรธ ระหว่างที่เราปฏิบัติเขาเรียกว่า มรรค คือหนทางเข้าถึงการดับทุกข์
                เพราะฉะนั้นว่าเราจับแค่ทุกข์กับสมุทัย ๒ ตัวเท่านั้น หรือไม่ก็พิจารณาตามแบบของวิปัสสนาญาณ ๙ คือ พิจารณาให้เห็นอย่างเช่น อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นการเกิดแล้วดับ ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นว่าทุกอย่างดับหมด ภยตูปัฏฐานญาณพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้มันเป็นโทษเป็นภัยเป็นของน่ากลัว จนกระทั่งไปถึงสังขารุเบกขาญาณ คือการปล่อยวางในสังขารทั้งปวง และสัจจานุโลมิกญาณ คือพิจารณาย้อนต้นทวนปลาย ทวนปลายย้อนต้นกลับไปกลับมาให้พิจารณาอยู่ในลักษณะนี้
              การพิจารณามีประโยชน์มากตรงที่ว่า เมื่อจิตมีงานทำไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญาจับเฉพาะหน้า สติดำนินตามไป จิตมันจะดิ่งกลับไปเป็นสมาธิอีกระดับหนึ่งพอมันเป็สมาธิถึงระดับนั้นปุ๊บ เราภาวนาต่อเลย มันก็จะทรงตัว ก้าวล่วงลึกเข้าไปอีกระดับ แต่ว่าพอก้าวไปถึงจุดตันมันจะถอยมาอีกทีหนึ่ง ก็ตอนนี้ปัญญาเดินหน้า พอถึงจุดตันโซ่มันติดแล้วมันจะกระตุกขากลับ เราก็ก้าวไปอีกต่อ คือภาวนาคือสมาธิ เมื่อภาวนาไปถึงเต็มที่คราวนี้มันจะกระตุกกลับอีกแล้ว เราก็พิจารณาต่อไป ถ้าทำดังนี้ได้จะก้าวหน้า
              ถ้าหากว่าเว้นไปจากเรื่องทั้งหลายเหล่านี้แล้ว บางทีทำเท่าไหร่ก็พอ มันไปตันก็โดนกระตุกกลับ ไปตันก็โดนกระตุกกลับ มันก็เลยไม่ก้าวหน้า ให้เขาพิจารณาด้วย ว่าตัวเองทำแล้วเหตุที่ไม่ก้าวหน้าเกิดจากเหตุอะไร แล้วแก้ไข
       ถาม :  แล้วอย่างที่ตัวของตัวเองเวลาถึงจุดสมาธิเข้าช่วงที่จะกระตุกกลับ ของตัวเองนี่ในลักษณะเดินสมาธิพิจารณาสังขารนี่ทุกข์ อันนี้ไม่ทราบว่าจะพอใช้ไ้ด้มั้ยคะ ?
       ตอบ :    ก็ถ้าหากว่าสภาพจิตมันยอมรับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราจริงก็ใช้ได้ แต่ว่าการ ปฏิบัติในลักษณะของการภาวนา หรือว่าพิจารณาก็ตามต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่หัวข้อเดียว ห้ามเบื่อเด็ดขาดจนกว่ามันจะตัดกันไปข้างหนึ่งหรือยอมรับกันไปข้างหนึ่งเลย ถ้าหากว่าเราเบื่อเสียก่อนที่มันจะยอมรับนี่เราแพ้เขา ตรงจุดนั้นจะไม่ก้าวหน้าถึงที่สุด ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกห้ามเบื่อเด็ดขาดจนกว่าจะชนะกันไปข้างหนึ่ง
       ถาม :  ทีนี้ขั้นตอนแล้วก็ลำดับในการทำสมาธิที่บอกว่า เริ่มจากที่จิตไม่สงบฟุ้งซ่านแล้วเข้าสู่การทำสมาธิในแต่ละขั้นตอนเขามีชื่อ บอกในแต่ละขั้นอย่างไรบ้างคะ ?
       ตอบ :    จะเริ่มจากตัวขณิกสมาธิ คือเริ่มจากสมาธิเล็กน้อย ต่อไปอุปจารสมาธิ ใกล้จะเป็นสมาธิแล้วใกล้ฌาน แล้วก็อัปนาสมาธิแปลว่า สมาธิแนบแน่น ก็เริ่มจากปฐมฌาน คือความเคยชินขั้นที่ ๑ ทุติยฌานคือความเคยชินขั้นที่ ๒ ตติยฌาน คือความเคยชินขั้นที่ ๓ จตุตถฌาน ความเคยชินขั้นที่ ๔ 
                แล้วหลังจากนั้นถ้าเราทำอรูปฌานต่อ ก็จะเป็นอากาสานัญจายตนฌาน คือการละรูปไปพิจารณาอากาศ วิญญานัญจายตนฌาน คือการละจากรูปไปพิจารณาวิญญาณ อากิญจัญญายตนฌาน คือการละจากรูปไปพิจารณาความไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วก็เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน คือการละจากรูปไปไม่จับทั้งการมีสัญญาหรือไม่มีสัญญา รวมแล้วจะเป็นเรียกว่า สมาบัติ ๘ คือการเข้าถึง ๘ ขั้นตอน 
              คราวนี้มันจะมีพิเศษว่า ถ้ากำลังของเราสูงกว่านั้นสามารถเข้าถึงระดับอนาคามีและทรงสมาบัติ ๘ เป็นปฏิสัมภิทาญาณ เราจะได้อีก ๒ สมาบัิติ เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า นิโรธสมาบัติ
       ถาม :     แล้วเป็นยังไงคะ ?
       ตอบ :  อธิบายยาก นิโรธสมาบัติจะเป็นลักษณะของการที่จิตของเราจับนิ่งอยู่เฉพาะที่ อาจจะเป็นที่พระนิพพานอยู่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่าเคลื่อน อยู่ตามภพภูมิต่าง ๆ ก็ได้แล้วแต่เราต้องการ แต่ว่าทั้ง ๒ สภาพนั้นตามที่ว่านั้นจิตจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกายแม้แต่นิดเดียว สัญญาเวทยิตนิโรธ แปล ว่าการดับเสียซึ่งสัญญาและเวทนาทั้งปวง เหมือนกับคนตายดี ๆ นี่เอง เขาว่ากันทีหนึ่ง ๗ วัน ๑๕ วัน ความจริงจะมากเกินกว่านั้นก็ได้ เพราะกำลังมันพอ พระพุทธเจ้าไม่แนะนำให้ทำเนื่องจากว่าร่างกายที่อดอาหารนาน ๆ มันจะฟื้นคืนได้ยาก ยิ่งอายุมาก ๆ อาจจะป๊อกไปเลย
       ถาม :     ทีนี้ถ้าเราใช้สมาธิช่วยในการเจ็บบรรเทาปวดหรือการรักษาเกี่ยวกับร่างกายของเรา การเดินสมาธิแบบนี้จะต้องทำอย่างไรบ้างคะ ?
       ตอบ :   ทำให้สูงสุดเท่าที่เราทำได้ โดยเน้นตรงอานาปานสติ คือลมหายใจเข้า-ออกของเรา ถ้าหากว่าเรามีความชำนาญคือเข้าฌานไปเลย ทันทีทีี่ถึงปฐมฌานความ รู้สึกที่เกิดขึ้นกับทางกายก็จะเป็นส่วนของกาย จิตของเราจะเป็นส่วนของจิต คือจิตกับกายมันแยกจากกัน ในเมื่อจิตกับกายเริ่มแยกจากกัน ยิ่งเข้าสู่สมาธิสูงมากเท่าไรก็ยิ่งแยกห่างขึ้นเท่านั้น อาการรับรู้ที่เกิดขึ้นกับร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็จะขาดลงเหมือนกับไม่ ป่วย
       ถาม :     จะรักษาตัวได้ก็เฉพาะตอนที่เราทำสมาธิหรือคะ ?
       ตอบ :   ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวอยู่ก็จะสามารถระงับ อาการของร่างกายได้ตลอดเวลา แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นต้องซักซ้อมหาความชำนาญให้มากไว้ ไม่อย่างนั้นเวลาเกิดเวทนาแรงกล้าขึ้นมาบางทีก็จะสู้มันไม่ไหว
              เนื่องจากว่าสมาธิของเรามันเป็นเครื่องอาศัยที่มันก็มีเกิดมีเสื่อม ถ้าสภาพร่างกายมีร้อนเกินไป หนาวเำิกินไป หิวเกินไป เหนื่อยเกินไป หรือว่าเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยบางทีมันไม่เอากับเราเลย
       ถาม :    อย่างที่เขาใช้สมาธิรักษามะเร็งได้นี่จริงมั้ยคะ ?
       ตอบ :    จริงจ้ะ แต่อันนั้นต้องหมายถึงว่ากรรมของเราไม่หนัก เพราะว่า ถ้าโรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่างต้องรักษาจะหายถ้าไม่รักษาถึงตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย
       ถาม :     ทีนี้อย่างคนที่เจ็บป่วยนี่ แล้วเขามีการใช้พลังจักรวาลช่วยรักษา อย่างนี้จะเป็นการฝืนกฎของกรรมหรือไม่คะ ?
       ตอบ :  จะเรียกว่าไปฝืนก็ไม่ได้ เพราะถ้าเขาทำได้ก็แปลว่ากำลังบุญของเขายังมีอยู่ ในเมื่อกำลังบุญของเขามีอยู่เพียงพอที่ทำได้ ไม่ถือว่าเป็นการฝืนกฎของกรรม
       ถาม :    คือบางทีนี่มีการส่งพลังไปจากตัวเราไปให้กับอีกคน กับการที่ให้เขาทำเองโดยที่เขาฝึกของเขาเองนี่ อันไหนจะดีกว่ากันคะ ?
       ตอบ :  ส่วนใหญ่ไปถามที่คนป่วย มันก็จะให้เขาทำให้จะดีกว่า แต่ถ้าให้เขาฝึกได้เองต่อไปเขาไม่ต้องพึ่งใคร ดังนั้นการฝึกได้เองสมควรว่าดีกว่าแน่นอนกว่า แล้วเราเองก็เหนื่อยน้อยกว่าคนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เท่าที่ผ่านมาจะให้ช่วยท่าเดียว

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2009, 04:51:39 »

http://grathonbook.net/book/17.5.html

ถาม :   วันก่อนที่ถามเรื่องการทำกสิณ จดไม่ทันค่ะ กลับไปที่บ้านแล้วอ่านก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง รบกวนด้วย ?
       ตอบ :   กสิณ แปลว่า การเพียรเพ่งอยู่เฉพาะหน้า กสิณมีทั้งหมด ๑๐ กองด้วยกันแบ่งเป็นธาตุกสิณ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นวรรณะกสิณ ๔ ก็คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง สีเขียว แล้วก็มีอีก ๒ อย่างเป็น อากาศกสิณกับอาโลกกสิณ คือ กสิณของความว่างกับกสิณแสงสว่าง เราจับอันใดอันหนึ่งขึ้นมาก่อน โดยตั้งวัตถุนั้นอยู่ตรงหน้าเรียกว่า ดวงกสิณ 
               อย่างเช่นถ้าหากว่าจะทำปฐวีกสิณ ก็ต้องกำหนดต้องทำดวงกสิณขึ้นมาก่อนเพื่อที่เราจะได้มองได้ เพ่งได้ กำหนดใจได้ การทำดวงกสิณในสมัยโบราณท่านใช้ผ้าสะดึง ก็คือว่าขึงผ้าให้ตึง เสร็จแล้วดวงกสิณของท่านก็จะเอาดินซึ่งสมัยก่อนเขาใช้ดินขุยปู ซึ่งเขาเรียกดินสีอรุณ คือค่อนข้างจะออกไปทางสีส้มอ่อน เอามาละเลงเป็นวงกว้างประมาณ ๒ คืบ ๔ นิ้วเบ้อเร่อเลย แต่ว่าของเราเองไม่จำเป็นต้องทำให้ลำบากขนาดนั้น ถ้าเราหากดินสีอรุณได้ เอามาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอเหมาะพอใจของเราก็ได้ ตั้งดวงกสิณนั้นเอาไว้ในภาชนะหรือว่าสถานที่ ๆ เรานั่งตัวตรงแล้วมองได้สบาย ๆ อยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ตั้งใจลืมตามองภาพกสิณนั้นแล้วกลับตาลงนึกถึงภาพ ไม่ใช่ไปนั่งจ้องภาพกสิณนั้นตลอด มองแล้วก็หลับตาลง มันจะจำได้อยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับคำภาวนา
              ถ้าหากว่าเป็นปฐวีกสิณ ก็ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณัง ควบกับลมหายใจเข้าออก ว่าอย่างนี้ไปเรื่อย พอภาพมันเลือนหายไปก็ลืมตามองใหม่ กำหนดจำพร้อมกับคำภาวนา หายไปก็ลืมตามองใหม่ ทำอย่างนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ภาพนั้นก็เริ่มที่เราจะจำได้ยาวนานขึ้น ลืมตาก็นึกออก หลับตาก็นึกได้
              ถึงขั้นตอนนี้แล้วจะสำคัญมากอยู่ที่ว่าเราเองต้องประคับประคองเอาไว้ เผลอสติเมื่อไหร่ภาพนั้นจะหายไป ถ้าเราสามารถประคับประคองได้ตลอดเวลาไม่ว่าไปทำอะไรแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่ง นึกไว้ตลอด ความรู้สึกส่วนนี้อาจจะเป็น ๒๐ หรือว่า ๓๐% ส่วนอีก ๗๐-๘๐% นั้นบังคับร่างกายเราให้ทำหน้าที่เป็นปกติของเราไป
              เมื่อนึกถึงอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาภาพนั้นก็จะเปลี่ยนจากสีปกติก็จะค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นสีเหลืองอ่อน จนกระทั่งกลายเป็สีขาว กลายเป็นสีแก้วกลายเป็นแก้วใส จนกระทั่งกลายเป็นแก้วใสสว่างจ้า ถ้าหากว่าถึงจนเป็นแก้วใสสว่างเจิดจ้าแล้วเราลองอธิษฐานดูว่าให้ภาพนั้นขยาย ใหญ่ได้มั้ย ? ให้เล็กลงได้มั้ย ? ให้หายไปได้มั้ย ? ให้กลับคืนมาใหม่ได้มั้ย ? ถ้าสามารถทำตรงนี้ได้คล่องตัวก็แปลว่า เราเริ่มอธิษฐานใช้ผลของกสิณได้แล้ว ก็ซ้อมการใช้ผลของกสิณให้ชิน เป็นต้นว่าถ้าใช้ผลของปฐวีกสิณก็ใช้ผลทำให้ของอ่อนให้แข็ง เช่น น้ำให้ตั้งใจอธิษฐานเช่นว่า เอาน้ำมาแก้วหนึ่งให้อธิษฐานว่า น้ำแก้วนี้ให้แข็งเหมือนกับดิน เสร็จแล้วก็ให้ตั้งใจเข้าฌาน ๔ พอคลายออกจากฌาน ๔ ออกมาอธิษฐานอีกครั้งหนึ่งว่า ให้น้ำแก้วนี้แข็งเหมือนกับดิน เข้าฌานแล้วพอคลายออกมาคราวนี้มันจะแข็งไปเลย
              เมื่อทดสอบอย่างนี้แล้วก็ให้ทดสอบกับของที่ใหญ่ขึ้นเพื่อความคล่องตัว พอทำจนกระทั่งคล่องตัวแล้วสามารถที่จะใช้ผลของกสิณเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างเ่ช่นเราจะเดินขึ้นบนอากาศเหมือนยังกับมีบันไดก็ได้ อธิษฐานว่าให้อากาศทุกจุดที่เท้าของเราเหยียบนี้จงมีความแน่นหนาเหมือนกับ พื้นดินแล้วเราก็ก้าวเดินไป หรือว่าเดินข้ามน้ำก็อธิษฐานว่าขอให้น้ำที่เท้าเราเหยียบมีความแข็งเหมือน ดินแล้วก็ก้าวเดินไป พอมันชำนาญแล้วเราค่อยย้ายไปกองอื่น กองแรกจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด โดยเฉพาะตอนรักษาอารมณ์ของมันเอาไว้ประคับประคองไม่ให้ภาพมันหาย อยากจะเปรียบว่าเหมือนกับเลี้ยงลูกแก้วไว้บนปลายเข็ม พลาดเมื่อไหร่ตกแตกเมื่อนั้นก็ต้องเริ่มต้นนับ ๑ กันใหม่
              คราวนี้พอได้กองแรกแล้วกองอื่นสบายมาก เพราะว่าอารมณ์ใจคล้าย ๆ กันหมด ใช้กำลังเท่ากันหมด แล้วทุกอย่างก็ต้องกำหนดภาพกสิณขึ้นมาเหมือนกัน สมัยที่ซ้อมทำอยู่ถ้าเป็นกสิณสีจะเอาสีมาพ่นใส่กระดาษ อย่างสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว พอพ่นเสร็จก็เอาจานคว่ำ มีดโกนกรีดเข้ากลมป๋องเลย แล้วก็แปะข้างฝา แปะหลังคามุ้ง ข้าง ๆ มุ้ง พูดง่าย ๆ ว่า หันไปข้างไหนก็ต้องเห็น จนกระทั่งพี่ ๆ น้อง ๆ เขาว่าเป็นบ้าไปแล้ว ก็ทำดวงกสิณของเราไว้ จะฝึกอันไหนก็ทำอันนั้น มันยากอันแรกแล้วหลังจากนั้นก็ง่าย ถ้ากสิณ ๑๐ คล่องตัวนี่จะทำอะไรพิลึกพิลั่นพิสดารได้เยอะต่อเยอะด้วยกัน
       ถาม :  ขอถามเรื่องการทำสมาธิของตัวเองค่ะ คือเวลาทำไปแล้วนี่กายของตัวเองอยากจะเข้าไปหา..........พอเปลี่ยนกายตัวเอง นี่สภาพกายที่เปลี่ยนนี่มีการขยายขนาด ลักษณะกายขยายขนาดเปลี่ยนจากคนกลายเป็นองค์พระเป็น..........(ไม่ชัด )........แล้วก็มีการแยกออก..........(ไม่ชัด).......ได้ก็เลยสงสัยว่าเป็น อะไรคะ ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าลักษณะนั้นก็แสดงว่าเราเคยฝึกกสิณมาเหมือนกัน ลักษณะเดียวกันอาทิสมานกาย คือกายในของเรา มันจะเต็มบุญเต็มบารมี เต็มกำลังใจหรือกำลังความดีที่เราทำได้ตอนช่วงนั้น ส่วนใหญ่ถ้าเราสามารถรู้เห็นอาทิสมานกายตัวเองได้ก็คือเราต้องเป็นผู้ทรงฌาน กายในจะเหมือนกับกายพรหม ถ้าเราทรงความดีมากขึ้นเท่าไหร่กายในก็จะสว่างมากขึ้นเท่านั้น
              ดังนั้นที่ว่าเวลากายในของเราเปลี่ยนเหมือนกับองค์พระแต่งองค์ทรงเครื่องอาจ จะเหมือนกับพระแก้วทรงเครื่องก็ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แล้วตรงจุดนี้นี่แหละจะเป็นจุดที่วัดได้ง่ายที่สุดเลยว่าตอนนั้นความดีของ เราั้นั้นก้าวหน้าขึ้นหรือว่าเลวลง ถ้าก้าวหน้าขึ้นกายในก็จะสว่างสดใสขึ้น เครื่องประดับก็จะแพรวพราวมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าถอยหลังบางทีมันก็มืดก็มัวก็ดำหรือไม่ก็เปลี่ยนสภาพไปเลย
       ถาม :      อย่างนี้เราก็สามารถดูได้ซิคะ ?
       ตอบ :   สามารถดูได้ สภาพของมันจะเป็นไปตามบุญตามบารมีที่เราทำได้ในช่วงนั้นเนื่องจากว่า เรายังเป็นโลกียบุคคลอยู่ มันก็มีขึ้นมีลง
       ถาม :     ก็เลยงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?
       ตอบ :   ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอกจ้า เป็นไปตามเฉพาะหน้าเหมือนกับเครื่องวัดอุณหภูมิ ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามอากาศ
       ถาม :  ทำไมบุญบารมีของพระพุทธองค์ เวลาที่จะขึ้นไปสู่ทางสวรรค์รู้สึกว่าติดต่อแล้วไปได้รวดเร็วมาก แต่พอเวลามีคนที่เขามีญาติที่ตกนรกอยู่ภาพภูมิข้างล่างแต่ว่าการที่จะติดต่อ กับนรกภูมิข้างล่างนี่ยากมาก อยากรู็ว่าตรงนี้เป็นเพราะอะไร ?
       ตอบ :   อันดับแรก จิตของเราอาจจะเคยชินกับการกลัวนรก มันลงบ่อยหวาดเสียว ไม่ค่อยอยากจะไป อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เราผิดมารยาทการไปนรก จุดที่ทำถูกต้องที่สุดก็คือไปกราบพระยายมราชก่อน แล้วกราบเรียนท่านว่าเราต้องการทำอย่างไร แล้วท่านก็จะจัดเจ้าหน้าที่ไปให้มันจะสะดวกคล่องตัวมาก ถ้าเราขืนลงไปเอง โดยเฉพาะตัวเราถ้าลงไปในลักษณะนั้นเราเองเป็นผู้ทรงฌานทรงความดีอยู่ ถ้าลงในขุมเขาปั๊บไฟเขาจะดับหมดเลย แล้วพวกสัุตว์นรกที่โดนทรมานอยู่ก็จะหลุดพ้นจากเครื่องทรมานทั้งปวง เขาจะเห็นเราเป็นผู้มีบุญที่จะโปรดสงเคราะห์เขาได้ ทั้งหมดมันจะฮือเข้ามาพร้อมกัน ถ้าตั้งสติไม่ดีอาจจะถึงเป็นบ้าด้วยความตกใจ เพราะรูปร่างของมันพิกลพิการน่ากลัวมาก
              เพราะฉะนั้นติดต่อท่านพระยายมราชก่อน ไปกราบท่านก่อนแล้วขออนุญาตจะทำเรื่องอะไรบอกท่าน จะให้เทวทูตหรือเจ้าหน้าที่พาไป ถ้าอย่างนั้นจะสะดวกคล่องตัวมาก
       ถาม :    ทีนี้มีเพื่อนบางคน รู้สึกว่าเขาเข้าออกนรกได้ง่ายมากแต่เขาขึ้นไปข้างบนไม่ค่อยจะได้ค่ะ ?
       ตอบ :  อันนี้อยากจะเชื่อว่าเป็นความคล่องตัวเพราะเคยชิน มันลงบ่อยมันก็เคยชิน พอจะขึ้นไปข้างบนไม่ค่อยได้ขึ้นจำทางไม่ค่อยจะได้ .....อันนี้พูดเล่นจ้ะ
       ถาม :     อันนี้เขาเคยเกิดเป็นเจ้าหน้าที่ ๆ นั่นค่ะ
       ตอบ :  เพราะฉะนั้นยืนยันได้ตรงกันเลย ต่อไปอย่าไปฟันธงอย่างนี้นะ อันนี้ตอบเฉพาะคน คือว่าบางคนกำลังใจเขายังหยาบอยู่ไปในที่หยาบมันจะง่าย พอขึ้นไปที่ละเอียดมันจะยาก แล้วถ้าขึ้นไปพรหมซึ่งละเอียดกว่าเทวดาจะยาก แล้วถ้านิพพานยิ่งละเอียดกว่าพรหมก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่อันนี้ที่กล้าฟันธงลงไปเลยเพราะมั่นใจ
       ถาม :     จะถามเรื่องการทำบุญ ที่ไปหล่อพระพุทธรูปหรือการสร้างพระพุทธรูป บูรณะซ่อมแซมพระพุทธรูป บุญกุศลเหล่านี้จะได้บุญยังไงคะ ?
       ตอบ :    พุทธบูชา มหาเตชวันโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดช มีอำนาจมากถ้าหากว่าเกิดเป็นเทวดา พรหมก็จะมีรัศมีกายสว่างมาก ถ้าหากว่าเกิดเป็นคนส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้นำหมู่ชนเขา และการซ่อมพระพุทธรูป ถ้าหากว่าเกิดใหม่รูปร่างหน้าตาจะสวยงามเป็นพิเศษ ถ้าเป็นสุภาพสตรีจะได้เบญจกัลยาณี หรือไม่ก็อาจจะถึงขนาดอิตถีลักษณะ ๖๔ ประการ ที่เป็นพุทธมารดา อันนั้นหายากสุด ๕ อย่างก็ยากเต็มทีแล้วอันนั้นอีก ๖๔ หัวข้อ
       ถาม :     แล้วถ้าไม่ได้ซ่อมพระพุทธรูปแต่เป็นฐานพระพุทธรูปล่ะคะ ?
       ตอบ :    ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งด้วย   
       ถาม :    แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะครับ จะได้เบญจกัลยาณีหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :  มันหวังสูงนะ (หัวเราะ) ตั้งความปรารถนาไว้แล้วกันดีไม่ดีได้เกินนั้น เขาหวังว่าเขาเป็นผู้ชาย เขากลัวว่าจะได้เบญจกัลยาณีมั้ย ? (หัวเราะ) เมื่อกี้ฟังไม่ชัดต้องบอกใหม่
       ถาม :     ทีนี้ในทางตรงกันข้ามล่ะเจ้าคะ ถ้าทำลาย ?
       ตอบ :  ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ลงนรกมหาอเวจีเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็เคยทำอะไรไว้ มันช่วยซ้ำครบทุกขุมเลย
       ถาม :  มีเพื่อนที่รู้จักเจ้าค่ะ คือเขานำพระพุทธรูปมาองค์หนึ่้ง แล้วเขาไม่ทราบว่า เขาคิดว่าพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นปูน เขาก็ด้วยความว่าเขาคิดว่าองค์ท่านควรจะมีน้ำล้อมรอบเขาก็เอาไปแช่น้ำเจ้า ค่ะ พอแช่ทิ้งเอาไว้ท่านก็บวมขึ้นเรื่อย ๆ เลยมาทราบทีหลังว่าเป็นขี้เลื่อยอัดกาวค่ะ แล้วอย่างนี้ไม่ทราบว่า ..........?
       ตอบ :    จริง ๆ เขาทำโดยเจตนาบริสุทธิ์ ตั้งใจจะถวายเป็นพุทธบูชาด้วยเรื่องเป็นโทษคงจะไม่มี แต่เพียงแต่ว่าพระชำรุด
       ถาม :    ชำรุดมากเลยค่ะ หลุดเป็นชิ้น ๆ เลยค่ะ
       ตอบ :    หาองค์ใหม่เขาเอาที่แช่ได้มันทน ๆ
       ถาม :    เนื่องจากว่าเขารักองค์นี้มากเลยค่ะ เขาก็เลยให้ช่างไปซ่อม ทีนี้ช่างบอกซ่อมไม่ไหวแล้ว ต้องทุบท่านทีนี้ไม่ทราบว่า .....?
       ตอบ :  ถ้าลักษณะอย่างนั้นถือว่าทำลายพระพุทธรูป โทษอเวจีเหมือนกัน ลักษณะนั้นควรจะบรรจุไว้ในองค์ที่ใหญ่กว่าแล้วบูชาต่อไป จำไว้เลยนะ พระที่สร้างขึ้นมาแล้วไม่ว่าองค์ใหญ่องค์เล็กก็ตาม จะชำรุดหรือไม่ชำรุดก็ตาม ถ้าเราเอาไปป่นทำลาย โดยเฉพาะสมัยนี้นิยมกันนักสร้างเป็นองค์พระขึ้นมาใหม่ มีส่วนผสมของพระเก่า คุยซะดิบดีเลยอันนั้นโทษทำลายพระพุทธรูป อเวจีมหานรกอยู่ รีบ ๆ กราบขอขมาพระรัตนตรัยเสียดี ๆ
       ถาม :    แล้วจะหายมั้ยคะ ?
       ตอบ :  มันไม่หายหรอก ขอไปเรื่อย ๆ จนกว่าท่านจะยอม คือจิตของเรามันจะคลายออกจากจุดนั้นเอง ใช้คำว่าท่านจะยอม ท่านยอมตั้งแต่แรกแล้วล่ะ เพราะมันทุบไปเรียบร้อยแล้ว

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2009, 23:59:54 »

http://grathonbook.net/book/17.6.html

ถาม :  ถ้าเกิดมีรูปจิ๊กซอเป็นรูปพระค่ะ โรยกากเพชรเอาไว้ แล้วฝุ่นมันจับแล้วทำความสะอาดเอาไปล้างน้ำ มันหักน่ะค่ะ จะเอาไปใส่กรอบแล้วกาวมันหลุดน่ะค่ะ ?
       ตอบ :    อันเดียวกัน อันนั้นเจตนาดีก็ไปซื้อกาวมาซะขวดละ ๒๐ บาท
       ถาม :    ติดเสร็จแล้วใส่กรอบแล้วล่ะค่ะ ?
       ตอบ :   ไม่เป็นไรจ้ะ อันนั้นเจตนาดีเหมือนกัน จะทำความสะอาดพระ แต่ไม่รู้ว่ากาวมันจะละลาย
       ถาม :    แล้วไปเจียรฐานพระเป็นอะไรมั้ยคะ ?
       ตอบ :  ฐานพระ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ตกแต่งในลักษณะที่เราจะให้สวยงามใช่มั้ย อันนั้นได้บุญด้วย ต่อไปถ้าเกิดมาจะสเลนเดอร์กว่านี้จ้า (ห้วเราะ)........
       ถาม :     เอาพระไปไว้ในตู้เสื้อผ้าบาปหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :   แล้วทำไมต้องไปไว้ในตู้เสื้อผ้า่ล่ะ หาที่ ๆ เหมาะสมกว่านั้นสิ
       ถาม :     เขาบอกว่ากลัวพระหาย
       ตอบ :   ถ้าหากว่าในลักษณะนั้นถือว่าพอให้อภัยได้ แต่อย่าเอาไปไว้ใต้เสื้อผ้า ยังไง ๆ ก็เอาไว้ในที่ ๆ สูงหน่อย
       ถาม :  ผ่านไปในหลาย ๆ ที่ค่ะ เห็นมีต้นไทรใหญ่ ๆ แล้วเขาก็เอาพระพุทธรูปที่หักเสียหาย ศาลที่เก่าที่เสียหาย ตุ๊กตาเสียกบาลเหล่านี้ค่ะ ไปวางกองกันไว้เต็มไปหมดเลยค่ะ ไม่ทราบว่าเขาทำผิดมั้ยในลักษณะอย่างนี้ค่ะ ?
       ตอบ :  โบราณเขาเรียกว่า ?จำเริญ? ก็คือเอาสิ่งที่ไม่ดีนันไปไว้ในที่อื่น เขานิยมเผาไฟ ลอยน้ำ หรือเอาไว้โคนต้นไม้ใหญ่ ถ้าหากว่าเป็นอย่างอื่นก็คงไม่กระไรนัก แต่ว่าในเรื่องของพระพุทธรูปน่าจะเก็บรวมรวมไว้ แล้ววัดไหนที่เขาสร้างพระฐานใหญ่ก็รวมรวมบรรจุไว้ให้หมด
       ถาม :     เก็บรวบรวมเอาไว้ ?
       ตอบ :  จ้ะ เก็บรวมรวมเอาไว้ จริง ๆ แล้วเขาไปกลัวที่ว่ามันแตกมันหักเป็นลางอะไร ไม่ต้องกลัวหรอก ซ่อมให้ดี เบญจกัลยาณีรออยู่แล้ว (หัวเราะ)
       ถาม :    แล้วอย่างที่บิดเบี้ยวเป็นรูปพระอย่างนี้ก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :    ไม่เป็นไร เจตนาสร้างอย่างบริสุทธิ์ แต่กรรมวิธีการเผาการปั๊มอาจจะผิดพลาดไปนิดหน่อย
       ถาม :     พระที่ชำรุดที่เทวดายังอยู่มั้ยคะ ?
       ตอบ :    อยู่จ้ะ 
       ถาม :     แล้วเอาไปไว้ในองค์ใหญ่อีกรอบนี่ ?
       ตอบ :    ยิ่งมากขึ้น 
       ถาม :     มีหลายคนที่นั่งสมาธิแล้วจิตฟุ้งซ่านนี่ เขาฝากมาถามว่าพอจะมีอุปกรณ์ช่วยเหลือให้จิตหายฟุ้งซ่านบ้างมั้ยคะ ?
       ตอบ :  เชือกจ้า ขนาดพอรับน้ำหนักตัวได้ แขวนคอมันซะเลย หายฟุ้งซ่าน เรื่องจะหายฟุ้งซ่านนี่ต้องจับอานาปานสติอย่างเดียว ถ้าหากว่าจิตทรงเป็นสมาธิเมื่อไหร่หายฟุ้งซ่านเมื่อนั้น แล้วคอยระมัดระวังไว้อย่าให้มันคลายจากสมาธิ ถ้าสมาธิคลายตัวเมื่อไหร่มันจะวิ่งหาความฟุ้งซ่านทันที
       ถาม :    แล้วอย่างถ้านั่งแล้วง่วง หลับจะแก้อย่างไรดีคะ ?
       ตอบ :    จะแก้ยังไง ? ง่วงก็เปลี่ยนอริยาบถ ล้างหน้าไม่ก็เดินไปเดินมา
       ถาม :    ถ้าสมมติเราจะนั่งสมาธิตอนก่อนนอนนี่ ?
       ตอบ :   ถ้าก่อนนอนนี่ส่วนใหญ่จะหลับ เพราะว่าเราเพลียมาตลอดทั้งวันแล้ว เวลา นอนนี่ใช้วิธีง่าย ๆ เอานอนหงายผึ่งไปเลย ตั้งใจว่าตอนนี้เรานอนลงร่างกายเราเหมือนกับคนตายแล้ว มันจะตื่นขึ้นมาเห็นตะวันขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าตายตอนนี้เอาจิตเกาะนิพพาน ภาวนาหลับไปเลย พอมันนอนเต็มที่แล้วตอนเช้าค่อยมาว่ากันอย่างเป็นทางการ ตอนหัวค่ำนี่แย่ทุกรายยกเว้นตอนบ่ายนอนเต็มที่แล้ว
       ถาม :   คำภาวนาที่จะใช้นี่ ไม่ทราบว่าจะใช้คำภาวนาอะไรคะ ?
       ตอบ :    เอาที่เราชำนาญ ถ้าเราภาวนาเคยทำอันไหนมาจนชินก็ใช้อันนั้น ยกเว้นว่ากรรมฐานตามกองก็เปลี่ยนคำภาวนาตามกองกรรมฐาน ถ้าหากว่าไม่ได้ทำกรรมฐานตามกอง ตามที่เราเคยชินมันก็จะง่ายแล้วก็เร็ว ถ้าเราไม่ชินก็จะสะดุด ปรับคำภาวนาได้ว่าไม่ลงล็อคซะทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นเลือกอันที่เราเคยชินและชำนาญ
       ถาม :   แล้วมีให้เลือกเยอะทำยังไงดีคะ ?
       ตอบ :    เอาอันที่ชอบที่สุด
       ถาม :    อันนี้อาจจะมีคนใสนใจเจ้าค่ะ อุปกรณ์ช่วยวิธีชะลอความชราแล้วก็ช่วยให้ร่างกายปราศจากโรคทำยังไงคะ มันพอจะมียา.........?
       ตอบ :   โอ้โห..........มันจะฝืนกฎของกรรมทั้งนั้นเลย ชะลอความชรานี่มียาสมุนไพรหลายตัว อย่างเช่น ขมิ้นชันกับหญ้าแพรก ใช้ขมิ้นชันขนาดเท่าหัวแม่มือหญ้าแพรกกำมือหนึ่ง เลือกไอ้ที่ไม่เปื้อนขี้หมานะ หมามันชอบขี้จริง ๆ หญ้าแพรกนี่ ตำรวมกันให้ละเอียดแล้วก็คั้นให้ได้ ๑ ถ้วยชาคือประมาณ ๓๐ ซีซี กินเดือนละครั้งชะลอความแก่ได้ หรือไม่ก็สมัยก่อนที่ทางวัดท่าซุงทำอยู่ เขาเรียกยาพระประทานมั้ง ? อันนั้นก็ชะลอความแก่ได้
              อีกตัวหนึ่งก็ยาเก้าร้อย อันนี้ชะลอความแก่้ได้ก็จริงแต่ผิวจะดำ เพราะเป็นยาร้อนมากเกิดจากส่วนผสมของหัวแห้วหมูนา ๓๐๐ หัวกระเทียม ๓๐๐ กลีบ แล้วพริกไทย ๓๐๐ เม็ด รวมแล้ว ๙๐๐ ถ้วนพอดี ร้อนตับแลบเลยล่ะ
              เพราะฉะนั้นกินยาตัวนี้มันมีผลข้างเคียง ๒ ประการ ประการแรกคือ ผิวจะคล้ำขึ้น ประการที่ ๒ ผู้หญิงไม่ทราบ แต่ผู้ชายกินแล้วคึกมาก มันชะลอความแก่ได้อีตรงคึกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
       ถาม :    ยาชะลอความแก่นี่มันชะลอให้รูปร่างไม่แก่แล้ว........?
       ตอบ :  มันไม่ใช่ไม่แก่ มันแก่ช้า ตำราเขาบอกว่าให้ถ่ายรูปไว้ก่อนกิน เดี๋ยวไม่ใช่อย่างที่คิด (หัวเราะ) ถ่ายรูปไว้ก่อนกินครบกำหนดอาจจะ ๓ เดือน ๖ เดือนหรือ ๑ ปี ตามที่เขากำหนดแล้วถ่ายรูปไปเปรียบเทียบกันใหม่ ดีไม่ดีไอ้ของเก่ามันอาจจะแก่กว่า
       ถาม :   แล้วความแข็งแรงอะไรอย่างนี้ ?
       ตอบ :    สภาพของมันก็คนแก่ดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ร่างกายมันเสื่อมโทรมช้า ทีนี้มันจะประเภทแก่ในแล้วมันไม่แก่นอก
       ถาม :    มันแ่ก่ข้างใน แต่ข้างนอกดูดี
       ตอบ :    จ้า....ข้างนอกดูดี เพราะฉะนั้นตายแล้วศพสวยหน่อย
       ถาม :    ทีนี้อยากชะลอความแก่ ก็จะมาช่วยในเรื่องการทำงานน่ะค่ะ ทำยังไงให้สามารถมีแรงแล้วไม่เหน่อยหรือว่าถ้าเหนื่อยแล้วนี่.....?
       ตอบ :  เดี๋ยวนี้ยาม้าเม็ดละเท่าไหร่.....(หัวเราะ).......อันนี้ถามเล่น ๆ นะ ถ้าหากว่าเราทรงสมาธิได้อยู่การทำงานของเรามันจะไม่เหนื่อยมันไปได้เรื่อย ๆ เหมือนกันแต่พอสมาธิคลายตัว บางทีหลวงพ่อท่านแผ่สี่สลึงเลย คือพอรู้ตัวก็หมดเกลี้ยงเลย อย่างอาตมานั่งอยู่ตรงนี้ ๗ โมงเช้าถึง ๓ ทุ่มทุกวัน คนอื่นนั่งไม่ได้หรอก แต่พอหลัง ๓ ทุ่มโยมอาจจะไม่เคยเห็น หงายลงก็ป๊อกเลย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะทำงานไม่รู้็จัก เหนื่อยก็ต้องทรงสมาธิให้คล่องตัว ไม่ว่าอยู่ในอริยาบถไหนของเรา ต้องเข้าสมาธิได้ ถ้าอย่างนั้นจะช่วยได้มากเลย
       ถาม :    พระพุทธศาสนาของเราทำไมวันสำคัญของเรานี่ ส่วนใหญ่จะเป็นวันเพ็ญคะ ?
       ตอบ :    เราต้องยอมรับว่าโลกของเราก็ดี ดวงดาวอื่น ๆ ก็ดี มันมีพลังงานของเขาอยู่ พลังงานเหล่านี้จะเกื้อหนุนกันอยู่ตลอดเวลามีอิทธิพลต่อตัวบุคคลทั้งสิ้น อย่างเช่นว่าแค่ดวงจันทร์ดวงเดียวก็ทำให้น้ำขึ้นน้ำลงได้แล้ว ลักษณะของผู้หญิงที่มีรอบเดือนก็อยู่ในรอบการโคจรของดวงจันทร์พอดี
              คราวนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อมีอิทธิพลอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสมที่ พลังงานเหล่านี้เกื้อหนุนกันพอดี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงคือคืนวันเพ็ญ เมื่อถึงวาระนั้นบางทีเรื่องสำคัญต่าง ๆ อะไรที่มันดีมันงามก็จะเกิดขึ้นช่วงนั้น แต่ถ้าของฝรั่งอะไรนะมนุษย์หมาป่าใช่มั้ย ? เจอดวงจันทร์แล้วหอนเลย
       ถาม :     แล้วก็สงสัยต่อว่า เพราะว่าเวลาช่วงวันพระเทวดาเขาจะไปฟังพระพุทธองค์ท่านเทศนา ทีนี้ถ้ามีการทำพิธีเชิญในช่วงนั้น ........?
       ตอบ :    เชิญได้จ้ะ เชิญได้ การทำพิธีบวงสรวงเชิญเทวดา จำให้ให้แม่น ๆ อย่าให้สาย เรียกว่าไม่ควรเกิน ๙ โมงเช้า เพราะว่าหลังจากนั้นท่านจะเข้าเทวสภา ถ้าไม่ใช่ประชุมกันก็จะต้องไปฟังพระเทศน์เพราะฉะนั้นถ้าต้องการจทำการบวง สรวงให้ได้ผลดีก็ควรจะบวงสรวงเช้า และก็ไม่ควรจะเกิน ๙ โมงหรือ ๙ โมงครึ่ง ไม่อย่างนั้นท่านติดธุระมาไม่ได้
       ถาม :     ถ้าไม่สายนี่กลางคืนเลยได้มั้ยคะ ?
       ตอบ :    กลายคืนเลยก็ได้ไม่ว่ากัน แต่ว่าอาตมาไม่ค่อยนิยมเพราะว่าเวลา กลางคืนกับเวลาตอนเย็นมันคล้ายกันอย่างหนึ่งคือผีเยอะ มันเวลาของเขา ในเมื่อเวลาของเขาบางทีทำพิธีกรรมอะไรถ้าหากว่าเกิดมีช่องว่างรอยโหว่เขาจะ แทรกเข้าง่าย ๆ ดีไม่ดีพิธีล้มไปเลย อยู่ ๆ ทำพิธีมีใครสักคนหนึ่งกรี๊ดลุกขึ้นมาเต้นแร๊พขึ้นมาเฉย ๆ 
       ถาม :    แต่เวลาบนสวรรค์นี่มันก็ไม่เหมือนกับเวลาของเรานี่ครับ ?
       ตอบ :  มันก็ไม่เหมือนกันแต่ว่ามันก็อิงกันอยู่ เพราะฉะนั้นเวลาของเรากับข้างบนนี่จริง ๆ ถ้าหากว่าท่านที่ประสงค์ความดีก็แทบจะได้อยู่กับความดีตลอด สังเกตมั้ย ? พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ไม่กี่ประโยค เทศน์นานไม่ได้่หรอกเดี๋ยวเลยวันพระ
       ถาม :    อย่างนี้เข้าเทวสภานี่ก็พบ.....?
       ตอบ :    พูดง่าย ๆ ว่าในความเป็นทิพย์ของท่าน ๆ ทำได้เวลามันเหลือเฟือ แต่เวลาของเรานี่ประเภท ๓ ก้าวไม่รู้จะถึงหรือเปล่า
       ถาม :  ถ้าในช่วงวันพระที่เราทำบุญกัน ช่วงนี้การทำบุญให้กับพวกสัตว์นรกที่อยู่ข้างล่างนี่เขาจะเปิดให้กับพวกเขา รับบุญกุศลหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :  ไม่ได้ ถึงเขาเปิดก็รับไม่ได้ เนื่องจากว่าท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่ ๆ ลำบาก คือสัตว์นรกทุกขุม เปรตอีก ๑๑ จำพวกนั้น มันเหมือนกับคนที่กำลังโดนเขาไล่ฆ่าไล่ฟันอยู่ ไปส่งขนมให้เขากินเขารับไม่ได้หรอก โทษของเขาหนักมาก
               แต่ว่าที่เราทำไปนั้นจะมีผู้ที่เต็มใจจะมาโมทนาก็คือปรทัตตูปชีวีเปรต คือเปรตที่กรรมเหลือน้อยแล้ว หรือว่าอสุรกาย ๔ จำพวก สัตว์เดรัจฉานหรือสัมภเวสีผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย เทวดา พรหมตลอดจนพระบนนิพพาน ถ้าหากต่ำกว่าเปรตจำพวกที่ ๑๒ แล้วรับไม่ได้ ทำให้เขาได้แต่ว่าเขารับไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเองได้ก่อน
       ถาม :  ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วมีการบรรจุอัฐิไปตามประติมากรรมตามเสาหรือตามเจดีย์ กับการที่เราเอาอัฐิเหล่านั้นไปลอยอังคาร ไม่ทราบว่าผลที่ได้จากการทำบุญนี้มีผลแตกต่างกันยังไงบ้างคะ ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าคนตายหรือว่าผู้ตายนั้นเขายังยึด มั่นอยู่ ชิ้นส่วนของเขามันเหลืออยู่ตรงไหนเขาก็จะยังวนเวียนอยู่ตรงนั้น แต่ว่าถ้าหากเขาไม่ยึดมันก็เป็นอันว่าเหมือนกัน ผลเหมือนกันก็คือว่าคุณจะเอาไว้ตรงไหนคุณจะลอยไปไหนก็ช่าง แต่ถ้าเขายึดนี่ที่บรรจุเอาบางทีเขาก็ยังยืนเฝ้าอยู่ (หัวเราะ) ถึงเวลาไปไหว้ถ้าเขาจะสะกิดหลังก็สะดุ้งแล้ว
       ถาม :   การทำสมาธิต้องจำกัด สถานที่ เวลา อิริยาบถมั้ยคะ ?
       ตอบ :    เอาทีละอย่างนะจ๊ะ สถานที่ ถ้าหากว่าคนใหม่แล้วจำเป็นต้องใช้ที่สงัดก่อน ยกเว้นว่าทรงฌานได้มีความคล่องตัวแล้วที่ไหนก็ทำได้ ส่วนระยะเวลาเอาตอนที่เราว่าง โดยเฉพาะตอนที่ร่างกายมันสดชื่นอยู่ อย่างเช่น ช่วงตื่นนอนใหม่ ๆ เราพักผ่อนมาพอแล้ว สมาธิจะทรงตัวได้ง่าย อริยาบถยืน เดิน นั่ง นอนท่าไหนก็ได้ อาตมาเคยตีลังกาทำ ๆ ได้หมด คืออยากจะรู้ว่ามันทรงได้มั้ย ?
              แต่ว่าเรื่องของอริยาบถนี้เรายังไม่เคยชินนั่งไปก่อน ถ้าไปใช้อริยาบถอื่นจะลำบาก อย่างเช่นว่า นอน การนอนภาวนาถ้าสติขาดเมื่อไหร่มันหลับเลยนะ ต้องซ้อมกันอย่างขนานใหญ่เลยทีเดียวกว่ามันจะไม่ีหลับได้
       ถาม :     การบวชนั้นมีความสำคัญ จำเป็นหรือไม่อย่างไรคะ ?
       ตอบ :  ถ้าสำหรับเราแล้วไม่จำเป็น แต่ถ้าสำหรับคนที่รอแล้วมีค่ามหาศาลเลย เพราะว่าสิ่งที่เราทำนั้นบุญเป็นของเราเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนการกรวดน้ำก็คือการแผ่ส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่นโดยเฉพาะบรรดาญาติโยมทั้ง หลายที่ท่านลำบากอยู่ท่านจะรอรับอยู่
              เพราะฉะนั้นเราทำเมื่อไหร่ ถ้าสามารถเป็นไปได้ก็รีบกรวดน้ำเสีย การกรวดน้ำของเราไม่จำเป็นต้องเอาน้ำรดมือ แค่เราตั้งใจว่าผลบุญที่เราทำนี่ขออุทิศให้กับใคร ขอให้บุคคลผู้นั้นมาโมทนา เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เขามารับด้วย
       ถาม :     ต้องจำกัดเวลามั้ยคะ ?
       ตอบ :     ไม่มี จะก่อนเพลหลังเพล ทำไปแล้วหลายวันหรือทำไปแล้วเป็นปีก็ได้
       ถาม :    อย่างกรวดน้ำนี่ก็นึกเอาเหรอคะ ?
       ตอบ :   นึกเอา ไปรษณีย์เมืองนรกเขาเก่ง นึกถึงใครเขาก็ส่งให้คนนั้น
       ถาม :    แล้วถ้าเรานึกซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเหมือนกับว่าพอนึกขึ้นได้ว่าจะทำ อยากให้อีก
       ตอบ :   ให้ไปได้เลยจ้า โดยเฉพาะสตางค์ ให้ซ้ำแล้วซ้ำอีก อาตมาเต็มใจรับ ความดีก็เหมือนกันซ้ำเขาเต็มใจรับ
       ถาม :    การกรวดน้ำค่ะ บางคนสวดบาลีไม่ได้ ?
       ตอบ :    บาลีนั่นพาเละมาเยอะแล้ว ใช้ภาษาไทยอย่างที่บอกเมื่อครู่ง่ายที่สุดอย่างบทอะไรนะ สมมติว่าผีมัุนมาขอตรงหน้า เราก็อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้ อุปัชฌายา คุณุตรา ถึงแก่อุปัชฌาย์ผู้มีคุณยิ่งของข้าพเจ้า อาจาริยูปการาจะ ให้กับอาจารย์ผู้มีอุปการคุณ มาตาปิตา จญาตกา ให้แก่บิดามารดาและญาติทั้งหลาย เจ้านั่นไม่ญาติก็เดี้ยงไป บาลีนะ ถ้าแปลออกมานี่บางทีความหมายมันไกลจ้ะ มันไม่ตรงจุดเสียทีหนึ่ง 
       ถาม :     ก็พูดไปเลยใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :  พูดไปเลย ภาษาไทยง่าย ๆ ถ้าหากว่าพูดยากนักก็นึกซะว่าบุญทั้งหมดที่เราทำมาขอให้เธอผู้นั้นเห็นหน้า นึกถึงหน้าเขา ถ้าไม่เห็นหน้าได้ยินแต่เสียงก็นึกถึงเจ้าของเสียงนั้น ไม่ได้ยินเสียง ได้กลิ่นก็ให้นึกถึงเจ้าของกลิ่นนั้น ขอให้เขาโมทนา เขาจะได้เลย
       ถาม :    แล้วถ้ากำลังของเราไม่ถึงล่ะครับ ?
       ตอบ :   อันนั้นยากหน่อย แต่ถ้าเขามาแสดงว่ากำลังเขาพอ
       ถาม :    คือเราก็ไม่รู้ว่า เขามาหรือไม่มา เราก็ไม่รู้ว่าเขาได้หรือไม่ได้ ?
       ตอบ :   อันนั้นก็เหวี่ยงแหไปเถอะ รับรองได้ว่ามีแต่คนเต็มใจรับ อยู่ ๆ ไปยืนโปรยเงินต่อให้คนไม่รู้มันก็เก็บ
       ถาม :     แต่ว่าผลก็มีใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :    มีเต็มที่เลย อันดับแรกของเรา ตัวบารมีได้แน่นอนเลย โดยเฉพาะเมตตาบารมี
       ถาม :    ถ้าอย่างนี้พอทำบุญลืมกรวดน้ำแล้วขับรถไปขับรถมา มาอยู่กลางป่าช้า นี่เขาดึงตัวไปหรือคะ ?
       ตอบ :  มีส่วน อันนั้นแสดงว่ากำลังเขาสูงมาก ผลบุญที่เราทำก็เป็นบุญใหญ่ เขาต้องการก็เลยใช้วิธีประเภทที่ว่าเชิญมาโดยไม่บอก จริง ๆ เราขับไปเราก็เห็นเป็นทางโล่ง ๆ แต่ไปรู้ตัวอีกทีอยู่ในป่าช้า

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2009, 20:24:37 »

http://grathonbook.net/book/17.7.html

ถาม :  เวลาเราไปวัดนี่ เราไปเข้าห้องน้ำหรือเข้าไปใช้ของในวัด ทีนี้ถ้าเกิดเราไม่ได้ชำระหนี้สงฆ์มันจะมีผลติดมามั้ยคะ ?
       ตอบ :  ถ้าหากเขาเปิดเป็นสาธารณะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าติดใจก้ชำระหนี้สงฆ์ไปซะหน่อย ตั้งใจหยอดไป ๕ บาท ๑๐ บาทก็ได้ โบราณนี่จิตของเขาจะละเอียดมากถึงขนาดว่าเราเดินเข้าไปในวัดนี่เป็นเศษเป็น ผงติดรองเท้ามา โบราณเขาจึงมีการชำระหนี้สงฆ์โดยขนทรายเข้าวัด สมัยนี้ไม่ค่อยมีแล้ว สมัยก่อนเขาไปงมทรายจากแม่น้ำกันเลย เล่นกันสนุกสนานช่วงสงกรานต์นี่
       ถาม :     สงสัยที่พูดว่าผู้ที่อยู่ในนรกภูมิ พอดีนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเราเลี้ยงสุนัขหลายตัว สุนัขพวกนี้มีถือว่า มันมีบุญมั้ยคะ ?
       ตอบ :    จำเอาไว้เลยว่า สัตว์เดรัจฉานที่อยู่ใกล้คน กรรมของการเป็นเดรัจฉานของเขาจวนหมดแล้ว ดังนั้นจะเรียกว่ามีบุญก็เรียกได้ ถ้าจิตของเขาเกาะคน เขาจะไปเกิดเป็นคน ถ้าจิตของเขาเกาะพระเขาจะเกิดเป็นเทวดา หรือว่าจิตของเขาเกาะความดีส่วนหนึ่งส่วนใดที่เขาทำเอาไว้ซึ่งเป็นบุญ เขาก็จะเกิดเป็นเทวดาก็ได้
               ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานได้เปรียบเราก็ตรงที่ว่า สัตว์เดรัจฉานลงอบายภูมิที่ต่ำกว่าเดรัจฉานนั้นมีน้อยกับน้อย แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานที่ไปอย่างแย่สุด ส่วนใหญ่ไปเกิดเป็นเหมือนเดิมหรือไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาไปเลย บางรายก็เกิดเป็นพรหมไปเลย
       ถาม :  เคยมีความรู้สึอย่างหนึ่งค่ะ เคยไปมองหมาตัวหนึ่งคือเป็นหมาที่คนเลี้ยงไว้ แล้วมันก็นอนเฉย ๆ ใจเราก็คิดว่าวันทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปีทั้งชาติมันเกิดที่มันไม่มีโอกาสทำบุญทำอะไรเลย เวลาของเขาสูญเปล่าอย่างนั้นเป็นการคิดที่ถูกหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :   ถ้าหากว่าคิดในสภาพของหมาตัวนั้นก็ใช่ แต่ถ้าหากว่าเป็นที่อื่น ๆ เขาอาจจะได้ทำบุญอยู่ อย่างเช่นในวัดอย่างนี้ ในวัดท่าซุงหรือ วัดที่อาตมาอยู่จะมีการเปิดเสียงตามของหลวงพ่อ เขาได้ยินอยู่ตลอดโดยเฉพาะที่ ๆ อาตมาอยู่นี่เวลาที่เปิดเสียงตามสายคือเวลาที่เขาจะได้กินขนม จิตมันจะเกาะมาก รอเวลานี้ด้วยความกระวนกระวายเลย เขาก็จะเกาะความดีของเขาอยู่ตลอด
              แล้วอีกอย่างหนึ่งคือว่ามีความชำนาญในการทรงฌานขนาดตั้งเวลาได้ เราเป็นคนต้องอายเขา่เลยนะ ตัวอย่างมีชัด ๆ แล้วที่วัดท่าซุงสมัยก่อนโน้นไม่ทราบว่าช่วงนี้จะมีบ้างหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้นจะว่าเขาไม่มีโอกาสทำบุญนั้นไม่ใช่ โอกาสทำบุญของเขามีเยอะ
       ถาม :     ก็เป็นเฉพาะหมาบางตัวเท่านั้น ?
       ตอบ :   บางตัวที่เขาอยู่ในสถานที่ ๆ เหมาะสม อย่างเช่นว่า อยู่วัด เฝ้าวัดก็เท่ากับว่าดูแลของสงฆ์
       ถาม :    ที่บ้านบูชาหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่าไว้ อยากจะทราบประวัติของท่านค่ะ ?
       ตอบ :    หลวงปู่ศุขก็ถือว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่อยู่คาบเกี่ยวในสมัยรัชกาลที่ ๕,๖,๗ เหล่านี้ ท่านเองเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและมาในสายของพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ศุขก็ต้องไปเกิดใหม่อีก ตอนนี้ท่านเป็นพรหมอยู่ ท่าน จะต้องเกิดใหม่อีก ในช่วงนั้นท่านเองท่านก็เป็นผู้มีฤทธิ์อภิญญา สามารถแสดงสิ่งแปลก ๆ ให้คนเห็นโดยทั่วไป อย่างเสกหัวปลีเป็นกระต่ายเอามาเล่นกันสนุกน่ะ
       ถาม :     หมายความว่าท่านมีชื่อในจังหวัดชัยนาทนี้เป็นเรื่องของ.....?
       ตอบ :    ในเรื่องเกียรติคุณของท่าน ทั้งความสามารถในอภิญญา แล้วก็การปฏิบัติของใจ ความเมตตาสงเคราะห์คนอะไรเหล่านี้ คนเคารพมากก็คือท่านเป็นอาจารย์ของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จในกรมองค์นี้ท่านสนใจในเรื่องของฤทธิ์ของอภิญญา ของเครื่องลางของขลังมาก ท่านสามารถปฏิบัติได้ถึงขนาดอย่างเช่นว่า ย่อตัวให้เล็กลงไปอาบน้ำในขวดโหล หรือว่าเสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตนอะไรได้ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นฆราวาส
              อาจารย์แต่ละองค์ที่ท่านจะกราบเป็นครูบาอาจารย์นี่ต้องเป็นผู้ที่มีความ ลำบากจริง ๆ เพราะท่านไปลองเขาเลย ถ้าอาจารย์ไม่เก่งจริงโดนท่านลองก็เสร็จเหมือนกัน แล้วท่านจะเคารพนับถือ หลวงปู่ศุขอย่างชนิดที่ว่าสุดจิตสุดใจ เพราะว่าสิ่งใดที่ท่านข้องใจหลวงปู่ศุขท่านสามารถสอนได้ทั้งนั้น ทดสอบกันซึ่ง ๆ หน้าโดยเอามหาดเล็กของท่าน ท่านบอกว่าหลวงพ่อสามารถสาปคนให้เป็นสัตว์ได้มั้ย ? หลวงพ่อบอกว่า สาปไม่ได้ แต่เสกได้ ท่านก็ถามว่าทำอย่างไร ? ท่านก็บอกว่าให้ทหารที่ตามมาเอาเชือกผูกเอวมันไว้หน่อย พอผูกเชือกเอาไว้ถามว่าว่ายน้ำเป็นมั้ย ? บอกเป็น เออ....เอ็งกระโดลงบ่อไป มันก็กระโดดลงบ่อไปว่ายอยู่ข้างใน หลวงปู่ศุขบอกว่าให้มันเปลี่ยน มันก็เปลี่ยนกลายเป็นจระเข้ แต่มีเชือกผูกเอวอยู่ แล้วท่านก็เอาน้ำมนต์ราดกลายเป็นคนตามเดิม คนจำนวนมากเห็นอยู่ด้วยกันนะ
       ถาม :     ไม่ใช่ภาพลวงตาใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :   ไม่ใช่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะเหมือนกับปรับโมเลกุลใหม่นะ จากโมเลกุลของการเป็นคน ก็กลายเป็นสัตว์ไป
       ถาม :     แล้วลักษณะจิตของมหาดเล็กล่ะครับ เขาจะรู้สึกอย่างไร ?
       ตอบ :   เขาก็รู้สึกเป็นคนอยู่ แต่เปลือกนอกมันเปลี่ยนไปแล้ว พวกสัตว์ทั้งหมดความรู้สึกเขาก็คือ คนดี ๆ นี่เอง
       ถาม :     การรับรู้ของสัตว์กับคนนี่มันไม่เท่ากันใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :    มันไม่เท่ากันก็เพราะว่าเขาจะมีฤทธิ์ โดยวิบากกรรมทำให้ประสาทสัมผัสของเขาเลิศกว่าคนมาก
       ถาม :    ก็สมมติเขาเสกเป็นจระเข้ไปเลยแล้ว ?
       ตอบ :   ความที่ไม่เคยชินของเขา ทำให้เขาใส่ความรู้สึกของความเป็นคนอยู่
       ถาม :     อย่างนี้ ถ้าเคยชินเมื่อไหร่ ?
       ตอบ :    ถ้าเคยชินเมื่อไหร่ดีไม่ดีมันก็ไปเลย เพราะว่าที่ท่านต้องเอาเชือกลากเอวไว้ก็เพราะกลัวมันจะไปเลย
       ถาม :     ผมนึกว่าลากให้เป็นว่ายังไงก็เป็นคนเิดิม ?
       ตอบ :  ไม่ใช่ กลัวมันจะไปเลย สมัยก่อนพวกที่อยู่ทางด้านเหนือ เวลาเขาฝึกวิชาแปลงตัวเป็นตะเข้เป็นอะไรนี่ ถ้าหลุดออกไปเมื่อไหร่นี่ อาจารย์เขาจะไปดักตรงเขื่อนชัยนาท ไปรอเอาน้ำมนต์รดกันตรงนั้น เพราะว่ายังไง ๆ มันก็ไปติดที่หน้าเขื่อน ก็มีคนข้องใจว่าอาจารย์รู้ได้ยังไงว่า อันนั้นเป็นลูกศิษย์ตัวเอง ก็บอกว่าตะเข้วิชานั่นหางมันสั้น มันไม่เหมือนตะเข้จริง ๆ ที่หางมันยาว ตะเข้วิชาเขาบอกว่าหางมันจะป้อม ๆ สั้น ๆ เหมือยังกับหัวปลี
       ถาม :    ถ้าก่อนหน้านั้นโดนสอยล่ะครับ ?
       ตอบ :   ถ้าหากว่าโดนสอยก่อนก็ช่วยไม่ได้ หรือว่าถ้าไปกินคนก็ไม่สามารถกลับเป็นคนได้อีก
       ถาม :     .............เราทำดีขึ้น แต่มันแย่ลงทันที ?
       ตอบ :   มันเป็นเรื่องปกติ มันมีอยู่สองประการด้วยกัน ประการแรกการ ปฏิบัติที่เรารู้สึกว่าตัวเราเองแย่ลงไปทุกทีนั้น เกิดจากว่าเราทำดีขึ้น พอทำดีขึ้น กำลังใจละเอียดขึ้น พอเห็นสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้นก็เลยคิดว่าตัวเองแย่ลง
               ส่วนประการที่สองเป็นเรื่องของกิเลสมารดลใจ เขาพยายามดึงเราให้ห่างจากจุดความดีตรงนั้น ก็เลยใช้สารพัดวิธีที่จะมาหลอกล่อ เพื่อที่จะให้เราหลงผิดแล้วตามเขาไปให้ได้ คือบางคนจริตนิสัยค่อนข้างที่จะใจร้อนหน่อย ในเมื่อทำดีไม่ได้อย่างใจซักที ประชดชั่วมันไปเลยก็มี อย่างนั้นก็สมใจเขา เพราะเขาต้องการให้เราเป็นอย่างนัั้นอยู่แล้ว
       ถาม :     ยิ่งนับถือสิ่งใดมาก ๆ นับถือครูบาอาจารย์องค์ไหนมาก ๆ ใจบางทีมันจะแวบ อคติบ้างอะไรบ้าง
       ตอบ :  นี่ตัวนี้ชัดเลย ให้ขอขมาพระรัตนตรัยประจำ ๆ พอกำลังใจของเราถึงตรงจุดนี้มา เขารู้ว่าเราจะพ้นมือเขาแล้ว เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เราล่วงเกินหรือปรามาสพระรัตนตรัย ด้วยกายด้วยวาจา หรือด้วยใจ ไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง บางคนภาวนาไม่ได้เลย หลับตาลงเมื่อไร นึกถึงภาพที่ตัวเองลบหลู่ครูบาอาจารย์หรือทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่คิดจะทำอย่างนั้น มาสร้างภาพให้ปรากฎขึ้นมาชัด ๆ เลยก็มี
               เราเองให้คิดเสียว่าอันนี้เป็นการชักนำจากสิ่งภาย นอก ด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเขาชักนำให้เป็นไป ไม่ใช่ความผิดของเรา แต่ถึงไม่ใช่ความผิดของเราก็เถอะ ในเมื่อเราเป็นคนคิด เป็นคนพูด เป็นคนทำ เราก็ตั้งใจที่จะขอขมา ให้ตั้งใจอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ เจ้าพวกนี้มันทนคนหน้าด้านไม่ได้ พอถึงเวลา เราตั้งใจขอขมาบ่อย ๆ ตั้งใจทำบ่อย ๆ เขารู้ว่าเขาทำอย่างนี้อยู่ เราไม่กระเทือน เขาก็เลิก
       ถาม :  พอจะเริ่มเย็นลงจะมีตัวสอบจิตอยู่คนหนึ่งที่ทำงาน พอเริ่มจะพูดด้วยหรืออะไรด้วยนี่ มาแบบเดิม อันเดิม เดิม ๆ เลย ก็รู้อยู่แล้วว่ามันซ้ำ ๆ ก็คิดว่าช่างมัน มาบ่อย ๆ จะได้ชิน มันไม่ชินนะ แต่ก็ไม่ว่าอะไรมันก็นิ่ง ๆ อยู่ซักพัก
       ตอบ :  สังเกตใจตัวเองว่า อารมณ์กระทบที่มันเกิดขึ้นนั้นมันช้าลงหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราสังเกตเราเห็นว่าช้าลง ถือว่าเป็นที่น่าพอใจแล้วนะ ถ้าช้าลงนี่เราชนะนะ เพราะว่ามันกำเริบได้ช้า บางทีเราผ่านพ้นจากตรงนั้นไปแล้ว ไปคิดทบทวนใหม่ ตัวนี้มันเป็นจิตสังขารของเราไปปรุงแต่งเอง อันนี้ถือว่าเราไปเสียท่าเขา
              ถ้าหากว่าแล้ว ๆ กันไป ลับหลังจากตรงนั้น กองมันทิ้งมันเอาไว้เลย เราก็ไม่แพ้เขา แต่ถ้าหากว่าเราเอาคิดทบทวนใหม่ ตัวนี้จะเป็นจิตสังขารที่เอามาปรุงแต่งเข้ามา พาให้ฟุ้งซ่าน พาให้รัก โลภ โกรธ หลง เอง เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ต้องรักษาใจเราให้ดี ให้มันอยู่กับการภาวนา อยู่กับสติเฉพาะหน้าแล้วมันจะไม่เป็น
       ถาม :     ช่วงปฏิบัติมาก ๆ อัตตามันโตขึ้น แล้วหนูก็เห็น รู้ด้วยนะว่าเป็นอย่างนี้นะตัวเรา
       ตอบ :   ตีหัวมันซิ (หัวเราะ)
       ถาม :    ตียังไงล่ะ ?
       ตอบ :    เห็นชัดก็ทุบมันให้ตายเลย มันเป็นอยู่ แต่ให้ เรามีสติรู้อยู่เสมอว่า ไม่ว่าตัวเราหรือตัวเขา มันก็ประกอบไปด้วยอาการไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเช่นกัน ไม่ว่าเราจะยึดถือมั่นหมาย หรือแบ่งแยกขนาดไหนก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราก็ยึดถือเป็นปกติ เราจะคิดเบียดเบียนเขาด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจหรือไม่ ? เขาก็ทุกข์อย่างนั้นของเขาอยู่แล้ว เราเองจะยกตัวของเราให้สูงขึ้นกว่าเขาหรือไม่? จะดูถูกเหยียดหยามเขาหรือไม่ ? จะเห็นว่าเขาเสมอเราหรือไม่? จะเห็นว่าเขาดีกว่าเราหรือไม่ ? เขาก็เกิดแก่เจ็บตายตามปกติของเขาอยู่แล้ว ในเมื่อปกติธรรมของสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นเช่นนั้นเราก็อย่าเป็นทุกข์โทษเวรภัยกับผู้อื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ของเรา แล้วคิดตรงจุดนี้เสร็จก็แผ่เมตตาต่อให้อภัยเขาไป ให้อภัยเขาไม่พอ ต้องให้อภัยเราด้วยตัวเรามันคิดเอง มันยกตัวเองขึ้นเรื่อย ต้องคอยระวัง ๆ ไว้
       ถาม :    วิธีแก้ที่สะดวก ตัวเองคืออาจยังมองไม่เห็น แต่เห็นชัด ๆ เลยนี่ โทสะ กับราคะ เป็นเยอะ
       ตอบ :   เป็นเยอะนี่มันเกิดจากการรับสิ่งต่าง ๆ เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยขาดสติ การป้องกันตัวเอง ตาเห็น ไม่พอใจ ฟังให้ดีนะ หูได้ยิน ไม่พอใจ จมูกได้กลิ่น ไม่พอใจ ลิ้นได้รส ไม่พอใจ กายสัมผัส ไม่พอใจ สังเกตไหมว่า มันไม่พอใจทั้งนั้นเลย มันไม่พอใจนี่ โบราณเขาใช้คำว่า ไม่ถูกใจ ความจริงถูกเข้าไปปังเบ้อเร้อแล้วมันถึงใจไปเลยล่ะ 
              เมื่อมันเข้าถึงใจมันก็เป็นอันตรายกับเราได้ ถ้าเราเห็นสักแต่ว่าเห็น อย่าไปรับรู้มันเข้ามา อย่าเอาไปนึกคิดปรุงแต่งต่อ อย่าไปทำความพอใจ ไม่พอใจกับมัน วางกำลังให้เป็นกลาง ๆ หูได้ยิน จมูกได้ิกลิ่น หรือลิ้นได้รส กายสัมผัส ก็ลักษณะเดียวกันถ้าเราหยุดมันอยู่แค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้โดยระวังไม่ให้มันเข้ามาในใจได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะทำอันตรายเราไม่ได้
       ถาม :    แล้ววางใจเป็นกลาง ๆ เป็นยังไง ?
       ตอบ :    อยู่กับการภาวนาดีที่สุด คือเราเองถ้าหากว่ายังปล่อยวางไม่ได้ ต้องมีเครื่องป้องกันตัวเอง คือใส่เกราะไว้วิธีใส่เกราะของเราก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการภาวนา อยู่กับสติเฉพาะหน้า ถ้าหากว่าตราบใดที่เรารู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ รัก โลภ โกรธ หลง เหล่านี้กินเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นเผลอเมื่อไหร่ หลุดจากลมหายใจเมื่อไร เขาก็ทำอันตรายได้เมื่อนั้น ใส่เกราะไว้ ไม่นั้นเดี๋ยวมันฟันเละ
       ถาม :  แล้วก็.........อันนี้อาจคิดผิดก็ได้ ช่วยแก้ให้ที ทำบุญบางครั้ง เราทำเหมือนกับไปเอง ลุยเอง เจ็บตัวมาก็หลายครั้ง กับการที่คนอื่นเขาเห็นไปวัดบ่อย ๆ เห็นทำบุญบ่อย ๆ เขาก็โมทนาบุญ หน้าตาเขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูเขามีความสุข ผิดกับตัวเราที่ไปลุยเองเสียอีก
       ตอบ :    ทำเองได้ปลอดภัย ได้เองแน่ ๆ ถ้าคอยโมทนาคนอื่นเขาผลต้องเกิดกับเขาก่อนแล้วถึงจะเกิดกับเราทีหลัง
       ถาม :     แล้วถ้าเราทำเอง แต่มันผิด มันจะ........?
       ตอบ :    ทุกอย่างที่เราทำเราไ้ด้ทั้งนั้น จำไว้ให้แม่นเลย ไม่ว่ามันจะผิดพลาด เราจะล้มเหลวอย่างไรก็ตาม นั่นมันเป็นสิ่งที่เราคิด แต่ความเป็นจริงที่เราได้ จุดที่เราได้คือเราได้บทเรียน รู้้เลยว่าตรงนั้นถ้าทำก็เป็นอย่างนั้นอีก ก็ไม่ทำตรงนั้น
              เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราทำไม่ใช่ว่าเราล้มเหลว ไม่ใช่ว่าเราผิดพลาด แต่เราได้ความรู้เพิ่มขึ้นว่าสิ่งที่ทำไปนั้น ต่อไปอย่าได้ทำซ้ำ บทเรียนพอแล้ว เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ทำเราได้อยู่ตลอดเรียกว่าทำถูกได้กำไร ทำผิดได้ประสบการณ์ ไม่มีเสียเลย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2009, 20:42:18 »

http://grathonbook.net/book/17.8.html

ถาม :  เผอิญคุยกับเพื่อนที่เป็นต่างชาติเขาบอกว่าเขาไม่ทานเนื้อสัตว์ เขาไม่กินเนื้อ เขาก็บอกว่าเขาไม่เข้าใจว่าคนนับถือพุทธ ทำไมมีศีลข้อห้ามไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ให้ทำร้านสัตว์ แล้วทำไมยังกิน ?
       ตอบ :    บอกว่าเรื่องนี้พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า ถ้าหากว่าเป็นอุทิสสะมังสะ  คือเขาเจาะจงฆ่าให้เรากินโดยตรงอันนี้กินไม่ได้ เพราะว่าสัตว์นั้นตายเนื่องด้วยเรา แต่ถ้าปะวัตตะมังสะ ที่ เขาทำขายเป็นปกติ คุณลุงคิดดูว่าคุณไม่กินเนื้อสัตว์แล้วมันยังฆ่า เป็นปกติอยู่หรือเปล่า ? มันก็ยังฆ่าเป็นปกติ ทีโบนสเต็กของคุณ คุณไม่กินคนอื่นมันก็กิน สิ่งทั้งหลายที่เขาฆ่าเป็นปกติเขาไม่ได้เจาะจงเฉพาะเรา อันนั้นมันไม่ได้ตายเนื่องเพราะเรา
               ถ้าหากว่าเราเองไม่ได้ยินว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ไม่ได้เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรากิน อันนี้ไม่ถือว่าผิดเพราะว่าเราไม่ได้ทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจของเราเอง พระ พุทธเจ้าตรัสว่า เรากินเพื่ออาศัยร่างกายนี้อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น ในเมื่อเราอาศัยร่างกายนี้อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น สิ่งต่าง ๆ ก็จำเป็นต้องมีให้มันเพื่ออย่างน้อย ๆ มันได้มีแรง มีกำลังใจในการทำความดี ถ้ามันไม่ใช่เสาะแสวงหามาเพื่อความอยากของตน คือตามใจปากตามใจลิ้นจนเกินไป สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น กินไปเถอะ เวลากินก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปด้วยก็แล้วกัน
               พวกเวเก็ทเทอเรียน ต่อให้มีไปครึ่งโลก ที่เหลือก็ฆ่าต่อไป บอกว่าเขาทำเป็นปกติของเขาอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการให้เราลำบากด้วยเสาะหามาก ไม่ให้เราตามใจปากตามใจลิ้นมาก เพราะฉะนั้นมีอะไรก็กินอย่างนั้น ใครต้องการจะกินผักก็กินผักไป ใครต้องการกินเนื้อก็กินเนื้อไป
       ถาม :  อันนี้เพื่อนค่ะ คุยกับเขาแล้วคิดไม่ตกว่ามันคืออะไร ถ้าโกรธมันคือความเลว ถ้าสมมติเราไปโกรธเขานี่ เราเลวกว่าเขา เขาบอกว่าผิดคือพยายามคิด คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเราเลวกว่า มันเลวกว่ายังไง เราทำไม่ถูกหรือว่าเรายังไง ?
       ตอบ :     จริง ๆ แล้ว ทุกอย่างมันเป็นสมมติ คนดีหรือว่าคนเลวก็คือสมมติทั้งคู่ มันคือคู่ที่กำลังเป็นไปตามกระแสกรรม สมมติว่ากรรมเป็นกระแสสองสาย สายสีขาววิ่งขึ้นกับสายสีดำวิ่งลงมันจะสวนกันอยู่อย่างนี้ตลอด เราติดอยู่ในกระแสไหนเราก็ไปตามกระแสนั้น เพราะฉะนั้นโลกนี้ไม่มีใครดีไม่มีใครเลว หากแต่ว่ามีแต่คนหรือสัตว์ที่เป็นไปตามกรรมเท่านั้น
              เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าเราเลวกว่าหรือว่าอะไรนั่นจริง ๆ แล้วมันใช้ไม่ได้ มันเป็นความคิดที่ผิด จริง ๆ ก็คือว่าสัตว์โลกกำลังเป็นไปตามกรรม ในเมื่อสัตว์โลกกำลังเป็นไปตามกรรม กระแสสีขาวมันพาเราสูงขึ้น พาเราไปสู่ภพภูมิที่สุขขึ้น ในที่สุดก็พาเราพ้นไปได้ กับกระแสสีดำที่พาเราตกต่ำลง พาเราไปสู่ภูมิแห่งความทุกข์ แล้วในที่สุดก็จ่อมจมอยู่กับมันไม่รู้จักหลุดจักพ้นเสียทีหนึ่งสองกระแสนี้ เราควรจะเลือกกระแสไหน
               ในเมื่อเราจับจุดนี้ได้เราก็เลือกในจุดที่คิดว่าดีแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมันไป มาถึงตรงจุดนี้แล้วสิ่ง ต่าง ๆ มันเป็นสมมติทั้งหมดแหละ ถ้าหากว่าเรายังไปยึดสมมติอยู่ มันก็หลุดพ้นไม่ได้ เรียกว่าวิมุติไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราปล่อยสมมติเมื่อไรมันจะหยุดตรงกลาง มันก็วิมุติ กระแสสองอย่างทำอะไรไม่ได้แล้ว มันหลุดพ้นขึ้นมา
       ถาม :     แล้วจะทราบได้ยังไงคะ ว่าเป็นอริยบุคคลหรืออะไรอย่างนี้ มีวิธีดูไหมคะ ?
       ตอบ :     ก็มีทิพจักขุญาณ (หัวเราะ) ได้ทิพจักขุญาณแล้วถามพระท่านโดยตรง มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้พยากรณ์มรรคผลของผู้อื่น ตัวเราถึงเรารู้ก็อย่าเพิ่งเชื่อความรู้อันนั้น เพราะว่าความรู้นั้นอาจมีการทดสอบแล้วผิดได้ แต่ว่ามีข้อสังเกตว่าบุคคลใดก็ตามที่ทำดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานยั่งยืนต่อเนื่องกันไป ให้คิดไว้ก่อนว่าเขาผู้นั้นอาจเป็นพระอริยเจ้า แต่ขณะเดียวกันว่าก็ให้คิดอยู่เสมอว่าคนและสัตว์ทุกรูปทุกนาม ท้ายสุดของเขาก็ต้องหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานเหมือนกัน
              เพราะฉะนั้นถึงเขากระทบกระทั่งกับเรา เราก็คิดไปถึงอนาคตเลยว่า นั่นอนาคตพระอรหันต์ ไปโกรธพระอรหันต์บาปนะ เสร็จแล้วเราให้อภัยเขา ง้างเทาจะเตะหมาขึ้นมา เฮ้ย !?นี่อนาคตพระอรหันต์นะ ทำร้ายเขาไม่ได้ บาปนะ มันก็จบแล้ว (หัวเราะ)
       ถาม :     เอางั้นเลยเหรอคะ ?
       ตอบ :    เออ นั่นแหละ
       ถาม :     เวลาปฏิบัติจะมีอยู่ช่วงหนึ่ง นั่งแล้วตัวโยก แต่พอระยะหลังนี่บางทีอยู่ว่าง ๆ นั่ง ๆ อยู่ก็โยก ?
       ตอบ :  ไม่ต้องว่าง ๆ หรอก บางทีคิดถึงมันก็ดยกเลย อารมณ์ตัวนี้เป็นตัวปีติ หนึ่งในห้าอย่างเรียกว่า โอกกันติกาปีติ ตัวมันจะโยกไปโยกมา อารมณ์ใจพอถึงตรงนั้นมันจะโยก อย่าไปอายใครปล่อยให้มันโยกให้เต็มที่ ถ้ามันพ้นจากจุดนั้นแล้วมันจะไม่เป็นอีก ไม่อย่างนั้นถ้าเรารู้สึกว่าอาย แล้วเราไปบังคับให้มันหยุด มันหยุดเหมือนกัน เพราะว่าอารมณ์ใจเราคลายจากจุดนั้นออกมา พอหยุดถึงเวลาเข้าไปถึงจุดนั้นก็โยกอีก
              เพราะฉะนั้นปล่อยมันเต็มที่เสียทีเดียวแล้วมันจะเลิกเอง จุดนั้นกำลังใกล้ความดีมากเลย เพราะก้าวข้ามจากจุดนั้นมันจะเป็นอาการของผู้ทรงฌาน คราวนี้อารมณ์จิตมันจะรู้อัตโนมัติ ติดนิดเดียว
       ถาม :     บังคับหยุดทุกครั้ง ?
       ตอบ :     อย่าไปบังคับหยุด ปล่อยมันเต็มที่เลย บางทีมันไม่ได้โยกเฉย ๆ มันดิ้นตึงตัง ๆ หกคะเมนตีลังกา.....ปล่อยมันให้สังเกตว่าตอนที่มันโยกมันเป็นอยู่จริง ๆ แล้วใจเรานิ่งมากเลย ไม่สนใจอย่างอื่นหรอก เราแค่ดูมันเฉย ๆ คราวนี้ว่าเราไปปรุงแต่งเพิ่มเติมว่า เอ....อาการมันพิลึกพิลั่นไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะเราอายเขาแล้วเราไปบังคับมันหยุด ต้องปล่อย อย่าไปหยุด
       ถาม :     เวลาปฏิบัติค่ะ เป็นวิปัสสนา กำหนดปวด ก็ปวดตลอดเหมือนกัน ?
       ตอบ :    แล้วมันปวดไปถึงไหน ?
       ถาม :     แล้วเวลาเราออกจากกรรมฐานแล้วจะให้อารมณ์ใจมันทรงอารมณ์ไหน ปวดหรือว่าอะไร ?
       ตอบ :    คือให้รู้อยู่ว่าอาการต่าง ๆ นั้นเป็นสมบัติของร่างกาย เวทนา ความสุข ความทุกข์ทั้งหมดเป็นเรื่องของร่างกาย เราคือจิตใจซึ่งไม่ยุ่งเกี่ยวกับตรงส่วนนั้นเลย เพราะฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเรื่องร่างกายไม่ได้เกี่ยวกับเรา ต้องการรู้รับรู้ไว้อย่างมีสติ ถ้าไม่ต้องการรับรู้ก็ตัดมันไปเลย มันก็แค่นั้นเอง
       ถาม :     แล้วเวลาที่เราภาวนาอยู่ พุทโธหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ มันมีคิดผสมด้วย ?
       ตอบ :    มี ถ้าอารมณ์ใจมันไม่ตั้งมั่นจริง ๆ ใน อดีตเราเคยทำมา สภาพจิตเราเคยแยกจิตแยกกาย ทำอะไรได้หลายอย่างพร้อม ๆ กัน เพราะฉะนั้นเราภาวนาอยู่มันก็ฟุ้งซ่านได้ ถ้าไม่ต้องการอยู่ตรงจุดนั้น ให้รวบรวมสติทั้งหมดให้อยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้า รู้ว่ามันคิดเมื่อไรดึงมันกลับมา พอมันอยู่ลมหายใจอย่างแน่นแฟ้นแล้วมันก็จะเลิกเอง
       ถาม :    แล้วอย่างสมมติว่าเราปวดมาก ๆ ที่บอกว่าให้ดูจิตดูใจอย่างนี้ จิตใจตอนนั้นมันเป็นอย่างไร มันทนอะไรไม่ได้ ?
       ตอบ :  เราอย่าไปเสวยความทุกข์มันซิ บอกแล้วว่าจิตกับกายมันคนละเรื่องกัน พยายามแยกให้บอกว่าเวทนานั้นเป็นเราหรือว่าเวทนานั้นเป็นของร่างกาย
       ตอบ :    เป็นของร่างกายก็ดูให้มันเป็นของร่างกาย ใจเราก็อย่าไปปรุงแต่งตามมัน ถ้าใจเราไปปรุงแต่งตามมันเราต้องทุกข์ต้องทนนี่สาหัสเลยตอนนั้น ดีไม่ดีกระดูกกระเดี้ยวมันจะแตกเป็นชิ้น ๆ ด้วยซ้ำไป แสดงว่าเราวางกำลังใจผิด ให้ดึงกำลังใจของเราให้มันออกมาเลย ให้กำหนดรู้อย่างเดียวว่าตอนนี้เวทนามันเกิดขึ้น ถามว่าเวทนาเป็นของกายหรือเป็นของเรา เราคือจิต จริง ๆ แล้วเวทนา สุข ทุกข์ ทั้งหลายมันเป็นของกายทั้งนั้น ใจเราไม่ไปแตะไปต้องมันเสียก็หมดเรื่องไป
       ถาม :     บางครั้งมันเหมือนสองอย่าง ตรงนี้มันนิ่ง ๆ แต่ตรงนี้มันปวด
       ตอบ :     นั่นแหละ รับรู้ไปเฉย ๆ ตามรู้ไปเฉย ๆ รู้ว่าตอนนี้มันปวด อาการธรรมดาของร่างกายของมัน ถ้ามันนั่งนาน ๆ อย่างนี้มันต้องปวดเป็นธรรมดา ขึ้นชื่อว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือว่าทุกข์ยากเจ็บปวดธรรมดาของมันอย่างนี้ เราเกิดเมื่อไรเราก็เจอมันอีก สภาพร่างกายอย่างนี้ อาการอย่างนี้เราต้องการจะเจอมันไปนาน ๆ ไหมล่ะ ? หรือว่าควรที่จะพอกันเสียที แล้วถามตัวเอง พอถามตัวเองได้คำตอบว่าที่ไหนที่คิดว่าดี เกาะที่นั่นแทน ก็เกาะนิพพานแทน จริง ๆ แล้วรู้นะ แต่ว่าของเราเองมันมักเผลอให้มันตีเสียอยู่เรื่อย
       ถาม :     (หัวเราะ) รู้ค่ะ
       ตอบ :     เดี๋ยวคราวหน้าไม่ช่วยนะ ให้มันตีตายไปเลย ไม่เป็นไรจ้ะ เอาไว้งวดหน้าลำบากแล้วมาใหม่
       ถาม :     เวลาภาวนาแล้วนับลูกประคำไปด้วย คือนับจำนวนเม็ดของลูกประคำอย่างนั้นเหรอคะ ?
       ตอบ :    คือถ้าสติมันสมบูรณ์เราภาวนาอะไรเรารู้อยู่ เรานับลูกประคำ อาการเคลื่อนไหวของมือเรารู้อยู่ ตอนนี้นับไปกี่จบแล้ว รู้อยู่หรือว่าคาถาไปกี่จบแล้รู้อยู่ มันจะรู้หลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ถ้าหากว่าเราต้องกำหนดจิตรู้หลายอย่าง งานมันเยอะ โอกาสที่มันจะแวบไปที่อื่นมันก็น้อยลง
       ถาม :    ถ้าเปรียบว่าเราภาวนาที่ใจแล้วเราชอบไปคิดถึงเรื่องอื่นแล้วก็กลับมาภาวนาได้ มันคล้าย ๆ อย่างนี้หรือเปล่า ?
       ตอบ :  คล้ายอย่างนั้น แต่ว่าอย่างนี้ของเราเราเอาคุณภาพล้วน ๆ เพราะว่าอันโน้นมันเผลอแวบไปเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจะเอาคุณภาพก็ต้องบังคับมันหน่อยหนึ่ง รู้อิริยาบถขณะนับไปด้วย คาถากี่จบว่าไปด้วย นับลูกประคำอยู่กำหนดไปด้วย (หัวเราะ) ค่อย ๆ ทำไปแต่ว่าทำอย่างนี้พอถึงท้าย ๆ แล้วมันจะมีผลอยู่อย่างหนึ่งคือว่าเวลาปกติเราทำมันก็ฟุ้งซ่านได้ เพราะฉะนั้นต้องระวังพอถึงเวลาอย่างนั้นแล้วต้องดึงมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก จริง ๆ ถ้าไม่ดึงมันกลับมา ไม่พยายามปล้ำให้มันอยู่กับที่ไว้มันก็ฟุ้งซ่าน
       ถาม :  เมื่ออาทิตย์ก่อนหนูฝันถึงหลวงพ่อค่ะ แต่หลวงพ่อไม่เหมือนกับปัจจุบัน คล้ำ ๆ ค่ะ แต่ในฝันรับรู้ว่าเป็นหลวงพ่อ หนูก็ภาวนาอยู่แล้วซักพักหนูเข้าไป หลวงพ่อก็ต่อคำภาวนาหนู แล้วหนูก็ถามหลวงพ่อในฝันว่าถ้าเวลาภาวนาจริง ๆ นี่ ถ้าใจเราแว้บออกข้างนอกนี่ถือว่าได้ผลมั้ย ? ดีมั้ย ?
       ตอบ :    ได้ แต่ว่าผลมันน้อยไปหน่อย
       ถาม :    แต่แปลกใจว่าไม่เหมือนหลวงพ่อซักนิดเลย แบบคนผิวคล้ำ ๆ ?
       ตอบ :    เดี๋ยวมันอาจคล้ำมากกว่านี้อีก ตอนนี้ทำงานเยอะจ้ะ เบาลงไปหน่อยหนึ่งก็คือว่าตอนนี้วัดถ้ำทะลุเขา เสร็จแล้ว ของเราเองหลังที่ทำเพื่อตัวเองก็เหลืออยู่หน่อยหนึ่ง หลังที่จะทำให้คนอื่นตอนนี้ก็เหลือแต่มุงหลังคา พระเขาฉาบเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รอตีฝ้ากับปูพื้น
               ส่วนหลังขอวัดห้วยสมจิตรนั้นเป็นศาลาใหญ่ ลำบากหน่อย ตอนนี้ว่าไปสองแสนแล้ว เพิ่งได้หน่อยเดียว เดี๋ยวยังไงมันก็เบาลง มีเวลาพัก เดี๋ยวมันก็ขาวขึ้นเองแหละ คราวนี้ให้มันคล้ำไปก่อน เขาทำอะไรเราไปทำด้วย แล้วลูกน้องก็มีกำลังใจ พระเณรก็มีกำลังใจ เทปูนกันกลางฝนยังสนุกเฮ ๆ ยังกับเมายาม้า (หัวเราะ) ก็เราไปเปียกกับเขานะ ผสมปูนก็เปียกกับเขา เทปูนก็เปียกกับเขา ผูกเหล็กก็เปียกกับเขา เป็นผู้บังคับบัญชาจริง ๆ แล้ว มันต้องลงไปคลุกกับงาน บอกเขาแล้วให้ผมเรียกใช้พวกคุณผมทำไม่เป็นหรอก ผมอยากทำผมก็ทำของผมเอง ถ้าหากว่าคุณคิดจะช่วยก็มาช่วยก็แล้วกัน แหม! มันเล่นมากันเสียเกือบหมดวัด

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2009, 16:22:40 »

http://grathonbook.net/book/17.9.html

ถาม :  มีพระท่านหนึ่งใช้คนไปซื้อของไปตั้งศาลในวัดโดยที่ไม่ได้ให้เงินไปด้วย เสร็จแล้วก็ให้คนไปซื้อของมาถวายพระ ถ้าท่านเป็นพระอริยเจ้าจะใช้แบบนี้ได้มั้ยครับ ?
       ตอบ :    มันต้องดูด้วยเพราะของพระเขามีอยู่ว่าเป็นญาติ เป็นปวารณานี่ขอได้ ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณานี่ไม่มีสิทธิขอ โดนอาบัติ 
       ถาม :    ปวารณาคืออะไรครับ ?
       ตอบ :     ปวราณา เขายอมตัวให้ว่าให้ทำอย่างนั้นได้ อย่างเช่นว่า หลวงปู่มหาอำพัน เวลาลูกศิษย์จะสึกนี่ เมื่อสึกเป็นทิดแล้วท่านจะให้มาปวารณากับท่านว่า กระผมขอปวารณาต่อพระคุณเจ้าด้วยปัจจัยสี่และการใช้สอยทั้งปวง ถ้าพระคุณเจ้าประสงค์ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็โปรดแจ้งให้กระผมทราบด้วยขอรับ คราวนี้ก็ใช้ไปเหอะ แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้านี่จิตท่านละเอียด ท่านจะไม่ละเมิดศีล ถ้าละเมิดศีลนี่เรื่องอย่างนั้นท่านคงไม่ทำ
       ถาม :    ถึงแม้ว่าจะปวารณา ?
       ตอบ :    ถ้าปวารณานี่ได้ แต่ถ้าพูดถึงประเภทที่ว่าใช้ส่งเดชไปเฉย ๆ 
       ถาม :  ก็มีพระทำพิธีจะปลุกเสกพระอยู่ แล้วมีแสง ถ่ายรูปออกมาแล้วมีแสง อันนี้เป็นอำนาจบุญบารมีของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือว่าเป็น......?
       ตอบ :    เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง คือว่าพระท่านอาจแสดงให้อย่าง หรือไม่ก็พรหม เทวดา ท่านแสดงให้อย่างหนึ่ง ตอนนั้นต้องดูว่าใคร
       ถาม :     แล้วถ้าพระไปนั่งในกระทะน้ำมันเดือด ๆ แล้วก็มีคนดูเยอะ ๆ ?
       ตอบ :     อันนั้นไม่สมควร ถ้านับแล้วเป็นอุปกิเลสอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นการปฏิบัติในทางที่ถูกเป็นสัมมาทิฏฐิถือ เป็นอุปกิเลสอย่างหนึ่ง อุปกิเลสแแปลว่าใกล้กิเลสแล้ว ถ้าทำตามหลักวิชาของครูบาอาจารย์จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ไม่ได้แสดงเพื่ออวดใคร ไม่ได้แสดงเพื่อชื่อเสียง ไม่ได้เพื่อลาภผล ไม่ได้แสดงเพราะต้องการให้คนเลื่อมใส อันนั้นไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าหากทำเพราะเจตนาอื่นมันก็ไม่ใช่อุปกิเลสคือว่าใกล้กิเลส แต่มันจะเป็นกิเลสเต็ม ๆ เลย ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนั้นถือว่ากำลังใจของท่านยังอยู่ในด้านที่เรียกว่าอาจ เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเริ่มก้าวผิดทางแล้ว
       ถาม :    พระอริยเจ้านี่พูดคุยเรื่องยศ เรื่องตำแหน่งได้ไหม ?
       ตอบ :  ต้องดูว่าคนที่ปรารภนั้นมีอะไรเนื่องกับท่านหรือเปล่า ถ้าหากว่าคนที่ปรารภนั้นมีอะไรเนื่องกับท่านมาก็ดี มีอะไรก็ดี ไม่ว่าเป็นเรื่องตำแหน่งของท่านเอง หรือว่าตำแหน่งหน้าที่การงานของลูกศิษย์ ถ้าอย่างนั้นท่านก็พูดด้วย คุยด้วยแต่ถ้าหากว่าปรารภเพื่อที่ว่าตัวเองจะได้ดิ้นรนเพื่อนตัวเองจะได้ อย่างนั้นไม่ใช่แน่ เพราะพระอริยเจ้ามีแต่จะปล่อยวาง ไม่ไปยึดถือสิ่งใดเพิ่มขึ้น
       ถาม :    คนที่ตายที่อเมริกาครับ อันนั้นเป็นการตายก่อนเวลาหรือว่าเป็นผลของปาณาติบาต ?
       ตอบ :     ตายก่อนเวลาหรือหลังเวลาเป็นผลของปาณาติบาตทั้งนั้นแหละ ถ้าตายลักษณะนั้น เพราะว่าปาณาติบาตนี่ ถ้ามันเข้ามาสนอง มันก็เป็นช่วงหนึ่งของอุปฆาตกรรม ถ้าหากว่ามันหมดอายุขัยแล้วตายในลักษณะนั้นก็คือกรรมของปาณาติบาตมันมา เหมือนกัน มันไม่ได้ตายแบบปกติทั่ว ๆ ไป ตายอย่างชนิดที่หาซากไม่เจอเสียด้วยซ้ำไป บางศพจนป่านนี้ยังหาไม่ได้เลย
       ถาม :    ถ้าหากว่าเราอุทิศส่วนกุศลให้นี่ ได้รับไหมครับ ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าตายก่อนอายุขัยนะ เขามายินดีโมทนานี่เขาได้เลย ถ้าไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าบุญเป็นอย่างไรก็แย่หน่อย 
       ถาม :    ถ้าเขาไม่รู้จักว่าบุญเป็นอย่างไร ?
       ตอบ :     บอกใ้ห้เขาโมทนา เขาไม่รู้ว่าโมทนาหน้าตาเป็นอย่างไรก็ยุ่งแล้ว (หัวเราะ)
       ถาม :     ถ้าเราเก็บเงินตามถนนได้แล้วเอามาทำบุญ คนที่ทำเงินตกนี่ได้บุญด้วยหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :     เขามีส่วนด้วยมันเป็นกตัตตากรรม คือกรรมที่เขาไม่ได้เจตนาทำ ทรัพย์นั้นเป็นของเขา เมื่อเราทำเขาก็มีด้วย แต่ตัวเราเองนะได้เยอะ
               อันดับแรกเราได้ตัวเวยยาวัจจมัย คือช่วยให้งานบุญของเขาสำเร็จลง อันดับที่สองเราได้ตัวปัตตานุโมทนามัย ก็คือว่าเราต้องพลอยยินดีด้วยในผลบุญนั้นเราทำได้ทำลงไป อันดับต่อไป จาคานุสติ และทานบารมี เป็นของเราแน่ ๆ เลยเพราะว่าถึงเก็บได้มา ถือเป็นลาภลอยอยู่ก็จริง แต่เราเองแทนที่จะเอาไปกินไปใช้เองกลับคิดที่จะเอามาทำสิ่งที่ดี ๆ กับเอามาสละออก เพราะฉะนั้นตรงนี้เราได้เยอะ ของเขาเองมันเป็นกตัตตากรรมมันได้น้อยไปหน่อย
       ถาม :   หลวงพ่อท่านบอกว่าปัตตานุโมทนามัยร่วมด้วยมีผลเหมือนกัน คราวนี้อยากจะเรียนถามว่ามีผลนี่หมายถึงมีผลในสวรรค์ ?
       ตอบ :    เจ้าของบุญได้เท่าไหร่เราได้เท่านั้น ไม่ใช่แต่ในสวรรค์ต่อให้พรหมหรือนิพพานก็ได้ ดูตัวอย่างพระนางพิมพาราชเทวี พระพุทธเจ้าทำอะไรท่านพลอยยินดีด้วยทั้งหมด พอได้ยินว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จ ออกถือบวช นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์โกนศีรษะ ท่านก็นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์โกนศีรษะ คือยินดีทำตามทุกอย่างจนวาระสุดท้าย พระพุทธเจ้าบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตัวปัตตานุโมทนามัยนั้น ตัวปัตตานุโมทนามัยจะเกิดทีหลังเขาอยู่หน่อยหนึ่ง ต้องให้เขาของบุญนั้นสำเร็จผลในผลบุญเขาก่อนตัวเองถึงจะได้
              ตัวอย่างพระนางพิมพาพอพระพุทธเจ้าบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณท่านก็เป็นพระ อรหันต์ไปด้วย ได้ทีหลังเจ้าของเขาหน่อย ไม่ใช่แต่เฉพาะความดีนะ ความชั่วก็มีผลเเหมือนกัน เห็นเขาทำชั่วแล้วพลอยยินดี ดีไม่ดีลงนรกพร้อมกับเขา
       ถาม :    แล้วถ้าเกิดอย่างเราโมทนาเวลาเขาทำทาน บริจาคทานอย่างนี้ผลในทางมนุษย์โลกนี่คือแบบไหน เหมือนกันใช่ไหม ?
       ตอบ :    เหมือนกัน คือว่าเขาได้เท่าไรเราได้ด้วย แต่เราได้ช้ากว่าเขาหน่อยหนึ่ง
       ถาม :    ถ้าอย่างนี้เราไปโมทนาคนทั้งหมดเลย แล้วรอให้เขา....?
       ตอบ :  ได้ ถ้ากำลังใจของเราพอจะโมทนาใครก็ว่าไปเลย พลอยยินดีกับเขาทั้งหมด เพียงแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะต้องเกิดกับเขาก่อน เดี๋ยวของเรา เราก็รับเป็นระยะ ๆ ไป ใครเำกิดปุ๊บเราก็ได้มั่ง (หัวเราะ)
       ถาม :     ความปรารถนาไม่สมหวังนี่ มีกรรมอะไรเป็นเหตุ ?
       ตอบ :     จริง ๆ แล้วมันคือทำไม่พอ ถ้าเราทำไว้เพียงพอสิ่งที่เราต้องการมันจะสำเร็จ อันนี้เรียกว่าบุญฤทธิ์ เพราะฉะนั้นถ้าปรารถนาไม่สมหวังจริง ๆ ก็คือบุญไม่พอ ถ้ามีอะไรเป็นเหตุก็กรรมดีมันน้อยไป (หัวเราะ)
       ถาม :    ไม่ใชว่าเราไปขัดขวางการทำดีของคนอื่น ?
       ตอบ :     มันมีอยู่ แต่ว่าถ้าถามอย่างนี้มันต้องสรุปรวบยอดเลย คือมันยังไม่พอ ถ้าทำพอมันได้
       ถาม :    แล้วส่วนหนึ่งที่มันเป็นกรรมเก่าที่เราทำไม่ดีไว้ด้วยใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :     คือบุญไม่พอ ในขณะเดียวกันชั่วก็เยอะ (หัวเราะ) สองอย่างรวมกันเลยเจ๊งเลย
       ถาม :    คำพูดที่ว่าชีวิตอยู่ด้วยความหวังกับอย่าไปหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อันไหนจะถูกต้องกว่ากัน ?
       ตอบ :  มันผิดทั้งคู่เลย ถ้ายังหวังนี่แปลว่าใจมันเกาะอนาคตอยู่ ใจถ้ามันเกาะอนาคตนี่มันผิดแล้ว และขณะเดียวกันก็อย่าไปหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อันนี้ความจริงแล้วมันดี แต่ขณะเดียวกันว่าบางสิ่งบางอย่างเราทำถ้าจะให้ถูกจริง ๆ คือ ตั้งต้นว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำของเราไป ไม่ต้องไปสนใจว่าผลจะเกิดเมื่อไร ? และจะเกิดอย่างไร ? ถ้าทำอย่างนี้แล้วโอเค คือว่าเราต้องมีความหวังหรือว่าตัวฉันทะ มันขึ้นมาก่อน พอมีฉันทะขึ้นมามันถึงอยากจะทำในสิ่งนั้น ตั้งใจทำในสิ่งนั้นให้สำเร็จ
               แต่เพียงแต่ว่าในช่วงขณะที่ทำไม่ต้องไปคิด แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำให้มันไปถึงจุดหมายเท่านั้นแทนที่จะคิดภารกิจให้มัน ฟุ้งซ่าน มันก็เหลือว่าจะบุกให้ภารกิจนั้นมันจบลง ถ้าอย่างนั้นมันจะได้เร็วกว่าได้ง่ายกว่า
       ถาม :  แสดงว่าเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจเท่านั้นเอง รัชกาลที่หกท่านได้แต่งกลอนที่ว่า ?ชนใดไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์? ไม่ทราบว่าตอนนี้่รัชกาลที่หกท่านทรงคิดยังไงกับคำสอน ?
       ตอบ :  อันนี้ท่านแปลมาจากของกรีกเขา อย่างพวก all intelligence is not gold ท่านก็แปลเป็นคำไทยเสียเพราะเชียวว่า ?วาว ๆ บ่ใช่ เนื้อคำดี ทั่วนา? เห็นสิ่งที่แวววาวไม่ใช่เนื้อทองแท้ก็มี
               รัชกาลที่หกท่านเป็นอัจฉริยะมากเลย ท่านแปลพวกคำคมอะไรของปราชญ์ฝรั่งเอาไว้เยอะต่อเยอะ ตัวนี้ท่านแปลตรง ๆ มาจากของเขา แต่ว่าจริงแล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นปรัชญาที่ผ่านประสบการณ์ สั่งสมมาเป็นเวลายาวนานของบรรดาปราชญ์ต่าง ๆ เขา โอกาสที่ใกล้เคียงความจริงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ คือคนทั่ว ๆ ไปพอได้ยินเสียงดนตรีจะมากจะน้อย ความพอใจมันต้องเกิดขึ้น
              ยกเว้นว่าคุณอารมณ์เสียแล้วก็ดันไปบรรเลง อันนี้พูดถึงปกติของมนุษย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป พวกที่ไม่ชอบจริง ๆ สันดานมันไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา ตัวคิดกบฏนี้ไม่ไ้ด้หมายความคิดกบฏต่อชาติต่อบ้านต่อเมืองต่ออะไร หากว่ามันเป็นกบฏสังคม กบฏสังคมนี่คนอื่นเขาทำอะไรตัวเองตามเขาไม่ได้ ไม่เหมือนชาวบ้าน

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2009, 23:46:21 »

http://grathonbook.net/book/18.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนตุลาคม  ๒๕๔๔   
ณ  บ้านอนุสาวรีย์ฯ 
          ถาม :    คนที่ฆ่าตัวตายนี่จำเป็นต้องลงนรกทุกคนหรือไม่ครับ  ?
       ตอบ :   ส่วนใหญ่แล้วจะลงนรก   ถ้าหากว่าตามประวัติที่รอดมาได้จริง  ๆ   ก็คือ  พระโคธิกะไป นิพพานเลย แต่ว่าฆ่าแบบพระโคธิกะกับฆ่าแบบคนทั่วไปมันต่างกันมหาศาล ฆ่าแบบพระโคธิกะเพราะเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายมันจริง ๆ แต่ฆ่าอย่างคนส่วนเพราะจิตใจเศร้าหมอง น้อยใจคนอื่น ต้องการประชดชีวิต ต้องการประชดชีวิตคนอื่น คนที่จิตใจเศร้าหมองแล้วไปทำกรรมที่กรรมใหญ่ขนาดนั้นนี่รอดนรกยาก
       ถาม :     ถึงแม้เขาจะทำบุญที่มีอนิสงส์มาก  ?
       ตอบ :  คราวนั้นกรรมมันตัดแล้ว เพราะว่าเรื่องของบุญของกรรมนี่ให้วาระให้เวลาของการสนองที่มันต่างกัน สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ ถ้าช่วงวาระของกรรมมันเข้าบุญก็ต้องถอย
       ถาม :    พระโคธิกะนี่ท่านบรรลุก่อนที่จะเชือด   จะทำ....?
       ตอบ :  คือท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้วท่านก็เชือด   เพราะว่า ตัวตัดสินใจเด็ดขาดมันน่าจะจบกันไปตรงนั้นแล้ว มีเหมือนกันนะคนอยากเป็นแบบพระโคธิกะแต่ทำไม่ได้ แล้วไม่กล้าเชือดเองให้คนอื่นเชือดให้ มีลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่น ๆ เดียวกับอาตมานี่แหละ ผู้หญิงด้วย จริง ๆ แล้วจะว่าใจคอเข้มแข็งก็ไม่ใช่หรอก คือตอนที่อยู่เขาก็เรียกว่ายายเพี้ยน (หัวเราะ) ตอนแรกมันตั้งใจจะอดข้าวตายแล้วทำไม่สำเร็จ ไปกลั้นใจตาย ก็ไม่สำเร็จ ก็บอกว่าสองอย่างนี่มันเหลวไหล คนอดข้าวตายสำเร็จนี่ต้องกำลังใจขนาดพระพุทธเจ้า คือกำลังใจพระโพธิสัตว์บารมีเข้มเลยอย่างนั้นได้ ไม่อย่างนั้นมันหิวมาก ๆ ทนไม่ไหวก็ตะกายไปหากินเอง ให้กลั้นใจตายนี่มันเหลวไหลหนักเข้าไปอีกเพราะระบบร่างกายมันทำงานอัตโนมัติ พอขาดออกซิเจนมันก็กระตุกให้หายใจเอง มาตอนหลังให้เพื่อนเชือดคอให้ ตอนแรกไม่ตาย ตอนหลังนี่ตายสมใจอยาก
       ถาม :     หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าคนที่บอกว่าตัวเองไม่กลัวตาย   แต่ตัวเองไม่เป็นพระอรหันต์      หลวงพ่อท่านบอกว่าพูดไม่จริง   ?
       ตอบ :   ไม่จริง บุคคลที่ไม่กลัวภัยจริง ๆ ท่านบอกว่ามีม้าอาชาไนย ช้างศึกที่กำลังออกสงคราม พระเจ้าจักรพรรดิราชเพราะรู้ว่าไม่มีศัตรู แล้วก็พระอรหันต์เพราะว่าไม่เป็นศัตรูกับใคร
       ถาม :   การฝึกวิชามโนมยิทธิ    ถ้าไม่มีพื้นฐานเลยเข้าไปฝึกเลยจะได้มั้ยคะ  ?   
       ตอบ :  คำว่าพื้นฐานนี่หมายถึงว่าในชาติปัจจุบันนี้ไม่เคยฝึก ชาติก่อนเคยฝึกอยู่จะได้ คือว่าพื้นฐานของมโนมยิทธิ จริง ๆ แล้วเป็นการเอาของเก่ามาใช้ ไปพื้นของเก่าของเราเอง อยู่ ๆ มีเงินอยู่ในกระเป๋าสตางค์ใช้ไม่เป็น เขาบอกวิธีเปิดกระเป๋าล้วงเงินมาใช้แค่นั้น ถ้าหากคนไม่เคยได้มโนมยิทธิมาในชาติก่อนนี้จะฝึกไม่ได้ เพราะฉะนั้นพื้นฐานนี่ ถ้าเป็นพื้นฐานในชาติปัจจุบันยิ่งไม่เคยฝึกอะไรมา ยิ่งได้ง่าย มันฟุ่งซ่านมากไปติดของเก่าอยู่ แต่ถ้าหากว่าพื้นฐานในอดีตไม่มีต่อให้ปัจจุบันมีแค่ไหนนี่ เป็นแสนชาติกว่าจะได้    
       ถาม :    ของเก่าที่ว่านี่  ?
       ตอบ :   ของเก่า คือเราเคยได้มาก่อนเอาเป็นอันว่าถ้าหากว่าคนไหนอยา่ก ส่วนใหญ่มันจะมีของเก่ามาก่อน คือได้ยินแล้วอยากฝึกเหลือเกินอะไรอย่างนั้น พวกนี้ส่วนใหญ่มักจะได้ง่าย ของเก่าเขาตุนไว้พอแล้ว
       ถาม :    ก็คือหมายความว่าถ้าอยากฝึกแสดงว่าเคยฝึกมาก่อน แต่ถ้าฝึกแล้วมันไม่สำเร็จล่ะคะ ?
       ตอบ :    อันนั้นบางทีก็คือความอยากมากเกินไป ตัวอยากมากเกินไปมันจะบังหน้าอยู่ ขณะเดียวกันอาจวางกำลังใจไม่ถูกด้วย ของพวกนี้มันมีเคล็ดลับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ของมันอยู่ ถ้า วางกำลังใจตรงปั๊บนี่มันได้ง่าย ๆ เลย แต่ขณะเดียวกันบางคนความพยายามสูงมาก แต่มันอยากเกินไป หน้าต่างมันอยู่ตรงนี้อยากดูมากยืดคอยืดอกเสียเกินหน้าต่างมันจะเห็นมั้ย ? ไม่ได้เห็นหรอก ต้องพอดี ๆ
       ถาม :    เขาบอกว่าการแก้กฏแห่งกรรมให้คลายตัวนี้ให้ท่องอิติปิโส ๑๐ จบ อิติปิโสนี่หมายถึงห้องต้นใช่มั้ยคะ่ ?
       ตอบ :   ถ้าหากว่าเป็นของหลวงพ่อนี่ ๓ ห้องรวมกัน อิติปิโสท่านต้องครบเลย คืออิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโนด้วย
       ถาม :  แล้วหลวงพ่อบอกว่าฌานนี่ขึ้นอยู่กับกายไม่เหมือนกับวิปัสสนาขึ้นอยู่กับ อารมณ์ ถ้าร่างกายไม่ดี ตัวฌานก็จะสูงไม่ได้ อย่างนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ?
       ตอบ :    คือว่าเรื่องของฌานสมาบัติเรื่องการของการ ปฏิบัติภาวนา ถ้าร่างกายไม่ดีอย่างเช่นว่า เหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยสมาธิมันจะไม่ทรงตัว เพราะกำลังมันจะขึ้นอยู่กับกำลังร่างกายด้วย แต่ว่าเรื่องของวิปัสสนานี่มันขึ้นอยู่กับกำลังใจ ถ้ากำลังใจมันละแล้วมันละเลย มันจะไม่มีการขึ้น ๆ ลง ๆ อีก เพราะฉะนั้นตัวสมาธิตัวสมาบัตินี่มันขึ้นอยู่กับร่างกายมาก แต่ว่าตัววิปัสสนาขึ้นอยู่กับใจอย่างเดียว
       ถาม :    ถ้างั้นวิปัสสนากับกรรมฐานต่างกันอย่างไร ?
       ตอบ :    กรรมฐานเป็นคำรวม กรรมฐานคือพื้นฐานของการกระทำแยกออกได้ ๒ อย่าง คือสมถกรรมฐาน คือการทำใจให้สงบมี ๔๐ วิธี ด้วยกัน และวิปัสสนากรรมฐาน คือการทำให้เกิดปัญญา ก็จะมีหลักใหญ่ ๆ ว่าพิจารณาตามอริยสัจ หรือพิจารณาตามไตรลักษณ์ หรือพิจารณาตามวิปัสสนาญาณ ๙ เพราะฉะนั้นกรรมฐานเป็นคำรวม แต่แยกออกได้เป็นสมถะกรรมฐาน คือการทำใจให้สงบ และวิปัสสนากรรมฐาน การทำให้ปัญญาเกิด
       ถาม :    การบนเพื่อขออย่างใดอย่างหนึ่งให้กับตัวเองหรือผู้อื่น เป็นการฝืนกฏแห่งกรรมหรือเปล่า ?
       ตอบ :   ไม่ฝืนจ้ะ การบนนี่เป็นการตั้งใจว่าเราจะทำความดีเป็นการตอบแทนเมื่อได้สิ่งนั้นมา คราวนี้ว่าการบนนี้ถ้าหากว่าสิ่งที่เราต้องการมันขาดมาก สมมติว่าอันนี้ใส่น้ำอยู่มันมีน้ำอยู่แค่นี้เท่านั้น การบนของเราเราต้องการจะเติมน้ำแต่นี้มันก็ไม่อาจสำเร็จไปได้ แต่ถ้าหากว่าเราขาดอยู่แค่นี้เราบนว่าจะเติมแค่นี้สิ่งนั้นจะสำเร็จ เพราะฉะนั้นการบนก็คือตั้งใจว่าเราจะทำบุญในสิ่งที่เป็นบุญ ในเมื่อเราทำในสิ่งนั้นขึ้นมามันสามารถที่จะเสริมกุศลเก่าของเราเหมือนกับ เติมจำนวนเงินให้เพียงพอ เราต้องการซื้อของชิ้นหนึ่งราคามันร้อยยี่สิบ เรามีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง เราก็ตั้งใจว่าเราจะหาเงินยี่สิบนี้มา ถ้าหากว่าได้ของสิ่งนั้นมาเราจะหาเงินยี่สิบใช้เขา เสร็จแล้วเราก็ไปใช้เขาคนที่มีเงิน คือบนต่อผู้ที่สามารถให้กับเราได้ ในเมื่อผู้นั้นเห็นว่ามันเล็กน้อย มันสามารถให้เขา จึงทำให้เราสำเร็จตามใจของเรา แล้วเราก็ไปใช้หนี้
       ถาม :    กองทานกับสังฆทานนี่ต่างกันอย่างไรค่ะ  ?
       ตอบ :   สังฆทานนี่เป็นทานที่ไม่จำกัด    หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานจนถึงหมู่สงฆ์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำว่า สังฆะ คือหมู่สงฆ์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพระผู้ใหญ่ พระเด็ก พระเล็ก ตลอดถึงภิกษุสามเณร พระใหม่ก็ตาม จะมีส่วนร่วมในนั้นทั้งหมดเป็นบุญที่ไม่จำกัด ขณะเดียวกัน กองทาน ก็คือ      เราตั้งใจขึ้นมาว่าจะเอาทานนั้นไปทำอะไร    คำว่า กองทานก็คือสิ่งที่เรามีอยู่ทั้งหมด      เรียกว่ากองทานที่เราตั้งใจทำบุญ      
       ถาม :   แล้วอานิสงส์อันไหนจะมากกว่า  ?
       ตอบ :  อานิสงส์จริง ๆ กองทานก็คือว่าสิ่งที่เราตั้งใจจะให้ทาน ถ้าเราแค่ตั้งใจให้ยังไม่ได้ให้มันมีอานิสงส์แค่มโนกรรมมผลมันก็ยังน้อยอยู่ จนกว่าจะได้ให้ กายกรรมคือได้ทำไปแล้วถึงจะมีผล ส่วน สังฆทานนี่อานิสงส์จะสูงมากเพราะว่าเป็นทานสืบอายุพระพุทธศาสนา   ปกติแล้วคนทั่ว  ๆ  ไปจะเลือกบุคคลที่มั่นใจว่าบุญแน่    อย่างของเราก็เลือกทำกับ หลวงปู่คูณ   อย่างนี้เพราะมั่นใจว่าท่านดีแน่ ในเมื่อเราเลือกทำเฉพาะคน พระหนุ่มเณรน้อยอื่น ๆ ในสังฆะมณฑลสมมติว่า เมืองไทยของเราประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ องค์ ถ้าเราเลือกจะทำอย่างพระหลวงพ่อคุณจะมีสักกี่องค์ล่ะ ดีไม่ดีไม่ถึงร้อยเสียด้วยซ้ำไป ที่เหลือก็ตายหมด แทนที่ว่าสังฆทานทุกองค์มีส่วนร่วมกินร่วมใช้เสมอกันหมด ถ้าหากว่ามาอยู่ในสถานที่นั้นก็จะแบ่งปันให้เหมือนกันหมด ในเมื่อแบ่งปันให้ ทุกคนสามาถร่วมกินร่วมใช้ ก็สามารถจะดำรงอยู่ได้ก็กลายเป็นทานสืบทอดอายุพระศาสนา เพราะฉะนั้นสังฆทานจะมีผลมากกว่าทานปกติเป็นแสนเท่า 
       ถาม :     แล้วพระอาจารย์อย่างที่เป็นเกจิอาจารย์ที่บอกว่าท่านจะละสังขารเพื่อช่วยประเทศ  ?
       ตอบ :  เพราะว่าติดหนี้ชาวบ้าน กินข้าวเขาไปเยอะ ไหน ๆ จะตายทั้งทีก็ตายให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็หาจังหวะหาเวลามันฉุกเฉินคับขันจำเป็นจะต้องมีอะไรบางอย่างเป็นการทดแทน ได้ ท่านก็อาจเลือกไปในเวลานั้น
       ถาม :    อยากให้บอกชื่อพระเกจิอาจารย์หน่อยจะได้ทำบุญได้ก่อนที่ท่านจะละสังขาร  ?
       ตอบ :  ถึงเวลาก็จ้องเอาก็แล้วกัน    เอาเป็นว่าบอกให้สักองค์หนึ่ง หลวงพ่ออุตตมะใกล้ ไปเต็มที่แล้ว ความจริงท่านหมดอายุแล้ว แต่ท่านติดหนี้อาตมาอยู่ยังไม่ได้ใช้ก็เลยต้องทนอยู่ต่อ แล้วสร้างพระรุ่นนี้ที่ให้จองนี่ก็เพื่อสร้างให้ท่านใช้หนี้ จะขอให้ท่านช่วยทำพิธีให้สักส่วนหนึ่ง ถ้าทำเสร็จแล้วปุ๊บปั๊บไปเลยไม่ต้องมาโทษอาตมานะ ไม่ใช่เราไปทำให้ท่านตาย แต่ว่าท่านหมดอายุแล้วจริง ๆ อายุท่านแค่เก้าสิบ นี่เลยเก้าสิบมาจะขึ้นเก้าสิบเอ็ดอยู่แล้ว คือตอนแรกเราก็จะแกล้งดึงเกมเอาไว้ คือว่าไง ๆ พระอย่างท่านถ้าอยู่ไปก็จะเป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้มาก คราวนี้ร่างกายไม่ไหวจริง ๆ เห็นท่านทรมานมาก ถ้าขืนต่อ ๆ ไปถ้าเราโดนทรมานแบบนั้นบ้างก็แย่เหมือนกัน ก็เลย......เอ้า !เป็นอันว่าดีไม่ดีท่านจะไม่อยู่ให้เราใช้หนี้เสียด้วยซ้ำไป พอรู้ว่าเราโอเคแล้วท่านก็ไปเลย ยังกลัวว่าพระจะสร้างเสร็จไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
       ถาม :    แล้วพระองค์อื่นล่ะคะ ?
       ตอบ :  เอาแค่นั้นก็พอจ้ะ บอกมากไม่ได้ผิดมารยาท ปกติเขาไม่บอกกัน เรื่องนี้จะเป็นเรื่องพระพุทธเจ้าพยากรณ์มรรคผลเท่านั้น แต่ว่าที่กล้่าบอกเพราะว่าอย่างหลวงพ่ออุตตมะนี่หลวงพ่อท่านเคยบอกเอาไว้?ใน เมื่อหลวงพ่อท่านเคยบอกครูบาอาจารย์ท่านเคยบอก เป็นลูกศิษย์ก็แค่เอาคำครูบาอาจารย์มาพูดต่อเท่านั้นเอง อันนี้โทษคงเกิดกับเราน้อยเต็มที เอาสักองค์หนึ่งก็แล้วกันนะจะให้ไม่ไกลมาก
       ถาม :    แล้วพระคำข้าวกับพระหางหมากนี่ต่างกันอย่างไร ?
       ตอบ :    จริง ๆ แล้วมีผลทางลาภมากที่สุด แต่ว่าพระคำข้าวจะแสดงผลทางลาภชัดเจน พระหางหมากจะหนักไปทางป้องกัน อานุภาพนี่คือว่าปลอดโรค ภาวะบรรดาโรคต่าง ๆ ถ้าเราตั้งใจภาวนาให้ป้องกันจริง ๆ ไม่ว่าเป็นเชื้อโรคที่เกิดจากประเภทที่เรียกว่าระเบิดสารเคมี ระเบิดเชื้อโรค อาวุธเชื้อโรค หรือว่าโรคต่าง ๆ อย่างโรคเอดส์ อย่างนี้กันได้ ให้ลาภก็คือว่าถ้าหากอาราธนาอยู่ประจำ ๆ ต้องการเรื่องลาภผลเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่การงานความสะดวกต่าง ๆ ก็จะได้ง่าย แล้วก็ศัตรูทำอันตรายไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจอาราธนาอยู่ เขาตั้งใจจะทำเรา เขาจะแพ้ภัยไปเอง
       ถาม :   เมื่อกี้ที่พูดมามันต้องผ่านกรรมฐานก่อนถึงจะขึ้นมาวิปัสสนาได้ ?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วจะเริ่มจากวิปัสสนาเลยก็ได้ พอเริ่มพิจารณาไปเรื่อย ๆ อารมณ์ทรงตัวเป็นสมาธิมันจะเป็นสมถะไปเอง แต่ว่าคนที่ทำสมถะเริ่มต้นด้วยการภาวนาก่อน ถ้าถึงเวลาอารมณ์มันเต็มที่ของมันแล้ว เราไม่พิจารณามันจะฟุ้งซ่านไปเลย คือพอมันถอยออกมามันจะไปฟุ้งซ่านแทน เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังให้ดี คนทำวิปัสสนานี่ถ้าปัญญาดีจริง ๆ มันจะได้เปรียบ แต่ถ้าปัญญาไม่ถึงมันต้องอาศัยกำลังของสมถะเข้าช่วยก่อน ทำให้ใจมันนิ่งก่อน ใจมันนิ่งแล้วมันก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง ก้มเมื่อไรก็เห็นหน้าสามารถใช้ส่องหน้าตัวเองได้ อันนั้นก็ใช้ส่องหากิเลสเพื่อไล่ฆ่ามันให้ได้
       ถาม :    ช่วงนี้เป็นช่วงกลียุคหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :  กลียุค.... ยัง กลียุคตามคำทำนายโน้นมันปลาย ๆ พระศาสนานั่นแหละเหลือช่วงไม่กี่ร้อยปีอย่างนั้นแหละ ช่วงนี้ยังเรียกอย่างนั้นได้ไม่เต็มปากหรอก
       ถาม :    คำอาราธนาพระหางหมากว่ายังไงคะ ?
       ตอบ ?อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุ นี้เถิด? ได้ทุกอย่างที่เป็นพระเครื่องของสายหลวงพ่อ ไม่ว่าจะเป็นพระคำข้าวหรือหางหมาก
       ถาม :    แล้วคาถานี้หลวงพ่อบอกว่าถ้าท่องแล้วอย่าไปแช่งใคร ?
       ตอบ :   จริง ๆ แล้ว บุคคลที่ปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา อย่าไปแช่งใครเพราะว่าคนที่มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา กำลังมันจะแรง น้องชายอาตมาเองคือแสงชัย แช่งคู่ต่อสู้ตายแหงแก๋ไปแล้ว รายนั้นหมอผีด้วย เขาเล่นอ้างกุศลบารมีที่สมสร้างมาแต่ปางบรรพ์ หมอผีตายแหงไปเลย อันนั้นจะไปว่าเขาฆ่าก็ไม่ได้ เพราะเรื่องของคนมันมีกรรมผูกพันมันเนื่องกันมาพอดี มาทำให้ไม่ถูกใจไม่ถูกอารมณ์ ก็เล่นอธิษฐานยังงั้นก็เสร็จเขา
       ถาม :   แล้วเวลาที่หลวงพ่อบอกว่าให้ท่อง สัมปจิตฉามิ   ถ้าใครเล่นคุณไสยก็ให้ย้อนกลับคืนเจ้าของ  ?   
       ตอบ :  อันนั้นเขาทำของเขาเอง ของเราแค่ตั้งใจนึกถึงบารมีพระให้ช่วยสงเคราะห์คุ้มครองก็ว่ากันไป มันจะย้อนกลับหรือไม่ย้อนกลับเราก็ไม่ได้ทำเขา เขาทำของเขาเอง มันเหมือนกับคนเตะฟุตบอลอัดใส่ข้างฝา ตัวเองหลบไม่ทันก็หงายท้องเอง มันเด้งกลับเอง ของเราเพียงแต่ตั้งข้างฝาให้มันแข็งแรงหน่อย นึกถึงพระให้มั่นคงไว้
       ถาม :    ?อิทธิฤทธิ?    นี่ใช้เฉพาะสายหลวงพ่อฤๅษี      ถ้าเป็นพระหลวงพ่อ.............มีมัยครับ  ?
       ตอบ :  ของเขาเองมีคำอาราธนาตามสายของเขาเอง มี แต่ว่าสายหลวงพ่อจะใช้ ?อิทธิฤทธิฯ? ในการอาราธนาพระทุกชนิด ยกเว้นบางอย่าง เช่น  ธงมหาพิชัยสงคราม    จะมีใช้เฉพาะก็คือ  พุท   ธะ   สัง   มิ   พุท ธะ สัง มิ นี่เป็นหัวใจไตรสรณาคมน์ ย่อมาจาก ?พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ? พุท ธะ สัง มิ นี่ตัดมาคำเดียว พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ?
       ถาม :    แล้วอย่างนี้เราต้องอาราธนาพระรัตนตรัยขอขมาพระรัตนตรัย    ก่อนหรือเปล่า  ? 
       ตอบ :   ทำได้ก็ดีจ้ะ    เวลาไม่พอก็ว่าคาถาไปก่อนเรื่องอื่นว่ากันทีหลังรีบ  ๆ   เขย่าท่านให้ตื่นก่อน
       ถาม :    อันนี้ควรจะบูชาทุกวันมั้ยคะ  ? 
       ตอบ :  จ้ะ ต้องทำทุกวัน เช้า- เย็น ได้ยิ่งดี เผื่อไว้เดี๋ยวบอกตอนเช้าถึงตอนเย็นลืมขึ้นมา (หัวเราะ) การปลุกพระนี่เป็นการปลุกตัวเรานะ เมื่อกี้จำได้มั้ย จริง ๆ แล้วพระกริ่งพิชัยสงคราม นี่ ท่านให้ทำน้อยมากเลย เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนเอาไปใช้ ถ้าคนเอาไปใช้กำลังใจไม่ดีมันเหมือนกับวิทยุโทรทัศน์ ถ้าเครื่องส่งส่งเต็มที่แล้วเครื่องรับมันไม่เปิดมันเอาไปใช้แล้วไม่มีผลมัน จะด่าเราเอง คราวนี้ก็เลยบอกว่าคนเราถ้ามันไม่ได้มันเสียกำลังใจ ก็เลยต่อรองว่าขอทำเท่าจำนวนจอง

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2009, 04:10:20 »

http://grathonbook.net/book/18.2.html

ถาม :     ............(เรื่องพระเครื่อง)...........
       ตอบ :   หลวงพ่อเงิน    วัดดอนยายหอม  ท่านเปรียบเอาไว้ว่า กำลังใจของคนที่เกาะพระ ถ้ากำลังใจเข้มแข็งสูงสุดท่านเปรียบว่าถ้าเป็นอาวุธปืนจะยิ่งไม่ออก โบราณเขาเรียกว่า  มหาอุตม์    รองลงมาหน่อยหนึ่งยิงออกแต่ไม่ถูกจะเป็น แคล้วคลาด รองลงมาอีกหน่อยหนึ่งยิงถูกแต่ไม่เข้าเป็น คงกระพัน  ยิงถูกแต่ไม่เข้านี่เฮงซวยแล้วในความหมายของท่าน ลดลงไปอีกหน่อยหนึ่งยิงเข้าแต่ไม่ตาย ก็ถือว่าคุณเฮง โชคดีไป ที่แย่จริง ๆ คือถ้าหากว่านึกถึงพระแล้วแต่กำลังใจมันแย่มากเลย ถึงตายก็ไปสวรรค์เพราะเกาะพระอยู่ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ ไปสวรรค์ซะจะได้ไม่ลำบากนาน
       ถาม :     มีไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย  ?
       ตอบ :   จ้ะ...   แต่คราวนี้บางคนเขาไม่เข้าใจ เรื่องของพระเครื่องต่าง  ๆ   มันเป็นการตัดเคราะห์กรรมให้กับคนที่ตั้งใจอาราธนาบูชาอยู่   จากหนักก็เป็นเบา  จากที่เบาก็เป็นหาย เพราะ ฉะนั้นบางคนว่า อ๊ะ! ทำไมว่าคนนั้นเอาไปใช้แล้วมีผลมากเลย นั่นของเขากรรมมันเบา แต่ขณะเดียวกันของเราเอาไปใช้โดนรถชนเสียเดี้ยงเลย เออ...คุณไม่ตายก็เฮงแล้วนะ บางคนจะไม่เข้าใจในจุดนี้ จากหนักจะเป็นเบา จากเบาเป็นหาย
       ถาม :   ถ้าคนที่ได้ไปเหมือนกัน   ถ้าคนที่ศรัทธาเยอะ   คนนั้นก็จะ ....?
       ตอบ :   จะได้ผลมากกว่า    อย่างโบราณนี่กำลังใจเขาเข้มแข็งมาก เสด็จในกรมหลวงชุมพร   รัชกาลที่ ๖  ถามท่านว่าไปเที่ยวสักเนื้อสักตัวร่ำเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพันมานี่ตั้งใจจะก่อการกบฏหรือ ?     พี่น้องกันเขาถามกันตรง  ๆ   ลูก รัชกาลที่   ๕    เหมือนกัน ....ใช่ไหม ? เสด็จในกรมท่านบอกว่าท่านสามารถที่จะสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบา อาจารย์ที่เคารพนับถือได้ว่าจิตใจที่คิดจะปรารถนาในราชบัลลังก์ไม่มีแม้แต่ นิดเดียว
              ถ้าหากว่าท่านผิดจากคำพูดนี้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าได้คุ้มครองเลย เสร็จแล้วท่านก็ควักปืนยิงเข้าปากเหนี่ยวจนหมดโม่ไม่ลั่นสักนัดหนึ่ง เป็นเรา....เรากล้าอมปืนยิงตัวเองไหมล่ะ ? นั่นแหละ เพราะฉะนั้นกำลังมันต่างกันตรงนั้น ถ้ากำลังใจเข้มแข็งขนาดนั้นมันยิงไม่ออกหรอก ถ้ารองลงมาหน่อยก็ยิงออกไม่ถูก แย่ ๆ ลงมายิงถูกแต่ไม่เข้า แหม... ปลื้มใจกันใหญ่ ที่ไหนได้กำลังใจห่วยแตก (หัวเราะ)
       ถาม :   แล้วที่อาจารย์ให้พระหางมากกับพวกพลอยนี่  ?
       ตอบ :   เอา พระหางหมาก เป็นหลักจ้ะพลอยนั้น จริง ๆ ก่อนหน้านั้นที่ทำก็คือว่าบางคนนะที่มาที่นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ คริสต์ก็มี อิสลามก็มี แล้วขณะเดียวกันพวกผู้หญิงเยอะ วัตถุมงคลบางอย่างทำในลักษณะของเครื่องประดับศาสนาอื่นเขาใช้ได้ลักษณะว่า ไม่ต้องไปตะขิดตะขวงใจ ไม่ต้องไปงัดข้อกับศาสนาตัวเอง อีกอย่างหนึ่งสิ่งที่สวยงามผู้หญิงเขาชอบอยู่แล้วติดตัวเป็นวัตถุมงคลด้วยก็ ยิ่งดี
       ถาม :  ธรรมของพระพุทธเจ้าบางอย่าง เป็นเรื่องยากที่ปุถุชนทั่วไปจะเข้าใจ (.....ไม่ชัด.....) ถ้าเราใช้ความรู้สึก เราจะเข้าใจได้อย่างไรคะ ว่าพระพุทธเจ้าสอนเราว่าอย่างไร ?
       ตอบ :    พระพุทธเจ้าสอนอยู่ ๘๔,๐๐๐    พระธรรมขันธ์    หัวข้อใด    หัวข้อหนึ่งก็ไปนิพพานได้แล้วไม่จำเป็นต้องไปศึกษาทั้งหมด     โดยเฉพาะในส่วนที่ยากมันมีอยู่สองจุด    ก็คือว่าพระอภิธรรม    ๔๒,๐๐๐   พระธรรมขันธ์กับมหาสติปัฏฐานสูตร พระอภิธรรมนี่ท่านสอนพรหม   สอนเทวดา    มหาสติปัฏฐานสูตรสอนชาวกัมมาสะธัมมะนิคมที่เป็นพวกอุตระกุรุทวีป     พวกนี้ปัญญาเขาสูงมาก     
              ถ้าเราไปอ่านสติปัฏฐานสูตร จะรู้สึกว่าละเอียด ถ้าหากว่าสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาเจอสติปัฏฐานเข้านี่เหมือนแบกช้างทั้งตัวเลย นะ ส่วนอันอื่น ๆ สำหรับคนทั่ว ๆ ไป เราจับอันไหนที่เราถนัดตั้งหน้าตั้งตาทำอันนั้นให้เกิดผล ถ้ามันเกิดผลเสียหัวข้อหนึ่งแล้วหัวข้ออื่นมันก็ง่าย แต่ถ้าหากว่ามันไม่เกิดผลอย่างที่เคยเปรียบเทียบให้ฟังว่าเหมือนกับขุดบ่อ แล้วไม่ได้น้ำ เราทำอันนี้เหมือนเราขุดบ่อลงไปซัก ๕ เมตร ๑๐ เมตรยังไม่ถึงน้ำเลยก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นอีก แล้วก็ไปขุดอีกบ่อหนึ่งอีก ยังไม่ได้น้ำก็ย้ายไปขุดอีกบ่อหนึ่ง ตกลงว่ามันเสียเวลาปฏิบัติอยู่ ทำอันเดียวให้มันได้ไปเลยแล้วอันอื่นมันจะง่าย
       ถาม :   อย่างคนที่ไปปฏิบัติเดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิจะได้ผลยังไง  ?
       ตอบ :   ถ้าหากว่าตั้งใจทำจริง  ๆ    จะมากจะน้อยมันจะได้แต่คราวนี้ว่ามันได้เท่าไรต่างหากล่ะ  ?
       ถาม :   แล้วไม่ทราบว่าเดินไปเพื่ออะไรคะ  ?
       ตอบ :  เขาต้องรู้ว่าทำไปเพื่ออะไรสิ    ถ้าเขาไม่รู้เขาจะไปทำไม    ใช่ไหม   ?    เขาต้องรู้ว่าทำเพื่ออะไรอานิสงส์ของการเดินจงกรมก็คือว่าสมาธิได้จะคลายตัวได้ยากหนึ่ง    ทำให้เป็นคน เดินทน   เดินแล้วไม่ค่อยเหนื่อยกับใคร    เพราะเดินจงกรมเขาว่ากันเป็นชั่วโมง   ๆ   ทำให้ อาหารย่อยสลายได้ง่าย ลำไส้มีการเคลื่อนไหว    อานิสงส์ของมันอยู่    แล้วอีกอย่างก็คือว่าเวลาเรานั่งอย่างเดียวมันเครียดต้องเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินแทน          
       ถาม :   โดยทั่วไปจำเป็นไหมที่ทุกคนต้องปฏิบัติเดินจงกรม  ?
       ตอบ :  ไม่จำเป็น   เพราะว่า๔    อิริยาบถ   เราถนัดอันไหน   เดิน   ยืน   นั่ง   นอน   ทำอันนั้น  
       ถาม :   ถนัดนอน  ?
       ตอบ :  ถนัดนอนนั้นดี      ไม่เหนื่อยมาก
       ถาม :   แต่กลัวหลับ  ?
       ตอบ :  อย่าหลับสิ     พยายามรักษาสติเอาไว้   ถ้าเราประคองสติอยู่ได้ก็สบาย
       ถาม :    แล้วอย่างเดินจงกรมกับเดินช้อปปิ้งนี่มันเหมือนกันไหมคะ  ?
       ตอบ :  ถ้าคุณเดินช้อปปิ้งอย่างมีสติมันก็เหมือนกันแต่ช้อปปิ้งแบบไร้สติก็เดินจงกรมดีกว่า
       ถาม :   ...........(เรื่องสติ)............ 
       ตอบ :  ความจำไม่ดีไม่แน่ว่าจะขาดสติ แต่ขณะเดียวกันจะเรียกว่าขาดสติก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วสมาธิมันน้อยไปหน่อย ถ้าสมาธิน้อยไปหน่อยความจำจะไม่ค่อยดี แต่ว่าอย่าให้มีกรรมแบบ ท่านจุลปันถก   ท่านเองนี่แค่อิติปิโสภควา ๆ สวด ๓ เดือนไม่จบ ในอดีตเคยทำกรรมไว้ไปหัวเราะพระท่านสวดมนต์แล้วไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของผลต่างหากออกไป แต่ทั่ว ๆ ไป  ความจำไม่ดีถ้าไม่ดีถ้าไม่ใช่ประสาทร่างกายมันเกิดจากสมาธิน้อยไปหน่อย    ตั้งใจทำสมาธิให้ทรงตัวความจำจะดีไปเอง 
       ถาม :   แล้วจะแก้ยังไง  ?
       ตอบ :  ไม่ต้องแก้หรอกให้คอมพิวเตอร์มันจำแทน สมัยนี้ถึงเวลาก็รีเสิร์ชเอา สงสารเด็กสมัยนี้ถ้าคอมพิวเตอร์มันพังจะไม่เหลืออะไรในสมองเลย ปัจจุบันก็สมาธิสั้น ไม่ชอบใจกดรีโมทเปลี่ยนช่อง หน่วยจำเขาเลยกระจัดกระจายไม่ต่อเนื่องสมาธิก็จะสั้นไปด้วย สังเกตดูเด็กสมัยนี้คุยกับเราเรื่องนี้ถามเราตอบมันยังไม่ทันจะจบเรื่องเลย มันไปอีกแล้วเป็นแบบนั้น กระโดดไปกระโดดมา
       ถาม :   แล้วถ้าคนที่มีกรรมไปหัวเราะพระอย่างในอดีตชาติแล้วเราไม่รู้ต้องทำอย่างไง  ?
       ตอบ :  เป็นพระอรหันต์เสียแล้วจะหาย     เป็นพระอรหันต์แล้วกรรมนั้นจะหมด  พระจุลปันถก พอท่านเป็นอรหันต์แล้วกรรมนั้นก็สิ้นสุดลง  ความเป็นพระอรหันต์กรรมเก่านี่มันอโหสิกรรมไปเลย   อัตโนมัต   เพราะว่าท่านดีจนมันตามไม่ทันแล้ว  
       ถาม :   ยกเว้นกรรมใหญ่  ๆ  ?
       ตอบ ไม่มีการเว้น กรรมทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมไปหมด ยกเว้นเศษกรรมบางอย่างถ้ามีร่างกายอยู่มันก็ยังมีการทวง แต่ว่าในสิ่งที่ท่านทำ มันไม่ทีสิทธิ์ทำท่านให้ลงอบายภูมิแล้วมันจบแค่นั้น
       ถาม :  ร่างกายนี่ ถ้าหากว่าเราบอกว่าไม่สนใจมัน ช่างมันนี่คะ หมายความว่าปล่อยแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทรกซ้อน.....อย่างกรรมเก่านี่จะเข้ามาแทรกซ้อนไหม ?
       ตอบ :  กรรมนี่มันไม่เกี่ยว    เราปล่อยหรือไม่ปล่อยนี่มันก็เอาอยู่แล้ว    ลักษณะการปล่อยร่างกายนี่ หมายความว่าเรามีปัญญารู้เท่าทันมัน รู้เท่าทันมันว่าร่างกายที่ไม่ดีจริงอย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราขอมีมันแค่ชาตินี้ชาติเดียว ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็บำรุงดูแลรักษามันไปตามหน้าที่ กายนี้เป็นสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ มารยาทในการยืมก็คือดูแลรักษาให้ดีที่สุดเพื่อให้ถึงเวลาแล้วจะได้ส่งคืนเขา ในสภาพที่ดีที่สุดไม่ใช่ว่ายืมของเขามาใช้แล้วก็พังมันไปเลย เพราะฉะนั้นเรายังมีหน้าที่ดูแลรักษาเขาอยู่เพื่อว่าในปัจจุบันเราจะได้อยู่ โดยไม่ลำบากนัก แต่ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมีมันอีก ชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ใช่ประเภททิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่สนใจ ๗ วัน ไม่อาบน้ำสักที เดี๋ยวคนรอบข้างเขาจะด่าเอา
       ถาม :   เขาบอกว่าถ้าเราพิจารณานี่ก็ให้คิดพิจารณาไปเลยไม่ต้องมาแบบว่าภาวนาเกี่ยวกับลมหายใจ    แล้วไม่เข้าใจคะ  ?
       ตอบ :  คือ   โดยถ้าหากว่า เราเริ่มคิดพิจารณาไปเรื่อย ๆ พออารมณ์พิจารณามันทรงตัวมันจะเป็นภาวนาโดยอัตโนมัต คือ มันจะเป็นสมาธิของมันเอง การพิจารณาได้เรียบกว่าตรงนี้ว่า พอถึงเวลาแล้วมันจะเป็นภาวนาของมันเอง แต่การภาวนาถ้าเราทำไปถึงจุดของมันแล้ว มันไปต่อไม่ได้ถ้าเราไม่บังคับให้มันพิจารณาอย่างที่เราต้องการ มันคิดเองนี่มันจะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เลย การคิดพิจารณาก็คิดอยู่ในแบบของ ไตรลักษณ์  คือ     เห็น อนิจจังความไม่เที่ยงของร่างกาย    ของโลก   ของคน  สัตว์    วัตถุ   สิ่งของ   ทุกข์ขัง  ความเป็นทุกข์ของทั้งหมดนั้นแหละ      แล้วก็ อนันตาไม่มีอะไรคงอยู่ได้   สูญสลายไปหมด   นี่เป็นด้านหนึ่ง    อีกด้านหนึ่งก็ดู    ทุกข์ ใน อริยสัจอย่างเดียวเกิดทุกข์ขึ้นได้อย่างเราไม่ทำสาเหตุนั้นทุกข์ก็ดับลง      อีกอย่างหนึ่งก็คิดตามนัย วิปัสสนาญาณ  ๙ อย่าง   เริ่มตั้งแต่ดูการเกิดและดับ    ดูเฉพาะการดับ   ดูว่าเป็นทุกข์เป็นภัย      ดูว่ามันเป็นของน่ากลัว
       ถาม :   ...............(เรื่องสังฆทาน).............
       ตอบ :  คือ ถ้าหากว่าให้เขาเตรียมมาเองของมันแพงมาก ผ้าไตรชุดหนึ่งก็ตั้งแปดเก้าร้อยแล้วเราไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นได้ คราวนี้ว่าที่นี้เขาจัดหาไว้ให้แล้ว แต่ว่าเราจะบริจาคเป็นเงินเท่าไรถือว่าสังฆทานชุดนั้นเป็นสิทธิของเรานะ พอเขาถวายเสร็จเขาจะช่วยยกเก็บให้ด้วย
       ถาม :   แล้วถวายเป็นเงินได้หรือเปล่า  ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าถวายเป็นเงินตั้งใจเป็นสังฆทานก็ได้    แต่ว่ากำลังใจบางคนเขาจะยึดอยู่ว่าต้องมีของ   ก็ยกสักหน่อยจะได้เหนื่อย
       ถาม :   แล้วอย่างว่างานศพนี่    แจกเงินไม่ถือว่าเป็น....?
       ตอบ :  จริง  ๆ   แล้วผิดจ้ะ     แต่คราวนี้ตั้งแต่วันบวชมาหลวงพ่อให้ปฏิบัติญาณตนว่าข้าพเจ้า จะรับเงินและทองที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย แต่จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเข้าร่วมในกองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวายเรา เพราะว่าเรื่องของพระเรารับเงินเองก็ดีคนอื่นรับไว้ก็ดีถ้าเราอยู่ก็โดน อาบัติเท่ากัน คือศีลขาดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียเวลาให้คนอื่นรับแทนหรอก รับแทนหรอก รับแทนหรือว่ารับเองมันก็โดนเท่ากัน ถ้างั้นก็รับเองเสียก็แล้วกัน
                 คราวนี้มันมีอยู่ตรงจุดที่ว่าเรารับเองแต่ว่ากำลังใจเราอย่าไปยึดว่าสิ่งนี้เป็นของเรา    หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่าเงินของปีนี้อย่าให้ใช้ถึงปีหน้า     ถ้าหากว่าเงินมันเหลือให้คิดหางานที่ใหญ่กว่าเงินไว้เสมอ อย่างเช่นว่าเราเหลือเงินอยู่แสนหนึ่งก็พยายามคิดทำอะไรที่มันเกินแสนไว้    เวลาเงินใหม่มันเข้ามามันจะไม่นึกว่าเป็นของเราท่านบอก ไว้ว่า พระเราเสียง่ายที่สุด ๒ อย่าง อย่างแรก คือ เงิน อย่างที่ คือ ผู้หญิง เราต้องระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ เงินทุกบาททุกสตางค์เรารับมาจากใครจ่ายไป ในเรื่องอะไรทำบัญชีไว้ในละเอียด ถึงเวลาถ้าเขามีการตรวจสอบได้ชี้แจงเขาได้ ท่านป้องกันไว้ให้หมดแล้วเพียงแต่ว่าเราจะทำตามได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพระสายหลวงพ่อนี่จับสตางค์เป็นปกตินะ
                 แต่ว่าตอนไปอยู่กับหลวงปู่พระมหาอำพัน ท่านเป็นธรรมยุติท่านไม่จับเงิน ถึงเวลาโยมมาถวายก็บอกโยมวางไว้ตรงนั้นแหละจ้ะ โยมเขาวางไว้พอเขาหันหลังออกไปเราก็หยิบหมับ หลวงปู่ท่านยิ้ม หลวงปู่ท่านรู้อยู่ว่าเราจับเงินเป็นปกติอยู่แล้ว แต่หลวงปู่ท่านอยู่ร่วมกับเขาจับไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับคนอื่น เขาจะอ้างได้ว่าหลวงปู่ยังจับอย่างนี้ คราวนี้ของเราเราอยู่กับเขาเราก็ต้องรักษารูปแบบของเขาไว้ โยมให้ก็อย่ารับ ลับหลังโยมเราก็จับ แต่แกล้งเขาไม่ได้นะ
                 ที่วัดท่าซุงส่วนใหญ่เขา หลัง ๆ จะมีพระธรรมยุติไปเยอะเพราะว่าเขารู้ว่าเราไม่รังเกียจเขา เขาไปบางคนไปซื้อวัตถุมงคล เขาควักย่ามออกมาตั๋วแลกเงิน ๓ เล่มเขาไม่จับเงิน แต่เขาถือทีละ ๓๐,๐๐๐ เราคนจับเงินมีไม่เท่าเขา เสร็จแล้วถึงเวลาก็ฉีกตั๋วแลกเงินให้ เราไปถามเขา ตอนนั้นเพิ่งไปรับหน้าที่ใหม่ ๆ ยังไม่เข้าใจเขาจัดการกันอย่างไร ก็ไปกราบถามหลวงพี่ชัยศรี ตอนนั้นดูแลศาลานวราช อยู่ ก็ถามว่า หลวงพี่ครับทำยังไงนี่ ท่านก็บอกว่ารับขึ้นมาแล้วก็ทอนเงินให้เขาตามปกติ บอกแล้วนี่ละครับ เดี๋ยวคุณก็เซ็นชื่อตัวเองแล้วไปเบิกที่ไปรษณีย์ก็เท่านั้นแหละ พอดี หลวงตาวัชรชัยเดิน เข้ามาถึง หลวงตาบอกว่าอะไรวะ ก็ส่งตั๋วแลกเงินให้ท่านดู บอกว่าพระท่านไม่จับเงิน ท่านใช้ตั๋วแลกเงิน หลวงตาดูเสร็จ ไอ้ห่า......มันก็เงินเหมือนกันล่ะวะ
              ปรากฏว่าพระท่านเห็นเราเข้าไปนานเกินไปท่านเลยเดินตามมา เอาห่าไปเต็มสองรูหูเลย ยืนตีหน้าบอกไม่ถูก แล้วทีหลังหลวงตาท่านขึ้นไปจำหน่ายวัตถุมงคลเองพระท่านก็ล้วงซองใส่หน้าอกมา อันนี้พกเงินไม่ใช่ตั๋วแลกเงิน แต่ว่าใส่ซองไว้ เสร็จแล้วท่านก็เอาไม้เขี่ยออกมา คราวนี้มันห้าร้อยกว่าท่านก็เขี่ยออกมาสองใบแบงก์ห้าร้อยก็หนึ่งเป็นพัน หลวงตาท่านก็ทอนเงินให้ หลวงตาทอนเงินท่านทอนแต่แบงก์ย่อย พอวางแบงก์ย่อยลงหลวงตาก็รูดพรืดกระจายเสียเต็มหลังตู้ แล้วหลวงตาก็เดินหายเข้าส้วมไปเลย ปรากฏว่าท่านมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะหาใครช่วย จะใช้ไม้เขี่ยก็ไม่ไหวตั้งกี่ใบก็ไม่รู้ ท่านก็รวบหมับ หลวงตาวัชรชัยท่านก็หัวเราะ
              สมัยบวชใหม่ ๆ หลวงตาร้ายนะ ท่านแกล้งคนไว้เยอะ (หัวเราะ) วันนี้เผาพี่ท่านเอง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เรียกว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับพระหลายองค์ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือหลวงปู่บุดดา ท่านเป็นพระธรรมยุติแต่ท่านจับเงิน แล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่บุดดาทั้ง ๆ ที่พระธรรมยุติท่านจะเคร่งครัดมาก เวลาญาติโยมผู้ชายนวดหลวงปู่บุดดาอยู่ญาติโยมผู้หญิงก็มองตาละห้อยอยากจะนวด หลวงปู่มั่ง หลวงปู่ก็ยื่นเท้าให้เฉยเลย ไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่ คือหลวงปู่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสียจนกลายเป็นปาปมุติคือภาษาพระ แปลว่าผู้เหนือบุญเหนือบาปแล้ว พ้นจากบาปแล้วโดยสิ้นเชิง ทำจนกระทั่งว่าทุกคนเชื่อมั่นว่าอย่างนั้นก็เลยไม่มีใครกล้าติฉินนินทาหลวง ปู่เลยแม้แต่นิดเดียว
              ปี ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ - ๒๕๑๙ วัดท่าซุงเริ่มก่อสร้างโบสถ์ หลวงปู่บุดดาพร้อมด้วยหลวงปู่หลวงพ่ออีกประมาณ ๑๐ องค์ก็ไปช่วยงาน หลวงพ่อท่านนิมนต์ไปก็พักอยู่ที่วัดท่าซุง คราวนี้พวกเรามันเคยชินกับคำว่าทำบุญเอาแก้วสารพัดนึกก็คือเงินไว้ก่อน หลวงปู่บุดดาท่านก็ทำไง เอาถุงก๊อบแก็บวางไว้ตรงหน้าพวกเราก็ใส่เงิน ใส่เงิน พอถึงเวลาโยมทำบุญเสร็จเรียบร้อยลูกศิษย์ก็ผูกปากถุงส่งให้ หลวงปู่บุดดาก็แหวกย่ามเสียกว้างเชียวนะกลัวจะกระทบเงิน ลูกศิษย์ก็หย่อนใส่ย่าม หลวงพ่อหันมาพอดี อ๋อ! ....ไม่อยากได้ใช่ไหม คว้าหมับเลย หลวงปู่บุดดาสองมือตะครุบหมับ จับแล้วครับ บอกหน้าตาเฉยเลย จับแล้วครับ หลวงพ่อบอกเออ ! มันต้องอย่างนั้นซิ กะอีแค่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ปล่อยให้มันเกาะใจได้ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้ ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่บุดดาจับเงินมาตลอดแล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่า หลวงปู่ นั่นแหละคือหลวงพ่อท่านทำให้รู้ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้   จริง   ๆ    แล้วมันสำคัญตรงใจ      แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเอาไว้เราต้องเคารพและปฏิบัติตาม    เพียงแต่ว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า    ?อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว สิกขาบทไหนที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยให้สงฆ์พร้อมใจกันสวดเพิกถอนสิกขาบถนั้น ได้?   คือว่าศีลข้อไหนถ้ามันไม่เหมาะกับยุคสมัยให้พระพร้อมใจกันถอดทิ้งได้ แต่คราวนี้ว่าพระทั้งหมดเคารพพระพุทธเจ้าก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องมาตลอด
              หลวงพ่อบอกว่าฉันดูมาตลอดแล้วสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อมีข้อจับเงินข้อเดียวที่ มันน่าถอนทิ้งที่สุด เพราะว่าพระไปไหนมันจำเป็นนะ ขึ้นรถขึ้นรามันก็จำเป็น ซื้อข้าวซื้อของซื้ออาหารก็ต้องใช้เงิน เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอก็ต้องใช้เงิน อย่างนี้ว่าพอพระท่านเคารพพระพุทธเจ้าไม่มีใครเพิกถอน หลวงพ่อเองท่านเลยให้พระวัดท่าซุง....ไม่ทราบว่ารุ่นอื่นเป็นยังไงแต่รุ่น อาตมาบวช ๓๖ องค์ รุ่นนั้นท่านให้ปฏิญาณตัวเลยว่ารับ เพียงแต่ว่าท่านใช้คำว่าเราจะจับเงินและทอง บอกเลยว่าไม่ให้ก็จะเอานะ (หัวเราะ) ที่ผู้มีจิตศรัทธาถวายแต่จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะผลักเข้ากองบุญกุศลเพื่อเพิ่มบุญให้แก่ผู้ที่มาถวาย บอกชัดเลยจ้ะ เพราะฉะนั้นอาตมาจะรับเงินอย่างสบายใจที่สุด
       ถาม :   แล้วมีข้อจำกัดไหมครับ  ?
       ตอบ :  คืออย่าพกเงินเกิน    ๕   ล้าน    มันหนัก   (หัวเราะ).....มีข้อจำกัดไหม....ไม่มี
       ถาม :   พกบัตรก็ได้ไหมครับ  ?
       ตอบ :  จริง  ๆ   บัตรก็ได้นะสะดวกกว่านะ    เพราะบัตรมันก็คือเงินใช่ไหม    เสียอยู่อย่างเดียวแหละ  อาจารย์ยันตระ แกไปรูดผิดที่เล่นเอาเสียหายหมดเลย    พระองค์อื่นจะพกบัตรตามท่านก็เลยหมดอารมณ์ไปเลย
       ถาม :  ตอนนั้นไปกราบหลวงพ่อบุดดา คือว่าเราไปถูกเนื้อต้องตัวท่านคะ ตอนนั้นท่านอาพาธอยู่ ก่อนที่ท่านจะสิ้น ผิวท่านสวยมากไปกราบแล้วก็ไปโดนเนื้อท่านด้วยจะยังไปไหมคะ ก็โดนกันหลายคนอาจารย์พาไปกราบ
       ตอบ :  บาปมากเลย    ไปนิพพานแน่เลย .....ก็โดนไปเถิดไม่เป็นไรหรอก    ของท่านเองท่านก็เลิกคิดแล้วส่วนเราถือเป็น อนุสติพระ ที่มีความบริสุทธิ์ถึงขนาดนั้นเรามีโอกาสได้แตะเนื้อต้องตัวท่านถือว่าเป็น อนุสติแล้วกัน นึกถึงเมื่อไรให้นึกถึงตรงจุดนี้ว่าเราได้จับต้องของที่มีคุณค่าเสียยิ่ง กว่าเพชรกว่าทองอีก เพราะฉะนั้นเป็น สังฆานุสติ สำหรับเรา คิดเสียว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเป็นบุญเป็นกุศลทั้งหมดแล้วชาตินี้ก็หวัง นิพพานอย่างเดียว หลวงปู่ท่านไปนิพพานแล้วเราก็ตาม ตอนจับก็น่าจะมัดติดไว้เลย (หัวเราะ)
       ถาม :   ตอนไปโดนก็ตกใจคะ    แต่หลวงพ่อท่านก็ยิ้ม
       ตอบ :  หลวงปู่ท่านไม่ตกใจหรอก เฉย ๆ ของอาตมานี่เคยโดนเด็กมันเล่นมันสนุก เราไม่ห้ามมัน เด็กผู้หญิงมันปีนขึ้นหัวเล่นเอาพ่อแม่ช็อคไปเลย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2009, 20:57:16 »

http://grathonbook.net/book/18.3.html

ถาม :     ...........................
       ตอบ :     ช่วงนี้เป็นช่วงของกาลกฐิน คำว่ากาลนี่ กาละแปลว่าเวลา เวลาของกฐิน กฐินจริง ๆ ความหมายก็คือผ้าสะดึง คือผ้าที่ขึง เครื่องขึงที่ยึดผ้าให้ตึงจะได้ประกอบให้เป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเย็บปักถักร้อยอะไรก็ง่าย กาลกฐินนี่จะเป็นเรื่องกำหนดตามระเบียบพิธีของสงฆ์โดยเฉพาะพระภิกษุที่จำ พรรษาแล้วเป็นเวลาครบถ้วน ๓ เดือน
              สมัยก่อนนั้นพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เปลี่ยนจีวรได้ คราวนี้ว่าการเปลี่ยนจีวรนี้ต้องสมเหตุสมผล คือว่าเป็นผู้ที่จีวรเก่าจริง ๆ ชนิดที่เรียกว่าหมดสภาพแล้วก็อนุญาตให้เปลี่ยนได้ ท่านก็ให้เสาะหาผ้าที่จะมาทำจีวร ภายหลังการเสาะหาผ้าเต็มไปด้วยความยากลำบาก นางวิสาขาก็ดี อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ดี ก็ขอให้รับคหปติจีวร คือจีวรที่มีผู้น้อมมาถวายได้ คราวนี้พอจำพรรษาแล้วครบสามเดือนมีสิทธิรับกฐินได้ กาลกฐิน คือเวลาของการรับกฐิน เริ่มตั้งแต่แรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ดไปสิ้นสุดเอากลางเดือนสิบสองเป็นเวลา หนึ่งเดือนเต็ม ช่วงระยะนี้วัดไหนก็ตามที่มีเจ้าภาพตั้งใจว่าจะถวายกฐินก็จะจัดให้ถวายกฐิน ขึ้นมา คราวนี้กฐินเป็นงานบุญพิเศษ
              ความจริงกฐินเป็นสังฆทานเหมือนกันแต่บังเอญว่าจำกัดด้วยเวลาคือทำได้แค่ เดือนเดียวเท่านั้นในหนึ่งปี ก็เลยจะมีอานิสงส์พิเศษ หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกเอาไว้ว่าให้เรารู้จักสังเกตตัวเอง ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพทำบุญกฐิน คำว่าเจ้าภาพไม่ได้หมายความว่าจะต้องเจาะจงว่าตัวเองเป็นประธานหรือว่าหา สิ่งของทั้งหมดมา เราร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยจะเล็กน้อยยังไงก็ตามถือว่าเป็นเจ้าภาพเหมือนกัน ท่านบอกว่าบุคคลที่ตั้งใจเป็นเจ้าภาพกฐินติดต่อกันได้ถึงสามปี ให้สังเกตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา จะมีความสะดวกกว่า 
              เพราะฉะนั้นก็ให้พวกเราตั้งใจลักษณะนี้ ตัวอาตมาเองตั้งใจตั้งแต่ก่อนบวชจนกระทั่งถึงบวชแล้ว แต่ละปีจะทำบุญกฐินปีละมาก ๆ หลาย ๆ วัด สมัยที่ก่อนบวชถึงเวลาหน้ากฐินก็เตรียมซองไว้เลย ซองละพัน ๆ เจอเขาทำที่ไหนก็ถวายร่วมกับเขาที่นั่น พอเป็นพระมาก็ใช้วิธีจัดแบบนี้ คือว่านิมนต์พระที่ท่านไม่ีมีกฐินหรือว่าพระที่เป็นมิตรสหายคุ้นเคยกันมา มารับกฐินที่วัดของเรา หรือว่าอย่างระยะหลัง ๆ นี่ไปเป็นประธานทอดให้เขาด้วย หรือว่าทางด้านโน้นเขาเรียกร้องมาก็ต้องไป
               อานิสงส์ที่ชัดที่สุด ก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระพุทธเจ้าสมัยที่ท่านเกิดเป็นมหาทุกขตะ คือคนที่จนมาก ท่านเป็นคนรับใช้คนอื่นเขา ในสมัยนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าปทุมมุตตระ ท่านเป็นคนใช้เขา
              เจ้านายจะจัดกฐินก็สั่งให้มหาทุกขตะจัดการให้ทุึกอย่าง มหาทุกขตะก็บอกว่า ข้าแต่นายขอร่วมมีส่วนในกฐินนี้ได้หรือไม่ นายก็บอกว่าได้ซิเรามีอะไรล่ะ บอกว่าเดี๋ยวขอเสาะหาก่อน คราวนี้เขามีแต่ผ้านุ่งอยู่ผืนเดียว แขกเขาจะมีผ้านุ่งอยู่ผืนหนึ่งแล้วผ้าห่มผืนหนึ่ง แต่มหาทุกขตะจนมากมีผ้านุ่งผืนเดียวก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี เลยเข้าไปในป่าเอาใบไม้มาเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่มแทน แล้วเอาผ้าผืนนั้นไปที่ตลาดไปถามกับพ่อค้าว่าผ้าผืนนี้สามารถแลกของอะไรได้ บ้าง เขาถามว่าเธอจะเอาไปทำอะไรผ้าก็เก่าเต็มทีจะแลกของอะไรได้นักหนาเชียว เขาก็บอกว่านายของเรานี่จัดกฐินขึ้นมาเพื่อทอดถวายพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธ ศาสนา เราก็อยากทำบุญด้วยก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้เข็มไปเล่มหนึ่งแล้วก็ด้ายไป กลุ่มหนึ่ง เพราะว่าผ้าเก่ามากแล้วมีค่าน้อยมาก ท่านก็เอาเข็มกับด้ายนั้นเข้าไปร่วมในกองกฐินแล้วตั้งใจอธิษฐานว่าขอให้ผล บุญที่ได้ทำบุญกฐินครั้งนี้ขอให้ท่านบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณดังที่ปรารถนา ด้วยเถิด เสร็จแล้วปรากฏว่าพอถึงชาติปัจจุบันนี้ท่านบรรลุมรรผลได้จริง ๆ
               หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ถึงอานิสงส์กฐินท่านบอกว่าบุคคล ที่ตั้งใจทำบุญกฐินพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าแม้แต่ทิพจักษุแห่งองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งถือว่าเลิศแล้วที่สุด ยังมองไม่เห็นเลยว่าอานิสงส์นั้นจะไปสิ้นสุดตรงไหน ส่วนใหญ่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จะเป็นพระมหากษัตริย์ หรือเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เกิดแล้วเกิดอีกอยู่ในระดับของความดีนี้ตลอดจนกระทั่งไม่สิ้นสุดของอานิสงส์ กฐินก็จะเข้านิพพานเสียก่อน ฟังดูแล้วน่าทำไหม ร่วมกับเขาบ่อย ๆ
       ถาม :     แล้วอย่างจุลกฐิน ?
       ตอบ :     จุลกฐินกับมหากฐินนี่จริง ๆ แล้วเป็นเครื่องที่เรากำหนดขึ้นมาภายหลัง จุลกฐินนี่จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเขาจะทอผ้าเย็บเป็นสบงเพื่อให้เสร็จใน วันเดียวเพื่อจะย้อมไปถวายพระ ส่วนมหากฐินนี่เขาหมายความว่ามีจีวรครบไตร แต่ระยะหลัง ๆ ที่อาตมาทำนี่ไม่ใช่ครบไตรอย่างเดียว พระมากี่องค์นี่ถวายครบด้วย ก็เลยเรียกไม่ถูกว่าเป็นมหากฐินยังไงนะ แต่ว่าสมัยก่อนผ้าหายากจริง ๆ ก็เลยถือว่าผ้ากว้างคืบยาวคืบเป็นจีวรได้แล้ว พระท่านจะไปเย็บต่อเอง รอยเย็บก็อย่างที่เห็นตามจีวรจะมีรอยต่ออะไรอยู่ อันนี้พระอานนท์ออก แบบมาสองพันกว่าปีแล้ว ยังฮิตอยู่เลยไม่เคยเปลี่ยนแบบ พระอานนท์ท่านออกมาท่านท่านเอาแบบมาจากนา ท้องนาของเขาจะมีคันนามีอะไร คราวนี้ว่าผ้าที่เป็นเศษผ้าเก็บจากตรงโน้นมาเก็บจากตรงนี้มาพอถึงเวลาก็มา ตัดให้เข้ารูปเข้าร่างเย็บต่อ ๆ มันขึ้นมา สมัยก่อนผ้าหายากมากแล้วแขกขโมยเก่งด้วย เผลอหลับมันดึงไปจากตัวเลย พระเขาถึงได้มีกำหนดว่าก่อนอรุณนี่ห้ามห่างจากจีวรเลย สมัยนั้นผ้าผ่อนหายาก สมัยนี้หาง่ายแล้ว แต่ว่ายังมีอานิสงส์กฐินอันนี้อยู่ ยังมีการถวายกฐินลักษณะนี้อยู่้
               แต่ว่าเท่าที่พบว่ากฐินหลวงคือกฐินที่ในหลวง ท่านทอดถวายตามพระอารามต่าง ๆ จะมีผ้าสบงสีขาวอยู่ผืนหนึ่งให้ไปย้อมกันวันนั้น ย้อมเสร็จตากแห้งเสร็จก็เอาไปเป็นผ้ากฐิน ความจริงจะให้ทั้งชุดก็กลัวว่าจะลำบากมากเสียเวลาย้อมเสียเวลาซัก ก็เลยจะมีผ้าที่มีสีขาวอยู่ผืนหนึ่งที่เรียกว่าสบง อำเภอทองผาภูมิมีอยู่วัดหนึ่งคือวัดทองผาภูมิ อันนั้นถึงเวลาพวกบรรดาส่วนราชการต่าง ๆ ก็จะติดต่อสำนักพระราชวังขอกฐินหลวงไปลง สำนักพระราชวังเขาจะมีรายชื่ออยู่แล้วว่าวัดไหนเป็นอารามหลวงบ้าง ถ้าหากว่าวัดไหนยังไม่มีใครเป็นเจ้าภาพก็จะเตือนไปยังเจ้าของพื้นที่ใครจะ รับ เพราะจริง ๆ แล้วในหลวงเป็นเจ้าภาพ เพียงแต่หาคนเชิญไปเท่านั้นเอง
       ถาม :     อย่างงูเหลือมปากเป็ดนี่ ?
       ตอบ :    จริง ๆ เขาเรียกว่างูปากเป็ด ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าถ้าหากว่าพวกศึกษาเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานนี่เขาจะ จัดอยู่ในตระกูลไหน มันจะเป็นงูตัวเล็กๆ แล้วทางด้านปักษ์ใต้เราเขาจะรู้จักกันเยอะ ปักษ์ใต้เขาจะถือว่าเป็นเมตตามหานิยมดีมากเลย ใครที่สมควรจะเป็นเจ้าของงูมันจะไปตายอยู่ตรงหน้าเองหรือไม่พอไปถึงจับมัน ขึ้นมาก็ตายก็จะทิ้งซากมันเอาไว้ให้
       ถาม :     ไม่มีพิษหรือครับ ?
       ตอบ :    ไม่ทราบเหมือนกันเพราะมันตายเสียก่อน ทางด้านภาคใต้ใครมีนี่เขาเก็บเอาไว้บูชาอย่างดีเลยแหละ เขาเรียกว่างูปากเป็ด คนพิมพ์มันพิมพ์มาให้ว่างูเหลือมปากเป็ด งูเหลือมตัวมันเท่าเสาเรือน นี่ตัวมันเท่าไม้ขีด.....อย่าไปตื่นเต้นกับมันมาก ของ หลายอย่างมันเป็นสิ่งที่เขาถือว่าขลังโดยธรรมชาติ แต่จริง ๆ แัล้วมันสำคัญตรงใจของเรา ถ้าหากว่าของดีแต่ใจเราไม่ดีคุณภาพมันก็ด้อยไปตามส่วน เพราะฉะนั้นของ ขลังซึ่งเหมือนกับเครื่องส่ง กำลังส่งเขาสูงอยู่แล้วก็สำคัญว่าเครื่องรับจะรับเขาได้เท่าไร ถ้าเครื่องรับรับไม่ดีก็เท่านั้นแหละ คนหนึ่งเอาไปใช้มีผลมากอีกคนหนึ่งเอาไปใช้อาจไม่มีผลเลย เพราะว่าเครื่องรับเครื่องส่งคือใจมันต่างกัน พระพุทธเจ้าท่านถึงให้บอกว่ามโนมเสฏฐา มโนมยา สูงสุดที่ใจสำเร็จที่ใจ แล้วอีกอย่างหนึ่งของทั้งหลายเหล่านี้อย่างเขี้ยวหมูตัน เพชรตาแมว หรืองูปากเป็ดอะไรนี่ตัวมันยังตายเลย ในเมื่อตัวมันยังตายจะให้มันช่วยเราได้สักเท่าไร ต้องมีสติด้วย แต่ว่าพวกที่เขาเสาะแสวงหาไปซื้อกันแพง ๆ เป็นแสนเป็นล้านก็มี
       ถาม :     ที่เมืองกาญจน์เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ยกพระบรมนุสาวรีย์ (พระนเรศวร) มีเหตุการณ์พิเศษ มีนกมาบิน แล้วก็เมฆบังแล้วมีพายุ ?
       ตอบ :    อ๋อ ! พายุนั้นมาจากเฮลิคอร์ปเตอร์
       ถาม :     เขาบอกว่ามีแสงพุ่งลงมา ?
       ตอบ :    ตรงสถานที่นั่นนะเป็นสนามรบจริง ๆ สมัยที่พระนเรศวรท่านรบกับพระมหาอุปราชจริง  ๆ ตรงนั้น แต่ว่าสมัยก่อนพอเขาเสาะหาว่าสถานที่ไหนที่เป็นอนุสรณ์ตอนเจดีย์ที่พระนเรศวรสร้างไว้ เขาไปเจอเอาที่สุพรรณบุรีก็ เลยไปปักใจมั่นเสีก่อนว่าเป็นตรงนั้นแน่ อย่าลืมว่าหลังจากที่พระมหาอุปราชท่านโดนพระนเรศวรฟันจนตายคาคอช้างแล้วทัพ ไทยตามตีอีก ตามตีทัพพม่าไปอีกจนกระทั่งถึงทุ่งลาดหญ้า ถ้าขึ้นจากดอนเจีดีย์ตีไปถึงโน้นก็เป็นลมตายเสียก่อน แต่ว่าจากพนมทวนไป นี่มันสมน้ำสมเนื้อกันมันไม่กี่กิโล แล้วบริเวณนั้นก็มีกระดูกช้างกระดูกม้า มีอาวุธเก่าตกอยู่เต็มไปหมด เขาเก็บเอาไว้ให้ดูเป็นพิพิธภัณฑ์เลย เจดีย์เก่าก็ยังอยู่แต่ว่าพังเหลือครึ่งองค์เท่านั้น
              ตอนนี้เขาก็ยอมรับ นักประวัติเขาก็ยอมรับแล้ว ว่านั่นเป็นของจริง แต่บังเอิญว่าตอนเจดีย์เขายึดชื่อเสียงนั้นไปนานแล้ว จนกระทั่งกลายเป็นอำเภอดอนเจดีย์ไปแล้วด้วย แก้ไขไม่ได้ เคยไปแถวนั้นพอเดินเข้าไปในเขตนี้ขนลุกซ่าไปทั้งตัวเลย พวกมาสะกิดเตือนมีอะไรขอมั่ง ทำบุญไว้เยอะเขาขอมั่ง ไปตอนนั้นเขายังไม่ได้สร้างอะไร มาตอนหลังมีศาลพระนเรศวร ตอนนี้ก็สร้างอนุสาวรีย์ไว้ด้วยไม่ได้แวะไปนานแล้ว สมัยก่อนไปนี้หลงแล้วหลงอีก สมัยนี้เห็นเขาว่าทางลาดยางแล้ว ดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี สมัยก่อนมันจะเข้าไปทางดงอ้อยสมัยนี้มันกลายเป็นบ้านจัดสรรหมดแล้วมั้ง ? 
              สมัยที่ธุดงค์นี่ชอบดงอ้อยมากเลย ไปนอนกับหมาก็ไปนอนในดงอ้อย เคยไปแล้วก็เขาจะมีเพิงพักสำหรับคนงานตัดอ้อยเราไปถึงก็แขวนกลดแล้วก็ นอนกลางคืนหมามานอนด้วย บางทีมาทีแปดตัวสิบตัวมันกระโดดใส่กลดพังบรรลัยหมดต้องปลดมุ้งออกให้มันนอน ด้วย หมานี่รู้สึกเขารักพระมากนะไปที่ไหนก็ไปด้วย บางตัวเรานั่งกรรมฐานก็เอามือท้าวไหล่เต๊ะจุ๊ยด้วย ท้าวไปท้าวมาเราไม่เล่นกับมันสักทีมันก็แทะหูเราสนุกของมัน เคยโดนผีหลอกอยู่กลางดงอ้อยด้วย สนุกดี แต่ว่ายังไงล่ะ เรามันหน้าด้านกว่า แรก ๆ พอนอนภาวนาอยู่พอเริ่มสักสามสี่ทุึ่มก็มาแล้วเสียงมันเหมือนหนูตัวเล็ก ๆ วิ่งตึ๊ก ๆ ตึ๊ก ๆ ไปแล้วไม่ได้ยินเสียงมันอ้อมนะ มันวิ่งทางด้านนี้อีก มันวิ่งไขว้กันไว้กันไปไหว้กันมาเห็นเราไม่สนใจเสียงมันดังขึ้น จากหนูนี่คงสักตัวขนาดแมวได้นะ เสียงชักดัง พอดังแล้ววิ่งโครม ๆ ไปสักพักหนึ่ง เราก็ไม่สนใจภาวนาของเราไป อีคราวนี้เหมือนยังกับหมาไปกัดกันทั้งฝูง เสียงโครมครามลั่นไปหมดเลย เขาเองเขาพยายามจะดึงความสนใจของเรา เราเองไม่สนใจภาวนาไปภาวนามาเผลอหลับ ตื่นเข้ามาอีกทีดึกแล้ว คงเริ่มจะเหนื่อยหายหัวเงียบไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?
       ถาม :     ..................
       ตอบ :  พระพม่ามาตามตื้อ ๓ เที่ยว ๕ เที่ยว อาจารย์จะไปเมื่อไหร่ จะขอติดรถไปด้วย ปรากฏว่านัดกันวันที่มารับสังฆทานที่นี่บอกว่าออก ๖ โมงครึ่งนะ โอเค ๕ โมงครึ่งเขามารอแล้ว ถึงเวลาพอได้อรุณ เราฉันเช้าก่อนเรียกให้เขาฉัน เขาบอกไม่ล่ะเสียเวลาเดี๋ยวไปไม่ทันรถ ถึงเวลาเขาเดินไปรอเราที่รถก่อน พอต้อนคนขึ้นรถเสร็จสรรพนั่งรถยาวไปถึงเมืองกาญจน์ มาถึงเมืองกาญจน์เปิดให้เขาลงขึ้นรถทัวร์หรือไม่ก็หารถไปเองเพราะเราจะเข้า ป่าต่อ ปรากฏว่าเขาบอกอีกคนไม่ได้มา ระยะทางตั้ง ๑๔๐ กิโลทำไมมันไม่บอกเราหรอก มาบอกอีตอนถึงแล้วทีนี้ความคิดของพวกพม่าเขาคิดคนละอย่างกับเรา ไปว่าอะไรเขาไม่ได้
               โดยเฉพาะตอนไปสร้างวัดหนองบัวจะมีปัญหามาก เพราะว่างานของเขากับเรามันทำคนละแบบ เขาทำบันไดไม้ยาวเกินไปนิ้วหนึ่ง ถ้าเป็นเราก็เลื่อยใช่มั๊ย ? ของเขาไม่หรอก เขาไปสกัดตอนคอนกรีตเพื่อที่จะเอาไม้นิ้วหนึ่งนั่นฝังลงไป เสียเวลาสกัดคอนกรีตไปครึ่งวันไม่ได้อะไรเลย มันทำให้พื้นเสียด้วย แล้วอีกทีก็บันไดมันต้องมีแผ่นไม้แปะหลังใช่มั้ย ? เผื่อเวลาคนเดินขึ้นเดินลง เผื่อนุ่งสั้นหน่อยคนเขาจะได้ไม่เห็น เขาเองเขามาวัดมันโค้งขัดแต่งเรียบร้อยวางลง เอาไม้แผ่นใหม่มาเอาตลับเมตรวัดใหม่ แล้วทำไมมันไม่เอาแผ่นเก่าทาบแล้วขีดเลย แล้วอีกทีหนึ่งก็มุงหลังคา มันคำนวณผิดสังกะสีเกินมาครึ่งแผ่นก็บอกเขามุงซ้อนไปเลยใช่มั้ย ? เลื่อนชายมาให้เสมอแล้วกัน เขาเองเขาไม่ เขาลงมาถึงก็จัดแจงตีเส้นเอาสกัดมาค่อย ๆ ลงฆ้อนตัดไปเรื่อย กว่าจะตัดขาดหมดเวลาไปครึ่งวันได้สังกะสีหงิกไปหงิกมาแผ่นหนึ่ง เอาฆ้อนมาค่อย ๆ เคาะให้เรียบแล้วเอาขึ้นไปมุงเขาประหยัดให้เราสังกะสีครึ่งแผ่นเสียเวลาดูไป วัน เขาคิดงานคนละอย่างกับเรา
              เพราะฉะนั้นเวลาเขาตามมาแล้วพรรคพวกไม่ได้มาด้วยคนหนึ่ง แทนที่มันจะบอกเราตั้งแต่ต้นทางมันนั่งเงียบเลยมาจนถึงเมืองกาญจน์ ๑๔๐ กิโลบอกอีกคนไม่ได้มา มาบอกเราตอนนี้มีประโยชน์อะไร งงมากไม่เข้าใจความคิดของเขา ยอมรับว่าโง่ เจอเขาคิดคนละอย่างกับเรา บางทีก็กลุ้ม สอนกันไม่ได้มันแปลก ๆ อยู่

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2009, 18:27:17 »

http://grathonbook.net/book/18.4.html

ถาม :    ทำไมพระสวดมนต์ ต้องทำเสียงพระสวดมนต์ด้วยคะ ?
       ตอบ :    ไม่เข้าใจ
       ถาม :    ทำไมไม่ทำเสียงเป็นธรรมดา ?
       ตอบ :    ปกติของเขาอย่างนั้น
       ถาม :     ก็สวดธรรมดา ?
       ตอบ :  ธรรมดามันจะมีจังหวะของเขาอยู่ พอมันมีจังหวะของเขาอยู่ ความเคยชินมันก็จะออกเป็นอย่างนั้นเลย พระนั่นรู้สึกปกติแต่โยมเห็นว่าผิดปกติ เขาจะมีจังหวะมีอะไรของเขาอยู่โดยเฉพาะบางบทนี่จะมันมากเลย อย่างเช่น บทขันธปริต ?วิรูปปักเข หิเมเมตตัง? บางวัดเขากระทุ้งกัน ศาลาสะเทือน (หัวเราะ)
       ถาม :    การย้อนกลับไปในอดีตนี่จะเป็นไปได้มั้ยครับ ?
       ตอบ :   ต่อไปข้างหน้าปัจจุบันนี้มันก็ย้อนได้อยู่แล้ว คุณใช้อดีตังสญาณก็ย้อนไปดูซิ
       ถาม :     หมายถึงจะเอาตัวย้อนกลับเข้าไปไม่ได้ใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :  เอาตัวกลับเข้าไปเลย เดี๋ยวรอก่อนรอคนมันสร้างไทม์แมชีนก่อนไม่รู้ว่าชาติหน้าบ่าย ๆ จะทำได้มั้ย ? เครื่องมืออย่างนั้นไม่มีจริงจินตนาการมันถึงแต่ว่าถ้าใช้สภาพจิตย้อนไปได้ แต่เปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ อดีตอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น หนังบางเรื่องทีจะเปลี่ยนแปลงอดีตเพื่ออนาคตเป็นไปอีกอย่างมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ทำไปแล้วล่วงเลยไปแล้วก็จบลงแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าใช้อดีตังสญาณ ย้อนไปดูก็สามารถจะรู้ได้ว่า ตอนนั้นอะไรเป็นอะไร แต่ไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ทั้งนั้นไปได้แค่จิต กายไม่สามารถจะย้อนกลับไปได้ ?แบ๊คทูเดอะฟิวเจอร์? เห็นหนังมันโกยเงินดีแท้
       ถาม :      อนาคตนี่แก้ไขไม่ได้เหรอคะ ?
       ตอบ :    อนาคตนี่เปลี่ยนแปลงได้ไม่ใช่แก้ไขได้ ถ้าเราทำปัจจุบันดีอนาคตจะดี อย่าลืมว่ากรรมในปัจจุบันที่เรารับอยู่เกิดจากอดีต แต่ว่าจากจุดตรงนี้วินาทีผ่านไปมันก็เป็นอดีตแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราทำปัจจุบันตอนนี้ดีอนาคตต้องดี
       ถาม :     เวลาเราเข้าสมาธิ เราไม่สนใจว่าเวลาจะช้าหรือเร็วแล้วมันจะมีการเปลี่นแปลงอะไร?
       ตอบ :    ไม่มี การเปลี่ยนแปลงของเวลาไม่มี เวลาเป็นปกติของมัน แต่สภาพการรับรู้ของเรามันเปลี่ยนแปลง ยิ่งเราดิ่งลึกอยู่ในสมาธิมากเท่าไหร่บางทีมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ลืมตาขึ้นมาผ่านไปเป็นอาิทิตย์แล้วก็มี
       ถาม :    สภาพการรับรู้เหรอครับ ?
       ตอบ :  สภาพการรับรู้มันเปลี่ยนแต่เวลาจริง ๆ ไม่ได้เปลี่ยน เท่าที่เคยผ่านมาคือว่าตื่นนอนตอนตีสองห้าสิบห้ากะว่าเดี๋ยวไปล้างหน้าแล้ว ทำกรรมฐาน คราวนี้มันยังเหลืออีก ๕ นาทีกว่าจะได้เวลากรรมฐาน ก็ว่าคาถาเงินล้านซักจบหนึ่งก่อน ตั้งใจว่าคาถาเงินล้านครบ ๑ จบลืมตาขึ้นมาฟ้าสว่าง ใช่เลย คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทันพวกออกเดินแล้วล่ะ คาถาจบเดียวล่อไปซะจนสว่างเลย จากตี ๒ ห้าสิบห้า
       ถาม :     หลับหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :    ไม่ได้หลับจ้า ยืนยันว่าไม่ได้หลับเพียงแต่ว่าสมาธิมันลึกไปหน่อย ยิ่ง สมาธิลึกมากเท่าไหร่ระยะเวลามันผ่านไปโดยที่เราไม่รู้ตัวมากเท่านั้น จิตมันดำ้เนินหน้าที่ของมันไปก็จริง แต่มันดำเนินไปในลักษณะที่เรียกว่าละเอียดมาก ระยะเวลาที่ของหยาบผ่านไปบานเลยนะ เผลอแป๊บเดียวข้างนอกเลยไปหลายชั่วโมง
       ถาม :   อย่างนี้เรียกว่าขาดสติหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :    ไม่ได้ขาด รู้ตลอด เพียงแต่มันไม่ได้สนใจภายนอกเท่านั้นเอง ถ้าไม่รู้มันท่องคาถาไม่ได้
       ถาม :   ทำไมให้พรสั้นบ้างยาวบ้างล่ะคะ ?
       ตอบ :   ก็ขี้เกียจมั่งขยันมั่ง ปัญหานี้ตอบเลี่ยงนะไม่ใช่เรื่องจริง
       ถาม :    ต้องอุทิศกรวดน้ำด้วยมั้ยคะ ?
       ตอบ :  ไม่ต้อง การกรวดน้ำไม่จำเป็นเปียกมือต้องไปเช็ดซะเปล่า ๆ แค่เราตั้งใจว่า ผลบุญที่เราทำนี้จะอุทิศให้แก่ใครก็นึกเจาะลงถึงชื่อถึงนามสกุลเขาไปเลยถ้า รู้นะ ไม่รู้ก็เจาะจงนึกถึงหน้าเขา ถ้าไม่เคยเห็นหน้าได้ยินแต่เสียงก็นึกถึงเจ้าของเสียงนั้น ถ้าไม่เคยรู้จักหน้ารู้จักเสียงไม่เคยรู้อะไรได้แต่กลิ่นอย่างเดียว นึกถึงเจ้าของกลิ่นนั้นเขาได้รับแล้ว จำนะแค่นั้นแหละ
       ถาม :    ถ้าอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ?
       ตอบ :   เจ้ากรรมนายเวรก็คือการกระทำของเรา ๆ ทำกรรมอะไรไว้เราต้องรับในสิ่งนั้น แต่เนื่องจากว่าบุคคลที่เรากระทำในลักษณะเจ้ากรรมนายเวรส่วนใหญ่หมายถึงผู้ ที่เราเคยฆ่าเขาไว้ ทำอันตรายเขาไว้ คนที่ถูกฆ่าถูกทำอันตรายเขาจะไปตามกรรมของเขาแล้ว แต่ว่ากฏของกรรมคือผู้ที่ติดตามเราอยู่ มันเหมือนอย่างกับว่าเราฆ่าคนตาย คนนั้นตายลงไปแล้วเขาไม่ได้มาตามทวงมาอะไรเรา แต่ว่าตัวบทกฏหมายต่างหากล่ะที่คอยลงโทษเราอยู่ มันเป็นซะอย่างนั้น ตัวเจ้ากรรมนายเวรก็คือผลของกรรมที่เราทำไว้ ถ้าเราทำดีก็รับผลดีไปทำชั่วก็รับผลชั่วไป
       ถาม :     ..........................
       ตอบ :  ครั้งแรกที่ขโมยตำราหลวงพ่อได้ก็สารพัดวิธีทีจะทำ คราวนี้มันมาถึงตรงตำราเสกข้าวสาร เสกทราย ท่านก็บอกว่าให้เอาข้าวสารมาเขียนตัว ?เฑาะ? แล้วเสกด้วยอิติปิโส ๓ จบ เอาไว้แก้สถานที่ที่มันร้ายมันไม่ดีอะไร จะให้กลับจากร้ายเป็นดี เราก็งง ๆ เอาข้าวสารมาเขียน ข้าวสารมันเม็ดนิดเดียวจะไปเขียนยังไง คือบังเอิญว่าเคยเห็นคนจีนเก่ง ๆ ที่สลักหนังสือลงบนเม็ดข้าวสาร นี่ดูต้องนั่งทำอย่างนั้นหรือเปล่า ? ไปถามหลวงพ่อ ๆ ท่านชม ไอ้ควายไม่รู้จักใส่ภาชนะใหญ่ ๆ แล้วเขียนเอาหรือไง อ๋อ ! เราเพิ่งถึงบางอ้อ ท่านบอกให้เอาข้าวสารมาเราก็พาซื่อจะล่อมันทีละเม็ดเลย นี่แหละความฉลาดของฉัน ครูบาอาจารย์ชมน่าคิดมั้ย ?
              จำวิธีไปนะ พอได้ไปแล้วว่าอิติปิโส ๓ จบ อิติปิโสของหลวงพ่อ สวากขาโต สุปฏิปันโนด้วย ขออาราธนาบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดาทั้งหมดมีท้าวมหาราชเป็นที่สุด ขอให้ผีหรือยักษ์ที่อยู่ในที่นั้นแล้วไม่มีประโยชน์นำสิ่งที่ไม่ดีมาให้ ๆ ออกไปจากที่นั่น ถ้าหากว่าผู้ที่อยู่แล้วมีประโยชน์มีคุณให้ก็ให้อยู่ให้ เสร็จแล้วก็ว่านะโมพุทธายะแล้วซัดข้าวสาร ซัดในบ้านก่อนนะ อย่าไปซัดรอบนอกก่อน ซัดรอบนอกก่อน ซัดรอบนอกก่อน มันออกไม่ได้นะ ซัดในบ้านก่อน เวลาซัดภาวนาว่า ?นะโมพุทธายะ? แล้วก็ค่อยซัดรอบนอกวนเป็นรั้ว เสร็จเรียบร้อยแล้ว หาภาชนะมาใส่ อย่าลืมนะไปถึงตั้งใจบูชาพระรัตนตรัยว่านะโม ๓ จบสวดอิติปิโส ๓ จบ อิติปิโสหลวงพ่อคือ สวากขาโต สุปฏิบันโน ด้วยนะ ว่านะโม ๓ จบ สวดอิติปิโส ๓ จบตั้งใจอธิษฐานของบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดามีท้าวจาตุมหาราชเป็นที่สุด ขอให้ผีหรือยักษ์ที่ไม่ดีที่ให้โทษออกไปให้พ้นจากสถานที่นั้น ถ้าหากว่าท่านที่ให้คุณก็ขอให้อยู่ได้ แล้วตั้งใจซัดข้าวสารว่า ?นโมพุทธายะ? ซัดข้าวสารไปเรื่อย ภาวนา ?นะโมพุทธายะ? ไปเรื่อยซัดข้าวสารข้างในบ้านก่อน พอซัดในบ้านเสร็จไม่ต้องมากหรอกนะ ไม่ต้องทั่วหรอก ซักกำมือหนึ่งก็ได้ หรือว่าจะซัด ๔ ทิศ ๆ ละหน่อยหนึ่งก็ได้แล้วที่เหลือก็ซัดเป็นวงรอบสถานที่ของเราเลย
       ถาม :     ซัดแต่หน้าบ้าน หลังบ้านเข้าไม่ได้ ?
       ตอบ :    ไม่เป็นไร ก็เอาข้างใน เดินวนข้างในก็ได้
       ถาม :    ข้าวที่ทำน่ะครับ เอาไว้ไปโปรย....(ไม่ชัด)....?
       ตอบ :    อันนี้มันต่างหาก จะเป็นข้าวหรือว่าทรายก็ได้ใช้เสกวิธีเดียวกันนั่นแหละ ใช้เขียนตัวเฑาะ เวลาเขียนว่าคาถาว่า ท.เฑาะ มานี่มามะ แล้วเสร็จแล้วก็ขึ้นอุนาโลมก็ว่าอุนาโลมมาปะนะชายะเต เขียน ๓ ตัว แล้วว่าอิติปิโส ๓ ห้อง ๓ จบเป่าจบละครั้งหนึ่งอาราธนาบารมีให้พระท่านช่วยสงเคราะห์ ใครจะทำดูก็ได้ถ้ากำลังใจถึงมันขลังทั้งนั้นแหละ มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่หน่วยจัดการต้นน้ำห้วยกบ บ้านห้วยกบอยู่สังขตะติด ๆ กับพม่าเลยหน่อยหนึ่งก็เป็นเวียคะดี้ มอละข่าแล้ว หน่วยนั้นอยู่ ๆ คนงานพอเขาไปตั้งหน่วยแล้วคนงานเดี๋ยวป่วยเดี๋ยวตาย เดี๋ยวป่วยแล้วก็ตายทีละคน ๆ จนถึงคนที่ ๙ ขวัญหนีดีฝ่อกันทั้งหน่วย นั่นก็หัวหน้าสากลซึ่งย้ายจากหน่วยจัดการต้นน้ำยางโทนขึ้นไป ก็วิ่งมาหา บอกอาจารย์ครับช่วยผมหน่อยเถอะ ถ้าคนงานขืนตายอีกซักคนไอ้คนงานผมอีก ๓๐-๔๐ คนที่เหลือมันลาออกหมดแน่เลย เราก็ไปพอกลางคืนไปก็ไปดูสถานที่ให้ ปรากฏว่ามันเป็นสนามรบเก่า พวกพม่ามันตีมอญแล้วมอญมันถอยไปอยู่จุดนั้นซึ่งมันเป็หุบเขาอยู่นั่น มันก็ยึดเป็นที่มั่นของมัน แล้วมันฝังพวกอาถรรพ์ไสยศาสตร์ไว้เพียบเลย คราวนี้พอมันเลิกรบกันแล้วมันไม่ได้ถอนไปด้วย คนไปอยู่ก็ซวยล่ะซิ มันก็ตายเอาทีละคน ๆ
              ตอนที่เขาพาไปดูนี่เขามีเครื่องหมายของเขาอยู่นะ คือในสมัยก่อนเขาทำไว้ตรงไหน เขาปักเครื่องหมายเอาไว้พวกมันจะรู้เอง เขาจะได้ไม่เดินเข้าไปหยั่งกับวางระเบิดเลย แต่สมัยนี้มันผุหมดแล้วนี่มันก็เป็นดินเป็นป่าอยู่เหมือนเิดิม ใครลุยเข้าไปอาถรรพ์มันไม่เสื่อมก็เดี้ยงไปเอง ก็นั่นแหละใช้วิธีนั้นแหละ ทำข้าวสารไปซัดเป็นอันว่าเรียบร้อย เราทำแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดูมันไม่น่าขลังเลย แต่มันก็หาย คนงานก็อยู่ได้จนปกติมาจนทุกวันนี้
       ถาม :   พวกนี้เขาอยู่ได้นานมากเลยเหรอคะ ?
       ตอบ :  พวกนี้เขาอธิษฐานทิ้งไว้นี่เรื่องของคนได้ฤทธิ์ได้อภิญญา ประเภทอธิษฐานทิ้งเอาไว้ ๑๐๐ ปี ๒๐๐ ปี นั่นเรื่องเล็กเลย เพียงแต่ว่าเรื่องขจองอภิญญาต้องกำหนดเวลา ถ้าหากว่าไม่กำหนดเวลามันจะทำไม่ขึ้น อย่างเช่นว่าเราจะเสกดินเสกหินให้เป็นทองอย่างนี้ก็ต้องกำหนดเอาไว้ ๕๐ ปีให้มันคืนสภาพ ๑๐๐ ปีให้มันคืนสภาพ คนรับคนสุดท้ายก็ซวยไป สบายใจขึ้นเนอะ ไม่เห็นเป็นเรื่องยากเลย
               มีรายหนึ่งอยู่โรงงานที่อ้อมน้อยชื่อคุณอารี ชื่นมีเชาว์ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง เชื่อมั้ยว่าบริษัทของเขาออเดอร์เพียบเลย เพราะว่าเขาทำพวกออกแบบภาชนะบรรจุภัณฑ์ พลาสติกสวย ๆ ให้พวกแชมพู ให้พวกครีม พวกยาสระผม สารพัด บริษัทก็จ้างเขาทำออกทีล๊อทใหญ่ ๆ เขาเองเขามีคิวซี คือควอลิตี้คอนโทรลของเขาตรวจสอบคุณภาพตลอด แล้วเชื่อมั้ยพอเขามาตรวจทีไรเขาสุ่มทีไรนะหีบไหนหีบนั้นจะต้องเจอไอ้ที่มัน ใช้ไม่ได้ก็แปลกใจมาก เขาก็มานิมนต์
               พอไปดูโอ้โห !ป่าช้าเก่าผีบานเลย ตั้งใจจะไล่มัน ท้าวมหาราชท่านบอก ไม่ต้องไล่ มันแกล้งเราได้ มันก็ต้องช่วยเราได้ ให้ตกลงกับมันว่ามันจะเอายังไง ก็ตกลงกับมันปรากฏเขาบอกว่าให้เจ้าของสถานที่ทำบุญให้เขาซักปีละครั้ง มาอยู่ที่ของผมไม่พอมาทำมาหากินหรือทำอะไรมันไม่เคยบอกผมเลย แล้วผมจะปล่อยให้มันอยู่ทำไมก็แกล้งมันซะ เจริญมั้ยล่ะ ? ก็ตกลงกันได้ก็ทำบุญปีละครั้งเลี้ยงพระปีละครั้ง ๙ องค์ก็สบายไป ทุกวันนี้ไม่เห็นต้องย้ายไปไหนไม่งั้นเตรียมเจ๊งแล้ว ออเดอร์เขาสั่งมาทีหนึ่ง ๓ ล้าน ๕ ล้านเงินมันเข้าเห็น ๆ พอเขาไปสุ่มตรวจเจอเขาก็ยกเลิกไป ตัวเองทำไปก็ขาดทุนฟรีทุกที ไม่น่าเชื่อว่ามันแกล้งกันได้ขนาดนัน ตอนเจ้าหน้าที่ตรวจ ๆ เท่าไหร่ไม่เห็นที่ผิดพลาดหรอกมันบังตาซะ แต่พอคนของเขามาตรวจมันแทบจะจับยัดใส่มือเขาเลยล่ะ หยิบทีไรเจอที่ชำรุดทุกที
       ถาม :     เหมือนเราหยิบนี่ไง ?
       ตอบ :  ใช่ จะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นพวกอย่างนั้นคุยกับเขาให้ดีจ้ะ ทำได้บอกเขาเลยจะทำบุญให้ปีละเท่านี้ แต่ถ้าเอ็งไม่ช่วยล่ะเจอกัน แต่จริง ๆ แล้วพวกนี้ถ้าเราเป็นมิตรกับเขาได้ก็สบายนะ เขาช่วยได้ทุกอย่าง
       ถาม :     แล้วผีที่เราเจอเขาช่วยเราได้ ............(ไม่ชัด).............?
       ตอบ :    เราถึงได้ใช้คำว่าไม่เกินวิสัยไง ถ้าหากว่าเกินบุญของเราหรือเกินความสามารถของท่าน ๆ ฝืนกฎของกรรมไม่ได้ ที่ทำพระกริ่งพิชัยสงครามนี่ พระกริ่งก็คือพระไภษัชยคุรุ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ คราวนี้พระโพธิสัตว์นี่ท่านไม่ใช่พระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า บางอย่างที่พระอริยเจ้าท่านยอมรับว่าเป็นกฏของกรรมท่่านไม่ฝืนหรอก พระโพธิสัตว์นี่ถ้าเพื่อความสุขคนอื่นนี่ท่านฝืน กลายเป็นว่างานนี้ทำเพื่อสงครามก็ทำพระกริ่งเป็นตัวแทนพระโพธิสัตว์
       ถาม :     ถ้าเกิดท่านช่วยเรากรรมมันจะตกอยู่กับเราต่อมั้ยคะ ?
       ตอบ :    ไม่เกี่ยว ถ้าท่านช่วยก็แปลว่าบุญของเรามันพอ ในเมื่อบุญของเรามันพอท่านก็สงเคราะห์ให้ได้ก็ได้ไป
       ถาม :     (ไม่ชัด)  ถามเรื่องซัดข้าวสาร ?
       ตอบ :   ไม่เป็นไร เราก็เอาข้างใน ถ้าหากว่ากลัวว่ามันน้อยไปก็ซื้อข้าวมาซักถังหนึ่ง เอานี่เททับหน้าแล้วก็ผสมไป เอาของที่เสกแล้วเทไว้ข้างบนนะอย่าเอาของใหม่เททับที่เสกไว้ ถึงเวลาถ้าจะใช้อีกก็ตักขึ้นมา หาใหม่ก็ผสมเข้าไปอีก เอาของเก่าเททับข้างบนไปเรื่อย ๆ คือเราเอาของที่เสกแล้วเทไว้ข้างบนจะผสมหรือไม่ผสมก็ได้เทไว้ข้างบน ถือว่าใช้ได้ทั้งหมด เทไว้กลัวมันจะไม่ขลังก็กวนมันให้เข้ากันก็ได้ กวนไม่พอก็ตำเข้าไปอีก

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2009, 19:15:58 »

http://grathonbook.net/book/18.5.html

ถาม :     เจ้าที่ ๆ หนูอยู่นี่จะช่วยปกปักรักษายังไง ?
       ตอบ :  มันก็ต้องดูว่าอยู่ถูกทิศมั้ย ? ของเราตั้งไว้ทิศไหนของบ้าน ไม่ใช่หันหน้าไปทางทิศไหนนะ ทิศไหนของบ้านเสาบ้านเป็นหลัก บ้านหันหน้าไปทางทิศอะไร ?
       ถาม :    บ้านหันหน้าไปทางทิศใต้ค่ะ 
       ตอบ :     แล้วตัวศาลอยู่ตรงจุดไหนของบ้าน ?
       ถาม :   อยู่ทางทิศเหนือค่ะ
       ตอบ :    อยู่เหนือใช้ได้ไม่เป็นไร ยิ่งตะวันออกเฉียงเหนือยิ่งดี ตะวัน ออกเฉียงเหนือเป็นทิศที่ดีที่สุดของพระภูมิเจ้าที่ ถ้าหากว่าไม่ได้ก็ให้ใช้ทิศเหนือ ถ้าไม่ได้ให้ใช้ทิศตะวันออกได้แค่ ๓ ทิศเท่านั้น พระภูมิเจ้าที่อย่าให้ไปอยู่ทิศใต้หรือตะวันตกเป็นอันขาด ภายใน ๒ ปีกระจายแน่เลย เพราะทิศใต้หรือตะวันตกเป็นทิศของอากาศเทวดา เราไม่มีสิทธิ์จะไปใช้ท่าน เราจะเอานายพลมาเป็นคนใช้เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นท่านเองไม่ว่าอะไรหรอก แต่ว่าลูกน้องท่านอาจจะเหยียบเอา เจอมาหลายรายแล้วบางรายถึงตายเลย มีอยู่รายหนึ่งไปประสานงาเข้าจนพิการ อีกรายหนึ่งเปิดสวนอาหาร มันตั้งศาลใหญ่โตมโหฬารสวยมากเลยไว้หน้าสวนอาหาร ทำน้ำพุไว้ด้วย เสือกอยู่ทิศใต้เปิดได้ไม่กี่เดือนเจ๊งไม่เป็นท่าทั้ง ๆ ที่คนมันเยอะมากนะ แต่ว่าเขามาครั้งแรกไม่กี่วันแล้วก็หายไปเฉย ๆ ปล่อยให้กินทุนไปเรื่อยกว่าจะรู้เรียบร้อยเจ๊งไปแล้ว เพราะตั้งผิดทิศ พอตั้งเสร็จมันไม่เห็นมีอะไรปุ๊บปั๊บมันก็เรียบร้อย
       ถาม :  ถ้าจะตั้งศาลให้อากาศเทวดาต้องตั้งทิศตะวันตกเหรอคะ ?
       ตอบ :    อากาศเทวดาไว้ทิศไหนก็ได้ทิศใต้ก็เหมาะ ถ้าหากว่าเป็นภูมิเทวดาต้องจำกัดทิศของท่าน เพราะภูมิเทวดานี่ท่านอยู่ในลักษณะที่ว่าท่านช่วยเหลือสงเคราะห์อะไรในบ้าน ทั้งหมด คราวนี้ของเราจะเอาอากาศเทวดาทำหน้าที่อย่างนั้นก็เปรียบเหมือนกับเอาท่าน นายพลมาเป็นคนรับใช้ เรามันยิ่งใหญ่ขนาดไหนจะเอานายพลมาเป็นคนรับใช้
       ถาม :   แล้วอากาศเทวดานี่ท่านจะช่วยเรื่องไหนคะ ?
       ตอบ :  ช่วยเรื่องไหน ก็บอกแล้วไงว่าถ้าไม่เกินวิสัยมันก็ได้ทุกเรื่อง เรื่องอะไรบางอย่างมันก็เหมือนกับเส้นผมบังภูเขาอย่างนั้นมีอยู่น้อยเดียว เท่านั้นเองพอ ๆ กับเศษผงนิดหนึ่งไปอุดคาร์บิวน่ะ ไม่มีอะไรเสียเลย ผงนิดเดียวไปอุดอยู่ น้ำมันไม่ผ่านวิ่งไปเถอะเครื่องยนต์ใช้ไม่ได้ พอเอาผงอันนั้นออกหน่อยเดียวไปปร๋อเลย เรื่องที่เิกิดขึ้นกับพวกเราก็เหมือนกัน มันเหมือนกับเส้นผมบังภูเขาอยู่นิดเดียว
       ถาม :   เป็นกรรมหรือเป็นเวรครับ กรรมกับเวรเหมือนกันมั้ยครับอาจารย์ ?
       ตอบ :    เวรกับกรรมนี่เราใช้ความหมายเดียวกันคือสิ่งที่ไม่ดีใช่มั้ย ? แต่ว่าจริง ๆ แล้วคำว่าตัวกรรมมันเป็นคำรวมมันแปลว่าการกระทำ คราวนี้มันมีกุศลกรรมก็คือทำดีอันนี้เราเรียกว่า บุญ แล้วอกุศลกรรมก็คือทำชั่วเราเรียกว่า กรรม หรือบาป จริง ๆ แล้วตัวกรรมมันเป็นคำรวม เพราะฉะนั้นถามว่าใช่มั้ยมันก็ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่ไม่ดีก็คือสิ่งไม่ดีที่เราทำมาก่อนในอดีต พอมาถึงในปัจจุบันนี้มันก็ให้ผลเราก็ต้องมาเดือดร้อน ต้องมาทุกข์ยาก ในเมื่อเรารู้แล้วว่าถ้าเราทำไม่ดีมันให้ผลไม่ดี เราก็เลือกทำแต่สิ่งที่ดี ๆ เราทำในปัจจุบันนี้เในเมื่ออีกไม่กี่นาทีมันก็เป็นอดีตไปแล้ว ผลที่จากอดีตมันจะส่งผลให้ในปัจจุบัน ผลที่เรากระทำ อย่างเช่นว่า ชาติก่อนเราทำชาตินี้เรารับใช่มั้ย ? คืออดีตเราทำปัจจุบันเรารับ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำปัจจุบันนี้ให้ดี ทำต่อไปเรื่อย ๆ อย่าให้มันขาดตอนทำให้มันต่อเนื่องกันไป อนาคตอีกไม่นานข้างหน้าเราก็ได้รับ ถึงชาตินี้ไม่ทันชาติหน้าก็สบาย
       ถาม :   อุทยานที่ในหลวงท่านดู ๆ ไว้ ๒ ที่ ข้างล่างมีช้างเผือกด้วย ?
       ตอบ :      ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าช้างเผือกที่นี่สวยจริง ๆ ยังไม่รู้ว่าที่ท่านว่ามาแต่ว่าที่เห็นจริง ๆ ของเมืองลาวเขาตอนที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จไปเขาพาไปดูอายุประมาณ ๕ ปีสียังกับนากเลย สุกปลั่งเป็นทองแดงขัดใหม่เลย 
                สมัยโบราณเขาบอกว่าช้างเผือกมี ๑๐ ตระกูลอุโบสถหัตถีสีกายเหมือนทองคำฉันทันต์หัตถีสีขาวเหมือนสีสังข์ เสร็จแล้วมันมีตระกูลตามพหัตถีสีเหมือนทองแดง เราไม่เคยพบเห็นช้างอะไรเหมือนทองแดง พอไปเห็นเข้าถึงได้ยอมรับสีเหมือนทองแดงจริง ๆ ชื่อนางพญาดำแก้วมิ่งเมืองลาว แล้วหลังจากนั้นไม่นานลาวได้อีกตัวหนึ่งเป็นช้างอายุมากแล้ว ช้างใช้งานอยู่เจ้าของเขาใช้งานมา ๓๐ กว่าปีแล้วนะ แต่ว่าพอช่วงหมดงานแล้วจะปล่อยเข้าป่าไปหากินแต่ว่าจะให้โซ่ติดตัวอยู่ถึง เวลาจะได้ตามคืนมาให้ ปีนั้นไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกลับมากลายเป็นช้างเผือกขาวผ่องไปทั้งตัว เลย จากการคาดเดาของหมอช้างว่าพอลูกเกิดมาเป็นช้างเผือกขาวนะ เพราะว่าถ้าขาวมันสีสังข์มันต้องมันขาวออกวาว ๆ มันเหมือนกับหอยสังข์ขัดอันนี้มันจะเป็นตระกูลปัณฑรหัตถี เขาบอกว่าสีขาวเหมือนดอกบัวมันน่าจะเป็นตัวนี้ ๆ เขาตั้งชื่อว่า  ?พระยาไชยมงคล?
                คราวนี้ของประเทศลาวเขามีคำสาปอยู่ สมัยพระยาโคตรบองครองเมืองลาวอยู่คราวนี้พระยาโคตรบองแก เป็นคนอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีอาวุธอะไรทำร้ายแกได้ มีพวกญาติพี่น้องอยากจะแย่งชิงเมืองก็อยากจะรู้ว่าทำอย่างไรถึงจะฆ่าพระยา โคตรบองได้ อุตส่าห์ส่งลูกสาวตัวเองเข้าไปยอมให้เป็นเมีย พออยู่กันไปอยู่กันมาแกไว้ใจขึ้นมาพอถึงเวาลาเมียก็แอบ ๆ ถามว่าพี่เหนียวอย่างนี้มันมีวิธีไหนที่ทำให้ถึงอันตรายได้มั้ย ? แกก็บอกว่าถ้าหากว่าใช้หอกสวนทวารแกจะตาย ทางด้านนี้ก็ไปกระซิบบอกทางญาติพี่น้องตัวเอง พอแกเข้าส้วม ส้่วมของเมืองลาวมันจะเป็นคอกสูง ๆ แล้วก็ล้อมแล้วก็ถ่ายลงไปข้างล่าง ได้จังหวะพอดี ใช้หอกแทงขึ้นไป ก่อนแกจะตายแกก็เลยสาปด้วยความที่แกมีวิชามีญาณมีสมาบัติ มีอภิญญา พอแกตั้งใจให้เป็นยังไงมันก็เป็นอย่างนั้น แกสาปเอาไว้ว่า ถ้าตราบใดที่เมืองลาวยังไม่มีช้างเผือก หินฟู งูใหญ่ แล้วก็พระเจ้าแผ่นดินที่เป็นธรรมิกราชมาเหยียบประเทศนี้ขออย่าให้มีความ เจริญเลย เพราะว่าแผ่นดินของแกแท้ ๆ แล้วคนอื่นมาแย่งแกไป
              พอลาวได้ช้างเผือกแล้วนี่ หินฟูนั่นก็หินลอยน้ำ เขาบอกว่าคงจะหมายถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว งูใหญ่นั่นมีมานานแล้วคือถนนทางรถยนต์ คราวนี้ก็รออยู่อย่างเดียว่าพระราชาที่เป็นธรรมิกราชจะไป ปรากฏว่าปีนั้นในหลวงเสด็จ ไม่ทราบว่าปี ๔๐ หรือ ๔๑ ไม่รู้จำไม่ได้นะ ในหลวงเสด็จเมืองลาว ๒๗ ปีแล้วไม่เคยเสด็จไปต่างประเทศเลย เสด็จไปลาวไม่พอค้างคืนด้วยโน่น...คนตามเสด็จในหลวงมันถ่ายรูปมาเป็นกุรุส เลย กลัวตัวเองจะไม่มีหน้าอยู่ใกล้ในหลวง เขาก็เลยเชื่อกันว่าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาลาวก็น่าจะค่อย ๆ เจริญขึ้นเพราะว่าถือว่าทุกอย่างที่พระยาโคตรบองแกสาปเอาไว้ก็คงจะหมด อาถรรพ์ลงตั้งแต่ในหลวงไปเหยียบแผ่นดิน เพราะของอื่นเขาได้ครบแล้ว แต่คราวนี้ว่าช้างเผือกที่สวยจริง ๆ ของเขานั่นเห็นแล้ว ของเราที่ท่านบอกนั่นน่าจะอยู่ธรรมชาตินะ อยู่ในป่าเลยใช่มั้ย ?
       ถาม :  เห็นท่านบอกว่าท่านจะไปเยี่ยมเหมือนกันเพราะว่าตอนนั้นก็เห็นใกล้ ๆ เลยว่าดูอย่างนี้เลยแล้ว ก็น่าจะเป็นจ่าฝูงด้วย แล้วถ้าเชือกนี้ร้อง เชือกอื่นก็ต้องร้องด้วย ?
       ตอบ :   ช้างเผือกนี่ส่วนใหญ่อยู่ที่ไหนจะเป็นจ่าโขลง ที่เขาไล่มาตั้งแต่อุโบสถหัตถี ฉันทันต์หัตถีไล่ลงมาเรื่อย ๆ มันจะมีปิงคลหัตถี คังไคยหัตถี ปัณฑรหัตถี ไล่ลงมาแต่ละตระกูลจะแข็งแรงกว่าช้างทั่วไป ๑๐ เท่า แล้วลองคิดดูซิ ๑๐ คูณ ๑๐ กว่าจะถึงข้างบน ตัวหนึ่งมันเท่ากับเหนือกว่าเขาเป็น ๑๐๐ เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็ต้องเป็นหัวหน้าเขาอยู่แล้ว
       ถาม :   แล้วเจอหรือยังครับ ?
       ตอบ :  ลองถามท่านดูว่ามันอยู่ตรงไหน เผื่อว่าน่าสนใจก็ได้ไปดูด้วย เพราะของพรรค์นี้มันได้ดูได้เห็นเป็นขวัญตา ไม่ใช่รู้ว่าจริง ๆ แล้วโบราณของเราตำราคชศาสตร์ที่เขาว่าไว้มันมี จริง ๆ เพียงแต่ว่าถ้าบุญคนมันยังไม่ถึงของมันก็ยังไม่เกิดขึ้น ของเราเองก็ไม่คิดหรอกเพราะถ้าตามความคิดของเราช้างเผือกมันก็ต้องขาวใช่ มั้ย ? แต่ปรากฏว่าขาวจริง ๆ นั่นไปเห็นของลาวนั่นแหละ พระยาไชยมงคลขาวผ่องจริง ๆ แล้ว ตามพหัตถีสีทองแดงนั่นแบบพังแต๋นของเราตอนนี้เป็นพระยากิริ พังแต๋นของเราก็ตระกูลตามพหัตถีแต่มันไม่ได้อย่างของลาว ของลาวนี่ของเขามันสีทองแดงจริง ๆ ขนแต่ละเส้นยังกับลวดทองแดงอย่างนั้นสวยจริง ๆ เลย สมเด็จพระเทพฯ ไปเขาทูลเชิญเสด็จทอดพระเนตรแล้วก็ทีวีมันถ่ายออกมา โอ้โห ! เห็นแล้วบอกเจ้าพระคุณของแท้เขามีจริง ๆ ด้วย
       ถาม :    ถ้าเชื่ออย่างนั้นแน่นอนเห็นท่านบอกว่าถ้าในรัชสมัยองค์ที่ ๑๐ อาจจะ....?
       ตอบ :  อาจจะปรากฏออกมาใช่มั้ย ? จริง ๆ มันอยู่ที่เรา เพราะว่า ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นเขาเองเขาก็อยู่ลักษณะแสนรู้อยู่แล้ว เพราะว่าช้างทุกตัวนี่ยืนยันว่าพูดกับเขารู้เรื่องหมด
       ถาม :    เห็นท่านเล่าให้ฟังบอกว่าเจอกันก็คุยกันรู้เรื่อง ?
       ตอบ :  ช้างนี่เราคุยรู้เรื่อง สมัยที่ธุดงค์อยู่ก็เหมือนกัน เขาหากินอยู่เต็มห้วยเราไปก็ไม่ได้เพราะทั้ง ๒ ข้างทางมันก็รก ก็บอกเขาพ่อปู่แม่ย่าขออนุญาตผ่านหน่อยจ้า พอเขาได้ยินเสียงปุ๊บเขาหยุดหากินหมดเลย พอหันมาเห็นพระปุ๊บเขาก็พับหูตัวเองแล้วทำตัวเบียดติดข้าง ๆ ริมห้วย เหมือนยังกับบอกว่าผ่านได้แล้วอะไรอย่างนี้ เราก็ต้องเดินตัวลีบผ่านไปด้วยเพราะตัวแกใหญ่มันเต็มห้วยเลยนี่
       ถาม :    ผมว่าอาจารย์เคยเห็นก็เลยไม่ได้บอกอาจารย์ ?
       ตอบ :     ไม่เคยเห็น
       ถาม :   ท่านเพิ่งไปเห็นมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ?
       ตอบ :  ช้างเผือกจริง ๆ เรื่องอย่างนี้คนเห็นก็คงไม่บอกอะไรมากมาย ให้มันเป็นข่าวเป็นคราวไปเพราะว่ามันก็อันตรายกับตัวช้างเขา แบบเดียวกับเต่ายักษ์ตัวที่เหนือห้วยขาแข้ง มันน่าจะเป็นบึงลากตู ถ้าพระไปมันจะรีบขึ้นมาให้ใช้ตัวมันเป็นโต๊ะ ๕ องค์นั่งล้อมวงฉันข้าวบนหลังได้ ตัวใหญ่แค่ไหนล่ะ ? ต้องพระนะคนทั่วไปมันไม่โผล่ขึ้นมา ถ้าพระไปลงไปล้างบาตรล้างอะไรมือตีน้ำมันโผล่ขึ้นมาเลย มันเห็นพระมันคลานเข้ามา อยากได้บุญ คลานขึ้นมาให้พระเอาตัวมันเป็นโต๊ะ นั่งฉันข้าวบนหลังมันล้อมวงได้ ๕ องค์
       ถาม :    อย่างนี้อายุมันไม่เป็น ๑๐๐ ปีเหรอครับ ?
       ตอบ :  คงจะเป็นพันเลยล่ะมั้ง ? เขาแสนรู้ถึงขนาดนั้น ก็อยู่นานจนญาณรู้มันเกิด แล้วที่ว่าสมัยก่อนสัตว์พูดภาษาคนได้หลวงพ่อท่านบอกว่า อายุมันยืน อายุมันยืนมันก็ศึกษาข้ามไปข้ามมาจนกระทั่งมันสามารถพูดภาษาคนได้ สมัยพอท้าย ๆ กัปมาเพราะอายุมันน้อยลงยังไม่ทันจะรู้เรื่องก็ตายกันไปเสียก่อนแล้ว อย่างช้างส่วนใหญ่เขาก็อายุยืนแล้วก็ราว ๆ ของคน ๘๐-๙๐ , ๑๐๐ กว่าก็มี เพราะฉะนั้นเขาก็เลยพอที่รู้ภาษาคน
       ถาม :    ถ้าบอกกินอ้อยอย่างนี้ เขากิน ?
       ตอบ :     ขำที่สุดตอนไปเลี้ยงช้างที่พุถ่อง เราซื้ออ้อยท้ายรถปิกอัพคันหนึ่งเลย แล้วก็มีอย่างอื่นด้วย วิ่ง ๆ ไปเจอช้าง ๓ ตัว ควาญเขากำลังจะเอาไปเข้าแค้มป์ ตะโกนถามเขาบอกว่าขออนุญาตเลี้ยงช้างได้มั้ย มีอ้อยมาคันรถหนึ่ง ? ควาญยังไม่ทันตอบว่าได้หรือไม่ได้เลย ช้างมันหยุดกึกเลี้ยวข้ามถนนมาเองเลย เขาฟังรู้เรื่องจริง ๆ แล้วพอเราเลี้ยง ๆ เขาไปเขาได้กลิ่นแปลก ๆ เขาล้วงงวงเข้าไปพันข้างใน มันได้กลิ่นแคนตาลูป ในที่สุดแคนตาลูปของคนก็ต้องให้ช้างกินไปด้วย (หัวเราะ) ไม่เหลือ...พอได้ยินว่ามีอ้อยมันหยุดกึกมันเดินข้ามถนนมาเองเลย ควาญไม่ต้องบังคับเลย พอหน้าสับปะรดออกก็จะเอาไปเลี้ยงเขาที เราซื้อที ๒๐๐ , ๓๐๐ หัวนี่ประเภทครึ่งค่อนกระบะนะ แต่ปรากฏว่าเขาได้ตัวหนึ่งไม่กี่ลูกหรอกเพราะว่าแค้มป์ช้างที่พุถ่องช้างเขา เยอะ เขาจะไปติดต่อพวกกะเหรี่ยงให้มาเข้าคิว ถึงเวลาก็รับคนไปเดินป่าอะไรอย่างนี้
       ถาม :    เขาบอกให้เอามีดหมอของหลวงพ่อเดินไปตัดอ้อยให้ช้างกินเขาว่ามันจะเชื่อง ?
       ตอบ :  แต่ว่าเรื่องเชื่องขนาดไหนก็ตามอาตมาก็มักจะไปเช้า ๆ หน่อย สายแล้วแดดมันร้อน คนร้อนมันยังหงุดหงิดเลย แล้วช้างมันร้อนมันแย่เหมือนกันเพราะตัวเขาใหญ่กว่าเรา

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2009, 00:12:14 »

http://grathonbook.net/book/18.6.html

ถาม :     เกี่ยวกับเรื่องที่เราเลี้ยงปลาเงินปลาทองในตู้ค่ะ ถ้าเราเลี้ยงปลาเงินปลาทองนี่เหมือนเราทำบาปกักขังหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :  คือถ้าเราเจตนาเลี้ยงเขาให้ได้รับความสุขความสะดวกสบาย ถ้าเราทำบุญทำกุศลอื่นเอาไว้ตัวเมตตาปราณีตัวนี้จะเสริมบุญกุศลนั้นให้สูง ยิ่งขึ้นไป แต่ถ้าเราไม่ได้ทำบุญกุศลอื่นใดเอาไว้เลย แต่ว่าเลี้ยงสัตว์โดยการกักขังอย่างเดียวจะเกิดเป็นเวมาณิกเปรต เปรตพวกนี้มีทิพยสมบัติเหมือนเทวดาหมดทุกอย่าง เพียงแต่ออกจากวิมานไม่ได้
       ถาม :     แล้วอย่างถ้าเราตั้งใจเลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามล่ะคะ ?
       ตอบ :  มันก็มีโทษเหมือนกัน แต่ไหน ๆ เราซื้อมาแล้วก็เลี้ยงซะให้มีความสุขที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ คือ ถึงเวลาก็ให้อาหารเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาลไปทำตามหน้าที่ไป เพราะปลาเหล่านี้เราปล่อยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะหากินเองไม่เป็นนะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสงเคราะห์ด้วยความเมตตาต่อไป
       ถาม :     ถ้าเราไม่ได้ซื้อมาก็เหมือนกับเราไม่ได้กักขังเขาใช่มัยคะ ?
       ตอบ :      ก็ไม่ได้กักขัง
       ถาม :     ก็ปล่อยเขาใครจะขายก็ขายไป ?
       ตอบ :      เรื่องของเขาอย่าไปยุ่งกับเขาก็แล้วกัน ถ้ามันมาถึงแล้วก็รับผิดชอบไป มันตายยากแถมแตกลูกแตกหลานอีก
       ถาม :    แล้วอย่างเราเลี้ยงปลาดุกไว้ขายล่ะคะ เราไม่ได้ฆ่ามัน แต่ เราเลี้่ยงไว้ขายเฉย ๆ ?
       ตอบ :      อย่างนั้นของเราต้องตัดกำลังใจลงอย่างแบบภรรยาของพรานกกุตมิตร ท่านเป็นพระโสดาบันนะ แต่ว่าสามีที่เป็นพรานจะออกล่าสัตว์ แกบอกแม่อีหนูส่งหน้าไม้มาก็ส่งให้ แม่อีหนูส่งบ่วงเชือกมาก็ส่งให้ แม่อีหนูส่งหอกมาก็ส่งให้
              คราวนี้พระเห็นก็แปลกใจมากเป็นพระโสดาบันอีท่าไหนสนับสนุนสามีให้ฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้กลับไปถามเธอ ว่าเธอคิดยังไง พอกลับไปถามท่านบอกว่าท่านเป็นภรรยามีหน้าที่ทำตามคำสั่งสามี ๆ ให้ส่งอาวุธก็ส่งให้ตามคำสั่ง ส่วนสามีจะเอาอาวุธนั้นไปทำอะไรเราไม่รับรู้ กำลังใจท่านตัดแค่นั้นเลย เพราะฉะนั้นส่วนที่เป็นบาปท่านไม่มี
                ฉะนั้นเราเลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ก็นำเขามา แล้วตั้งใจเลี้ยงดูเขาให้มีความสุขความสะดวกสบาย ถ้าคนมาซื้อเราขายแต่เขาซื้อไปทำอะไรเราอย่าไปคิดต่อแล้วกัน นั่นมันเป็นเรื่องของเขาแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่กับเรา ๆ สงเคราะห์เขาเต็มที่แล้ว ถัดจากนั้นไปไม่เกี่ยวกับเรา
       ถาม :      ถึงแม้ว่าเราจะตั้งใจว่าเราจะเลี้ยงปลาให้มันอ้วนแล้วมันจะได้ราคาดีเหรอคะ ?
       ตอบ :      จ้า
       ถาม :      นั่นมันก็โดนเหรอคะ ?
       ตอบ :  มันก็โดนอยู่ แต่ว่าเขาจะเอาไปทำอะไรมันเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวนี่ เราไม่ได้ตามไปฆ่าเขานี่ เรื่องของธรรมะนี่เขาตรงไปตรงมาใครฆ่าคนนั้นผิด
       ถาม :     แต่มันก็ขึ้นชื่อว่ากักขังเขานะ ทำให้เขาอึดอัด ?
       ตอบ :      ตรงนี้มันมีส่วนอยู่ แต่อย่าลืมว่าถ้าหากว่าเราไม่เลี้ยงเขา ๆ ก็ไม่รอดมันมีบุญมีบาปอยู่ด้วยกันให้ใจของเราเกาะในด้านบุญไว้เสมอ อย่าเผลอไปเกาะในด้านบาป เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ของเราคิดหานรกเก่งมากเลย เขาไม่ให้ลงก็ตะเกียกตะกายจะลงให้ได้ ตัดความคิดตัวเองให้เป็น เอาอย่างภรรยานายพรานกกุตมิตรท่าน ๆ ตัดแค่นั้น ทำตามหน้าที่หลังจากหน้าที่แล้วไม่รับรู้
       ถาม :     แล้วอย่างคุณพ่อสั่งให้ซื้อปูเป็น ๆ มา สั่งให้ทำกับข้าวให้กินหน่อย หนูก็ต้องทำอย่างนี้ถือว่า ...?
       ตอบ :      อย่างนี้ผิดแน่ ๆ โดนทั้งคู่ทั้งคนสั่งทั้งคนทำ
       ถาม :     ทั้ง ๆ ที่ใจเราไม่อยากทำ
       ตอบ :     มันไม่อยากทำแต่มันลงมือไปแล้ว โถ....เมตตาเหลือเกินขอสักทีเถอะ ก็แย่ซิจ๊ะ
       ถาม :      มีคนจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่คิดไม่ดีกับเขาน่ะค่ะ มันจะมีผลยังไงคะกับคนที่ยังอยู่ ?
       ตอบ :  มันเคยมีตัวอย่าง คือว่าเขาเองนะ เขาไม่นึกว่าผลมันจะเป็นอย่างนั้น คือ มีคนคิดไม่ดีทำไม่ดีกับเขา ๆ เองเขาก็พยายามที่จะทำดีตอบด้วยการแผ่เมตตาก็ดี ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ก็ดี แล้วปรากฏว่าฝ่ายที่คิดไม่ดีเขาตาย เป็นผลที่เขาคิดไม่ถึง มันอาจจะเป็นเพราะสู้แรงบุญไม่ได้ก็ได้ แต่ถ้าเขาเจตนาทำโดยที่รู้ว่าถ้าทำแล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะตายนี่ดีไม่ดีจะมีโทษ นะ เพราะจิตเป็นวิหิงสาวิตกมุ่งร้ายต่อคนอื่นเขา แต่ถ้าหากว่าตั้งใจทำใช้ความดีสู้ความชั่วชนิดที่เรียกว่าชนะความไ่ม่ดีด้วย ความดี ถ้าอย่างนี้ก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าเจตนาทำแล้วรู้ว่าทำแล้วศัตรูมันตาย อย่างนี้ก็ผิดแน่ ๆ
       ถาม :      แล้วถ้าเจตนาว่าทำแล้วให้เขาเป็นสุข ๆ เถิดอย่างนี้มีผลยังไง ?
       ตอบ :     ทำไปเถอะของเราก็ได้บุญด้วยของเรา เขาจะเป็นยังไงก็เรื่ืองของเขา
       ถาม :      ถ้าเราจะทำบุญอุทิศให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่คิดร้ายกับเราจะอธิษฐานยังไงดีคะ ?
       ตอบ :  ไม่ต้องอธิษฐานอะไรมากหรอก ขอให้อย่ามีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลยก็พอแล้ว สวดได้มั้ย ? สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง (หัวเราะ) ถ้าสวดแต่ปากก็เหนื่อยเปล่า จะให้ได้ประโยชน์กำลังใจต้องเป็นไปตามนั้นเลย ถ้าสวดแต่ปากมันไม่ค่อยได้อะไร เหนื่อย
       ถาม :  (ถามเรื่่องเกี่ยวกับพญานาค) อยากรู้ว่าทำไมพระที่ธุดงค์อย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ทุก ๆ พระองค์ท่านบอกว่าท่าานต้องพบกับพญานาคด้วยล่ะครับ ?
       ตอบ :     ก็เขามีอยู่ทั่ว ๆ ไป พญานาคเขาก็มีอยู่ทั่วไปในสถานที่ไหนที่เขาอยู่ทั่วไป ในสถานที่ ๆ เขาอยู่ถ้าเข้าไปโอกาสพบก็เยอะ
       ถาม :  ในหนังสือบอกว่ามีพญานาคอยู่ตนหนึ่งเคยเป็นมนุษย์รักษาศีล ๕ แล้วพญานาคตนนั้นก็มาพบกับหลวงปู่องค์หนึ่ง หลวงปู่องค์นี้ท่านก็พยายามหนี แต่พญานาคตัวนี้ก็จะตามแต่ไม่ให้ตามในลักษณะของคน โดยหัวนี่จะเป็นพญานาคตามท่าน แต่ตัวนี่จะทอดยาวไปที่แม่น้ำโขง
       ตอบ :       แล้วไงล่ะ ?
       ถาม :    อย่างนี้จะต้องมีบุญมีกรรมร่วมกันหรือเปล่า ?
       ตอบ :  มันก็ต้องมี งั้นจะตามให้เสียเวลาทำไม แล้วอีกอย่างหนึ่งบางทีท่านเห็นเป็นพระดีท่านก็อยากได้บุญ ในเมื่ออยากได้บุญท่านก็ตามมากราบมาไหว้
       ถาม :    ในหนังสือบอกว่าท่านเคยทำผิดศีล ๕ ท่านจึงมาเกิดเป็นพญานาค ?
       ตอบ :     นั่นแค่ศีล ๕ ศีล ๒๒๗ มาเกิดเป็นพญานาคในธรรมบทก็มี พระยาเอรกปัตตนาคราชบวช เป็นพระจำพรรษาอยู่ชายทะเล ๒ หมื่นปี สมัยต้นกัปนี่คนอายุเยอะนะ แสดงว่าตอนนั้นอายุต้องเกิน ๒ หมื่นปี เพราะแกจำพรรษาอยู่ ๒ หมื่นปีแล้วใช่มั้ย ? วันหนึ่งแกลงไปสรงน้ำกลังว่ายน้ำไปว่ายน้ำมา เรือสำเภาก็ผ่านมา คราวนี้เรือสำเภามันค้าขายทางไกลมันเดินทางเป็นเดือนเป็นปี ตะไคร่น้ำมันเกาะเรืออยู่ ท่านเองท่านว่ายไปเกาะเรือแล่นไปดึงตะไตร่น้ำหลุด ทีนี้การพรากของเขียวทำของที่เป็นต้นไม้ใบหญ้าหลุดออกจากที่นี่ของพระเขาถือ ว่าผิดศีล
              ในเมื่อของพระนี่ผิดศีลแต่ท่านเองท่านก็ไม่มีโอกาสจะเปลื้องอาบัติคือความ ที่ศีลขาดนั้น เพราะว่าจำพรรษาอยู่องค์เดียวตายเสียก่อน จำพรรษาอยู่ ๒ หมื่นปีปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โทษที่ผิดศีลทำให้ไปเกิดเป็นพญานาค ถึงจะมีความสุขที่มีทิพยสมบัติแต่พญานาคเป็นเดรัจฉาน ในเมื่อเป็นเดรัจฉานถึงจะอยู่ในภพของความเป็นทิพย์ก็จริงแต่โอกาสที่จะเข้า มรรคผลมันไม่มี แต่เนื่องจากว่าท่านเองเคยเป็นพระมาก่อนตั้งใจรักษาศีลมาถึง ๒ หมื่นปี ความดีเดิมมันอยู่ในใจมันก็นึกว่า เออ....เราเป็นพญานาคมาตั้งนานแล้ว ไม่ทราบว่าโลกนี้มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วหรือยัง ท่านก็เลยแต่งปริศนาบทหนึ่งให้ลูกสาวคือนางนาควิกาแปลงกายเป็นมนุษย์ แล้วยืนอยู่บนพังพาน คือท่านจะแผ่แม่เบี้ยแล้วให้ยืนอยู่ข้างบนแล้วร้องเพลง ถ้าหากว่าใครแก้ปริศนาเพลงนั้นได้จะยกนางนาควิกาและสมบัติให้ โอ้โห...หนุ่ม ๆ ไปแย่งกันแก้ปริศนาตรึมเลย แก้ไม่ได้
                พอดีว่ามีอุตรมาณพนี่ตามธรรมบทบอกว่าเป็น เนื้อคู่ของนางนาควิกาเขา เดินทางจะไปแก้ปัญหานี้เหมือนกัน ได้ยินอยากได้นี่ พญานาคถ้าเป็นคนมันลักษณะนางฟ้าดี ๆ สวยนี่ ก็อยากได้ก็จะไป พระพุทธเจ้าเสด็จไปขวางทางเพราะว่าเห็นถ้าโปรดอุตตรมาณพนี่แล้วจะเป็นพระ โสดาบัน เสด็จไปขวางทางพระอุตตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าก็เข้าไปกราบ พระพุทธเจ้ารู้ก็ทำเป็นไม่รู้ก็ถามเธอจะไปไหนหรือ ? อุตตรมาณพก็เล่าเรื่องให้ฟังว่ามีพญานาคตัวใหญ่แบกหญิงสาวไว้บนพังพานมาร้อง เพลงปริศนาธรรมอย่างนี้ ๆ ถ้าใครแก้ปริศนาธรรมได้จะได้หญิงสาวเป็นภรรยาและยังได้สมบัติจากพญานาคด้วย พระพุทธเจ้าพอได้ยินก็บอกว่าปริศนานี้พอแก้ได้ก็เลยสอนให้อุตตรมาณพพร้อม เพลงแก้ ตกลงพระพุทธเจ้าสอนร้องเพลงด้วยนะ ใครบอกว่าพระในพุทธศาสนาไม่ร้องเพลงนี่ไม่จริงนะ ว่าไปแล้วต้นตำรับด้วย คราวนี้อุตตรามาณพก็ไปร้องเพลงแก้ ร้องเพลงแก้ปุ๊บพญาเอรกปัตตนาคราชรู้เลยว่าพระพุทธเจ้ามาเกิดแล้ว เพราะว่าถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะไม่มีใครแก้ปริศนาธรรมนี้ได้
              คราวนี้ท่านดีใจท่านก็ฟาดหางเล่น ปรากฏว่ามันกลายเป็นคลื่นใหญ่ซัดเอาชาวบ้านตกน้ำไปจมเลย ต้องไปงมคืนทีละคน ๒ คนเสร็จแล้วท่านก็แปลงเป็นคนจูงมือนางนาควิกากับอุตตรมาณพไปหาพระพุทธเจ้า เพราะถามอุตตรมาณพแล้วว่าใครเป็นแก้ปัญหานี้ อุตตรมาณพก็สารภาพว่ามีพระสมณโคดมสอนมาก็ไปกราบกัน พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรดอุตตรมาณพกลายเป็นพระโสดาบัน นางนาควิกากับเอรกปัตตนาคราชได้ทิพยสมบัติมากขึ้น แต่ไม่ได้มรรคผลอะไรเข้าถึงไตรสรณคมเท่านั้น คราวนี้เราจะเห็นว่ามันไม่ใช่ศีล ๕ ที่ล่วงละเมิดแล้วทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๒๒๗ ก็เจ๊งเหมือนกัน นั่นนิดเดียวด้วยนะ
       ถาม :     เหตุจะเกิดจากการผิดศีลหรือไม่ผิดศีลก็สามารถมีสิทธิ์เกิดเป็นพญานาคได้ใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :      ได้ คือทำบุญแล้วตั้งความหวังว่าจะเป็นก็เป็น
       ถาม :     เป็นได้ใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :  เป็นได้ เพราะจิตมันตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ เอามั้ยแค่ดึงตะใคร่น้ำหลุดเท่านั้นนะ ศีลพระไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่สำหรับวัดท่าซุงถ้าพรากของเขียวน้อยกว่า ๑ ไร่นี่ปรับอาบัติศีลขาด แต่ถ้าทำมากกว่า ๑ ไร่นี่ไม่เป็นไร
       ถาม :      อย่างนี้ก็ถางหญ้าไม่ได้ซิคะ ?
       ตอบ :  ถางไปซิ แต่ถ้าถามว่าผิดมั้ย ผิด แต่ว่ารักษาวัดวาให้สะอาดเรียบร้อยคนเห็นแล้วเย็นตาเย็นใจ เกิดความศรัทธาขึ้นมา ส่วนเป็นบุญมันมากกว่าลงทุนได้ รู้ว่าลงทุนแล้วกำไรแน่ ๆ แต่ถ้าลงทุนแล้วขาดทุนอย่าไปแตะนะ ถึงได้บอกว่าของวัดท่าซุงสมัยหลวงพ่ออยู่พวกเราแซวกันเอง ว่าถ้าทำน้อยกว่า ๑ ไร่นี่ศีลขาด ต้องเอาให้เยอะกว่านั้น ๑๐๐ ไร่มันถางกันไม่หวาดไม่ไหว เล่นขับรถแทรกเตอร์ลุยกันเลย บางทับงูขาดเป็นท่อน ๆ ไปด้วย
       ถาม :     อย่างนี้จิตของเราก็คิดตัวบุญอยู่ตลอด ?
       ตอบ :  จิตของเรามันต้องเป็นกุศลอยู่ตลอด แต่ถามว่าผิดมั้ย ? ผิด ละเมิดสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามไม่ผิดนี่ไม่มี แต่บังเอิญว่าส่วนที่ทำเป็นบุญมากกว่า หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่าถ้าหากใครมาอ้างว่าทำแล้วผิดศีลข้อนี้แล้วไม่ทำท่าน จะฟาดกะบาลให้ ไอ้นั่นมันขี้เกียจแล้ว
       ถาม :     แล้วที่ผมอ่านเจอว่ามีหลวงปู่องค์หนึ่งท่านไปเจอกับฤๅษีดาบส องค์นั้นท่านบอกว่าท่านจำศีลภาวนามาก่อนพุทธกาล     ๓,๐๐๐ ปี ?
       ตอบ :      แล้วมีปัญหาตรงไหน ?
       ถาม :     แล้วท่านจะอยู่ยังไง ?
       ตอบ :  ถ้าทำไม่ได้อย่าไปสงสัย เรื่องของท่านพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่าบุคคลผู้ชำนาญในอิทธิบาท ๔ อธิษฐานอยู่ได้เป็นกัป ๓,๐๐๐ ปี เสี้ยวเดียวเรื่องเล็ก
       ถาม :      แต่ท่านบำเพ็ญอยู่ถ้ำในเขตพญานาค ?
       ตอบ :     อยู่เป็นพัน ๆ ปียังอยู่ได้ แต่อยู่ในเขตพญานาคทำไมจะอยู่ไม่ได้ อยากรู้ว่าทำได้ยังไงก็ทำอภิญญาให้คล่องเดี๋ยวก็จะรู้เอง
       ถาม :    แล้วจริง ๆ เป็นยังไง ?
       ตอบ :  จริง ๆ คือเกิดใหม่ซะอีกรอบหนึ่งก็ได้เดี๋ยวก็รู้เอง ของพระเขาไม่เสียเวลาหรอกจ้า ย้อนอดีตก็ผิดไปอนาคตก็ผิด มันต้องหยุดกับปัจจุบันห้ามไปอดีตห้ามไปอนาคตวางกำลังใจผิดตายตอนนั้นเดี๋ยว ซวย เรื่องของพระจำไว้ให้แม่น ๆ เลยนะ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าไปแล้วหมดปัญหาไป แต่ว่าท่านที่เป็นฌานโลกีย์นี่มันจะกดกิเลสไว้ชั่วคราวเท่านั้น การกดกิเลสไว้ได้ชั่วคราวนี่ถ้าประมาทกิเลสมันตีกลับเมื่อไหร่ จะหนักกว่าเดิมหลายเท่า เหมือนกับเก็บกดไว้นาน
                บรรดาครูบาอาจารย์ชื่อดัง ๆ อย่างอาจารย์นิกร อาจารย์ยันตระ หลวงพ่อภาวนาพุทโธ เหล่า นี้น่าสงสารมาก เพราะว่าเมื่อท่านทำความดีไปถึงระดับหนึ่ง คนเริ่มเห็นแล้วก็นิมนต์กันหัวไม่วางทางไม่เว้นท่านไม่มีเวลามารักษาอารมณ์ ใจของตนเองให้ทรงอยู่ได้เหมือนก่อน ถึงเวลากิเลสมันตีกลับมาก็เจ๊ง จริง ๆ แล้วน่าสงสารนะ เพราะฉะนั้นพระของเรามันต้องมีเวลาเฉพาะของตัวเองปฏิบัติอยู่ประมาทไม่ได้ เลย ต้องทำอารมณ์ของตัวเองให้ต่อเนื่องอยู่ตลอด ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าท่านยิ่งจำอารมณ์ต่อเนื่องไม่ยอมปล่อย ท่านจะไม่ยอมประมาทว่าได้แล้วอย่างเด็ดขาด มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้นว่าพระที่ดี ๆ อยู่ แล้วเสียไปนี่โอกาสให้ว่ากำลังใจของท่านมันย้อนกลับไปด้านเดิม เพราะฉะนั้นเป็นตัวอย่างมีอีกองค์ที่เห็นได้ชัด ๆ เห็นว่าตอนนี้นุ่งดำห่มดำไปแล้วไม่ใช่เหรอ
       ถาม :      แต่คำสอนของท่านก็ยังใช้ได้อยู่ ?
       ตอบ :     คำสอนน่ะถ้าหากว่าสอนอย่างพระสุธรรมเถรลูก ศิษย์เป็นอรหันต์ แต่ท่านเองไม่ได้อะไรเลยเพราะท่านดีแต่สอนแต่ตัวเองไม่ทำเอง ถ้าคำสอนของท่านตรงถูกต้องตามพระพุทธวจนะที่ปฏิบขัติตามแล้วได้ แต่ถ้าพวกว่าผิดเพี้ยนไปเราทำตามไปโอกาสพลาดมันมีเอาจริง ๆ ก็เล่นตามพระไตรปิฎกเลยมั้ยล่ะ ลองไปดูเล่มหนา ๆ เป็นตู้ลองดูมั้ยล่ะ ?

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2009, 21:39:13 »

http://grathonbook.net/book/18.7.html

ถาม :   ทำไมบางคนเขาไม่เคยเจอผีเลย บางคนเขาไม่อยากเจอก็เจอล่ะ ?
       ตอบ :  ถ้าไม่ใช่จิตหยาบเกินไปก็ห่วยไปเลย จิตหยาบจะรับเขาไม่ได้เลยเพราะของเขาอยู่ในภพภูมิที่ละเอียดกว่าหรือบางคน ห่วยแตกเขามาเขาก็ไม่ได้อะไร ส่วนใหญ่เขามาเขามักต้องการส่วนบุญส่วนกุศลจากเรา เพราะฉะนั้นคนที่เจอผี นี่มี ๒ อย่างคือ อย่างแรกมีกรรมเนื่องกันมา เขาก็เลยปรากฏเพื่อให้สงเคราะห์เขา อีกอย่างหนึ่งทำบุญใหญ่มา เขาอยากได้เขาก็มาปรากฏให้เห็น
       ถาม :     ก็เหมือนกับว่ามาให้เห็นรัศมีกายว่าคนนี้จะอุทิศบุญให้เขาได้ใช่ไม๊คะ ?
       ตอบ :  ก็ลักษณะนั้นใครที่เจอผีไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอกใ้หตั้งใจว่ากุศลบารมีอะไร ที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ขออุทิศให้กับเธอขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ได้รับความสุขเท่าไรขอให้เธอได้รับด้วยเท่านั้นพอแล้ว
       ถาม :    แล้วถ้ามาทำร้ายเราล่ะครับ ?
       ตอบ :    ที่มาทำร้ายนี่ส่วนใหญ่มันมาเพื่อทดสอบกำลังใจ
       ถาม :     ถ้าเจอแล้วเราช๊อคทำยังไงคะ ?
       ตอบ :  อ๋อ ! อันนั้นไม่ต้องทำยังไงหมอเขาจัดการเอง เราช๊อคแล้วก็แล้วกัน ถ้าหากว่าเป็นผีประเภทที่มาลองกำลังใจถ้าเรากลัวมากเขาก็ไป ถ้าหากว่าเราคิดถึงความดีได้เขาก็ไป เขาต้องการแค่นั้นแหละ คือต้องการให้เราเกาะความดีได้ แต่ถ้าเห็นเรากลัวมากเดี๋ยวมีอันเป็นไปเขาก็ไม่อยู่แล้ว
       ถาม :     ........................
       ตอบ :  โอกาสอย่างนั้นมันน้อย กำลังใจถ้าหากประกอบไปด้วยความโกรธแค้นอะไรเต็มที่ มันเป็นจิตใจที่เศร้าหมอง ส่วนใหญ่จะลงนรกไปเลย พวกนั้นมันมีแต่ในนิยายเท่านั้นที่ผีมันกลับมาแก้แค้น ถ้าหากว่ายังผูกอาฆาตอยู่อย่างนั้นจิตใจมันเศร้าหมองมันจะพาลงอบายภูมิไปเลย
       ถาม :     แล้วอย่างที่ผีเขาหลอนเขาหลอกนั่น เขาหลอกเล่น ๆ เหรอคะ ?
       ตอบ :  เขาไม่ได้เจตนาหลอก เขาตั้งใจมาขอส่วนบุญแต่ลักษณะของเขามันเหมือนกับคนจน เขามาได้สวยที่สุดก็อย่างที่เราวิ่งอ้าว นั่นน่ะสวยที่สุดของเขาแล้ว เขาพยายามรวบรวมความสามารถของเขาเต็มที่แล้ว เขามาได้แค่นั้น เขาก็อยากสวยกว่านั้นแต่บุญเขาไม่พอ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ ให้เขาซะ ส่วนใหญ่แล้วแทนที่จะให้ก็วิ่งหนีเขา
       ถาม :   เคยได้ยินหลวงพี่ต่อเล่าให้ฟังว่าเคยไปที่อุทยาน.....(ไม่ชัด).....แล้วก็ไปที่ถ้ำ .....(ไม่ชัด)......แล้วผีนี่เอามือยื่นออกมาเจตนาจะฆ่าหรือหลอก ?
       ตอบ :     พวกนั้นส่วนใหญ่มันลองกำลังใจนักปฏิบัติโดนประจำถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติมันไม่ค่อยยุ่งด้วยหรอกเสียเวลาเปล่า ลองไปก็ไม่ได้อะไร
       ถาม :     ผมเคยได้ยินมาว่าผีที่หลอกเพื่อทดสอบกำลังใจส่วนใหญ่จะไม่ใช่ผีใช่มั้ยครับ ?
       ตอบ :    เราน่ะอะไรก๊อกแก๊กมันเรียกผีหมด มันแล่นไล่ตั้งแต่โน่่นแน่ะ ทั่ว ๆ ไปยันนิพพานมันเหมาเป็นผีหมดเลย
       ถาม :     พอดีไปถ่ายทำโฆษณาสินค้าตัวหนึ่งต้องใช้พระ ทีนี้ทางทีมงานเขาใช้พระจริง ?
       ตอบ :    ก็ไม่เป็นไร
       ถาม :     ก็ไม่บาปไม่ปรามาสอะไรใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :  ก็อยู่ในลักษณะขอความร่วมมือท่าน ๆ จะเห็นด้วยมั้ย ? ถ้าถึงเวลาก็ถวายอะไรให้ท่านบ้างนะ ไม่ใช่ใช้ท่านเฉย ๆ พอเสร็จงานก็ขอขมาพระด้วย
       ถาม :  หนูไปขอขมาพระท่านงงน่ะค่ะ ว่ามาขอขมาทำไม ก็เลยบอกว่าทีแรกว่าจะเอาพระปลอมไงคะ ทีนี้ทางทีมงานเขาไม่ลงทุนนี่คะ เขาก็นิมนต์หลายอย่างเดี๋ยวก็นิมนต์เดินหน้า นิมนต์ถอยหลังทีนี้พอเสร็จงานหนูก็ไปขอขมาพระ ๆ งงเลยค่ะ
       ตอบ :  เป็นอันว่าเราพ้นไป ไอ้คนไม่ขอขมาอีกหน่อยมันก็โดนเขาจับเดินหน้าถอยหลังเองล่ะ นั่นแสดงว่าตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง ไปขอขมายังไม่รู้ คือสมัยหลัง ๆ นี่เขาก็บวชเขาก็สักแต่บวชไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
       ถาม :    เรื่องชำระหนี้สงฆ์นี่เขารู้กันทุกวัดใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :    ไม่ใช่หรอก รู้กันแต่สายหลวงพ่อเท่านั้นนอกสายหลวงพ่อไม่มีใครเขารู้กัน เพราะว่าหลวงพ่อท่านพบมาเยอะ คนที่เอาของสงฆ์ไปกินไปใช้นี่โทษมันอเวจีมหานรกอย่างเดียว ถามพระยายมราชท่านแล้วท่านบอกมีวิธีการชำระหนี้สงฆ์ อย่าง เช่นว่า ถ้าเราเอาสิ่งของที่มีค่าเท่าไหร่ในอดีต ถ้าเราต้องซื้อสิ่งของนั้นปัจจุบันเป็นเงินเท่าไหร่ต้องตีเป็นราคาเงินใน ปัจจุบัน หรือไม่ก็ซื้อของชิ้นนั้นมาคืนเลยเป็นของใหม่หมดเรื่องหมดราวไป แต่ว่าถ้าหากว่าไม่สามารถจะทำได้ก็ให้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ เอาเงินจำนวนหนึ่งไปถวายบอกชำระหนี้สงฆ์ที่เคยทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าหากว่าพระทั้งวัดเขาประเภทสาธุรับก็เป็นอันว่าหมดกันไป หรือไม่ก็ตั้งใจสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกถ้าหากว่าสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกไม่ปิดทองนี่ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าหากว่าจะปิดทองนี่จะร่วมกันกี่คนมีอาสงส์คุ้มได้หมด
       ถาม :    และหนูถวายบอกชำระหนี้สงฆ์นี่ท่านก็เลยงง ๆ บอกแปลว่าอะไรชำระหนี้สงฆ์ หนูก็เลยบอกถวายหลวงพี่ไว้ใช้ในวัดเลย
       ตอบ :    บอกว่าถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟเลยก็ได้ ท่านจะได้เข้าใจ
       ถาม :   ท่านงง ก็เลยบอกเอ๊ะ ทำไมงง ?
       ตอบ :  มันมีแต่สายหลวงพ่อเท่านั้นที่เข้าใจ สายอื่นไม่ค่อยเข้าใจหรอก ถ้าได้ยินว่าใครเขาบอกว่าถวายชำระหนี้สงฆ์หมายหัวไว้เลยว่าอย่างน้อย ๆ ก็เคยเดินผ่านวัดท่าซุงมาแน่ หรือไม่ก็เป็นศิษย์เก่าท่าซุงเลยล่ะ
       ถาม :  เคยเดินผ่านวัดแล้วเห็นพระชำรุดเป็นพระแก้วมรกตชำรุดวางใต้ต้นโพธิ์แต่ยัง ไม่ชำรุดมาก ผมก็เลยจะเอาไปบูชาที่บ้าน แต่ผมไม่ได้้หยิบเอาไปเฉย ผมไปขอกับท่านรองเจ้าอาวาสท่านก็ให้บอกว่าเอาไปซิ อย่างนี้ต้องชำระหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :  อันนั้นยังเป็นของสงฆ์อยู่ ท่านองค์เดียวอนุญาตไม่ได้ต้องสงฆ์ทั้งหมดมีความเห็นร่วมกัน อันนั้นท่านอนุญาตไม่ได้ ถ้าหากว่าท่านอนุญาตไปท่านก็ผิด ขณะเดียวกันเราเอามาเราก็ยังติดหนี้สงฆ์อยู่ เราต้องตั้งใจดูว่าถ้าหากว่าปัจจุบันราคาเท่าไหร่เราก็ชำระไปในราคาเท่านั้น
       ถาม :    แล้วถ้าหากว่าเราเอาพระพุทธรูปองค์นี้ไปคืน ?
       ตอบ :    ก็ดีจะได้หมดเรื่องกันไปเลย เวลาคืนถ้าหากว่าวัดเก่ามันไกลวัดไหนก็ได้ ตั้งใจว่าถวายคืนเป็นสมบัติของพระศาสนาไปตามเดิม
       ถาม :    คืนวัดไหนก็ได้เหรอครับ ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าวัดเก่ามันไม่ไกลจนเกินไปก็คืนวัดเก่า ถ้าหากว่าวัดเก่ามันไกลวัดไหนก็ได้
       ถาม :    ทำไมเขาเอาไปวางทิ้งล่ะครับ ไม่รู้ว่าใครเอาวางทิ้งไว้ใต้ต้นโพธิ์ ?
       ตอบ :   ส่วนใหญ่แล้วคนเราพอแตกนิดบิ่นหน่อยแล้วมันก็ไม่สบายใจ มันก็เอาไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ 
       ถาม :  เวลาเราปฏิบัติธรรมแล้วเรารู้สึกว่ามันสบาย แล้วจิตก็ว่าทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่จิตก็ยังเคารพอยู่นะครับ เห็นพระแล้วก็อยากจะไหว้อยากจะกราบ แต่มันมีความรู้สึกคือสวดมนต์บ้างก็ได้ไม่สวดก็ได้อย่างนี้ ?
       ตอบ :    อย่างนั้นเขาเรียกกิเลสมารดลใจแล้ว ความดีทำมากเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น มากนี่หมายความว่าทำบ่อย ๆ ทำประจำ ๆ ไม่ใช่ทุ่มเททำด้วยทรัพย์สินเงินทองมาก ๆ ความดีทำมากเท่าไหร่ก็ดีกับเราเท่านั้น ถ้าหากว่ามันชวนให้ขี้เกียจเมื่อไหร่ให้รู้ตัวเลยว่าเราจะแย่แล้ว
       ถาม :    เพราะว่าเมื่อก่อนผมเคยสวดชินบัญชร แล้วพอตอนหลังนี่ก็.....(ไม่ชัีด).....ก็เลยเลิกสวดชินบัญชร ?
       ตอบ :     แล้วเลิกทำไมล่ะ อาตมาเองก็สวดมาก่อนจนปัจจุบันนี้ก็ยังสวดอยู่
       ถาม :  จิตมันก็ยังจำได้อยู่ทุกถ้อยคำ แต่มันมีความรู้สึกว่าทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่จิตมันอยากจะทำแต่ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าขี้เกียจซะแล้วน่ะครับ ?
       ตอบ :    ไอ้ขี้เกียจซะแล้วนี่ ระวังมันเป็นถีนมิทธะนิวรณ์ เดี๋ยวมันพาอย่างอื่นขี้เกียจไปด้วย
       ถาม :    อย่างนี้ต้องสร้างกำลังใจใหม่ใช่มั้ย ?
       ตอบ :    กำลังใจต้องเอาใหม่ให้ไฟมันลุกสม่ำเสมอหน่อย ไม่ใช่ให้มันติด ๆ ดับ ๆ แล้วยิ่งไฟไหม้ฟางวูบเดียวหายเลยไม่ให้มีเด็ดขาด
       ถาม :    (ถามเกี่ยวกับเรื่องคาถาต่าง ๆ มีชินบัญชร)
       ตอบ :  พระคาถาสำคัญตรงที่ว่าผู้ที่ผูกเอาไว้บอกมีผลทางไหนแล้ว จิตใจเรามุ่งทางนั้นก็จะมีผลทางนั้น ยกเว้นว่าเราทำไปด้วยแล้วมีผลสำเร็จที่ใจแล้วล่ะ เราจะใช้คาถาไหนนึกให้เป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น
       ถาม :    อยู่ที่การอธิษฐานเหรอครับ ?
       ตอบ :   อยู่ที่ความตั้งใจของเรา มาถึงระยะหลัง ๆ นี่ตั้งใจยังไงก็เป็นอย่างนั้น
       ถาม :    ถ้าเราสวดชินบัญชร ไม่ว่าจะทำอะไรจิตจะนึกถึงคาถานี้อย่างนี้จะอธิษฐานได้มั้ย ?
       ตอบ :     ได้ แสดงว่ามันเป็นฌานแล้ว ในเมื่อเป็นฌานแล้ว ยิ่งฌานสูงมากเท่าไหร่ผลก็จะมีมากเท่านั้น
       ถาม :    อานิสงส์คาถาชินบัญชรนี่มีอานิสงส์อย่างไรครับ ?
       ตอบ :  อานิสงส์อย่างไร ? ถ้าหากว่าทำเป็นก็ยันนิพพาน เพราะป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และก็บรรดาพระสูตรต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าสอนมา
       ถาม :    (ถามเรื่องการนั่งสมาธิ)
       ตอบ :  การนั่งสมาธิให้รวบรวมความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อย่าปล่อยให้มันไปคิดเรื่องอื่น ถ้าคิดเรื่องอื่นมันจะไม่เป็นสมาธิ ถึงเวลาโยมกำหนดความรู้สึกทั้งหมดให้มันอยู่แค่ลมหายใจเข้า- ออก เวลาหายใจเข้าก็ผ่านจมูกลงไปกลางอกลงไปที่ท้อง ออกจากท้องมากลางอกมาที่จมูก นึกเข้านึกออกอยู่เท่านี้ ถ้ามันนึกเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ดึงมันกลับมา นึกเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ดึงมันกลับมา แรก ๆ มันจะทำไม่ได้เพราะว่ามันไม่เคยชิน แต่พอทำไปนาน ๆ แล้วมันจะได้ ของเราพอไม่ได้ทีแล้วเราก็เลิก มันต้องพยายามหน่อย มันยากทีแรกพอได้ซะแล้วมันจะง่าย
       ถาม :   ทำตั้งนานแล้วมันยังไม่เห็นนั่งได้เลย
       ตอบ :   ก็โยมทำไม่ถูกมันก็ไม่ได้ซิ    ทำใหม่จ้า   ทำใหม่
       ถาม :   แล้วหลวงพี่สอบหรือยังครับ  (สอบนักธรรม)  ?   
       ตอบ :  สอบได้ตั้งแต่ ๓ พรรษาแรกแล้ว ๓ พรรษาล่อไป ๔ ประกาศนียบัตรเพราะว่าเขามีสอบนวกะครั้งหนึ่ง แล้วหลวงพ่อถามว่าจะเรียนเปรียญต่อมั้ย ? ถ้าหากว่าเรียนบาลีเป็นเปรียญต่อจะส่งมาเรียนกรุงเทพ บอกไม่เอาเพราะว่าถ้าเราห่างหลวงพ่อนี่เดี๋ยวมันไหลไปตามกระแสเขาคือพวกที่ มาเรียนมหาเปรียญนี่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะไปต่อสู้แย่งชิงพวกลาภ ยศ สรรเสริญ สุขกัน เดี๋ยวเราก็จะไปแย่งกับเขาบ้าง
                 นึกถึงหลวงพี่ชุบ หลวงพี่ชุบเป็นเจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี   วัดราชบูรณะ   วัดเลียบน่ะ เปรียญ ๙ รุ่นพี่ชุบนี่ พี่ชุบเขาเป็นก่อนเพื่อนเลย จนป่านนี้รุ่นพี่กับรุ่นน้องก็ยังไม่ได้เป็นแต่พี่ชุบเป็นแล้ว ถามว่าทำไมพี่ติดนายพลก่อนเขาล่ะ แกตอบตามสไตล์ลูกศิษย์หลวงพ่อขนานแท้เลย แกตอบว่าไงรู้มั้ย ? แกบอกมันเสือกวิ่งเต้นกันกู มันกลัวกูจะเป็น กูก็เลยทำให้มันรู้ว่าคนอย่างกูถ้าจะเป็นแล้วต้องได้
              นั่นล่ะกลัวว่าจะไปเป็นอย่างนั้นน่ะ คืออันนั้นพี่เขา ๆ ก็รู้อยู่แต่ว่านิสัยลูกศิษย์หลวงพ่อมันไม่ยอมแพ้ใคร มันจะไปฟัดกับเขา เรารู้นิสัยตัวเองดีก็เลยบอกหลวงพ่อไม่เอาล่ะครับ แค่นี้ก็พอแล้ว คือว่าถ้าจะเรียนบาลีอย่างน้อยก็ต้องเรียนให้ได้นักธรรมตรี นักธรรมตรีนี่เขาให้สิทธิเรียนเปรียญ ๑, ๒, ๓ ถ้านักธรรมโทนี่ให้เรียน ๔, ๕, ๖ ได้แล้วนักธรรมเอกนี่ให้เรียนถึง ๗, ๘, ๙ เราก็เก็บสิทธิไว้เรียนเฉย ๆ ไม่เรียนหรอก กลัวจะต้องไปแย่งชิงกับเขาไม่เอาด้วยมันรู้นิสัยตัวเอง ไม่ค่อยยอมแพ้ใคร
       ถาม :   เรื่องที่เป่ายันต์เกราะเพชรที่บางวัดเขาจะเป่ายันต์เกราะเพชรให้  ?
       ตอบ :   เขาว่าเขาเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ปาน  แต่ถ้าจะไม่เป่าวันเสาร์   ๕    นี่มันเก่งเกินไป ตามสายหลวงพ่อนี่ต้องเป่าเฉพาะวันเสาร์ ๕ เท่านั้น หลวงปู่ปานท่านก็สั่งนักสั่งหนา พระท่านก็สั่งนักหนาว่า ต้องวันนี้เท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้มีหลายสำนักที่ประกาศตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปานบ้าง เป็นลูกศิษย์สายวัดท่าซุงบ้าง บางวัดสามารถเป่ายันต์ได้ทุกเวลาที่เราไปร้องขอ ตั้งขันครูมา ๒๙๙ บาททำให้เดี๋ยวนั้นเลย เก่งขนาดนั้น อาตมาทำไม่ได้ บางวัดก็เป่าทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์มันเกินไป ตำราครูบาอาจารย์ว่าอย่างไรต้องยึดถือตามนั้น คนนอกครูนอกอาจารย์มันเจริญยาก เอาบ้างมั้ย ? ไปเมื่อไหร่เป่าได้เมื่อนั้น ความจริงเขาเก่ง เราต้องรอ บางทีปีทั้งปีไม่มีเสาร์ ๕ ก็ต้องรอปีต่อไปนะ ของเราสู้เขาไม่ได้ของเขาเก่งกว่า
       ถาม :   ............................
       ตอบ :   คือว่าการบำเพ็ญบารมีของแต่ละคนมันแยกออกเป็น   ๒   สาย    สายหนึ่งเรียกว่าสาวกภูมิ คือทำเพื่อที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง     ส่วนอีกสายหนึ่งเขาเรียกว่าพุทธภูมิ   สายพุทธภูมินี่คือปฏิบัติตัวเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ในระหว่างที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เขาเรียกคนผู้นั้นว่า ?พระโพธิสัตว์?    คือสัตว์ผู้แสวงหาความรู้หรือว่าสัตว์ผู้รู้ คือพระโพธิสัตว์    การบำเพ็ญบารมีในด้านพุทธภูมินั้นเขาแบ่งออกเป็นว่า   มีพุทธภูมิขั้น  ปัญญาธิกะ    ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย    ๔   อสงไขยกับแสนมหากัป  ขั้น  ศรัทธาธิกะ    ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย   ๘    อสงไขยกับแสนมหากัป  ขั้นวิริยาธิกะต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย   ๑๖    อสงไขยกับแสนมหากัป      ถึงจะบรรลุมรรคผลได้
                การที่บำเพ็ญบารมีต่างกันแต่เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกันนั้น    จุดใหญ่สำคัญอยู่ตรงบริวารของท่าน ปัญญาธิกะบริวารของท่านมีรวย มีจน มีสวย มีอัปลักษณ์ สับสนปนเปกันไปหมด ส่วนศรัทธาธิกะ บริวารของท่าน ดี สวย รวย เสมอกันหมด ในช่วงที่ท่านประกาศศาสนานั้น เขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วจะเข้าไปในเขตนั้นไม่ได้ ส่วนพุทธภูมิวิริยาธิกะนั้นนอกจากบริวาร ดี สวย รวย เสมอกันหมดแล้ว ช่วงที่ท่านเกิดขึ้นมาเพื่อประกาศศาสนาคนชั่วจะเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่ท่านต้องบำเพ็ญบารมีต่างกันมากมหาศาลขนาดนั้น ส่วนใหญ่ทำเพื่อสงเคราะห์บริวารตัวเอง ถ้าอย่างสมัยของเราพระพุทธเจ้าคือ    นี้ท่านเป็นพุทธภูมิปัญญาธิกะ เพราะฉะนั้นพวกเราก็มีดี มีเลว มีรวย มีจน มีอัปลักษณ์ มีสวยงาม ปนเปกันไปหมด โน่น....รอสมัยหน้า สมัยพระศรีอาริยเมตตรัย ท่านเป็นพุทธภูมิวิริยาธิกะ    เพราะฉะนั้นทุกคนดี   สวย  รวย   เสมอกันยังไม่พอโลกยุคนั้นคนชั่วห้ามเกิด   
       ถาม :   พระปัจเจกพุทธเจ้า....(ไม่ชัด).....?
       ตอบ :   พระปัจเจกพุทธเจ้า    พระพุทธเจ้า  แล้วก็อนุพุทธเจ้า จะมีอยู่   ๓   อย่างด้วยกัน พระพุทธเจ้า ก็คือว่าผู้ที่ตรัสรู้แล้วต้องสั่งสอนสัตว์โลกเพื่อขนถ่ายให้ข้ามวัฏสงสาร    คือให้เข้านิพพาน     พ้นการเวียนตาย   เวียนเกิด  พระปัจเจกพุทธเจ้า    ท่านต้องการจะรู้ให้ครบแต่ว่าไม่อยากจะสอนใคร     ดังนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนมหากัป เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธโพธิฌานแล้วท่านขาดสัพพัญญุตญาณอย่างเดียว เพราะฉะนั้นมีความรู้เหมือนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง แล้วก็จะไม่สอนทาน ศีล ภาวนาขั้นปรมัตถ์ จะสอนแค่ขั้นต้น ขั้นกลางเท่านั้น ยกเว้นว่าผู้ใดมีวิสัยจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็จะสอนให้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยกัน
              โลกในยุคที่ว่างจากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จนกระทั่งอีกองค์หนึ่งจะตรัส คือสิ้นอายุศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นี้จนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะตรัสรู้ โลกช่วงนั้นจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก บางทีก็ได้พบท่านทีเป็นแสน ๆ องค์เลยก็มี ส่วน อนุพระพุทธเจ้านั้น    ก็คือบรรดาพระอรหันต์สาวก    ?อนุ?      ก็คือเล็ก     ก็คือน้อย    คือผู้รู้ที่เป็นผู้น้อยกว่า    หมายถึงพระอรหันต์ทั่ว   ๆ    ไป พระอรหันต์ทั่ว  ๆ   ไปที่บำเพ็ญบารมี   ๑   อสงไขยกับแสนมหากัป    ก็จะสามารถเข้าถึงพระนิพพานได้แล้ว   
       ถาม :   แล้วในช่วงที่ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ....(ไม่ชัด)......เราจะทราบได้ไงคะว่าคนนั้นปรารถนาแบบปัญญา    ศรัทธา     หรือวิริยา  ?
       ตอบ :   คือตัวคนทำเองเมื่อถึงเวลาแล้วจะรู้เองว่าตัวเองต้องการแบบไหน    หรือไม่ก็ไปหาผู้ที่ท่านได้ทิพย์จักขุญาณ  แต่ว่าผู้ที่ได้ทิพจักขุญาณท่านก็จะไม่พยากรณ์โดยตรง เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ ท่านได้มาท่านก็จะถามพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง ต้องเอาท่านที่รู้จริงมั่นใจว่าท่านมีความสามารถจริง ท่านก็ทูลถามพระพุทธเจ้าให้