-->

ผู้เขียน หัวข้อ: โทษของการเป็นคนขี้เหล้าเมายา (ศีลข้อ 5)  (อ่าน 1386 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sonor

  • บุคคลทั่วไป

๑)    ทุกข์ทางใจ

จิต ที่เป็นปกติสุขไม่อาจคิดบั่นทอนสติของตนเองด้วยสิ่งใด ๆ การจะดื่มเหล้าหรือเสพยาที่มีผลข้างเคียงร้ายแรงได้ต้องใช้จิตที่เป็นทุกข์ เท่านั้น เพราะคนเราจะรู้สึกดีที่สุดได้ก็ต่อเมื่อมีสติเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ แม้แต่การจิบเหล้าเพียงน้อย กลิ่นและรสของมันก็อาจมีมนต์ย้อมใจให้นึกครึ้ม คิดอ่านพูดจาแปลกประหลาดไปกว่าตัวตนเดิม ๆ ได้แล้ว

การ ถูกรบกวนโดยคน ไร้สติสัมปชัญญะเป็นความทุกข์ของผู้ถูกรบกวน ถ้าเราเป็นคนรบกวนเขาอย่างไร้สติสัมปชัญญะ ใจเราจะเป็นสุขไปได้อย่างไร การสังเกตเข้ามาในตนเองจะทำให้เห็นทุกข์เป็นขณะ ๆ อย่างชัดเจน

ทุกข์ เริ่มต้นตั้งแต่เมื่ออยากดื่มเหล้าหรือเสพยา สังเกตเข้ามาในตนเอง จะรู้สึกถึงความผิดปกติที่ไม่อาจเป็นที่พึ่งให้ตนเอง เหมือนใจโหยหาบางสิ่งที่ขาดหาย ทั้งที่เดิมทีกายใจก็เบาอยู่ แต่กลับกระเสือกกระสนหาทางทำให้มันหนักอึ้งเสียอย่างนั้น

ทุกข์ จะทวี ตัวขึ้นเมื่อตัดสินใจดื่มเหล้าหรือเสพยา สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นอาการทุรนทุรายแบบต้องเอาให้ได้ เมื่อไม่ได้ก็จะเป็นจะตายเอา

 ทุกข์ จะทวีตัวขึ้นอีกเมื่อพยายามดื่มเหล้าหรือเสพยา สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นคล้ายเรากำลังกรอกยาลดความสามารถคิดอ่าน ลดสมรรถภาพในการเผชิญปัญหา หรือทำร้ายสุขภาพของตัวเองอยู่ดี ๆ นี่เอง

ทุกข์ จะทวีตัวขึ้นถึงขีด สุดเมื่อดื่มเหล้าหรือเสพยาแบบไม่บันยะบันยัง สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นคล้ายเรากำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้ายเลื่อนเปื้อนวกวน และในฝันร้ายก็อาจถูกหลอกว่ากำลังเป็นสุข ทั้งที่ท้องไส้ปั่นป่วน ร่างกายวิปริตผิดปกติไปทั้งระบบอยู่ชัด ๆ แค่ทรงตัวให้อยู่นิ่งก็ยากเหลือเกินแล้ว

ทุกข์ จะไม่จบโดยง่ายแม้ เมื่อสร่างเมาแล้ว สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นความรู้สึกมึนงง ซึมเซา บางครั้งก็ปวดหัวตัวร้อน แต่พอร่างกายกลับเป็นปกติก็อยากสร้างเหตุของความผิดปกติทางกายขึ้นอีก จึงมีแนวโน้มจะดื่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งติดเหล้าอย่างที่เรียกว่าเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ก่อให้เกิดอาการทางกายต่าง ๆ เช่น เสียงแห้ง มือสั่น ความจำเสื่อม ฟุ้งซ่านจัด ฉุนเฉียวง่าย ขี้ระแวงอย่างไร้เหตุผล ใช้ความรุนแรงโดยขาดสติ ที่สุดก็เป็นโรคตับแข็ง มีสิทธิ์ตายทรมาน กล่าวโดยสรุปคือเป็นทุกข์ได้ทั้งกับตนเองและสังคมรอบข้างครบวงจร

ใน ทางปฏิบัติแล้ว ขี้เมาส่วนใหญ่มีชีวิตที่เคร่งเครียดเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะอยากสนุกสนาน แต่อยากลืมความจริง อยากหนีจากโลกความจริงไปอยู่ในโลกของความฝันมากกว่า ซึ่งเหล้ายาก็ปรากฏตัวเป็นทางลัดที่หาง่ายกว่าอย่างอื่น และเมื่อเดินอยู่บนทางลัดนั้นแล้ว ก็ยากมากที่จะเห็นว่าตัวเองกำลังเดินลาดลงต่ำไปทุกที

๒) การสั่งสมบาป

เมื่อ ทราบแล้วว่าความมืดเป็นเครื่องหมายของบาป เราก็สามารถสำรวจใจตนเองแล้วทราบได้ว่าการดื่มเหล้าและเมายาเป็นบาป เพราะไม่มีการเมาครั้งใดที่ทำให้จิตของเราสว่างขึ้น มีแต่จะหม่นหมองลง กับทั้งไม่มีแก่ใจคิดอะไรในทางดี ในทางที่เจริญเอาเลย

แรง ผลักดันให้ เมาเหล้ายาได้คือโลภะ โลภะต้องชนะความอยากมีสติ จึงขับให้เราดื่มหรือเสพจนขาดสติได้ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดโลภะก็มิใช่อะไรอื่น เราเห็นกันจนเจนตาว่าในงานรื่นเริงต้องมีเหล้ายาประกอบ ดื่มหรือเสพแล้วลืมทุกข์ หัวเราะง่าย เคลิ้มสำราญเหมือนฝันยวนใจ หลายครั้งอาจถูกพวกมากลากไป ถ้าไม่ยอมร่วมดื่ม ไม่ยอมร่วมเสพ ก็ไม่นับเป็นก๊วนเดียวกัน ทำงานหรือคบหากันไม่ได้สนิทสนม เป็นต้น

ที่ น่ากลัวก็คือบาปสามารถสั่งสมตัวได้ นั่นหมายความว่ายิ่งดื่มเหล้ามากขึ้นเท่าไร สติก็ยิ่งพร่าเลือนมากขึ้นเท่านั้น มองไปทางไหนเหมือนไม่ใช่ความจริง กลายเป็นความฝันฉากหนึ่งไปหมด ตราบใดไม่เมา ตราบนั้นไม่มีฉากฝันที่ชอบ

ถ้า คิดว่ารู้จักตัวเองดี ก็อย่าเพิ่งนึกว่ารู้จักความเมาของเราด้วย เพราะความเมาจะย้อมใจเราเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งเหมือนเป็นคนละคน อาจพูด อาจทำอะไรเหลือเชื่อว่าจะพูดหรือทำได้

แม้อ้า ปากดื่มเหล้าด้วยความ คิดอยากลอง ปากของเราก็ได้ชื่อว่าเป็นประตูพาผีเข้ามาสิงแล้ว ยิ่งเข้ามาบ่อย ยิ่งเข้ามามากเท่าไร เราก็เสียความเป็นเราให้กับผีสุรามากขึ้นเท่านั้น

ความ คิดในทางพึ่ง พาเหล้ายาจะลดความฉลาดในการพึ่งพาตัวเองลง ทั้งที่ฝึกสติเพื่อเป็นที่เกาะที่พึ่งของตนเองก็ได้ ฝึกสติเพื่อเป็นความบันเทิงให้ตนเองก็ได้ แต่เพราะไม่รู้วิธีฝึก คนส่วนใหญ่จึงเลือกหาที่พึ่ง หาเครื่องทำความบันเทิงให้กับตัวเองกันแบบง่าย ๆ

ฉะนั้น เพียงไม่ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะเว้นขาดจากการดื่มเหล้า ก็นับว่ามีโทษแล้ว เพราะเมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดโลภะอย่างแรงกล้า ความอยากมีสติก็ลดระดับแทบไม่เหลือ ยังผลให้สติพร่าเลือนลง เปิดช่องให้โลภะเข้าครอบงำจนโง่เขลา หลงนึกว่าบาปแห่งการร่ำสุรายาเมาเป็นสิ่งสมควรทำยิ่งกว่าบุญแห่งการเพียรฝึก สติให้เจริญขึ้น

๓) ความเป็นอยู่ที่เลวร้าย

ไม่ มี ความฟุ้งซ่านรำคาญใจอันใดย่ำแย่ไปกว่าความฟุ้งซ่านรำคาญใจอันเกิดจากการเป็น คนขี้เหล้า เพราะบาปข้ออื่นยังทำลงด้วยมิจฉาสติกันได้ เช่น เราอาจใช้ศิลปะและไหวพริบเชิงดาบชั้นสูงในการฆ่าฟันคู่ต่อสู้ เราอาจปล้นธนาคารด้วยความรู้ความสามารถเกินธรรมดา เราอาจใช้อำนาจเสน่ห์สะกดให้คนมีเจ้าของมาพลีกายให้ เราอาจลวงโลกด้วยแผนการอันแยบยล แต่ถ้าต้องเมามายเพราะเหล้า เราจะไม่มีทางคงสติและความสามารถแบบเดิม ๆ ไว้ได้เลย คำว่าเมาจะไม่อยู่คู่กับคำว่าสติอย่างเด็ดขาด

เมื่อ บาปจากการเมา เหล้าถูกสั่งสมมากแล้ว คนเมาเหล้าย่อมเลื่อนฐานะเป็นคนขี้เมา ดูเผิน ๆ เหมือนยังไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่แท้จริงแล้วความเมาก็คือการขาดสติ การขาดสติก็คือต้นเหตุของบาปอันร้ายกาจได้ทุกข้อ เฉพาะในประเทศไทย ร้อยละ ๖๕.๔ ของคนที่เข้าไปอยู่ในคุกนั้น ก็มีน้ำเหล้านี่เองเป็นสายธารพัดพาเข้าไป

การ เมาเหล้ายาแต่ละครั้งไม่ได้บั่นทอนเฉพาะสติในบัดนั้น แต่ยังส่งผลกับสติโดยรวมทั้งชีวิต กล่าวคือเราจะฟุ้งซ่านมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็เป็นผลให้ความสามารถรับรู้ความจริงเฉพาะหน้าลดหย่อนลงเรื่อย ๆ เช่นกัน อาการคิดเองเออเอง ฉุนเฉียวเอง จะค่อย ๆ ทวีตัวขึ้นตามวันเวลาที่สั่งสมพิษแอลกอฮอล์ไว้ในร่าง และกลับคืนดีได้ยากยิ่ง

จิตของคนขี้เหล้าย่อม มีความกระเจิดกระเจิง ประดุจปีศาจที่พร้อมจะวิ่งพล่านไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง ฉะนั้น แม้มีวาสนาได้เกิดเป็นมนุษย์อีก ก็มีแนวโน้มว่าจะคลุ้มคลั่งเป็นบ้าได้ไม่ยาก นี่สะท้อนว่ากรรมแบบคนบ้าย่อมถางทางไปสู่ความเป็นคนบ้าในการเกิดครั้งต่อไป หรือดีไม่ดีก็อาจเห็นทันตาในชาติปัจจุบันที่เป็นคนขี้เหล้านี่เอง

หาก ตายเยี่ยงคนขี้เหล้าเมายาผู้ยังไม่อิ่มไม่พอกับน้ำเมา แต่ยังพอมีบุญพยุงไม่ให้ร่วงหล่นถึงนรก ก็อาจไปเสวยภพของพวกไร้สติในระดับเดรัจฉานภูมิ เช่น ตัวต่อที่ทำร้ายคนและสัตว์อื่นได้โดยไม่ต้องถูกราวีก่อน เป็นต้น

แต่ หากตายเยี่ยงคนขี้เหล้าเมายาที่เผลอสติก่อคดีอาญาไว้มาก ก็จัดว่ามีความเหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ที่ถูกทำร้ายให้ร้องโหยหวนครวญคราง เป็นนิตย์ ดังเช่นนรกภูมิสถานเดียว!
 

อาตี๋

  • บุคคลทั่วไป
Re: โทษของการเป็นคนขี้เหล้าเมายา (ศีลข้อ 5)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2009, 11:32:51 »

กำลังจะเพลาๆบ้างครับ เรื่องดื่มเนี่ย ขอบคุณพี่หมีมากครับ

shoots

  • บุคคลทั่วไป
Re: โทษของการเป็นคนขี้เหล้าเมายา (ศีลข้อ 5)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2009, 10:09:22 »

ดีนะที่ไม่ขี้เหล้า แต่ขี้หลี     uoyoy