-->

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔  (อ่าน 2379 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป

http://grathonbook.net/book/5.1.html

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ.   บ้านอนุสาวรีย์    เดือนมีนาคม   พ.ศ.   ๒๕๔๔  (ต่อ)
        ถาม :   ............(ฟังไม่ชัด).........
      ตอบ:   ตัวนั้นสำคัญที่สุด   การพิจารณาตัวเอง   คือ   กำหนดไว้เลยว่า    ยี่สิบสี่ชั่วโมงเราทำดีกับทำไม่ดี อันไหนมันมากน้อยกว่ากัน พยายามให้ส่วนของความดีมีให้มากกว่า จนกระทั่งสามารถที่จะดำรงอยู่ในความดีได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง      ไม่อย่างนั้นเราจะขาดทุน
      ถาม :   มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
       ตอบ:    ไม่จำเป็น    รักษาศีล   กินเนื้อสัตว์ได้เป็นปกติ    เพียงแต่ว่าเราอย่าไปสั่งให้เขาฆ่า   อย่าลงมือฆ่าเอง ที่เขาขายกันทั่ว ๆ ไป ตามท้องตลาดเราซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็ขายอยู่แล้ว ถ้าพวกนั้นไปถึง ก็ซื้อมาเถอะอย่าไปทุบเอง ฆ่าเองก็แล้วกัน สำหรับพระละเอียดหน่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา     ถ้าไม่เห็นเขาฆ่าเพื่อเรา     ถ้าไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา    อย่างนี้ถึงจะฉันได้ ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เดินเข้าหลังบ้านไปสักพักหนึ่ง ยกแกงออกมาแล้ว อ้าว !เมื่อกี้นี่มันมีเสียงไก่โดนเชือดนี่หว่า นี่รู้ว่าฆ่าเพื่อเราใช่มั้ย ? หรือเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเราต่อหน้าต่อตาเลย แล้วรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อให้เรากินโดยเฉพาะหรือเปล่า ถ้าอย่างนี้ฉันไม่ได้ สำหรับฆราวาสแล้วถ้าหากว่าไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่ได้ลงมือเองไปซื้อตามท้องตลาดที่เขาทำไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เลยก็พระยังฉันได้ ฆราวาสจะไม่ได้ได้ยังไง
      ถาม :   ..........(ฟังไม่ชัด).......เขาบอกว่าศีลยังรักษาได้ไม่ครบ   อย่างศีลข้อหนึ่ง    ก็คือเราไปเบียดเบียนสัตว์
      ตอบ:    บอกเขาไปว่าศีลข้อหนึ่ง   ห้ามฆ่าสัตว์นะ   เรื่องของศีลนั้นตรงไปตรงมา    คำว่าเบียดเบียนสัตว์เพิ่มขึ้นกลายเป็นกรรมบทสิบ   กรรมบทสิบนี่เขาถือการเบียดเบียนด้วย    มันจะละเอียดขึ้น    แต่ว่าขณะเดียวกันว่า     การกินมังสะวิรัต      ถือว่าดีมาก     เพราะว่าเป็นการงดเว้นโดยสิ้นเชิง    มีจิตประกอบไปด้วยเมตตาต่อสัตว์โลกเป็นปกติ    แต่นั้นหมายความว่า ต้องทำเพื่อละจริง  ๆ ถ้าทำแล้วไปอวดหรือไปคิดว่าตัวเองดีกว่าเขา ตัวเองปฎิบัติเคร่งครัดกว่าคนอื่นเขา อย่างนั้นนี่...รู้สึกว่ากินเนื้อสัตว์กิเลสจะน้อยกว่าเยอะ สำคัญตรงที่ว่าเราไปยึดถือการปฎิบัติของเรากว่าดีหรือเปล่า เคร่งกว่าหรือเปล่า ถ้าทำอย่างนั้นถึงงดกินเนื้อสัตว์ไปก็เท่านั้นแหละ
       ถาม :   เป็นการอวดกิเลส  ?
       ตอบ:    เป็นการอวดความดีของตัวเอง
       ถาม :  .........(ฟังไม่ชัด)......เราก็ไม่อยากให้ใครมองไม่อยากให้ใครมารู้ว่า    คือ    อยากให้เรารู้เองของเรา
       ตอบ:    อยู่กับโลกตามปกติ..แต่ว่าเราไปแค่กรอบของศีล คลุกคลีตีโมงกับเขาได้ จะไปเที่ยวไปเตร่ไปเฮไปฮาเราไปได้แต่ถ้าหากว่าเขาพาเราไปฆ่าสัตว์ เราไม่เอา พาเราไปกินเหล้า เราไม่เอา เราจะมีกรอบของเราอยู่ ไปมันแค่นั้น มันไม่ได้ปฎิเสธโลก    เราอยู่กับโลกอย่างมีสติเสียด้วยซ้ำไป     เพราะเราระวังอยู่เสมอว่าศีลจะขาดหรือเปล่า
        ถาม :    ไม่ได้ห้ามฟังเพลง  ?
       ตอบ:    ไม่ได้ห้ามเลยจ้ะ    ศีลห้าข้อไม่ได้ห้าม   ว่าได้เต็มที่
      ถาม :    มันอยู่ที่จิตของเราใช่มั้ย    ถ้าเรารู้อยู่    ว่าเราทำอะไรอยู่    เราอยู่ตรงไหน   ?
       ตอบ:    รู้อยู่    พอขยับ    ก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดมั้ย  !
      ถาม :   เราทำตัวปกติธรรมดา    เหมือนคนธรรมดา   แต่ใครจะไปรู้ว่าเราทำอะไรอยู่
       ตอบ:    ใช่   ตัวนั้นแหละ    เพราะว่าการทำนี่   มีหลายคนที่ทำลักษณะอวดคนอื่นเขาลักษณะอย่างนั้นมันจะกลายเป็นอุปกิเลส อุปกิเลสก็คือว่า เเทนที่จะทำโดยเจตนาบริสุทธิ์ในการลด ละ เลิก ซึ่งความไม่ดีในใจของเรา ก็กลายเป็นทำเพื่อให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราดี
       ถาม :  ชอบเพราะเขาสรรเสริญว่าเราดี
       ตอบ:   ก็ยิ่งกลายเป็นอะไร...เขาเรียก   สีลัพพัตตุปาทาน       คือ   การยึดมั่นในศีลพรต     คือแนวปฎิบัติของตนเองว่าดี   แทนที่   จะลด   จะละ    จะเลิก    ก็กลายเป็นเกาะเพิ่มขึ้นอีก
       ถาม :   แล้วคนที่ละวางได้.......(ฟังไม่ชัด).......
      ตอบ:    ไม่ใช่    คนที่ละวางมากเท่าไรยิ่งขยันมากกว่าปกติ   เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าเวลามีแค่นี้เท่านั้นหรือว่ามีแค่วันนี้เท่านั้น คนที่มีเวลาแค่วันนี้เท่านั้น ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด จะขยันกว่าคนอื่นเยอะเลย หน้าที่การงานอะไรในปกติธรรมดาของตน ทำหน้าที่นั้นจนเต็มที่ เพื่อว่าถึงเวลาแล้วจากไปอย่างสง่างามที่สุด ไม่มีใครนินทาว่าร้ายตามหลังไปได้ ขยันกว่าปกติ ไม่ได้ขี้เกียจ ถ้าปล่อยวาง   แล้วขี้เกียจ   นั้นไม่ใช่แน่   เลยจ้ะ
      ถาม :   อย่างเวลาเขาแข่งกัน   เราก็มามองว่า  ทำไมเราต้องแข่งกัน  ?
        ตอบ:   อย่างนั้นมันเป็นเรื่องปกติของเขา เราเองมันไม่อยากในตรงนั้นใช่มัย ? แต่ว่าหน้าที่รับผิดชอบของเรา เราต้องทำให้ดี ทำเต็มความรับผิดชอบของเรา ทำเหมือนกับมีวันนี้วันเดียว ผลงานทุกอย่างต้องให้มันลงตัว คนอื่นเขามาสานต่อจะได้ไม่ต้องลำบาก
        ถาม :   มานั่งคิดดู.......(ฟังไม่ชัด)........
       ตอบ:   ไม่ใช่ จริง ๆ แล้วก็คือว่า หน้าที่ของเรามีอย่างไรทำอย่างนั้นและทำให้ดีที่สุด มันยิ่งกว่าแข่งนะ เพราะถ้าเราทำเต็มกำลังของเราถึงไม่ต้องแข่ง ประเภทที่เรียกว่าเราทำดีอยู่แล้ว คราวนี้คนที่ทำดีสม่ำเสมอกับคนที่ดีในบางเวลานี่    เขาสู้เราไม่ได้ จะดีไปกว่าเขาเสียด้วยซ้ำไปถ้าหากว่าเป็นเจ้านายพิจารณาผลงาน เออ! คนนี้เขาเสมอต้นเสมอปลายดี ผลงานต่าง ๆ จะเป็นของเรา ดีไม่ดีจะเจริญกว่าคนอื่นเขาเยอะ
       ถาม :  .........(ถามเกี่ยวกับเรื่อง ?ช่างเขาเถอะ?).........
       ตอบ:    ช่างเขาเถอะ    นั้นเป็นเรื่องของอารมณ์ใจ    เราจะไม่เก็บมาคิด    ให้มันเสียเวลา   เพราะถ้าเราเก็บเข้ามาเมื่อไร   ก็คือการเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในใจ เราก็ปล่อย     ช่างเขาเถอะ    เขาเองเขาคิดว่าดี   เขาถึงทำ   ส่วนเราของเรา    เรารู้ว่าตรงนี้ดีเราก็ทำให้เต็มที่ของเราไป   
      ถาม :    มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
       ตอบ:   แต่เราอยากรู้  เราไม่รู้ว่าการที่เขาทำ   เขาจะคิด.......(ฟังไม่ชัด).......
      ตอบ:     ตัวนั้นไม่เกี่ยวกันเลย   ไม่คิดนั่นมันยาก    เพราะส่วนใหญ่เขาจะคิดกันทั้งนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบว่าตัวทุกข์เพราะความคิดตัวเอง จะรู้สึกมันมากกับการคิด เหมือนกับคนกินของเผ็ด รู้อยู่ว่ามันเผ็ดแต่มันอร่อย หารู้ไม่ว่ามันทำให้ลำบากปวดท้องปวดไส้ทีหลัง ตั้งหน้าตั้งตากินแล้วมาบ่นทีหลังว่าเผ็ดจังเลย
      ถาม :  เคยมานั่งคิดเหมือนกันนะ อย่างที่บอกเรื่องการเบียดเบียนเมื่อกี้ แต่มาพิจารณาแล้วว่าในขณะเดียวที่เราทำตรงนั้น ถ้าเราไม่เต็มร้อยคือจิตใจเรานี่มันยังอยากกินอยู่เป็นปกจติอยู่ มันก็เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง
      ตอบ:   มันกลายเป็นทุกข์มากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
        ถาม :   มากกว่าเดิม   ต้องลำบากอีกแล้วทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนอีก
       ตอบ:   แล้วที่แน่ ๆ ก็คือว่า มีอยู่จำพวกหนึ่ง ที่เอาอาหารปรุงแต่งด้วยโปรตีนเกษตรน่ะ ทำขึ้นมาเป็นขาหมู เป็นไส้หมู เป็นพะโล้ เป็นอะไรทุกอย่าง ตัวนั้นนี่มันปรุงแต่งมากกว่าเราเยอะเลย เพราะฉะนั้นดูให้ดี ถ้าขืนทำลักษณะนั้น แทนที่จะลดกิเลส    กลายเป็นเพิ่มเสียด้วยซ้ำไป     หลอกตัวเองสองชั้น    เขาเรียกว่าโง่สองชั้น    หลอกตัวเองไม่พอหลอกชาวบ้านด้วย
       ถาม :    ..............(ฟังไม่ชัด)..........
        ตอบ:   พระพุทธเจ้าท่านสอนที่เรียกว่า   สายกลาง   คือไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง   ไม่เบียดเบียนทั้งผู้อื่น     ท่านบอกว่าได้ก็คือได้   คราวนี้ได้ในสภาพของท่าน   ก็คือ   อย่าฆ่าเอง.....  อย่างสั่งเขาฆ่าอย่างนี้   เราก็ทำตามนั้น
        ถาม :  ..............(ฟังไม่ชัด)..........
       ตอบ:     ต้องหลวงปู่แหวน คนไปคุยหลวงปู่แหวนบอกว่า เขาเป็นมังสะวิรัต เขาคุยลักษณะที่ว่าดีกว่าคนอื่นเขา หลวงปู่แหวนก็เปรย ๆ ขึ้นมา ท่านบอกว่าเห็นวัวเห็นควายมันกินหญ้าทั้งชีวิต ไม่เห็นว่าเป็นพระอรหันต์ซะที ( หัวเราะ) นั้นท่านพูดเปรย ๆ นะท่านไม่ได้ว่าใครคือเวลาคนคุยใส่ท่านมาก ๆ ท่านก็คงเซ็งในอารมณ์ โดยเฉพาะที พระเทวทัต     ขอพระพุทธเจ้าว่าขอให้พระภิกษุในธรรมวินัยนี้ฉันมังสะวิรัตทุกองค์   พระพุทธเจ้าบอกว่า    ผู้ใดต้องการเป็นมังสะวิรัต     ก็ให้ฉันมังสะวิรัต   ผู้ใดต้องการฉันอาหารปกติ ก็ให้ฉันปกติ เพื่อจะได้ไม่ลำบากแก่ญาติโยมที่เขาให้อาหารไม่อย่างนั้น สมมุติว่าพระสององค์ไปบ้านเดียวกัน ก็แย่ละสิ ต้องอาหารปกติชุดหนึ่งอาหารมังสะวิรัตชุดหนึ่ง ลำบากเขาเยอะ เวลาไป วัดหนองบัวก็จะมังสะวิรัตตามเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องทำอาหารสองชุดถึงเวลาเขามาเมืองไทยเราเองก็สั่งมังสะวิรัตไปเลย คือไม่ต้องแยกต่างหาก ฉันเป็นเพื่อนเขาไป พอเรากลับมาอยู่ตามสภาพปกติของเรา เราก็ว่าของเราต่อไป
      ถาม :   แล้วถ้าเราต้องการรักษาโรค   หรือว่าเรามีจุดประสงค์ของเรา
      ตอบ:   ถ้าอย่างนั้นก็ทำได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็รู้เลยว่ามันลำบากกว่าเดิม บางทีเรื่องของการปรุงแต่ง ถ้าหากว่าจิตมันสั่งให้ทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นหลอกตัวเองด้วย หลอกคนอื่นด้วย เพิ่มกิเลสให้กับตัวเองซะเปล่า ๆ ทำได้น่ะดี ไม่ใช่ไม่ดี ขนาดหมอเขายังบอกเลยว่า ถ้าหากว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบอย่าเพิ่งกินมังสะวิรัต เพราะว่ากระดูกกล้ามเนื้อมันยังไม่โตเต็มที่เดี๋ยวกระดูกผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
      ถาม :   หลวงพี่ทำงานองค์เดียว    ไม่มีกรรมการวัด  ?
       ตอบ:    คือกรรมการวัดนั้นมันมากเรื่อง   บางทีเขาเข้ามาโดยตำแหน่งแล้วเขาให้มีตำแหน่งเดียว   คือ   ไวยาวัจกร     ไวยาวัจกรนี่จริง  ๆ   มีอยู่ลักษณะของโยมวัด    มีหน้าที่ช่วยเหลือพระ แต่พอตั้งขึ้นเป็นตำแหน่งขึ้นมาแล้วส่วนใหญ่นั้นเข้ามาควบคุมพระโดยเฉพาะควบคุมการเงินทั้งหมด แล้วถ้าหากว่าเงินถึงมือพวกเขาจะจัดการยากมาก บางทีก็หายไปเฉย ๆ โดยหาสาเหตุมิได้ ถ้าหากมีกรรมการวัดมักจะใช้แต่พระด้วยกัน
      ถาม :  เขาบอกว่า พี่จะทำก็ หนูจะฝากเงินไปด้วย เราก็กลัวว่าเขาจะเต็มใจหรือเปล่า แล้วพอดีคนแนะนำเขามาแนะนำให้ทำชุดใหญ่ ๑,๐๐๐ หนึ่งน่ะ (ทำให้ผู้ตาย)
       ตอบ:   ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นหรอกจ๊ะ สังฆทานอย่างไรก็ได้กับข้าวสักถุง ตั้งใจใส่บาตรพระหน้าวัด อยู่หน้าบ้านก็ได้ คือถ้าไม่เกิน ๓ เดือนทำไปยังทัน เวลาของข้างล่างเขาต่างจากเราเยอะ     วันหนึ่งอยู่ประมาณ    ๕๐   ปีมนุษย์    เพราะฉะนั้นภายใน   ๓   เดือนของเรานี่   มันเป๊ปเดียวของเขายังทันอยู่
        ถาม :   ที่ว่า   ๑๐๐   วันใช่มั้ยคะ  ?    แต่นี่เขาถือว่าเขาก็ทำแล้ว
      ตอบ:    เขาก็ทำแล้ว     แต่บางทีบุญที่เขาทำ    กำลังมันไม่สูงพอโดยเฉพาะการทำบุญ   ถ้าเริ่มต้นด้วยบาป    ผีเขาไม่เอา   เช่นว่าต้องไปฆ่าสัตว์   ฆ่าปลา   ฆ่าไก่    ของพวกนี้เขาจะไม่เอา    เพราะเขาจะได้ส่วนของบาปนั้นด้วย   เขาต้องการบุญบริสุทธิ์ที่ทำโดยที่ไม่เบียดบียนใคร    ไม่เริ่มต้นด้วยบาปเหล่านั้น
       ถาม :  แล้วเขาตายนี่   เขาตามมาจริงใช่มั้ยคะ  ?
       ตอบ:    ส่วนใหญ่แล้วคนตาย   ถ้าหากว่าหาที่ไปไม่ได้   เขาเป็นผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย    ความเคยชินก็จะกลับบ้าน   ถ้าหากกลับบ้านแล้วไม่มีใครให้ความสนใจ   บางทีก็ตามคนที่เขารู้จัก (หัวเราะ)
       ถาม :    แหงเลยหละ !
       ตอบ:     อันนี้ไม่กล้ายืนยัน (หัวเราะ)   ความจริงเขาตามเราก็ดีไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว
      ถาม :    ก็ตกใจ   ขี้กลัวผีอยู่แล้วด้วย
       ตอบ:   จำเอาไว้แล้วกัน ถ้ากลางค่ำกลางคืนเสียงอะไรดัง ๆ อย่าทักเพราะบางทีผีเขาเข้าบ้านไม่ได้เขาจะทำให้เราตกใจแล้วส่งเสียงทักขึ้นมา เขาสามารถที่จะเกาะเราเข้ามาตอนนั้นได้ ให้เราระวังไว้ว่าถ้ามีเหตุการณ์อะไรพวกนี้ก็อย่าไปตกใจ อย่าไปทักอะไรง่าย  ๆ  เพราะถ้าเราทัก   เหมือนกับเราเปิดประตูบ้านให้เขาเข้า พระภูมิเจ้าที่เขาไม่สามารถจะกันได้เพราะถือว่าเจ้าของบ้านอนุญาตแล้ว ระวัง ๆ ไว้ ครั้งหน้ามีสุ้มมีเสียงอะไรขึ้นมาออกไปดูให้มันชัดเจนไปเลย อย่าไปทักไปถามว่าใคร มาจากไหน อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวแย่
       ถาม :   ทำไมมันมีอะไรแปลก  ๆ
       ตอบ:      ความจริงมันไม่แปลก    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้    มีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าเราจะสัมผัส หรือว่ารู้เห็นไม่ได้ เป็นเพราะว่าสภาพจิตของเราบางทีมันก็มัวไปเยอะ ถ้าหากว่าคนที่สามารถขัดเกลาจิตของเขาให้ใสให้สะอาดได้ ก็สามารถรู้เห็นได้เป็นปกติ
       ถาม :   อย่างนั้นก็แล้วไป   เขาก็รู้ว่า  อะไรเป็นอะไรใช่มั้ยคะ   ?
      ตอบ:     อันนี้ของเราประเภทรู้ว่าบ้าง   ไม่รู้บ้าง   ก็ลำบากนิดนึงเดี๋ยวเพื่อความแน่ใจคืนนี้ลองใหม่อีกครั้ง  (หัวเราะ)
      ถาม :  ไม่เอาาาาาว์.......... 
       ตอบ:    เขาก็คงจะหวังจากลูกหลานยาก   ก็เลยมาพึ่งเรา    คือ  ถ้าหากว่าเป็นสังฆทานนี่ถวายที่ไหนก็ได้   พระจะปฎิบัติดี   หรือปฎิบัติไม่ดีก็ตาม   ถ้าเป็นสังฆทานอานิสงส์จะเท่ากันหมด   ตัวบุญจะเท่ากันหมด   แต่มันสำคัญตรงที่พระที่รับไป   ถ้าทำไม่ดีนี่ขาดทุนเยอะเลย  คนรับน่ะขาดทุน   ของเราทำนี่เราไม่เป็นไร    สังฆทานจะเป็นทานของหมู่สงฆ์ทั่วไปไม่จำเพาะเจาะจงว่าคนใดคนหนึ่ง    ถ้าเอาไปกินไปใช้คนเดียวนี่   พระองค์นั้นนี่โทษเยอะเลย
       ถาม :    ถ้าอย่างนั้นภายใน    ๗   วัน   เขาก็ได้แล้ว    แล้วเขามาหาเราทำไม ?
       ตอบ:   บอกแล้วว่า บุญบางอย่างถ้าเริ่มต้นด้วยบาป เขาไม่เอาเราก็ไม่มั่นใจว่าในงานนั้น เขาได้ฆ่าปลา ฆ่าไก่อะไรหรือเปล่า ถ้ามีโอกาสก็ทำให้เขาหรือไม่ก็บอกเขาไปหาลูกหลานเหอะ
      ถาม :    ...........(เสียงไม่ชัด)..........
       ตอบ:    ไม่มีอะไรหรอก   ทำใจสบาย  ๆ    สวดมนต์ไหว้พระ    แขวนพระเอาไว้    ขอบารมีท่านสงเคราะห์
       ถาม :   ต้องอาราธนาบ่อยเลย  ทุกวัน
      ตอบ:   ดีแล้ว ถ้าเราเกาะพระเป็นปกติ อันตรายอื่นจะทำได้ยากมาก อาราธนาพระไว้ทุกวัน แขวนติดตัวไปทุกวัน นึกถึงท่านให้ช่วยด้วยถ้าหากเราไม่นึกถึงไม่ขอ บางทีท่านก็ไม่รู้จะช่วยยังไง อธิษฐานขอท่านช่วยคุ้มครอง ช่วยรักษาเราด้วย
         ถาม :      แล้วที่ฝันว่าไอ้สิงโตมางับนี่ก็ไม่เป็นไร  ?
         ตอบ:     ในฝันนี่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถ้าหากว่าฝันว่าโดนสัตว์ร้ายขบกัดเขาบอกว่าให้ระวังจะมีศัตรู ศัตรูก็น่าจะเป็นคนด้วยกัน ผีเขาคงไม่มาทำตัวเป็นศัตรูของเราหรอก

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2008, 13:39:58 »

http://grathonbook.net/book/5.2.html

ถาม :  .........(เสียงไม่ชัด  ถามเรื่องการสอบ)..............
      ตอบ:     การสอบ   ถ้าหากว่าเราใช้คาถาสหัสสเนตโตเป็น มันเหมือนกับการลอกข้อสอบดี ๆ นี่เอง แล้วมันเป็นการลอกโดยถูกกฏหมายซะด้วย เพราะเขาจับไม่ได้ ไปดูเอาอยู่ในหนังสือสมบัติพ่อให้ แล้วใช้ตามนั้น อันนี้อาตมายืนยัน นั่งยันนอนยัน เพราะใช้มาด้วยตัวเองวิชาของพระที่เรียนมันไม่มีให้เลือก มันมีแต่จงอธิบาย ๆ สามหน้ากระดาษ ห้าหน้ากระดาษปรากฏว่าเราเรียนไม่ทัน เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วมันออกตรงนั้นพอดี พอมันเกิดความรู้สึกขึ้นตามที่ท่านว่า ก็ว่าของเราไปเรื่อย พอจบแล้วจำคำตอบไปดูมันตรงทุกตัวอักษรเลย ถ้าเขาจับว่าลอกข้อสอบ มันเถียงเขาไม่ได้มันเหมือนทุกคำ ถ้าคุณไม่ได้ลอก คุณเขียนยังไงให้มันเหมือนได้ เขาคงไม่เชื่อแน่ใช่มั้ย ?
              เพราะฉะนั้นไปใช้วิธีนั้น ไม่ยากเลย เรียนอะไรก็ได้ มีคนถามหลวงพ่อท่านว่าในเมื่อมันไม่ใช่ความรู้ของเขาจริง ๆ แล้วเด็กจะไม่โง่หรือ ? หลวงพ่อบอกข้อสอบบอกอะไร เด็กมันก็ตอบได้มันโง่มั้ยล่ะ ? ทำตามแบบนั้น อย่าว่าจะเรียนเอกเลย สองเอกก็ได้ แต่ลำบากหน่อย ปริญญาตรีนี่รู้เท่าอาจารย์บอกก็ใช้ได้ใช่มั้ย ? ปริญญาโทนี่ต้องเกลี้ยกล่อมให้อาจารย์คล้อยตามให้ได้ว่าเรามีความรู้ ส่วนปริญญาเอกนี่ต้องหลอกอาจารย์ให้ได้ (หัวเราะ)
      ถาม :    แล้วลำโพงกาสลัก    นี่เป็นยังไงค่ะ  ?
       ตอบ:   ส่วนผสมของยาพระประทาน   ก็คือลำโพงกาสลัก    คราวนี้พระปลัดนิภัทร     ท่านเจตนาดีตั้งใจจะช่วยหลวงพ่อก็ไปหามาให้กลายเป็นลำโพงธรรม   ลำโพงธรรมดาชาวบ้านเขาเรียกว่า  มะเขือบ้า     ต้นมันคล้าย   ๆ  มะเขือ    แล้วก็ลูกเป็นหนาม    ๆ    หน่อย   ดอกมันสีขาว  ๆ   ถ้าสีม่วงมันจะเป็นลำโพงกาสลัก   
      ถาม :   แล้วกินได้หรือครับ  ?
      ตอบ:    ทำยาได้   กินมันก็บ้าพอกันนั้นแหละ   เพราะฉะนั้นยาสมุนไพรนี่ถ้าตัวไหนอันตราย    ระมัดระวังไว้หน่อย     ไม่งั้นจะแย่เอา
       ถาม :    ..........( เสียงไม่ชัดถามเรื่องสร้างวัดหนองบัวที่พม่า).........
      ตอบ:   สมัยก่อนเขาไปตีบ้านตีเมืองกัน สมัยนี้อาตมาไม่ไปตีหรอกไปซื้อคืน คราวที่แล้วซื้อที่คืนไปผืนหนึ่ง คราวนี้จะเอาอีกผืนหนึ่ง จะขยายวัดให้มันกว้างไปเรื่อย ๆ ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนไทยเป็นยังไงญาติโยมแถวนั้นเขาก็ดีนะ ขอซื้อที่ขอซื้ออะไรก็กระตือรือล้น เขาบอกครูบาให้เงินให้คำ ( คำ =ทอง) อย่างเดียวข้าน้อยไม่เอานะ ข้าน้อยจะเอาบุญด้วย แล้วให้ตังค์เขาอย่างเดียวเขาไม่เอาหรอก ถ้าเขาไม่ได้บุญเลยให้ทองเขาไป เสร็จเเล้วค่อย ๆ พูดบอกกับเขาว่าถ้าอยากได้บุญมาก ๆ ก็คืนทองมาบาทนึง (หัวเราะ)
      ถาม :    เข้าพม่าทางไหน  ?
      ตอบ:     ด่านเจดีย์สามองค์    ไม่มีปัญหาเพราะว่า   ช่วงเขารบ  ๆ  กันปิดด่าน    เข้าไปสองครั้งแล้ว   วัดหนองบัวอยู่ที่เมืองจะอีน รัฐกะเหรี่ยงอยู่ห่างจากด่านเจดีย์สามองค์ ถ้ารถออกวิ่งได้แต่เช้า ๆ ค่ำ ๆ ก็ถึง แต่ถ้าหากว่ารถออกสายหน่อยก็ค้างคืน คืนหนึ่ง ถ้าไปเรือนี่ เรือธรรมดา เรือหางยาวทั่วไปก็ค้างสองคืน ถ้าเป็นไอ้เรือด่วน งวดที่แล้วไปเช่าเรือด่วนมันเป็นเรือใหญ่สี่สูบ ออกตั้งแต่ตีห้าไปถึงหนองบัวสองทุ่ม นึกเอาแล้วกันวิ่งน้ำบานไปทั้งวัน ถ้าวิ่งแบบเมืองไทยสบายมากไม่เกินสี่ชั่วโมง ตรงนั้นตอนนี้เสี่ยฮุกกำลังทำอยู่ เส้นทางตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ไปถึงเมืองตันบวยเซียต แต่ว่าพวกทหารในป่าเขาไม่ยอมให้ทำเขาให้เกรดเฉย ๆ เขาบอกว่าถ้าทำดีเกินไปแล้วรถมันวิ่งเร็ว มันเก็บค่าคุ้มครองไม่ทันมันกลัวชาวบ้านวิ่งหนีมันแล้วเสี่ยฮุกเขาก็ไป เคลียร์แต่พวกบรรดานายพลในเมือง พวกที่คุมในพื้นที่อย่างพวกผู้พันผู้กองไม่เคลียร์ด้วยเขาเลยแกล้งเอา
              คราวที่แล้วไปเกรดทางไปเจอเอาระเบิดดักรถถึงสามลูก ถ้าหากรถเกรดไม่ดันก่อนให้รถวิ่งมีสิทธิ์เละ ระเบิดดักรถถึงถ้าน้ำหนักหนึ่งร้อยแปดสิบกิโลกรัมกดทับมันจะระเบิด สมัยอยู่ชายเเดนพอกู้ขึ้นมาไอ้เพื่อนบ้า ๆ มันกระโดดกระทืบ โอ้โห !..ได้เราอยากจะถีบมัน คือมันกะว่าน้ำหนักมันหกสิบกิโล มันโดดกระทืบลงไปก็ไม่เกินร้อย ลองดูว่าจะระเบิดมั้ย มันไม่ยักกะลองตอนเราอยู่ห่าง ๆ มันลองตอนเราอยู่ด้วย บ้าดีกระโดดกระทืบว่าจะระเบิดมั้ย ! เพราะตามตำราเขาว่าน้ำหนักกดทับร้อยแปกสิบกิโลมันภึงจะระเบิด สามเท่าของตัวคน มันกระโดดกระทืบยังไงก็ไม่ถึงพม่ายังห่างไกลความเจริญอีกมากเหลือเกิน แต่ว่าตอนนี้พอสิ้น นายพลติ่นอูกับนายพลซิตหม่อง แล้วก็คงจะกลับเป็นประชาธิปไตยเร็วขึ้นเพราะนายพลติ่นอูกับนายพลซิตหม่องนี่ เป็นฝ่ายที่คัดค้านการเป็นประชาธิปไตย เป็นลูกน้องของนายพลหม่องเอ        ผบ.ทบ.   ทางด้านของนายพลซอหม่อง   กับ   นายพลขิ่นยุ้น ค่อย ๆ ปรับให้เป็นประชาธิปไตยไปงัดกับเขาไม่ไหว เพราะเขาคุมกำลังเยอะกว่า ตัวนายพลซิตหม่องที่เครื่องบินตกตายไปนั้นเป็นแม่ทัพควบคุมภาคตะวันออกเฉียง ใต้ที่เมืองมะละแหม่งลงมา     (หัวเราะ)     
              คราวก่อนที่ไป แล้วไปถ่ายรูปคนขับรถไปมันหนีเลย ไม่ยอมวิ่งให้เราอีก กลัวโดนยิงเป้า เขากลัวว่าเราจะไปหาข่าวแล้วเขาเป็นคนพาเราไปจะมีโทษด้วย ทางด้านโน้นอย่างสถานเบาก็ห้ามวิ่งรถ สถานหนักหน่อยก็ยิงเป้าเลยเราก็บอกเขาบอกเบารถหน่อยจะถ่ายรูป กองบัญชาการกองทัพภาคตะวันออกเฉียงใต้ของ เขา คนขับรถได้ยินมันตกใจเบรกหยุด ก็เสร็จเราน่ะสิ (หัวเราะ) พอเบรกหยุดเราก็ถ่ายเลยก็กดจิ๊กเดียวแค่นั้น พอตอนเย็นมันบอกว่ารถไม่ดีจะไปซ่อมรถ ไม่ยอมวิ่งให้เราอีกกลัวมากอยู่ที่เมืองพม่านี่เราอาศัยลูกตื้อทำเป็นอ่าน หนังไม่ออกมั่ง อ่านออกมั้งไม่ออกมั่งอะไรทำนองนั้น ตรงไหนที่ห้ามไม่ให้ถ่ายรูปก็ถ่ายมันตรงนั้น
                 พอไปกับทิดจิตร     ตอนนั้นไปที่    กะบาเอ เขามีสอบพระผู้ทรงพระไตรปิฎกปิดป้ายหราว่าห้ามถ่ายรูปก็ถ่ายซะ ตรงไหนห้ามก็ถ่าย ที่เห็นนี่พวกสะพานพวกอะไรนี่เขาห้ามหมดนะ
              มันห้ามอันไหนเราก็ถ่ายอันนั้นแหละ เขาจะกลัวมากเลย อันไหนเกี่ยวกับสถานที่สำคัญอย่างสะพานใหญ่ ๆ สะพานแขวน เขากลัวว่าจะรู้ตำแหน่งแห่งที่ แล้วไปก่อวินาศกรรม อันไหนมันห้ามเราก็ถ่ายอันนั้น ตรงสะพานข้าม สะพานใหญ่ข้ามเมืองพะอาง พอรถวิ่งผ่าน เด็กรถก็จะบอกว่า ห้ามบ้วนน้ำหมาก ห้ามทิ้งขยะ สารพัดจะห้ามจนกระทั่งโดนเด็กวัยรุ่นมันแซว ว่ามองได้มั้ย ? (หัวเราะ) จะมีทหารบล๊อกหัว กลาง ท้าย แล้วก็ข้างล่างตลอดเลย คนจะกล้าถ่ายรูปมันได้ต้องบวม ๆ หน่อย ของเราเราไม่ว่าอะไรหรอก เราก็นึกถึงพระ เสร็จแล้วยืนขึ้นถ่ายหน้าตาเฉยมันบังเอิญถ่ายได้ทุกทีเลย ทำเป็นเล่นไป พม่าเขามีสะพานแขวนเหมือนกับเราเหมือนกันนะ ตอนนี้สบายเลยพวกที่จะไปเมืองพะอางวิ่งตรงได้เลย ไม่งั้นต้องข้ามอ่าวเมาะตะมะ ไปถึงเมืองตะโทงแล้วก็อ้อมขวาเข้าไป ช้าเป็นวันเลย เดี๋ยวนี้จากมะละแหม่งไปถึงพะอางนี่ประมาณสามสี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง ไปเช้าเย็นกลับได้
       ถาม :     ตอนอาจารย์ไม่ไปโดนจับกันหมด  ?
      ตอบ:   มันตลก ของเราไปกัน ๕ คน ๑๐ คน ไปกันเมื่อไหร่ก็ไปกันได้ พอไม่อยู่ซะคนเดียว ไปกันกี่คณะโดนจับหมด พวกนี่ถาคาใช้ไม่ได้ (หัวเราะ) หลุดจากมืออาจารย์เมื่อไหร่ก็โดนจับเมื่อนั้น แต่ถ้าไปกับเราไปทั้งโขยงก็ไปได้ ไอ้ของเราหน้ามันโหด ไปถึงก็ยืนจ้องขู่ทหารมันหดหมดเลย เพราะทหารเขาแปลกถ้าหากว่าใครทำกลัว ๆ นี่มันค้นจังเลย ไอ้ของเราไปยืนจ้องหน้ามันหันหนีหมดไม่มีใครกล้าค้น คนไหนนั่งบนโต๊ะลากมันลงมาแล้วเรานั่งแทน มันเป็นฆราวาสจะมานั่งเต๊ะจุ้ยต่อหน้าพระ แล้วให้พระยืนได้ไงไปจนเขาเบื่อขี้หน้าแล้ว ตอนนี้เจ้าหน้าที่สืบราชการลับของเขา เราเอาเป็นเด็กสะพายย่ามเลย
      ถาม :  พม่านี่เขาสร้างวัดเยอะนะคะ 
      ตอบ:   เยอะมาก แล้วเขาใช้วัดคุ้มด้วย เขาสร้างวัดที่ไหนแปลว่าคนในเขตนั้นทั้งหมดก็ลุยกันเข้าวัดไปเลย ไปดู ๆ แล้วบางทีเราก็อายเขาปีแรกที่ไปก็แบบยืดสุดขีดเลย เราเป็นเมืองพุทธศานาใช่มั้ย ? เดี๋ยวมีอะไรเราก็ไปช่วยเขา ที่ไหนได้ไปถึงมันต้องไปเลียนแบบเขา ของเขาเองคนไปวัดไปวามันเหมือนบ้านเราคนไปเดินห้างกัน เหมือนยังกับวัยรุ่นไปเดินเซ็นเตอร์พ้อยต์นะ มันไปกับขนาดนั้น เช้า ๆ ก่อนออกทำงานเขาสวดมนต์ทำวัตร เข้าวัดเข้าวาปฎิบัติเสร็จ
      ถาม :  เมื่อเดือนที่แล้ว ถามว่า เวลาที่คนเรามีเคราะห์ ควรที่จะทำบุญสะเดาะเคราะห์กรรมนั้นมั้ย ก็ตอบว่า ควรที่จะทำบุญ ถ้าหลบ ๆ ได้ก็หลบ ๆ ไปซะ ที่นี้ก็เกิดความสงสัยต่อเนื่องนะเจ้าค่ะ ว่า เอ๊ะ! ถ้าเรา หลบไปเรื่อย ๆ มันไม่เป็นแบบดอกเบี้ยทบต้นเหรอเจ้าคะ ?
     ตอบ:   ไม่ทบล่ะจ้ะ    บรรดาพระอรหันต์ที่เข้านิพพานไปนี่เขาตามเก็บไม่ได้ดอกเบี้ยอย่างเดียวนะ     เงินต้นก็เก็บไม่ได้เหมือนกัน   ไม่มีใครใช้หนี้หมดทุกคน   ไปนิพพานก่อน   ไอ้การหลบมันเหมือนกับการหลบเลี่ยงปัญหาจริง  ๆ    ไม่ใช่    คนเราควรจะมีปัญญา   รู้อยู่ว่าเวลาไหนวาระไหนควรจะหลบจะเลี่ยงอะไร   เราดำรงชีวิตอยู่ในลักษณะของความเป็นมนุษย์   ถ้าปล่อยให้กรรมเก่าตามทันมันจะเกิดความทุกข์ยากลำบากมาก    แล้วเรื่องของอกุศลกรรมนั้นแปลก    ถ้ามันมีโอกาสเข้ามาแทรกได้ครั้งหนึ่งพรรคพวกของมันทีเท่าไหร่มันก็ระดมกันมา จะสังเกตว่าบางทีพอเราอยู่ในลักษณะที่ช่วงอกุศลกรรมเข้า ที่ชาวบ้านเขาใช้คำว่า ? ดวงตก? เรารู้ว่าผีซ้ำด้ำพลอยอะไรต่อมิอะไรมันก็มะรุมมะตุ้มมาในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นอย่าเปิดโอกาสให้เขาเป็นอันขาด หนีได้หนีไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้านิพพานได้ ไม่ต้องใช้มันเลยยิ่งดี
      ถาม :  ไม่เป็นดอกเบี้ยทบต้นนะเจ้าคะ  ?
      ตอบ:   ไม่เป็นจ้ะ ไม่เป็น เขาตามทวงไม่ได้ พวกนี้เขาไม่คิดดอกเบี้ยหรอกจ้ะ เขาไม่ใช่คน (หัวเราะ) เรื่องของธรรมะ เขาตรงไปตรงมา
      ถาม :    ทีนี้   เอ่อ!ช่วงนี้    ดวงตนเองก็ตกน่ะเจ้าค่ะ
      ตอบ:   จ้ะ   ตกสูงมั้ย! (หัวเราะ)
      ถาม :  อุบัติเหตุเจ้าค่ะ พอดีไปทำบุญถวายโลงศพก่อน ก็แทนที่รถคันใหญ่จะวิ่งมาชนตรงคนขับ ก็กลายเป็นรถมอเตอร์ไซด์วิ่งเข้ามาแล้วหลังจากนั้นก็ป่วยหนักจนกระทั่งลุก ไม่ขึ้น มันต่อเนื่อง แล้วพอดีก็เกิดเหตุกับที่ทำงานอีก สงสัยว่า อันนี้หรือเปล่าที่เราทำบุญแล้วมันลดความรุนแรงลง
      ตอบ:   ลดลงเยอะเลย เพราะว่าไม่อย่างนั้นแล้วอาจเจอคันใหญ่แทนซึ่งถ้าสวัสดีมีชัยจริง ๆ โลงที่เราบริจากก็ได้นอนเอง แต่บังเอิญว่าสิ่งที่เราทำเป็นบุญใหญ่โดยเฉพาะการบริจาคโลงศพ การบริจาคโลงศพนี่เป็นตัวมรณานุสสติ เรารู้อยู่แล้วว่าเราบริจาคไปเพื่อให้คนตายถ้าหากว่าเรามีปัญญาคิดต่อนิด หนึ่ง ตัวเราก็ตายเหมือนกัน คนรอบข้างก็ตายเหมือนกัน ถ้าขึ้นชื่อว่าเราเกิดมาแล้วไม่อาจเลี่ยงจากความตายนี้พ้น เกิดมากี่ชาติก็เป็นอย่างนี้เราอยากเกิดอีกมั้ย ? เป็นมรณานุสสติ เป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก ในเมื่อเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก บุญก็สูง ถึงอกุศลกรรมจะแรงมาก แต่กำลังบุญก็เหนือกว่าทำให้สามารถหลบเลี่ยงจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหายไปได้     เพราะฉะนั้น    แทนที่จะเป็นราชรถสิบล้อก็แค่มอเตอร์ไซด์จ้ะ     
      ถาม :     ถ้าอย่างนี้   เรารู้ว่าเราจะมีเคราะห์    เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย   คือ   เท่าที่ทำมามันก็มีบ้าง
      ตอบ:   จ้า   แล้วคำถามอยู่ตรงไหนจ้ะ 
      ถาม :    อ๋อ! ทำอย่างไง   จะไม่ให้มันเกิดขึ้น ?
      ตอบ:   ไม่ให้เกิดขึ้นเลย อย่าเกิดจ้ะ ถ้าเกิดเมื่อไหร่โดนแน่ ๆ เมื่อครู่ตอบไปแล้ว พวกเราไม่ได้เจตนาฟังหรือไม่ก็ความสนใจกระโดดข้ามไป ก็คือว่า เราทำบุญให้ต่อเนื่องไว้   ในเมื่อเราทำบุญต่อเนื่องอยู่   ตัวกรรมก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกได้    แต่ของเราส่วนใหญ่บุญของเราไม่ได้ทำต่อเนื่อง    เราทำในลักษณะที่   ทำ   ๆ   เว้น  ๆ   บุญตัวที่ใหญ่ที่สุดก็คือบุญจากการภาวนา      ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง    ตัวเคราะห์กรรมกินเราได้น้อยมาก  แต่ส่วนใหญ่เราภาวนามั่งด่าชาวบ้านเขามั่งมันไม่ต่อเนื่องกัน   ก็เลยเปิดโอกาสให้เขาแทรกได้อยู่     
                เพราะฉะนั้นเรื่องของทาน ? ศีล ? ภาวนาจำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องกัน ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาอย่างพระวัดเกาะฤๅษีจ้ะ บางวาระก็ต้องกินกันแทบตายเลยอาหารมันล้นเหลือ ขณะเดียวกันอาทิตย์ต่อมาก็ว่ามาม่าซะเจ็ดวันซ้อนทำบุญไม่สม่ำเสมอจ้ะ ไม่ต้องโทษใครหรอก
      ถาม :    ขอถามเรื่องการฝึกสมาธิ    ไปฝึกสมาธิเรื่องเกี่ยวกับเรื่อง    จักระนะค่ะ ?
       ตอบ:   พอมีความรู้อยู่นิดหนึ่งจ้ะ    เอ้า ! ว่าไปเลยจ้ะ
      ถาม :    เขาใช้การฝึกจักระโดยการดูดพลังจาก ธรรมชาติ ที่เวลานั่งสมาธิ เขาก็จะนั่งติดกับพื้นดิน แล้วก็นั่งตอนเช้าเพื่อรับแสงอาทิตย์แล้วก็นั่งริมแม่น้ำเพื่อรับความเย็น จากแม่น้ำ
       ตอบ:    แล้วนั่งกลางคืนแล้วยัง   โดยเฉพาะคืนวันเพ็ญ 
       ถาม :     ยังไม่เคยนั่งเจ้าค่ะ
       ตอบ:   ระวังไว้ มันจะหอนได้จ้ะ (หัวเราะ) ไอ้เรื่องนั่งกลางคืนมันทำได้ แต่ไอ้เรื่องหอนน่ะพูดเล่น แล้วก็รับพลังจากดวงจันทร์ด้วยแล้วต่อไปว่ายังไง
      ถาม :  พลังพวกนี้นี่เราสามารถเอามาใช้ได้จริงมั้ยคะ  ?
       ตอบ:     สามารถใช้ได้จ้ะ    แต่ว่าจริง   ๆ   แล้ว พลังงานทั้งหมดที่มากจากภายนอก   ไม่มีอะไรสู้พลังจิตที่เกิดจากการฝึกฝนที่ดีแล้วได้ วิชาการเหล่านี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านไม่ทราบ ท่านทราบดีซะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่ว่าตรองดูแล้วเห็นว่ามันเป็นวิชาที่ขวางกับมรรค ? ผล ท่านก็เลยตัดมันออกไป
              ดังเช่นในพระธรรมบทที่ท่านเขียนเอาไว้ชัดเจน ว่าวันหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จออกไปยังป่าประดู่ลาย พร้อมกับทรงถือใบประดู่มาหนึ่งกำมือยกให้ภิกษุทั้งหลายดู แล้วตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลายใบประดู่ในกำมือตถาคตนี้กับใบประดู่ในป่าอันไหนมากกว่า กัน......พระภิกษุทูลตอบว่า ใบประดู่ในป่ามากกว่าจนประมาณไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่านั้นแหละ สิ่งที่ตถาคตรู้ คือใบประดู่ในป่า แต่สิ่งที่ตถาคตสอนพวกเธอคือใบประดู่กำมือเดียว ท่านเลือกเอาใบประดู่ กำมือเดียวที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สุขในปัจจุบันและประโยชน์สุขในอนาคต โดยเฉพาะการหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานมาสอนเราเท่านั้น กำมือเดียวนี่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์     ก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าทั้งป่านี่มันเท่าไร       
                ดังนั้นวิชาการเหล่านี้   พระพุทธเจ้าท่านทราบอยู่แล้ว    แต่ท่านเห็นแล้วว่า    มันไม่ใช่    เพราะว่าลำบากมาก    จนกระทั่งบรรลุได้ยากเต็มที  มันกลายเป็นวิชาที่ขวางกับการปฎิบัติสายตรง   ท่านก็เลยไม่สอน แต่ว่าคนปัจจุบันนี่เขาเก่ง พยายามที่จะสอนกัน เราเองเก่งได้อย่างเขาบ้างก็ดีเหมือนกันน่ะ มันเป็นความรู้พิเศษเพิ่มขึ้นมา แต่ว่าจำไว้ว่า ถ้าเรามุ่งมรรคผล โดยตรงมันก็ทำให้เราเสียเวลา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ปรารถนาธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ถ้าทำให้ช้า ท่านไม่เอาด้วย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2008, 13:35:54 »

http://grathonbook.net/book/5.3.html

ถาม :   ผู้ที่เล่นกสิน    หรือเล่นทางอิทธิฤทธิ์    ก็ลักษณะเดียวกัน  ?
      ตอบ:    อันนั้นลักษณะเดียวกัน    แต่อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านต่อท้ายไว้      ท่านมีวิปัสสนาญาณต่อท้ายอยู่ แต่ว่าพวกที่เล่นในสมัยก่อนอย่างพวกพราหมณ์พวกอะไรนี่ เขาเอาฤทธิ์เดชโดยตรงอย่างเดียวไม่มีการเลี้ยวเข้าหามรรคผลเลย ดังนั้นสิ่งไหนที่สามารถเลี้ยวเข้าหามรรค-ผล   ง่าย  ๆ   กำลังสูงพอที่จะกดกิเลสหรือตัดกิเลสได้     พระพุทธเจ้าท่านถึงสอน    ถ้าไม่สามารถที่ทำได้ท่านก็ปล่อยให้เป็นใบประดู่ในป่าต่อไป
       ถาม :   แล้วอย่างนี้พวกฤทธิ์    หรืออะไรต่าง  ๆ  นี่มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงเจ้าคะ  ?
      ตอบ:   เกิดขึ้นจากการฝึก เกิดขึ้นจากกรรมเก่า เกิดขึ้นจากบุญเก่าเหล่านี้ เป็นต้น ฤทธิ์ไม่ได้มีอย่างเดียว ฤทธิ์ที่เกิดจากการฝึก เรียกว่า วิกุพนาฤทธิ์    เรียกว่าฌานฤทธิ์ วิกุพนาฤทธิ์ คือพวกที่ฝึกกสิณสิบสามารถสำแดงฤทธิ์ด้วยวิธีประหลาด....พิลึกพิลั่นเกิน กว่าชาวบ้านเขาทำได้อย่างพวกเดินน้ำ- ดำดิน-เหาะเหิน อะไรพวกนี้เป็นต้น ฌานฤทธิ์คือฤทธิ์ที่เกิดจากผู้ที่ทรงฌาน    ทรงสมาบัติ   กำลังจิตสูงมาก     ต้องการให้เป็นอย่างไร    ก็เป็นไปได้     บุญฤทธิ์    ฤทธิ์ที่เกิดจากการสั่งสมบุญมาระยะเวลายาวนานถึงเวลาปรารถนาอะไรก็จะเป็นไปตามที่ตนต้องการ    อธิษฐานฤทธิ์    ฤทธิ์ที่เกิดจากการตั้งใจมั่น     
                 ในเมื่อตั้งใจมั่นแล้ว    กำลังใจส่งผลให้สิ่งนั้น   ๆ  เกิดขึ้นได้     กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม อย่างเช่นว่า นกทำไมถึงบินได้โดยไม่ต้องฝึกกสิณ ปลาทำไมอยู่ในน้ำได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องฝึกกสิณ .... ทำไมไส้เดือนมันมุดดินได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกกสิณเลย อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มี ฐานะฐานะฤทธิ์ ฤทธิ์อันเกิดจากฐานะอันสูงอย่างเช่นพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพระยามหากษัตริย์ เจ้าคนนายคน บัญชาการได้สั่งให้เป็นก็ต้องเป็น สั่งให้ตายก็ต้องตาย เป็นต้น ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงประเภท วิชามัยฤทธิ์    ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการสร้างเสริมมา ทำไมเหล็กหนักเป็นตัน ๆ ถึงเอาไปบินบนฟ้าได้ ทำไมเอาไปลอยในน้ำได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ครบทุกอย่าง แล้วฉะนั้นถึงได้ถามว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มันก็หลายวิธีด้วยกัน สร้างขึ้นมาก็มี บุญเก่าเสริมก็มี กรรมเก่าเสริมก็มีฝึกฝนขึ้นมาก็มี
       ถาม :  แล้วพวกที่ได้ตาทิพย์   หูทิพย์    พวกที่เห็นอดีตชาติ   อนาคตอย่างนี้ถือเป็นฤทธิ์มั้ยคะ  ? 
      ตอบ:     เป็น   ก็อภิญญานี่มันยิ่งกว่าฤทธิ์อยู่แล้ว   เพียงแต่ว่าฤทธิ์เหล่านี้    ถ้าหากว่าเรารู้     แล้วก็ละมันเสีย    รู้    เพื่อให้รู้ว่าในแต่ละชาติของเราเกิดมาแล้ว มีสภาพแท้จริงเป็นอย่างไรแต่ถ้ารู้แล้วไปยึด   ไปติด  ไปเกาะมัน   มันก็ทำให้เราติดอยู่แค่นั้นไม่สามารถจะก้าวหน้ามากขึ้นกลายเป็นมรรคขวางผลไปอีกเขาเรียกอภิสังขารมาร    อภิสังขาร    คือ   เหนือการปรุงแต่ง   ก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าความดีระดับนี้    สามารถทำให้คนติดอยู่ได้   กลายเป็นมารขวางความดีไปได้ สามารถสร้างสมาบัติขึ้นมาได้แต่บังเอิญเผลอไปหน่อยลืมตัวด้วยวิปัสสนาญาณ ติดแหง็กอยู่ที่อรูปพรหมแปดหมื่นมหากัปป์ นิดเดียว พระพุทธเจ้าเกิดกี่หมื่นพระองค์ ก็ไม่รู้....หือ กลายเป็นว่าความดีก็สามารถขวางเราได้
       ถาม :  แล้วอย่างนี้การนั่งสมาธิแล้วเกิดปีติ   ก็ถือว่าเป็นมารอย่างหนึ่ง  ?
      ตอบ:    ต้องระวังเอาไว้     ในช่วงปีติมารแทรกง่ายที่สุด กำลังใจมันกำลังฟูเต็มที่ เลยยุ เอ้า? ทำต่อไปเลยลูกเอ้า ห้าชั่วโมง พักเดียวก็สติแตกแล้วเพราะร่างกายมันทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นต้องระวังให้สุดขีดเลย
       ถาม :   แล้วนั่งแล้วขยับตัวไม่ได้   ไม่ใช่เพราะ....
      ตอบ:     นั่งแล้วขยับตัวไม่ได้   มันเป็นยังไง  ?
       ถาม :  พอนั่งไปปุ๊ปจะมีความรู้สึกเกิดปีติ    พอเกิดปีติปุ๊ปจะรู้สึกอยากจะคงสภาพอันนั้น     แล้วมันก็ไม่ยอมขยับตัว   อยู่นิ่งไปเลย
      ตอบ:      อาการนั้นเป็นอาการของการทรงฌานนะ     เราก็ใช้กำลังอันนั้นเกาะพระนิพพานไว้ แล้วยิ่งดี มโนมยิทธิยิ่งดี กำลังของฌานทรงตัว ใช้กำลังอันนั้นเกาะพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ ถ้าอย่างนี้จะไม่เป็นตัวสังโยชน์ในรูปราคะ อรูปราคะ เพราะว่าเราใช้กำลังของรูปฌานและอรูปฌานโดยตรงในการเกาะพระนิพพานอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าเราไปติดอยู่กับความสุขตรงนั้น    โดยไม่รู้จักใช้กำลังเกาะพระนิพพาน    อันนั้นมันเป็นตัวขวางที่เรียกว่าสังโยชน์    จะเป็นตัวร้อยรัดให้เราติดอยู่ในวัฏฏะตัวใหญ่ตัวหนึ่ง     
       ถาม :   ไม่ทราบว่าคนอื่นเขาเป็นแบบตัวเองหรือเปล่า    เวลาจะเกิดเหตุ    หรือเกิดเหตุการณ์มันจะมีเสียงเตือน
      ตอบ:     ก็มี   เยอะต่อเยอะด้วยกัน     แต่ขณะเดียวกันบางคนสภาพจิตที่ปราศจากการฝึกฝนทำให้มืดบอดหรือไม่ก็หนามากจนกระทั่งเขาไม่สามารถจะแทรกเข้ามาเตือนได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยวางเหมือนกันว่าปล่อยมันเหอะ ของเราถ้าหากว่าเตือน เตือนบ่อย ๆ แล้วเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง ต่อไปเมื่อได้รับ การเตือนก็ให้ระมัดระวังไว้     ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น    ก็แล้วไป   แต่ถ้าเกิดขึ้น   จากหนักก็จะกลายเป็นเบา   เพราะเราระวังอยู่แล้ว 
       ถาม :  เสียงสัญญาณเตือนที่ได้ยินนั้นมาจากไหน   ?
      ตอบ:     หลายอย่างด้วยกัน    ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเภทที่เขาเรียกว่าเทวดาประจำตัว    ญาติพี่น้อง   พ่อแม่    หรือครูบาอาจารย์   เพื่อนฝูงที่สนิทกัน เมื่อเขาถึงแก่ชีวิตไปแล้ว ไปอยู่ข้างบน เขายังจดจำเราได้อยู่ ในเมื่อจดจำเราได้ ความรักความห่วงยังมีอยู่ เขาก็พยายามจะสงเคราะห์ช่วยเหลือเราโดยเฉพาะทางด้านดี การสงเคราะห์การช่วยเหลือของเขาทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่เกินวิสัย เขาพยายามจะช่วย
       ถาม :  สงสัยเกี่ยวกับเรื่องพวกสัตว์เดียรัจฉานว่าสามารถที่จะทำบุญได้กุศล   ผลบุญจากการกระทำ  ?
      ตอบ:      ได้จ้ะได้    เต็มที่เลยยิ่งกว่าเราอีกอย่างเช่นว่า  เอราวัณเทพบุตร  ก็เป็นช้างเขาใช้ในการชักลากไม้เพื่อช่วยในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์   พอตายแล้วท่านไปเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์    โฆษกเทพบุตร ช่วยนำทางให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ช่วยเห่าระวังป้องกันสัตว์ร้ายให้ เมื่อถึงเวลาตายก็ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหมือนกัน สัตว์เดียรัจฉานสามารถทำบุญได้ขณะเดียวกัน   สิ่งที่เขาทำบาปนั้นโอกาสแทบจะไม่มี    โดยเฉพาะสัตว์เดียรัจฉานที่เกิดใกล้คน    ใกล้พระก็ดีพวกเหล่านี้ถ้ามีโอกาสอยู่ใกล้มนุษย์    กรรมของการเป็นเดียรัจฉานของเขาจวนหมดแล้ว ถ้าจิตเกาะคนก็เกิดเป็นคน ถ้าจิตเกาะพระหรือเกาะความดีก็เกิดเป็นเทวดาไปเลย โอกาสทำชั่วของเขาน้อยมาก นาน ๆ จะมีเดียรัจฉานลงสู่อบายภูมิที่ต่ำกว่าการเป็นเดียรัจฉาน ส่วนใหญ่ไม่เสมอตัวก็มีแต่ก้าวหน้าขึ้นไป
       ถาม :  ทำไมเป็นอย่างนั้นเจ้าคะ  ? 
      ตอบ:     มันคล้าย   ๆ   กับโอกาสที่เขาทำผิดมันน้อยแล้ว   มันไม่เหมือนของเรา
       ถาม :  เวลาที่เขาบอกว่าบำเพ็ญบารมีมาเท่านั้นเท่านี้อสงไขยน่ะค่ะ นับแต่เฉพาะที่เกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็มีบางชาติที่เกิดเป็นพรหมหรือว่าอยู่ในธรรมชาติอย่างเกิดเป็นกระต่าย หรือว่า....?
      ตอบ:     เป็นทุกอย่าง   นับรวมกัน   แต่ว่าการบำเพ็ญบารมีในขณะนั้นจัดอยู่ในระดับไหน ที่เขานับน่ะ เขาไม่ได้นับอยู่แต่มนุษย์หรอก ถ้านับแต่มนุษย์นี่ตายเลย ? ไปแทรกอยู่ในนรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดียรัจฉานบ้าง พรหมบ้าง ถ้านับแต่มนุษย์นี่พอดีแหละ แค่หนึ่งอสงไขยกับแสนมหากัปก็ตายแหงแล้ว มันเกิดน้อยเหลือเกิน มันเกิดเป็นอย่างอื่นซะมากกว่า
       ถาม :  จากสัตว์เดียรัจฉานไปถึงพวกแมลง พวกสัตว์ที่มีระดับต่ำกว่าแมลงนี่เขาทำกรรมอะไรนักหนา....ดวงวิญญาณเขาถึง ได้ลงไปถึงขนาดนั้น ?
      ตอบ:   แหม? แค่สัตว์เดียรัจฉาน เขาบอกขนาดนั้น แล้วสัตว์นรกเอย เปรตเอย อสุรกายเอย มันหนักหนากว่าสัตว์เดียรัจฉานหลายเท่าเลย สัตว์เดียรัจฉานนี่มันเป็นตอนท้าย  ๆ  ของกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าดูในอเวจีแล้ว ทำไมมันถึงขนาดนั้น ปรากฏว่าโลกันต์หนักกว่าอีกสี่เท่าของอเวจี สัตว์เดียรัจฉานนี่ถือว่ากรรมเบามากแล้วจ้ะ
       ถาม :   มันจะมีอาชีพบางอาชีพน่ะค่ะ    อย่างพวกเพชฌฆาตพวกแม่ค้าปลาที่ต้องฆ่าสัตว์    พวกนี้เขามีกรรมมั้ยคะ   ? 
      ตอบ:      มีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย  (หัวเรอะ)   แล้วทำไมล่ะ  ?
       ถาม :   ก็เลยสงสัยว่า   อาชีพเหล่านี้    เขาทำเพื่อยังชีพ    เขาจะมีกรรมติดตัวไป
      ตอบ:      มีเต็มที่เลย   จะฆ่ากี่ตัวก็โทษเท่านั้นแหละ   ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะลงอเวจีมหานรก   เพราะว่าทำเป็นประจำ    การที่เราทำเป็นประจำเรียกว่าอาจิณกรรม ส่วนใหญ่จะลงอเวจีมหานรก โทษหนักมากจะอ้างว่าเลี้ยงชีพไม่ได้ เพราะว่าการเลี้ยงชีพ อาชีพอื่นมีมากมายทำไมคุณถึงไม่ทำ จริงไหมเอ่ย ?
       ถาม :   แล้วอยากจะถามว่า   สัมมาอาชีพ   การประกอบอาชีพเป็นส่วนใหญ่ที่ทำให้เป็นมงคลต่อชีวิตนี่
      ตอบ:    ก็เป็นอาชีพที่ไม่ผิดศีล   และไม่ผิดกฏหมายบ้านเมือง   ถึงได้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ     อะไรก็ได้    แต่ว่าต้องไม่ผิดศีล      คือไม่ล่วงในศีลห้า     กรรมบถสิบอย่างหนึ่ง    แล้วก็ไม่ล่วงกฎหมายบ้านเมืองอย่างหนึ่ง   
       ถาม :   อย่างนี้ผู้พิพากษา    เขาตัดสินประหารชีวิตจะบาปมั้ยครับ  ?
      ตอบ:      จะเรียกว่าบาปก็ไม่ได้เพราะว่ายิ่งถ้าหากเขาคิดเป็นตัดตอนเป็นนี่    โทษไม่มีเสียด้วยซ้ำไป       ทำตามหน้าที่เพื่อรักษาความสุขความสงบให้กับส่วนรวม   เขาเป็นแค่ผู้ตัดสินแต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาไปลงมือฆ่าและโดยเฉพาะว่าเจตนาการโกรธเคืองกันไม่มี    เป็นการลงโทษเพื่อสุขสงบของสังคม    จะเรียกว่าไม่มีโทษเลยก็ไม่ได้    แต่ว่าโทษมันน้อยมาก ขณะเดียวกันถ้าเขาตัดตอนของอารมณ์ใจของเขาได้ด้วยยิ่งสบายเลย ไม่มีโทษเสียด้วยซ้ำไป การตัดตอน ก็คือว่า เราทำหน้าที่ของเรา เราทำแค่นี้ ส่วนอื่นเขาจะไปตายเพราะมือใครไม่เกี่ยวกับเราเลย
       ถาม :  แล้วอย่างนี้เจ้าของโรงฆ่าสัตว์     ถ้าเกิดเขาคิด   เขาก็ไม่บาป  ?
      ตอบ:     จะไม่บาปได้ไง   สั่งให้ฆ่า     เจตนาแรกของมันก็เต็มที่แล้ว   ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาฆ่าใช่มั้ย  ?..หนักเลย
       ถาม :  แล้วอย่างหมอ   คนป่วย   ป่วยหนักเลยไม่อยากอยู่แล้ว    ขอให้ฆ่าตัวเองอย่างนี้เป็นกรรมมั้ยคะ  ?
      ตอบ:    เป็นจ้ะเป็น   เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินชีวิตใครนอกจากกฎของกรรมให้เป็นไปเท่านั้นเป็นเหมือนกัน    แต่ว่าเขาไม่ได้ทำโดยมุ่งร้ายจิตใจไม่ได้ประกอบไปด้วยโทสะ      จะเป็นเมตตาซะด้วยซ้ำไปโทษมันก็เลยไม่โดนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าการที่เราฆ่าคนอื่น ส่วนใหญ่มันเกิดจากโทสะ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หนึ่ง สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หนึ่ง เราตั้งใจฆ่าหนึ่ง เราลงมือฆ่าหนึ่ง เราฆ่าสำเร็จหนึ่ง ถ้าประกอบด้วยห้าส่วนนี้โทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อันโน้นของเขาหลุดไปหลายส่วนโดยเฉพาะเจตนาฆ่าให้ตายไม่มี
       ถาม :   ถ้าเอาเครื่องช่วยหายใจออก  ?
      ตอบ:   ตั้งใจให้เขาตายหรือเปล่า ? ( หัวเราะ) เดี๋ยวกลายเป็นยายชลดาโทรมาจะให้ช่วยให้แม่ตายเร็ว ๆ อาตมาล่ะกลุ้มใจ จะให้พระไปฆ่าคน
       ถาม :   ถ้าเกิดว่าไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ   ก็ตาย
      ตอบ:      ตอนที่ใช้ช่วย ...ก็ช่วยมันไปก่อนเหอะ    แต่มันมีอยู่อย่างหนึ่งบางทีที่อยู่ในห้องไอซียูนี่ จิตมันออกจากร่างไปนานแล้ว    ถ้าอย่างนั้นเอาออกมันก็ไม่ได้ฆ่าใครหรอก ไอ้รถมันอยู่ได้เพราะว่าเติมน้ำมันไปเรื่อยเขาแค่หยุดเติมน้ำมันเท่านั้นเอง ไอ้คนขับเปิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่อันนั้นมันต้องรู้จริง ถ้าไม่รู้จริงนี่อย่าไปเสี่ยงเลยกลายเป็นตกนรกตั้งใจฆ่าคนเสียเปล่า ๆ
       ถาม :  แล้วอย่างคนที่เข้าไอซียู   เพราะเกิดอุบัติเหตุ     เพื่อนฝูงรอบข้างเห็นเขาไปหาทุกคนเลย
      ตอบ:     ประเภทนั้นแหละคือว่าเขาไปแล้วล่ะจ้ะ    เพียงแต่ว่าที่อยู่นั้น  สภาพร่างกายมันยังมีเชื้อเพลิง   มันก็ทำงานไปตามวาระ เหมือนยังกับว่าขับรถมาแล้วเราดับเครื่องแล้วแต่ว่ารถมันยังไม่มีแรงเฉื่อย มันยังไหลไปได้ระยะหนึ่งอย่างนั้นแหละถ้าไม่เบรกอาจชนเขา ของเขาก็เหมือนกันจิต มันออกไปแล้ว แต่ว่ามันยังเป็นสภาพร่างกายยังทำงานอยู่ด้วยเครื่องมือหมอบ้าง หรือว่ามันยังเป็นสภาพที่ยังไม่แตกดับอย่างแท้จริงบ้าง    มันก็เลยว่า   ตัวเขาเองโน่นตะลอนตะลอนไปหาเพื่อนฝูงซะทั่วประเทศแล้ว 
       ถาม :   แล้วอย่างนี้    ถ้าเกิดว่าลูกช่วยแม่    เป็นอนันตริยกรรมมั้ยครับ  ?
      ตอบ:     ก็มีสิทธิ์เลยล่ะจ้ะ
       ถาม :   ถ้าตังค์หมดจะทำยังไง   ?
      ตอบ:      ก็แล้วแต่หมอ    อย่าไปสั่งหมอให้เอาออกแล้วกัน

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2008, 03:57:29 »

http://grathonbook.net/book/5.4.html

ถาม :  มีคนที่มีประสบการณ์ เขาเคยมานั่งสมาธิแล้วพอเขานั่งปุ๊ปจะเกิดอาการว่าฟุ้งซ่าน มีเจ้ากรรมนายเวรเข้ามาหา คราวนี้เราจะช่วยเขายังไงคะ ?
      ตอบ:       มันต้องให้เขาช่วยตัวเอง    เราช่วยเขาไม่ได้    ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับเขาไป ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมไปจริง ๆ ก็ตั้งใจถามว่ามาต้องการอะไร จะให้เราแก้ไขในลักษณะไหนถึงจะยอมอโหสิกรรมให้อย่างนั้นเป็นต้น ในเมื่อรู้เห็นสามารถติดต่อได้ ถามตรงเขาได้เลย ตัวเราเองไม่ต้องไปช่วยเขาหรอก มันต้องเขาช่วยตัวเขาเอง
       ถาม :   แล้วบางคน   ทำไมเวลานั่งแล้วหลับล่ะเจ้าคะ  ? 
       ตอบ:     (หัวเราะ)   สองอย่างจ้ะ   ถ้าไม่ใช่เพลียจนเกินไปก็ตัว  ถีนมิทธะนิวรณ์มันกินเข้าไปเต็มที่เลย
      ถาม :  ความฝัน   ทำไมบางทีมันเกิดการฝันที่ตรงกัน   พร้อม  ๆ  กันหลายคน   ความฝันอย่างงี้เกิดขึ้นได้ยังไงเหรอเจ้าคะ  ?
      ตอบ:        อันนี้น่าจะเป็นเทพสังหรณ์    คือเทวดาเขาสงเคราะห์อันดับแรกคนทั้งหลายเหล่านั้นมีกรรมที่เนื่องกัน มานะ    อันดับที่สองเทวดาเขากลัวเราจะไม่เชื่อ     เลยหาพยานเพื่อให้เป็นข้อยืนยันแก่เราด้วย    แต่อันนั้นต้องหมายความว่าวาระนั้น     เวลานั้น   บุญของเราต้องเสริมด้วย   ไม่มีกรรมหนักมาขวาง เขาถึงสงเคราะห์ได้ขนาดนั้น   ไม่อย่างนั้นแล้วใบ้แทบตายเราเองยังไม่เข้าใจเลย
       ถาม :  ขอถามเรื่องที่เกิดกับตัวเองแล้วไม่รู้จะแก้กรรมยังไงน่ะเจ้าค่ะ คือว่าตัวเองขับรถแล้วชอบหลงทิศน่ะเจ้าค่ะ ขับรถแล้วหลงตลอดเลย
       ตอบ:       อ๋อ! ไม่ต้องแก้   เพียงแต่ตั้งใจจำก็พอ
      ถาม :   ตั้งใจมันก็หลงได้นะเจ้าคะ    ไม่รู้ทำไมหลงประจำเลย 
       ตอบ:      ต่อไปพยายามใช้คำภาวนาใหม่จ้ะ     ภาวนาว่า  วิวี  พุทธโธ    อิติ จะได้แก้หลงทางได้ วิวี พุทธโธ อิติ ถ้าอยู่ในป่าเวลาหลงทาง ให้หาต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่น หันหลังพิงต้นไม้ ตั้งใจขอให้เทวดาท่านสงเคราะห์ชี้ทางให้ แล้วภาวนาคาถานี้ ถ้าได้ทิพจักขุญาณเห็นเทวดาชี้บอกทางให้หรือบอกทางไปไหนให้ไปทางนั้น ถ้าไม่ได้ทิพจักขุญาณ รู้สึกอยากไปทางไหนให้ไปทางนั้น จะไม่หลงทาง ของเรามันขี้หลง ขับรถไปภาวนาไป วิวี พุทธโธ อิติ น่ะ สั้น ๆ
      ถาม :   ท่องได้เรื่อย  ๆ   เลยใช่มั้ยเจ้าคะ  ?
       ตอบ:      ได้เรื่อย  ๆ  เลย   กลัวหลงก็ท่องให้มากไว้
      ถาม :    รวมทั้งขึ้นรถด้วยเปล่าคะ  ?
       ตอบ:   ขึ้นรถก็หลงเหรอ ใช้ได้เลย อาตมานี้เป็นทึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษปนไทยว่าเป็นทึ่ง วันก่อนไปหาเจ้าเกด มันบอกว่าอยู่ตรงนั้น ๆ ไอ้เราไปถึงก็นั่งมอเตอร์ไซค์บอกทางมันเสร็จสรรพ หัดทำให้มันได้ ไอ้สัญชาติญาณในการหาทาง ขนาดนั่งรถเมล์ยังหลงได้ (หัวเราะ) ไม่เชื่อความรู้สึกตัวเอง ถ้าจำแม่นไม่หลงลืมจริง ๆ ก็ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์  สหัสสเนตโต   เทวินโท    ทิพจักขุง   วิโสทายิ   สหัสสเนตโต     ตาโต  ๆ    พันดวง   เทวินโท    คือ   เทวดาผู้เป็นใหญ่    ทิพจักขุง     ก็คือ   ตาทิพย์    ความรู้สึกเหมือนมีตาทิพย์    วิโสทายิ    แค่นั้น   ใช่บ่อย   ๆ   ความจำจะดี    ขณะเดียวกันถ้าหากว่าใครจะสอบอะไรก็ใช้ได้มันจะคล่องตัวเหมือนยังกับลอกข้อสอบเลย   
      ถาม :  ต้องตั้ง  นะโม  สามจบก่อนหรือเปล่า  ?
      ตอบ:   ตั้งซะก่อนนะดี ตั้งใจขอบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหมเทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้เขาช่วยสงเคราะห์
      ถาม :   (ถามเรื่องอานิสงส์การบริจาคโลหิต)   
       ตอบ:      เพราะฉะนั้นการสละเลือดของตัวเอง    สละอวัยวะภายนอกภายในของตัวเองให้แก่คนอื่นเพื่อต่อชีวิตเขาเรียกว่าทานตัดชีวิต     ทานตัดชีวิตนี่   อานิสงค์ต่ำสุด  คือ   ดาวดึงส์ขึ้นไป   ต่ำสุดดาวดึงส์นะ   มีแต่จะสูงกว่านั้น
      ถาม :   ทำไมเวลาเรานั่งสมาธิกับคนที่ ....(ฟังไม่ชัด).....เวลานั่งแล้วนี่   ทำไมสมาธิเราถึงดีกว่า  ?
      ตอบ:     มันเหมือนกับเด็ก   ๆ   ผู้ใหญ่จูงมันก็มั่นคงกว่าใช่มั้ย    ถ้าเดินเองก็หกล้มหกลุก    กำลังเขาสูงกว่า   เราอยู่ในเขตนั้น   กระแสของเขาชักนำได้ แล้วขณะเดียวกันไม่ใช่แต่ความดีของเขาที่ชักนำ ความชั่วมันชักนำเหมือนกัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ กระแสของความชั่ว รัก ? โลภ ? โกรธ ? หลง มันแรงมาก ถ้าเราตั้งกำลังใจดี ๆ อย่างลุงสายัณห์อยู่ต่างจังหวัด ภาวนาอารมณ์ใจทรงเป๊ะมาเลยแล้วตั้งใจพิจารณา เข้ามาเพียงพักเดียวมันเบียดเบียนเอนกระเท่เร่ไม่เป็นท่าหรือไม่ก็พังไปเลย ไม่ใช่แต่กระแสบุญชักนำกันได้    กระแสกรรม   คือ   ความชั่วก็ชักนำกันได้   แล้วส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มันก็โดนกระแสกรรมชักนำกันอยู่   เลยดิ้นรน   เร่าร้อนกันไปหมด
      ถาม :    ถ้าอย่างนี้    เราก็ไปอยู่กับกลุ่มที่เขาไปวัด     เราก็จะได้เต็ม  ?
      ตอบ:     กำลังจะทรงตัวได้ง่าย   ก็สังเกตมั้ยว่าที่นี่มันสบายกว่าตั้งเยอะก็แค่นั้นเอง
      ถาม :   การบูชาพระ   ระหว่างดอกไม้สดกับดอกไม้สำเร็จรูป   มีความแตกต่างกันในบูชามั้ยคะ   ?
      ตอบ:   อานิสงส์ต่างกันหน่อย อานิสงส์บูชาด้วยดอกไม้พลาสติกหรือดอกไม้สำเร็จรูป ยังไม่มีตัวอย่างแต่อานิสงส์ของการบูชาด้วยดอกไม้สด อย่างชนิดเรียกตูมเมื่อแรกแย้มกับดอกไม้เหี่ยวนี่เห็นชัดเลยในธรรมบท เพราะว่าในพระเวสสันดรชาดก    ตาเฒ่าชูชก   อายุแก่คราวปู่ได้แล้วได้นางอมิตดา ที่เป็นเด็กสาวคราวหลานเป็นภรรยา ในพระอรรถกถาเขากล่าวไว้ว่านางอมิตดา บูชาพระด้วยดอกไม้เหี่ยว สงสัยตาชูชกเล่นดอกไม้ที่ยังไม่บาน เพราะฉะนั้นถ้าใครบูชาพระด้วยดอกไม้พลาสติกก็อาจได้หนุ่มสาวพลาสติกไป (หัวเราะ)
      ถาม :    อันนี้ถ้าเราบูชาด้วยจิตเป็นบุญ    แต่ว่าเราไม่รู้   เห็นว่าเราไม่รู้   เห็นว่า....
       ตอบ:   อานิสงส์เขามีนี่ เขาก็ให้แล้ว อย่าลืมนะว่า ของเขามันประเภทที่ว่าแย่จริง ๆ ใช่มั้ย ถ้าของเรามันประเภทจิตเป็นไปถึงบูชาไปถึงมันจะเหี่ยวแล้วอาจประเภทเจอคนแก่ ใจดีรวยอีกต่างหาก
      ถาม :   หนูตกถังข้าวสาร
      ตอบ:     ระวังนะ   เดี๋ยวหนูจะตกถังน้ำกรด
      ถาม :   เวลาไหว้พระที่หน้าหิ้งบูชา   กับการไหว้ที่ไม่ได้จุดธูปจุดเทียน   จะมีความแตกต่างกันมั้ยคะ   ?
      ตอบ:   ต่างกันอยู่ตรงอานิสงส์ที่ได้รับ    การจุดธูปเทียนเป็นการบูชาด้วยของหอมและแสงสว่าง     มีอานิสงส์เพิ่มขึ้น นอกจากการบูชาด้วยดอกไม้แล้ว ได้อานิสงส์การบูชาด้วยของหอมและแสงสว่างด้วย แต่ถ้าว่าเราคิดว่าการจุดธูปเทียนจะทำให้การรักษาลำบากอาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ ได้อะไรใช่มั้ย ของเราเอง เราใช้วิธีปฎิบัติบูชา คือการปฎิบัติบูชาถวายเป็นพุทธบูชา    ธรรมบูชา   สังฆบูชา   แทนอานิงสงส์จะสูงกว่ามากมหาศาล   อานิสงส์ของอามิสบูชา   คือการบูชาด้วยสิ่งของ     ส่วนใหญ่ก็จะกลาย  เป็นเรื่องลาภยศเงินทอง     แต่การปฎิบัติบูชานี่จะเป็นเรื่องของปัญญาความฉลาดในการตัดกิเลสหรือการทำมาหากิน    ถ้าเรายังไม่เข้าปรมัตถบารมี ที่ จะตัดกิเลสกับจริง ๆ เพราะฉะนั้นอานิสงส์ของปฎิบัติบูชาจะได้มากกว่า หรือว่าถ้าหากว่ากลัวว่าไฟมันจะไหม้มันก็โน่นแน่ะ ธูปเทียนที่ทำด้วยไฟฟ้า อย่างเก่งก็ช๊อตดับเฉย ๆ พอหลอดขาดมันก็ดับแล้วมันก็ไม่ไหม้หรอกจะมีอานิสง์ตรงบูชาด้วยแสงสว่างอยู่ แต่กลิ่นไม่มี
      ถาม :    แล้วอย่างนี้ก็ไปซื้อเทียนที่เขาทำหลอดก็ใช้ได้เหมือนกันมั้ยคะ  ?
      ตอบ:      ใช้ได้เหมือนกัน   ปลอดภัยกว่า   เผลอแล้วไฟไม่ไหม้ด้วยอย่างเก่งหลอดขาดแล้วก็ดับ
      ถาม :  สังสัยน่ะค่ะ เจ้าพวกไข่ไก่ ไข่เป็ด เวลาเกิดขึ้นมาแล้วดวงวิญญาณที่จะเข้าจับ เพื่อจะเกาะอยู่กับสัตว์มันจะเกาะช่วงเวลาไหน ?
      ตอบ:       แล้วแต่วาระบุญวาระกรรมของเขา บางตัวพอเชื้อของตัวผู้ผสมตัวเมียปั๊ปมันก็จับเลย บางตัวโน้นแน่ะฟักไปแล้วตั้งสามเดือน โอ้ย ! ไม่ใช่ ฟักไปแล้วตั้งสามวันสิบวันแล้วค่อยจับ บางตัวออกมาเป็นตัวแล้วค่อยจับก็มี มีเหมือนกันที่ตายแล้วค่อยลงไปจับจนกระทั่งจิตเดิมมันออกไปจิตใหม่มันเข้าไป แทนใช้ซากเดิมกลายเป็นตัวใหม่ กลายเป็นชีวิตดวงใหม่ กลายเป็นจิตดวงใหม่ก็มีวาระบุญวาระกรรมมันไม่เท่ากัน
      ถาม :    มันเหมือนกันทุกชนิดมั้ยเจ้าคะ  ?   
      ตอบ:    ทุกชนิดน่ะจ้ะ     ถ้าต้องปฎิสนธิ    ที่เรียกว่า   อัณฑชะ      หรือ   ชลาพุชะ     อัณฑชะ   นี่คือเกิดในไข่    ชลาพุชะ    เขาเรียกว่าชำแรกไส้ความจริงคือเกิดในมดลูก
      ถาม :     อ๋อ !อย่างนี้   ที่เขาห้ามคนท้องไปงานศพ    ก็เพราะอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า  ?
        ตอบ:    ดีไม่ดี   คนตายมันมาแทน  (หัวเราะ)     
       ถาม :    เขาถึงห้ามไปงานศพใช่มั้ยคะ   ? 
       ตอบ:   จ้า จริง ๆ ก็ไปได้ ก็ตั้งใจภาวนาเอาพระคุมไปซิ ผีที่ไหนมันจะเข้าได้เล่า อย่างเมื่อกี้เขาเอารัก ? ยม มาไง มันผ่าส่งให้ก็บรรลัยไปเลย ของเราอธิษฐานพระคุมอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ไม่ดีเข้ามามันก็พังเอง ยิ่งเขาเห็นสว่างโร่มาแต่ไกลไม่มีใครเขาเข้าใกล้กันหรอกเผ่นกันหมด เพราะเวลาพระมานี่ไม่ใช่ท่านมาอย่างเดียว พรหม เทวดา ท่านตามรักษาด้วยกลายเป็นนายใหญ่มาอีก ตัวเองเล็กมากก็ต้องหนีให้ห่างไป
      ถาม :   เคยเจอคน   ๆ   หนึ่ง   เป็นประเภทมีเทวดารักษามากเลยเวลาไปไหนรถเสียประจำเลยเจ้าค่ะ   ?
      ตอบ:    มันเสียเพราะอะไรล่ะ  ?   
      ถาม :  ไม่ทราบเจ้าค่ะ พอเขาขึ้นนั่งปุ๊ปเขาก็ทักแล้วว่า เดี๋ยวต้องดูเครื่องก่อนนะว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พอเขาตรวจดูเรียบร้อยรถก็เสียพอเปลี่ยนคันรถก็เสียอีก
       ตอบ:   อันนั้นไม่ใช่เทวดารักษาแล้ว มันกลายเป็นหนักแผ่นดินแล้ว (หัวเราะ) บางคนอาจมีวาระกรรมของเขาอยู่ ที่ตามมาไม่แน่ใจว่าจะเป็นเทวดา เพราะถ้าเป็นเทวดาใครเขาจะทำให้เสียมีแต่ทำให้ถึงเร็วขึ้น
      ถาม :    ก็เลยว่าคน   ๆ   นี้ไปไหนต้องมีคนไปด้วย   เพราะเธอไปแล้วเธอจะทำให้รถเสียทุกครั้งเลย
      ตอบ:   มีอยู่รายเดียวที่รู้จักนะ แล้วก็เรียกว่าเทวดารักษามากจนเกินไปทำให้มีผลไม่ดี คือ เด็กผู้ชายคนหนึ่งพอเกิดมานี่มันจะมีต่อหัวเสือรังหนึ่งมาทำที่ชายคาบ้าน แล้วเด็กคนนั้นไปไหนต่อฝูงนั้นบินตามไปด้วย ถ้าเด็กไปหยุดพักหรือเล่นที่ไหนต่อจะไปจับที่ข้างฝาหรือใกล้ ๆ อยู่เป็นกลุ่มอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วใครจะกล้าเข้าใกล้พ่อคุณล่ะ ยกเว้นคนในบ้านที่เขารู้ว่าไม่เป็นอันตราย คนอื่นขืนเข้าใกล้มันคิดว่าเป็นอันตรายก็ซวยล่ะสิ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2008, 02:56:21 »

http://grathonbook.net/book/5.5.html

ถาม :    พญานาคนี่มีจริงมั้ยคะ  ?
      ตอบ:     มีจ้ะ    มีทั้งนาคจริงแล้วนาคปลอมด้วย   รู้จักนาคปลอมมั้ย  ?
       ถาม :  เป็นยังไงเจ้าค่ะ  ?
      ตอบ:     ไม่เคยเห็นตามบันไดโบสถ์บ้างเหรอ (หัวเราะ)   อันนั้นพูดเล่นจ้ะ    นาคปลอมคือเทวดาที่ท่านเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ พวกนี้เรียกว่านาคปลอม เพราะว่าเวลาออกปฎิบัติงานส่วนใหญ่จะไปในลักษณะของงูใหญ่ ความจริงท่านเป็นเทวดาแต่เวลาออกปฎิบัติงานไปในลักษณะงูใหญ่ ถ้าเป็นบริวารของท้าววิรุฬหก ก็ไปในลักษณะของกุมภัณฑ์      บริวารท้าวเวสสุวรรณ ไปในลักษณะของยักษ์  บริวารของท้าวธตรฐ ไปในลักษณะของคนธรรพ์ ความจริงท่านเป็นเทวดาสวย ๆ ทั้งนั้น นั้นเป็นเครื่องแบบของท่านเวลาทำงาน เพราะฉะนั้นบริวารของท้าววิรูปักษ์ก็เลยเป็นนาคปลอมเพราะว่าเป็นเทวดาจำเเลง ขึ้นมา
                 ส่วนนาคจริง   ๆ   เป็นเดียรัจฉานกึ่งทิพย์ที่มีฤทธิ์ พวกนี้ท่านได้ทำบุญใหญ่ แต่ว่ากรรมเก่าก็มากหรือว่าอาจสร้างกรรมดีมาแล้วมีความผิดเสริมไปด้วยก็ เลยกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานกึ่งทิพย์ไป ที่จิตใจใฝ่บุญกุศลก็มี   ที่ประเภทไม่เอาไหนเลยก็มี พวกที่ใฝ่บุญใฝ่กุศลส่วนใหญ่ก็จะหนุนเสริมพระภิกษุในพระพุทธศาสนา หรือไม่ก็ช่วยเหลืองานต่าง ๆ เพราะว่าเขาสามารถจำแลงเป็นคนได้มีทั้งจริงทั้งปลอม
       ถาม :   ที่อัฟกานิสสถาน   ที่ทำลายพระพุทธรูปอยู่นี่   ซวยมั้ยครับ ?
      ตอบ:      ก็ปล่อยเขาสิ   โทษทำลายพระพุทธรูปนี่อเวจีทีเดียว    อย่าไปกังวลแทนเขา
      ถาม :    ใครไปสร้างไว้ที่นั้น  ?
      ตอบ:      สมัยนั้นพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก   ราว  ๆ    พ.ศ.   ๓๐๐   กว่า  ๆ   สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ไง พระเจ้าอโศกมหาราชนี่ท่านเล่นครองชมพูทวีปเลย พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมากเกือบจะเป็นพระเจ้า จักรพรรดิอยู่แล้ว แต่ของท่านไม่มีจักรแก้ว   นางแก้ว   ท่านก็มี  พระขรรค์แก้ว ท่านก็มี   ช้างแก้ว    ม้าแก้ว อะไรท่านก็มี   เพียงแต่ว่าขาดจักรแก้วในการประกาศตนเป็นจักรพรรดิเท่านั้น   
              ท่านอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาถึงขนาดว่ามีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ที่ไหนไปขุด อัญเชิญมาหมด แล้วตั้งใจสร้างเจดีย์ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชา เท่านั้นยังไม่พอ ท่านจัดงานฉลองเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน เลี้ยงพระทุกวันเลย ไม่รวยจริงทำไม่ได้ แล้วก็ยังไม่พอใจท่านอีก ท่านเอาสำลีพันตัว แช่น้ำมันแล้วก็จุดเป็นพุทธบูชา ยืนพนมมืออยู่ แล้วตาจ้องอยู่ที่เจดีย์ที่ท่านสร้าง ถวายเป็นพุทธบูชา ตั้งใจว่าถึงไฟมันไหม้ให้เราตายไปก็ขอถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา แต่เผอิญกำลังใจท่านมั่นคงมาก ไฟก็เลยทำอันตรายไม่ได้
      ถาม :  อย่างนี้ก็ไม่สมความตั้งใจสิครับ  ?
       ตอบ:   ท่านตั้งใจอยู่ว่าท่านจะถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ในเมื่อจุดไฟจนกระทั่งมันมอดไป เป็นอันว่าจบแล้วมันจะไม่สมความตั้งใจได้อย่างไร เพียงแต่ท่านตั้งใจว่าถ้าตัวท่านตายก็ช่าง พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อปกครองในชุมพูทวีป    ในช่วงนั้นเขตของอัฟกานิสสถานเฉพาะเมืองที่สร้างพระพุทธรูป     เป็นเขตของพระพุทธศาสนา มีวัดวาอารามมากในเมื่อมีความเลื่อมใสมากก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ โดยเฉพาะพระพุทธรูปยืนองค์ที่เขาถือว่าที่สุดในโลกแกะสลักหน้าผาเป็นรูปพระ พุทธรูปแกะภูเขาเป็นพระเลยนะ
       ถาม :  แล้วที่เมืองจีน   ? 
      ตอบ:   ที่เมืองจีนพระนั่ง นั่งห้อยพระบาทที่มุมของแม่น้ำแยงซีเกียงที่มันท่วมประจำทุกปี แล้วก็เกิดอุบัติเหตุล้มตายกันเป็นประจำที่อะไร ? เล่อซาน 
      ถาม :   ขี่พายุทะลุฟ้า  ?
      ตอบ:   (หัวเราะ) ขี่พายุทะลุฟ้า เออใช่ ! ไอ้ที่มันไปดวลกันหน้าตักพระ ไอ้พวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูง (หัวเราะ) น้ำท่วมถึงพระชานุ อัคคีคุ คั่งถ้ำเทียมเมฆ สำนวนจีนเขา มันเป็นปริศนาโบราณไม่มีใครรู้... น้ำท่วมถึงเข่าพระ พระพุทธรูปองค์นั้น สูง ๙๑ เมตร เข่าสูงแค่ไหน ? ถ้าน้ำท่วมถึงเข่าพระก็แย่ คราวนี้เข่าพระมีถ้ำใหญ่มีกิเลนไฟอยู่ ถ้าน้ำท่วมมันอยู่ไม่ได้มันออกมาก็อาละวาด นั่นน่ะปริศนาออกนอกเรื่องไปเยอะ....เลี้ยวกลับมาใหม่ เดี๋ยวไปไกล...จากอัฟกานิสสถานโดดทีเดียวไปจีนเลย
      ถาม :   พระเจ้าอโศกนี่เป็นฝรั่งเหรอครับ  ?   รูปปั้นเหมือนฝรั่งเลย
      ตอบ:    ท่านมีเชื้อสายกรีกอยู่อย่าลืมว่ากรีกนี่ครองอินเดียเป็นระยะเวลายาวนาน      ตั้งแต่อเล็กซานเดอร์มหาราช   แล้วมา   เมนันเดอร์...เมนันเดอร์  นี่   บาลีเรียกว่ามิลินทร์      มิลินทะ   พระยามิลินทร์  ที่โต้ปัญหากับพระนาคเสน        คราวนี้มีจารึกพระเจ้าอโศกมหาราชที่เป็นคำทำนายของพระโมคคัลลาน์ติสสะเถระเจ้า ท่านทำนายว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว พระมหาเถระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งด้วยบารมีจะนำพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองคล้าย กับสมัยพุทธกาลอีกวาระหนึ่ง นั่นแหละ ธรรมกายเขาถึงได้คิดว่าเป็นอาจารย์ของเขา ความจริงการเจริญรุ่งเรืองไม่ใช่เจริญด้วยวัตถุ แต่เป็นเพระว่ามีพระอริยเจ้ามาก ต้องเน้นผล ไม่ใช้เน้นวัตถุ
                ภายหลังอิสลามสามารถที่จะครองพื้นที่ตรงนั้น   ทั่ว  ๆ   ไปเขาก็ไม่ยุ่งด้วย    เพราะอิสลามถือว่าการเข้าไปยังศาสนสถานของศาสนาอื่นนี่    จะทำให้ตกนรก เขาก็ปล่อยมายาวนานตั้งเป็นพันปี ก็ตั้งแต่ พ.ศ. ๓๐๐ กว่า ๆ มาสองพันกว่าปีแล้วซะด้วยซ้ำไปเขาก็ปล่อยยาวมาเรื่อย มาถึงชุดนี้คงเกะกะลูกกะตาเต็มทีก็เลยถล่มทิ้งซะ รู้สึกอยู่ข้างบนมันเย็นไปอยู่อเวจีมันท่าจะอุ่นหน่อย โทษการทำลายพระ พุทธรูปไม่ว่าองค์ใหญ่องค์เล็ก ก็ตาม โทษลงอเวจีมหานรกไว้ก่อน ยิ่งองค์ใหญ่ต้องใช้กำลังใจในการทำลายสูงมาก โทษยิ่งหนัก   
      ถาม :  แล้วอย่างนี้   พระเครื่ององค์เล็ก  ๆ  ก็โดน    ?     
       ตอบ:   โดนแน่
      ถาม :    แล้วมีวิธีแก้มั้ยครับ  ?
      ตอบ:    บรรจุไว้ในพระองค์ใหญ่   ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย    บูชาท่านต่อไป     ไม่ใช่เอาไปตำแล้วทำเป็นผง
       ถาม :   ถ้าทิ้งไปแล้วล่ะครับ  ?
       ตอบ:    ก็โน่นเลย    ตั้งใจขอขมาเช้า   กลางวัน  เย็นเลย    (หัวเราะ)
      ถาม :  ของพ่อตาผมครับ   พอดีเขาไปหาคนทรง   แล้วคนทรงหยิบยังไงไม่รู้ออกจากปากมาเป็นพระให้    เขาก็สงสัย   กลับบ้านก็เอาฆ้อนตำเลย
      ตอบ:    แหม.. น่ารักมาก   ความจริงมันน่าจะอมไว้ในปากแล้วเอาฆ้อนตีหัวตัวเอง    มันจะได้เป็นการพิสูจน์อย่างแท้จริง     น่าเสียดายของที่ได้มาแบบนั้นไม่ใช่หาได้ง่าย  ๆ  นะ     มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง      มีร่างทรงทรงสมเด็จพระเจ้าตากสิน ท่านเคี้ยวหมากไปเรื่อย คายออกมาก็พระองค์หนึ่ง คายออกมาก็พระองค์หนึ่ง ใครอยู่ตรงนั้นก็ได้กันไปคนละองค์ คนละองค์ส่วนใหญ่เป็นพระยอดธง        เคี้ยวหมากแท้   ๆ    ไม่เห็นท่านอมเอาไว้เลย 
      ถาม :   เมื่อไหร่   จะเคี้ยวหมากครับ  ?
       ตอบ:   ปฎิเสธหลวงพ่อไปแล้ว มีอยู่วันหนึ่งตั้งใจภาวนาอยู่ เพราะว่าอยู่บนรถทัวร์เมื่อขึ้นรถเมื่อไหร่ จะตั้งใจภาวนาทันที เพราะไม่ทราบว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่าเราอาจถึงชีวิตก็ได้ ภาวนาไป ภาวนาไป ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ปึ้ด กลิ่นหอมตลบไปเลย พอได้กลิ่นมันอยากจนน้ำลายยืด
      ถาม :  ยานัตถุ์  หรือว่าหมาก  ?
       ตอบ:   กลิ่นยานัตถุ์ เลยบอกหลวงพ่อครับยานัตถุ์ก็ไม่เอา หมากก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ เสียงท่านถามบอกว่าแล้วไม้เท้าจะเอามั้ย ? อีตอนนั้นขืนตอบนี่โง่มาก เอาหรือไม่เอานี่โดนแน่เงียบไว้ก่อน เพราะฉะนั้นจะมารอเรื่องพระนี่เดี๋ยวแจกให้ไม่ต้องเสียเวลาเคี้ยว แจกทุกเดือน
       ถาม :   แล้วการซ่อมแซมพระนี่....(ฟังไม่ชัด)...
      ตอบ:   อานิสงส์ของการซ่อมแซมพระ  ถ้าหากว่าเกิดใหม่จะมีหน้าตาที่สวยงามมากกว่าผู้อื่นเขา     โดยเฉพาะเรื่องของเบญจกัลยาณี      ถ้าเป็นผู้ชายมันน่าจะเป็นอาโนลด์ น่ะ...ชายงามจักรวาล ๓ ปีซ้อน (หัวเราะ) อีตาอาโนลด์นี่ ถ้าไม่สละสิทธิ์ไม่มีใครแย่งได้จริง ๆ ลักษณะของเขามันสมบูรณ์สมส่วนไปทุกส่วนไง ถ้าดูมันยืนคนเดียวนี่ตัวมันใหญ่กว่าควายอีก แต่ถ้าไปยืนกับฝรั่งด้วยกัน เออมันก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก อานิสงส์ให้ให้เกิดใหม่สวยเป็นพิเศษ
       ถาม :  ถามเกี่ยวกับเรื่องทำลายพระครับ     ถ้าเกิดว่าอย่างบางครั้ง   เราไม่ตั้งใจแล้วบังเอิญมือปัดไปโดน  ?
       ตอบ:    อย่างนั้นเจตนาไม่มี    เราก็ซ่อมสิขอขมาแล้วก็ซ่อมซะ ติดกาวได้ก็ติดซ่อมใหม่ถ้าปิดทองได้   ให้งามไปเลยได้ยิ่งดี วันนี้ส่งให้คุณอรพินทร์ไป ๓ องค์ องค์หนึ่งเศียรหัก คอพอดีเลย องค์หนึ่งพระหัตถ์ท่านพาดอยู่บนเข่าลักษณะนี้ นิ้วพระหัตถ์หายไปสี่นิ้ว ส่วนอีกองค์หนึ่งฐานแตก (หัวเราะ) ส่งไปให้เขาซ่อมแล้วปิดทองอีก
       ถาม :   แล้วภาพที่เป็นกระดาษ   ?
       ตอบ:   ภาพพระ ก่อนหน้าก็เคยเก็บ เก็บไปเก็บมามันเยอะ เลยขอขมาท่าน ขออนุญาตประชุมเพลิงถวายจ้ะ ต้องขอขมาก่อนนะ อย่าไปเผาส่งเดช
       ถาม :  การกราบขอขมานี่   ต้องเตรียมดอกไม้  ?
       ตอบ:    ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียน    ก็ว่าให้ครบชุดไป    ถ้าหากว่าไม่มีก็สิบนิ้ววันทาจ้ะ
       ถาม :   แล้วถ้าเกิดตั้งใจเอาพระผงรูปเดิมมาบดเป็นผง     แล้วผสมใหม่  ?
      ตอบ:   นั่นแหละ   ชัดเลย   ทำลายพระพุทธรูป
      ถาม :   ถ้าของที่เข้าพิธีปลุกพระเสกแล้วก็ทิ้งไป
      ตอบ:   อันนั้นถ้าไม่ใช่รูปพระก็ไม่ว่ากันแต่ที่ทิ้งน่าเสียดายเพราะของที่พุทธา ภิเษกถูกต้องตามพิธีกรรมแล้วอานุภาพไม่ได้สูญไปไหนถึงแตกทำลายแล้วก็ยังมี อานุภาพอยู่
       ถาม :   ก็เก็บที่แตก  ๆ  ไว้
       ตอบ:    จ๊ะ   ยกเว้นอธิษฐานว่าถ้าแตกแล้วให้หมดอานุภาพ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2008, 20:19:22 »

http://grathonbook.net/book/5.6.html

เล่าเรื่องเมืองพม่า
                จระเข้ตัวนี้ก็เลยได้ชื่อเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เมืองย่างกุ้งเหมือนกันจะแยก ออกจากตรงปากน้ำย่างกุ้ง เรียกว่าปากน้ำ ?งาโมย่า? พระยาจระเข้ตัวนี้สามารถแปลงเป็นคนได้   แล้วก็มาแต่งงานกับนางละมุ    นางละมุนี่ถ้าภาษาไทยเรียกว่า  นางลำพู ไม่ทราบว่าเขาทำผิดศีลอีท่าไหนก็เลยกลายเป็นจระเข้ใหม่ ไม่สามารถจะคืนเป็นคนได้ แกก็เลยหนีลงน้ำไป ปรากฏว่าประเมินน้ำใจของภรรยาผิดไป
              คุณลำพูก็เลยพายเรือตามหาสามีไม่ใช่บัวลอยนะ พวกเราเคยได้ยินมั้ย สุดคลองบางกอกน้อยพายเรื่อตามหาบัวลอย ( หัวเราะ) เพลงนี้มันเก่ามากแล้ว พวกเราไม่เคยได้ยินกันหรอกหรือเคยได้ยินก็จำไม่ได้ พายเรือไป ตรงนั้นมันอยู่ใกล้ปากน้ำย่างกุ้ง คลื่นลมมันก็แรง เรือล่มตาย จระเข้มาเห็นศพเมียก็เสียอกเสียใจคาบศพเมียขึ้นมาไว้บนชายฝั่ง แล้วตีอกชกหัวตัวเองหัวใจสลายตายไปด้วย
                ชาวบ้านเขาเห็นอกเห็นใจในความรักระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดียรัจฉานเลยสร้างเจดีย์ให้หลังหนึ่ง    เรียกว่าเจดีย์แมละมุ หรือนางลำพู แมก็คือผู้หญิง ที่นี้แมละมุ คือนางลำพู เป็นเจดีย์ที่มีพระพุทธรูปทรงประหลาดมาก เป็นพระพุทธรูปปางพิศดารครึ่งนั่งครึ่งนอน ลักษณะเหมือนกับปางไสยยาสน์แต่ว่าท่านนั่งตัวตรง แล้วเท้าก็พาดยาวไปเหมือนกับนอน ไม่เคยเห็นพระพุทธรูปปางนี้มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนสามารถนั่งท่านั้นได้หรอก ลองดูเอวมันต้องหักเป็นมุมฉาก (หัวเราะ) เป็นเจดีย์ที่มีชื่อเสียงมาก หากว่าไปที่นั้นก็จะมีคนเอาลูกลำพูลูกละมุน่ะมาขายให้ ใครเคยเห็นบ้าง
              สมัยก่อนต้นลำพูเป็นต้นไม้ริมน้ำแล้วก็หิ่งห้อยมันชอบเกาะมาก ตอนกลางคืนนี่ยังกะดาวเป็นล้าน ๆ ดวงเต็มไปหมด แล้วมันก็จะกระพริบ ๆ ตามจังหวะของมัน บางทีต้นโน้นต้นนี้จังหวะมันไม่พร้อมกัน โน่นสว่าง นี่มืด อะไรอย่างนั้น สมัยนี้ต้นลำพูบ้านเรามันน้อย มีก็ต่างจังหวัดไกล ๆ ถ้าในกรุงเทพรู้สึกจะอยู่แถว ๆ ท่าพระจันทร์ รู้สึกจะมีอยู่สักต้นหนึ่ง เห็นว่าเขาจะล้อมรั้วเอาไว้ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่านะ คราวนี้มันแปลกอยู่ว่าบ้านเขามันมีตำนานจระเข้ได้เมียเป็นมนุษย์ บ้านเราก็ดันมีเหมือนกัน ชาละวัน   ตะเภาทอง   ตะเภาแก้ว ตะเภาทอง     ใช่มั้ย !   ของเรามีไกรทองด้วย   จระเข้เลยซวย    บ้านของเขาไม่มี   แต่ว่าเขารักกันจริง  ๆ  นะ
        ถาม :  อย่างชาละวัน   ถ้าเปรียบเขาบำเพ็ญนี่     
        ตอบ:   เท่าที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้อย่างเดียว   คือ  อชรังคเปรต       อชรังคเปรตน่ะเป็นเปรตหนึ่งในสิบสองจำพวก      อชรังคเปรตจะอยู่ในร่างของสัตว์เดียรัจฉาน อย่างเช่นว่ามีบางคนว่าพ่อตัวเองตายกลายเป็นงูเหลือมใหญ่เลื้อยมา มาบอกที่ซ่อนสมบัติ มันเป็นไปไม่ได้หรอก งูเหลือมใหญ่ขนาดนั้นจะต้องอายุหลายสิบปีเป็นอย่างน้อย ทำไมอยู่ดี ๆ ตายปุ๊ปแล้วได้เป็นเลย คือว่าร่างของเปรต จะเป็นเปรตในร่างของสัตว์เดียรัจฉาน
                พวกนี้ถ้าหากว่ามีบุญเก่าหนุนเสริม   บางทีเขาก็ทรงฌาน   ทรงสมาบัติจนกระทั่งสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ของจีนเขาก็มีตำนานพวกนี้ อย่างชะมดแปลงร่างเป็นคน หมาจิ้งจอกแปลงร่างเป็นคน ของเราก็มีพวกเสือสมิง พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็น อชครังเปรตหนึ่งในสิบสองจำพวก แต่ว่าถ้าจะเปรียบกับอย่างอื่นก็ไม่ทราบเหมือนกับว่าจะเปรียบกับอะไรดี... มันก็เข้าได้ตรงข้อนี้แสดงว่ามันต้องมีจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่คนว่าทั่วไป
                แต่จระเข้นี้มันมีจระเข้วิชา    คือ   คนแปลงเป็นจระเข้ ได้ด้วย    อย่างหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า เสกให้มหาดเล็กของเสด็จในกรมหลวงชุมพร เป็นจระเข้ เอาเชือกผูกเอวไว้ ผลักลงไปในบ่อ กลายเป็นจระเข้ว่ายน้ำตูม ๆ คราวนี้มันติดเชือกมันไปไหนไม่ได้ ลากขึ้นมาเอาน้ำมนต์รดก็กลายเป็นคนตามเดิม
              แต่ว่าตำราหรือว่าคำบอกเล่าอะไรต่าง ๆ จะมีอยู่หลาย ๆ ครั้งเหมือนกันว่า อาจารย์จะแปลงเป็นจระเข้เสร็จแล้วให้ลูกศิษย์ถือขันน้ำมนต์ไว้ ว่าถ้าเป็นจระเข้ให้เอาขันน้ำมนต์ราดจะได้กลายเป็นคนได้ ลูกศิษย์มันตกใจ ทำน้ำมนต์หกหลวงปู่ศุขท่านบอกว่าถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้องไปดักตรงเขื่อนชัยนาท เขื่อนชัยนาท เป็นเขื่อนกั้นเจ้าพระยาเป็นเขื่อนแรกของไทยเรา     ไปดักตรงนั้นมันก็จะไปติดอยู่ตรงแถว   ๆ   นั้น     
                คราวนี้ท่านให้สังเกตว่า  ถ้าหากว่าเป็นคนแปลงร่างเป็นจระเข้    หางมันจะสั้น   ๆ    กุด  ๆ    ไม่เหมือนจระเข้จริง      เขาบอกว่าหางมันทรงเหมือนกับหัวปลีทู่  ๆ   สั้น   ๆ   แต่ถ้าเป็นจระเข้จริงหางเขาจะยาว     ลักษณะของคนแปลงเป็นเสือสมิงก็เหมือนกัน     แบบเดียวกันเป็นอันว่าจบ     
              ในขุนช้างขุนแผน เห็นเถรขวาดแปลงเป็นจระเข้ มันเรียนกันถึงหรือเปล่าวะ ? คือว่าขุนแผนไปตีเมืองเชียงใหม่ ได้นางสร้อยฟ้ากับนางลาวทองมา เถรขวาดก็มาดูแลรักษาลูกสาวพระเจ้าเชียงใหม่คือนางสร้อยฟ้า แต่เป็นคนที่เก่งคาถาอาคมมาก มาเสียท่าให้กับ ลูก ๆ ของขุนแผนโดยเฉพาะพลายชุมพล ทำอาถรรพ์ไป โดนจับได้ ตอนที่สร้อยฟ้าทำเสน่ห์น่ะ พอโดนจับได้ก็เลยขู่อาฆาต ก็แปลงเป็นจระเข้ลงมาไล่ฟัดคน กินทั้งสัตว์เลี้ยงกินทั้งคน พลายชุมพลก็ต้องลงไปสู้กับจระเข้นั้นแหละจระเข้แปลง
                 พวกทางเขมร ยังมีพวกที่แปลงเป็นเสือสมิงอยู่  เสือสมิงมันมีอยู่    ๒   อย่าง     อย่างหนึ่งก็คือคนที่ศึกษาวิชาการเหล่านี้   ใช้น้ำมันหรือว่าสักหัวใจเสือสมิง      พอถึงเวลาแล้วสามารถแปลงเป็นเสือได้    เขามีข้อห้ามว่าอย่าฆ่าคน    ถ้าฆ่าคนไม่สามารถคืนเป็นคนได้เลย     แล้วอีกอย่างหนึ่ง    เสือที่มันกินคนมามาก   ๆ     วิญญาณผีตายโหงมันสิงอยู่     มันสามารถที่จะบังตาให้เห็นเป็นคนมาหลอกคนอื่นไปกินได้    อย่างแรกนี่พวกทางเขมรยังเล่นกันเยอะเรียกว่าน้ำมันเสือสมิง    สมัยรัชกาลที่ห้า เสด็จไปทางจันทร์บุรี     แถวน้ำตกพลิ้ว     
              ท่านก็มีพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ว่าไปเจออาจารย์เขมรมาตามลูกศิษย์ ลูกศิษย์สองคนกลายเป็นเสือสมิง คือตอนแรกลูกศิษย์ผู้ชายไปเรียนวิชา เสร็จแล้วได้น้ำมันเสือสมิงมาก็เก็บไว้บนหิ้ง กำชับเมียตัวเองว่าอย่าไปแตะต้องเป็นอันขาด คราวนี้ผัวออกป่าล่าสัตว์เมียก็อดรนทนไม่ไหว ห้ามอะไระนักหนาก็เปิดดู ดมกลิ่นดูเข้าท่า ลองเอามาทาดูว่าหวงนัก กลายเป็นเสือ ก็เข้าป่าไป ผัวกลับมาพอเห็นขวดน้ำมันตกอยู่ก็รู้เลยว่าเมียตัวเองแน่ ๆ แล้ว ไม่รู้จะตามยังไง มีวิธีเดียวก็กลายเป็นเสือไปตามทีนี้ทั้งสองคนไป อาจารย์ของตัวเองนี่ทิพจักขุญานใช้ได้เหมือนกัน รู้ว่าเกิดเรื่องไม่เหมะสมไม่ดีไม่งามกับลูกศิษย์ก็เลยออกมาตามตัว เขาบอกว่าถ้าหากว่าเจอเสือสมิงที่เกิดจากวิชาการตีด้วยไม้คานแล้วจะกลับเป็น คน อยากรู้จริง ๆ ว่าใครมันกล้าถือไม้คานมาประจันหน้ากับเสือตัวขนาดนั้นบ้างล่ะ
              รัชกาลที่ห้าก็ยังทรงมีพระอารมณ์ขันอยู่บอกว่าหลังจากนั้นแล้วก็ไม่ได้ข่าว คราวไม่ทราบว่าอาจารย์ได้ตัวลูกศิษย์กลับไปหรือว่าโดนลูกศิษย์กินไปแล้ว (หัวเราะ) ท่านก็บันทึกเอาไว้ดีเหมือนกันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นตัวอาจารย์ได้ลูก ศิษย์กลับไปหรือว่าโดนลูกศิษย์กินไปแล้วท่านก็เล่าเรื่องการล่าสัตว์ในเกาะ แล้วก็ไปล่าเสือ ท่านแปลกใจว่าเกาะเล็ก ๆ อยู่ห่างจากแผ่นดินปกติตั้งสองสามกิโล มันมีเสือมีกวางได้ยังไง สัตว์มันพอเห็นอาหารแล้วมันอยากกินก็อุตสาห์ว่ายไปแล้วก็ไปอยู่ในเกาะ
                 เรื่องของพระบรมธาตุอินแขวน ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ แล้วหินก้อนนั้นน่ะ ไม่ได้ติดกันอะไรเลย จับโยกได้แต่อย่าโยกแรงนะ หล่นลงไปนี่เขาจับหักคอเราแน่เลย (หัวเราะ) ครั้งแรกที่ไปถึงที่นั้นก็ตั้งใจกราบถวายบูชา พอนึกถึงพระท่านเห็นมาเขียวปี๋เลย เอ๊ะ!ทำไมพระมาสีนี้กลายเป็นท่านปู่พระอินทร์ เลยกราบถามท่านว่า ท่านปู่เอาก้อนหินก้อนนี้แขวนไว้จริง ๆ หรือครับ ท่านบอกว่าปล่อยให้เขาเชื่อไปอย่างนั้นเถอะลูก แต่ตอนนี้เขาสร้างเจดีย์มีพระธาตุมีอะไรบรรจุอยู่เทวดาต้องรักษาอยู่แล้วใช่ มั้ย ? ตอนแรก ๆ ไปแหงนมองดู เอ๊ ! ทำไมฝีมือมันหยาบ ๆ พอไปจับก้อนหินมันโยกได้ ถ้าเราทำก็หยาบกว่านั้นอีก.. กลัวตกยิ่งกว่ามันอีกว่างั้น
              ไปติเขาอยู่หลายปี ปีนี้เล่นปิดซ่อมทำใหม่ ถอดแผ่นทองที่หุ้มออกมาหมดเลย ที่หุ้มเจดีย์เขาตีเป็นแผ่นทองโตประมาณแค่นี้...( สองผ่ามือ) แล้วก็เล่นเย็บสี่มุมน่ะ ใช้น็อตไขเข้าไป คราวนี้เขาถอดออกมาทั้งหมด ปั้นองค์เจดีย์ใหม่ ติดลวดลายปูนปั้น เช้งวับเลยคราวนี้ ที่ไปเล็ง ๆ ดู ชอบอยู่อย่างเดียวแหละ เขาถอดเจดีย์ลงมา ถอดฉัตรยอดเจดีย์ลงมา บนยอดฉัตรมันมีนกหมุนอยู่ตัวหนึ่ง ไอ้นกหมุนตัวนั้นมันคาบทับทิมเม็ดแค่เนี้ยะ (หัวแม่มือ) เขาเจียรไนเป็นรูปหยดน้ำ สีมันเห็นแล้ว เจ้าพระคุณเถอะ ถ้าไม่ได้ใส่ไว้ในตู้นิรภัยอย่างนั้นแล้วก็คงไม่เหลือหรอก รู้สึกว่า พลโท   ขิ่นยุ้นจะไปเป็นประธานยกฉัตร    เดี๋ยววันอังคารก็ตียาวไปยกฉัตรประมาณพฤหัสก็วันพระ
              วันพระพม่าเขาก่อนของเราวันหนึ่ง ยกฉัตรเสร็จก็จะไปตรวจงานที่หนองบัวต่อ คงกลับประมาณวันที่ยี่สิบมีนา ระยะนี้ไปพม่าเป็นว่าเล่นเลย เดือนที่แล้วไปสองครั้ง เดือนนี้ไปครั้งหนึ่ง แต่นานหน่อย งานก่อสร้างยิ่งเร่งรัดเท่าไหร่ก็ยิ่งไปบ่อยเท่านั้น บาตรสองใบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุก็จะไปบรรจุไว้ที่นั้น เพราะว่าวันที่ยี่สิบเก้ามิถุนานี้จะวางศิลาฤกษ์โบสถ์และก็วิหารพร้อมกัน โบสถ์กับวิหารจริง ๆ แล้วคืออันเดียวกันแต่ทางพม่าจะไม่ให้ผู้หญิงเข้าในโบสถ์    ผู้หญิงไม่มีโอกาสเข้าไปในเขตเสมา เราก็เลยสร้างขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง เหมือนกันทุกอย่างเลยเพียงแต่ไม่ผูกพัทธสีมาเท่านั้น ให้ผู้หญิงเข้าไปไหว้ได้ จะได้ไม่มาน้อยใจ เดี๋ยวเขาเข้าไม่ได้น้อยใจขึ้นมาเขาไม่หุงข้าวให้กิน ก็เลยทำให้เหมือนกันทุกอย่างตั้งใจจะรื้อพร้อมกัน
              ถ้าโบสถ์กับวิหารเสร็จก็เหลือแต่ศาลาหอพระหลังใหญ่ศาลาหอพระหลังใหญ่นี่ ด้านบนแบ่งออกได้ยี่สิบสี่ห้อง ด้านล่างแบ่งได้ยี่สิบหกห้อง ด้างล่างมันมีติ่งห้อยออกมาหน่อย รวมแล้วห้าสิบห้อง ถ้าใครจะเป็นเจ้าภาพติดป้ายชื่อให้คิดห้องละหมื่น แล้วขณะดียวกันมีห้องน้ำใหม่อีกห้าห้อง ตอนนี้เขาจองไปสามแล้วจ้ะ เหลืออีกสองคิดห้องละหมื่นเหมือนกัน น่าเกลียดมาก ..ก..(หัวเราะ) ห้องน้ำห้องละหมื่น ห้องบนศาลาห้องละหมื่น ตอนแรกครูบาน้อยเจ้าอาวาส พอได้ยินเขาก็โวยว่าทำไมทางวัดท่าซุงคิดห้าหมื่นของอาจารย์คิดสามหมื่น แล้วของผมคิดหมื่นเดียวอยากเศรษฐกิจไม่ดีถ้าคิดมากโยมเขาไม่มีกำลังทำกับเรา หรอก

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2008, 20:08:51 »

http://grathonbook.net/book/5.7.html

ธุดงค์พบจงอางยักษ์
               จงอางในป่าใหญ่จริง ๆ โยม ตอนนี้ที่หน้าวัดมีลงมาตัวหนึ่งกัดควายตายไปตัวหนึ่ง วัวตายไปตัวหนึ่งรอบเขี้ยวมันห่างกันแค่นี้ ( ประมาณ ๓-๔ นิ้วฟุต) ไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก ปี ๓๗ ชาวบ้านเขายิงตายไป เส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวมันแปดนิ้ว งูเหลือมใหญ่ ๆ ยังหายากเลย แต่ตัวนั้นเป็นจงอาง คราวนี้เด็กคนงานที่หน่วยต้นน้ำ เอาหางมันมาท่อนหนึ่งใหญ่ประมาณฝ่ามือบอกว่าจะมาทำเข็มขัด บอกว่าเอ็งรีบเอาไปทิ้งโดยด่วนจี๋ให้ไกล ๆ เลย งูใหญ่ ๆ ส่วนใหญ่จะมีคู่ เดี๋ยวถ้าคู่ตามมาได้ตายกันยกหน่วย แค่นั้นเอง
              ปรากฏว่ามันตามมาช้าไปหน่อย มันมาปีที่แล้วนี่ ตอนนนี้กำลังซุ่ม ๆ อยู่แถวนั้นแหละ ชาวบ้านเขาไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายอะไร เดี๋ยวก็เสร็จมันอีก มันกัดตายไปสองตัวแล้ว รอบเขี้ยวมันห่างกันแค่นี้ แล้วลองนึกดู หัวมันยังงี้แล้วตัวมันจะยังไงเอ่ย ก็คงไม่หนีไอ้ตัวที่แล้ว มีแต่จะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป ไม่ใช่อนาคอนด้านะ บ้านเราไม่มี อันนี้จงอางจริง ๆ เลย จงอางในป่ามีใหญ่มาก ที่แน่ ๆ ก็คือว่า ไอ้เรื่องวาระบุญวาระกรรมมันมีอยู่ เขาโตมาได้ถึงขนาดนั้นแล้วอยู่ ๆ มาตายเอาดื้อ ๆ วันนั้นเขาออกหากินแล้วก็เลื้อยกลับโพรง
                 หัวหน้าคนงานคุณมานิตย์   วรรณะโพธิ์ เจอเขาพอดี มันเป็นจงอางบนหลังลายที่เป็นบั้ง ๆ ใครเคยเห็นบ้างมั้ย ? แล้วมันก็ไปเลื้อยไอ้ตอนที่ฝนตกใหม่ ๆ แล้วเขาเพิ่งเผาป่าก็ติดเอาขี้เถ้ากระมอมกระแมมมาด้วย แล้วเขาเห็นใหญ่ขนาดนั้นเขาก็บอกลูกน้องว่า เฮ้ย ! กูเจองูเหลือมมันเลื้อยเข้าไปในโพรงมึงไปยิงมากินที
              ไอ้ลูกน้องก็นำปืนแก๊ปอัดปืนไป คราวนี้งูใหญ่และมีพิษจะไม่กลัวอะไรง่าย ๆ พอได้ยินเสียงคนเดินก็โผล่หน้าจากโพรงมาดู ไอ้ลูกน้องก็เอาปากลำกล้องทิ่มใส่จมูกแล้วก็ยิงเลย โชคดีมากที่ตาย ไม่อย่างนั้นสงสัยได้ตายกันยกหมู่บ้าน ปรากฏว่าพอมันดิ้นป่าแตกหลุดออกมาได้ คนยิงก็กองอยู่ตรงนั้นแหละเข่าอ่อนไปไหนไม่เป็น ถ้ามันรู้ว่าเป็นจงอางและใหญ่ขนาดนั้น คิดว่าเอารางวัลที่หนึ่งให้มันซักคู่หนึ่งเข้าไปมันก็ไม่กล้าหรอก อีคราวนี้ลูกพี่ แหม! บอกซะอย่างดีเลยว่าเป็นงูเหลือม มันก็เชื่อลูกพี่มัน ลากออกมาตัวยาวสิบฟุตกว่า สิบฟุตกว่า ๆ ก็สามเมตรเศษ ๆ อย่างกับงูเหลือม ดี ๆ นี่เอง ตัวยักษ์เลยขนาดเขาลากมา คนเห็นยังใจคอไม่ดี ไอ้ตอนเป็น ๆ น่ากลัวขนาดไหนไม่รู้
              อีกทีหนึ่งไปอยู่ป่า ตอนกลางคืนได้ยินเสียงมันเลื้อยมา ตัวประมาณขวดน้ำใบโน้นน่ะ ส่องไฟไป แหม! ตามันเป็นประกายสะท้อนแสงเสว่างขึ้นมาก็เลยเกว่งไฟฉายให้มันรู้ว่าทางนี้มี คนมันจะได้ไม่เลื้อยเข้ามาก็ไม่รู้จะหนีไปไหน อยู่ริมบึงหนีไปก็ตกน้ำ งูเขาก็ว่ายน้ำเก่งกว่าเรา แกว่ง ๆ ไฟฉายให้เขารู้ว่าด้านนี้มีคนเขาก็เบนหัวไปทางอื่น
              ส่วนอีกทีหนึ่งนั้นอยู่ที่บ้านกะเหรี่ยง ไอ้ตัวนั้นใหญ่หน่อยน่าจะประมาณนี้ได้ ( ทำมือเท่ากระติกน้ำ) ตอนกลางคืนประมาณห้าทุ่มตื่นขึ้นมาไปปัสสาวะนอกถ้ำ กลับออกเข้ามานอน ทำกุฎิเล็ก ๆ ไว้ในถ้ำเลยเป็นไม้ใผ่ ความรู้สึกบอกว่าให้ปิดประตูซะเดี๋ยวงูใหญ่จะมา ไอ้เราเองก็ หือ ง่วงก็ง่วง จะไปเสียเวลาปิดเปิดอะไร นอนมันดีกว่า มุดเข้ากลดได้ก็นอนสักพักเดียวเท่านั้นแหละ มุงกลดไหวยวบ ๆ แล้วมันก็มุดตามเข้ามาตัวเย็นเจี๊ยบเลย มาถึงมันก็วน หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ ไอ้ตัวเราคนนอนอยู่น่ะความสูงตั้ง ๑๗๐ กว่าเซ็นต์ มันวนสามรอบแล้วหางมันยังอยู่นอกกุฎิเลย
              แล้วมันก็แลบลิ้นมาเลียหน้าเหมือนกับลองชิมดูหน่อยว่าอร่อยหรือเปล่า ? ตอนแรกว่าเป็นคนไม่กลัวอะไรนะ แต่มาเจอสภาพแบบนั้นนี่ แหม! มันนอนแข็งทื่อไม่กล้ากระดิกเลย ได้แต่บอกมันว่าไม่อร่อยหรอกอย่าลองกินเลย เขาลองชิม ๆ ดู ท่าทางจะไม่อร่อยจริงล่ะมั้งเลยคลายออกแล้วก็เลื้อยไปตรงหน้าถ้ำ ไปส่งเสียงร้องพักหนึ่ง เสียงมันร้องวี๊ด วี๊ด ยังไงบอกไม่ถูก เสียงสะเทือนแก้วหูมาก แสบแก้วหูเลย ร้องอยู่ประมาณสิบว่านาทีก็เลื้อยออกไปหากิน
                ตอนหลังพระรุ่นน้ององค์หนึ่ง   คือท่านชาติชาย ถามทางขึ้นไปตรงนั้น ก็บอกกับเขาว่าถ้าขึ้นไปถ้ำนั้นระวังให้ดีมันมีงูใหญ่อยู่ คุณชาติชายก็ย้ายไปนอนอีกถ้ำหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน มันจะมีช่องแตกเดินทะลุกันได้ เขาเลี่ยงไอ้ถ้ำนี้ซะ เขาบอกว่านอนอยู่ประมาณห้าทุ่มเหมือนกัน อยู่ ๆ แผ่นดินมันก็ไหวยวบยาบ ยวบยาบ แล้วก็หล่นพลั๊กลงมา อุตส่าห์ย้ายหนีแล้วไปนอนบนตัวมันเลย (หัวเราะ) ไอ้เราตามไปดู มันเป็นแอ่งหินเกือบ ๆ จะกลมเลย ไอ้เจ้านั้นก็ขดเต็มแอ่งหินอยู่แอ่งพอดี รายนี้ไปถึงคลำ ๆ เออมันเรียบพอแล้วก็นอนเลย ไม่ได้ส่องไฟดู ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลย เขาบอกว่าผมอุตส่าห์หนีมันแล้วนะ ไปนอนบนตัวมันไม่รู้เรื่องเลย ต่างคนต่างโง่พอดีกัน (หัวเราะ) คือ ไอ้งูมันก็คงคิดว่าอะไรว่ะมาถึงก็มานอนเลย ส่วนไอ้คนก็ไม่นึกกว่าเป็นงูก็เลยไม่กลัวพอ ๆ กัน

cmman573

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008, 20:56:08 »

ข้อมูลและเนื้อหายาวดีเจงๆ ละลานตาไปหมด

virgin_killer

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008, 21:00:52 »

ข้อมูลและเนื้อหายาวดีเจงๆ ละลานตาไปหมด

แกไม่ได้อ่านหรอก ชั้นรู้..

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008, 21:26:06 »

http://grathonbook.net/book/6.1.html

กระโถนข้างธรรมาสน์  เล่ม 6
สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
ณ  บ้านอนุสาวรีย์   เดือนเมษายน  ๒๕๔๔
          ถาม :  ถามเรื่องฤกษ์พรหมประสิทธิ์ที่หลวงปู่ปานท่านให้น่ะครับ วันพุธฤกษ์ห้ามคือสามค่ำหรือห้าค่ำครับ เพราะเท่าที่ผมดูในตารางแล้ว.........
       ตอบ :   จริง  ๆ   แล้วมัน  ๓  แต่ว่าอีกอันหนึ่งวัดท่าซุงเขาพิมพ์มามันจะเป็น     ๕   ค่ำ
       ตอบ :    ตกลง   ๓  นะครับ   แล้ววันจันทร์ละครับหลวงพี่   อมฤตโชคนี่
       ตอบ :  ๓ ค่ำ อันนั้นมันผิด เพราะว่ามันจะมีที่เขาพิมพ์มามันตกไป ๒ อัน แล้วก็จะมีเกินอันหนึ่ง ฤกษ์ประสิทธิ์โชคมันจะเป็นอมฤตโชคไปเลย ( หัวเราะ) ของเรามันไม่ผิดหรอกเพราะเราไปเปิดไล่จากปฎิทิน ๑๐๐ ปี มันลำบาก ถ้าหากว่ามีประเภทปฎิทินปกติมาเลยมันก็เร็ว แต่ถ้าเราไปรอปฎิทินปกติมันร่วมปีใหม่มันทำไม่ทัน เปิดไล่จากปฎิทิน ๑๐๐ ปี มันก็มีลอดหูลอดตาไปบ้าง
       ตอบ :  คราวนี้ขอถามที่เป็นปีเกิดน่ะครับ ที่หลวงปู่ท่านเขียนไว้ว่าวันนี้เป็นวันลาภ ชัย เสมอตัว กาลกิณีโจร มรณะ ตกต่ำ แต่ละอย่างหมายความว่ายังไงครับ ?
       ตอบ :    ความหมายมันก็ตรงตัวอยู่แล้ว   วันลาภ   ถ้าหากว่าเราทำงานอะไร   จะทำอะไรที่เกี่ยวกับลาภผลเงินทองวันนั้นมันก็จะได้ดี    วันชัยก็คือเกี่ยวกันการต่อสู้   อย่างเช่นว่าอาจจะขึ้นชกมวยหรือก็ไปว่าคดีความ    ตกต่ำก็คือวันนั้นไม่ดีไม่ควรทำ    เสมอตัวก็บอกตรงอยู่แล้ว     กาลกิณีก็คือไม่ดีแน่    วันโจรก็คือให้ระวังไว้   วันลักษณะนั้นของจะหายง่าย
       ตอบ :    แบบนี้ต้องระวังทุกอาทิตย์เลยสิครับ  ?
       ตอบ :  ก็ อาทิตย์ละครั้ง แต่จริง ๆ ระวังไว้ทุกวันนะ ไม่ใช่วันอื่นที่ไม่ใช่วันโจรก็เปิดประตูหน้ายันหลังเลย ต่อให้ไม่ใช่วันโจรมันก็หาย
       ตอบ :   แล้วมรณะนี่ล่ะครับ  ?
       ตอบ :   มรณะนี่มันจะเป็นวันคล้าย   ๆ  กับว่าวันที่เจ้าของดวงชะตาจะตกต่ำที่สุด    โอกาสที่มันผิดพลาดจะเจ็บหรือตายมีมากกว่าวันอื่น
       ตอบ :    แย่กว่ากาลกิณีอีกเหรอครับ  ?
       ตอบ :    แย่กว่าเยอะ   มรณะนี่อันตรายที่สุดของเจ้าของปีเกิดนั่นแหละ     อาตมาเองโดนไปเต็ม   ๆ   ๔   เขี้ยวนี่ก็วันมรณะ    ปกติแล้วมันกัดไม่เข้า  (ถูกงูกะปะกัด)
       ตอบ :   วันมรณะนี่ของดีอะไรก็ช่วยไม่ได้เหรอคะ  ? 
       ตอบ :    ก็ต้องดูด้วยว่าเราทำบุญมาพอไหม   ?   กำลังใจของเราสูงพอไหม  ?    ถ้าหากว่ากำลังบุญกำลังใจมันสูงพอจากหนักก็เป็นเบา   จากเบาก็เป็นหาย    แต่ถ้ากำลังใจแย่   ๆ    ไม่เจ็บหนักก็ตาย
       ตอบ :   แล้วอย่างสมมุติว่าคนที่เกิดช่วงปีปลายปีจะต้องนับเป็นปีไทยนี่ก็ต้องนับไปอีกปีหนึ่งใช่ไหมครับ  ?
       ตอบ :   ไม่ใช่   ปลายปีสากลใช่ไหม   ?    อย่างธันวาคม     อย่างเช่นว่าเป็นปีนี้เกิดธันวาคมก็เป็นปีมะเส็ง
       ตอบ :   มันจะกลายเป็นเดือนหนึ่งหรือเดือนสอง 
       ตอบ :  จะเป็นเดือนอ้าย ปีมะเส็งเดือนอ้าย สมัยก่อนเขานับขึ้นปีใหม่เขานับเดือนห้า เริ่มเดือนห้า แรม ๑๕ ค่ำเดือน ๔ เป็นสิ้นปี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นปีใหม่ อย่างเช่นเด็ก ปีหน้า ถ้าหากว่าเกิดก่อนขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ยังเป็นปีมะเส็งอยู่ แต่ถ้าหากว่าขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ ปี ๒๕๔๕ ไปแล้วเป็นปีมะเมีย เขาจะเริ่มนับกันอย่างนั้น พอเริ่มขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ ก็เริ่มนับเปลี่ยนศักราช
       ตอบ :    ถ้านับตามเดือนสากลก็จะเป็นอะไรคะ   ?
       ตอบ :    นับตามสากลก็จะเป็นปลาย  ๆ   เดือนมีนาคมไม่ก็ต้นเดือนเมษายน
       ตอบ :   อย่างที่เขาเรียกว่าปีใหม่ไทยหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :  ปีใหม่ไทยเขานับสงกรานต์เลย ก่อนหน้านั้นเขาก็จะนับกลางเดือนห้า ๑๕ ค่ำเดือน ๕ ไป ๆ มา ๆ มันลำบากเลื่อนขึ้นเลื่อนลง เขาก็กำหนดให้มันถาวรไปเลยว่า ๑๓ เมษายน เป็นวันสงกรานต์   ๑๔    เมษายนเป็นวันเนา   ๑๕   เมาษายนเป็นสังขารล่อง
       ตอบ :   แล้วเท่าที่ลองดูสถิติตามหลวงปู่น่ะครับ    โอกาสเกิดแบบนี้เท่าไหร่ครับ  ?
       ตอบ :    จำ   ๒   วันเท่านั้น   คือ วันลาภกับวันชัย   วันอื่นไม่ต้องจำเพราะมันไม่ดีอยู่แล้ว (หัวเราะ) ง่ายดีไหม จะทำอะไรเกี่ยวกับลาภผลเงินทองเราก็ไปวันลาภ จะทำอะไรอย่างชนิดที่เรียกว่าเราต้องเหนือกว่าเขา ต้องการชนะเขาเราไปวันชัย จำมัน ๒ วันแค่นั้นแหละอันอื่นเลิกจำเถอะ
       ตอบ :    ผมนึกว่าแทนที่เราจะต้องไปจำวันมรณะ   วันกาลกิณี   จะได้ระวังตัวเอาไว้  ?
       ตอบ :  เสียเวลา เอาวันดีไว้ ๒ วันพอ นอกจากนั้นมันหาดียาก เสมอตน มันก็เสมอตัวไง หีนะก็ตกต่ำ กาลกิณีก็เลวร้ายมรณะนี่ตายเลย โจระก็คือโดนโขมยแน่ รู้ครบมันก็ดีแต่บางทีรู้ครบมันยุ่งนะ ก็เลยตัดเหลือแค่นั้น
       ตอบ :   ......(ไม่ได้ยิน)......
       ตอบ :    ถ้าหากว่บารมีเราสูงกำลังใจเราดีไม่จำเป็น     แต่เรียกว่าไม่ประมาทก็ได้    พวก ฤกษ์ยามต่าง ๆ มันเหมือนกับการข้ามถนน ถ้าเราดูดีแล้วว่าปลอดภัยไม่มีรถมาแล้วเราข้ามมันก็โอเค ๑๐๐% ชัวร์ว่าไม่มีอันตรายแน่ แต่ถ้าหากว่าคนที่เขาคล่องตัวแล้วเขาอาจจะข้ามตอนที่รถกำลังวิ่ง ๆ อยู่เยอะแยะเขาก็ข้ามได้      
              คราวนี้จะเอาแบบไหนดีล่ะ ประกันความปลอดภัยดีหรือจะเสี่ยงดี คือ ถ้ามันไม่ลำบากมากนักเราก็ประกันความปลอดภัยใช่ไหม ? ถือฤกษ์ถือยามมันสักนิดหนึ่งแต่ถ้ามันลำบากมากเรามั่นใจว่ากำลังใจระดับของ เราสร้างมาจนถึงขนาดนี้แล้วอันตรายไม่มีแน่ก็ลุยมันเลย แต่จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่าประมาท อย่างนั้นก็ระวังไว้หน่อยดีกว่า มองซ้ายมองขวา... มองขวามองซ้ายสิ มองซ้ายมองขวารถชนแน่ (หัวเราะ) มองขวามองซ้ายมองขวาอีกทีปลอดภัยแล้วค่อยข้าม
               การถือฤกษ์ยามก็เป็นอย่างนั้น    หลวงพ่อวัดท่าซุงปกติแล้วท่านถือฤกษ์ สะดวก คือ พร้อมเมื่อไหร่ทำเมื่อนั้น แต่ว่า... อันไหนก็ตามที่ท่านบอกกับลูก ๆ แสดงว่าท่านลองซะจนช่ำแล้ว ว่า ถ้าฝืนเมื่อไหร่เป็นเจ็บตัวแน่ ท่านก็ถึงได้บอก ของเราถ้าเราไม่มั่นใจคิดเราอาจจะรอดเราก็ลองดูได้นี่ ถ้าเจ็บตัวกลับมาค่อยมาถือ ตามท่าน (หัวเราะ) เพียงแต่ว่ามันจะรอดกลับมาหรือเปล่า ?
       ตอบ :   แล้วอย่างฤกษ์ห้ามล่ะครับ    อย่างวันอาทิตย์ห้ามขึ้นบ้านใหม่หมายความว่ายังไงครับ  ?
       ตอบ :   โบราณเขาถือว่าอาทิตย์เป็นวันร้อน    การขึ้นบ้านใหม่มันควรจะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข    ส่วนใหญ่เขาถือฤกษ์วันศุกร์กัน   วันอาทิตย์เขาก็ไม่ขึ้นบ้านใหม่ 
       ตอบ :    แล้วอย่างฤกษ์แต่งงานล่ะครับ    เขาถือเอาวันที่ทำพิธีหมั้น   หรือทำพิธีสงฆ์    หรือว่าส่งตัวครับ  ?
       ตอบ :    วันส่งตัว
       ตอบ :    หมายถึงวันส่งตัวน่ะครับ
       ตอบ :    ฤกษ์แต่งงานคือส่งตัว    ไอ้วันเข้าหอนั่นล่ะ 
       ถาม :   .....................
       ตอบ :  ที่เราทำแบบนี้มันถูกต้องเพราะว่าผีเขาต้องการสังฆทาน แต่ว่าการที่เราไปไหว้เช็งเม้งที่ไปสุสานไปมันได้ตัวกตัญญู สมัยก่อนจะถือคนจีนเขาถือมากเลยเรื่องอกตัญญู ไม่ไหว้สุสาน ไม่แต่งงาน คือ ไม่มีลูกเขาจะถือ ของเราเองเราทำทางนี้แล้วถ้าหากจะไปไหว้ถ้ามีเวลาก็ไปกับเขา นิมิตตัง   สาธุรูปานัง    กตัญญูกตเวทิตา     ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี   พระพุทธเจ้าท่านยังสรรเสริญไว้ชัดเลย    ตรงจุดนี้แหละที่หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าไว้ว่า    สังเกตดูมั้ยคนจีนอยู่ที่ไหนก็ลำบากไม่นานเดี๋ยวก็ตั้งหลักฐานได้      ท่านบอกว่าคนกตัญญูที่ไหนก็มีแต่ความเจริญ
       ถาม :  อย่างนั้นสมมุติว่าโจรฆ่าพ่อแม่ตายแล้วเอาลูกไปเลี้ยง ลูกรู้เข้า ก็ต้องการแก้แค้นให้พ่อแม่ตัวเองก็ต้องฆ่าผู้มีคุณที่เลี้ยงตัวเองมา คิดว่าทางออกของคนที่อยู่ในสภาวะอย่างนี้จะทำอย่างไรครับ ?
       ตอบ :  สำหรับตัวเราที่เป็นนักปฎิบัติอยู่แล้วก็ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป เพราะว่าถ้าเขาไม่เลี้ยงเรามาก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดมาจนป่านนี้ บุญคุณกับความแค้นมันทดแทนกันได้ พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดแต่ว่าเขาเป็นผู้ให้ชีวิตรักษาชีวิตเรารอด แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้ปฎิบัติธรรมนี่ เออ มันฆ่าพ่อแม่เราก็ไม่ดีก็ลงมือเอาเหมือนกัน (หัวเราะ) ต้องตัวอย่างฑีฆาวุกุมาร    ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล    สมัยก่อนการตีบ้านตีเมืองคนอื่นเป็นการแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ   มันเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของทหารของพระมหากษัตริย์   
               คราวนี้การที่ไปตีบ้านตีเมืองของพระเจ้าฑีฆีติโกศล    ทำให้เขาตายแล้วลูกหนีรอดไปได้    ไปเรียนศิลปศาสตร์กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เสร็จก็กลับมาล้างแค้นให้พ่อแม่ ทำอย่างไรจะเข้าใกล้ตัวได้ ก็ไปสมัครเป็นคนเลี้ยงช้างเลี้ยงม้า พอกลางคืนก็ดีดพิณกล่อม ระบายอารมณ์หรือว่ากล่อมช้างกล่อมม้าไปด้วยในต้ว ปรากฏว่าเสียงพิณได้ยินเข้าไปถึงในปราสาท พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ว่า เออ คนนี้เขาเก่ง เลยเรียกเข้ามาให้เป็นนักดนตรีประจำพระองค์มีหน้าที่ดีดพิณขับกล่อมแล้ว ฑีฆาวุกุมารเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนตั้งใจปฎิบัติงานดี พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ไว้ใจจนกระทั่งกลายเป็นมหาดเล็กส่วนพระองค์ไป
              คราวนี้วันหนึ่งออกล่าสัตว์ก็ไปด้วยกัน ฑีฆาวุกุมารขับรถม้าให้ก็แกล้งขับซะเร็วจนพวกทหารตามไม่ทันลดเลี้ยวไปตามป่า จนกระทั่งแกล้งบอกว่าหลงทาง พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านเหนื่อยมากขอพักนอนหนุนตักฑีฆาวุกุมารนั่นแหละแล้วก็ หลับ ฑีฆาวุกุมารเห็นว่าได้โอกาสล้วงมีดออกมาว่าจะเสียบเสียซะ มานึกถึงว่าตอนที่พระเจ้าฑีฆาติโกศลผู้เป็นพ่อจะโดนประหารชีวิต ฑีฆาวุกุมารหนีรอดไปแล้วแต่แอบมาดูการประหาร พระเจ้าฑีฆาติโกศลรู้อยู่ว่าลูกตัวเองมา ก็ตะโกนขึ้นมาลอย ๆ ว่า ?รักยาวให้บั่น     รักสั้นให้ต่อ?   คนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง    แต่ว่าฑีฆาวุกุมารฟังรู้ว่าพ่อบอกว่า  ?อย่าจองเวรกัน?    ถ้าหากว่าจองเวรกันต่อไปแล้วมันก็จะต่อเนื่องยาวนานกันไปไม่มีที่สิ้นสุดใช่ไหม      ?     
              เพราะฉะนั้นก็ควรจะตัดมันให้สั้นลง แต่ถ้าหากว่าคิดสั้นเฉพาะหน้าจะต่อความยาวสาวความยืด ให้มันเป็นเวรเป็นกรรมกันนับชาติไม่ถ้วนก็ทำเหอะ เท่ากับว่าพ่อสั่งห้ามไว้ นึกขึ้นมาได้ถึงคำสั่งพ่อก็เก็บอาวุธ มองไปมองมาความแค้นเกิดขึ้น ก็ชักอาวุธขึ้นมาใหม่ เงื้อง่าอยู่ถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา จนในที่สุดเก็บอาวุธแล้วปลุกพระเจ้าปเสนทิโกศลขึ้นมาสารภาพว่าตัวเองเป็น เชื้อสายพระเจ้าฑีฆีติโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นฆ่าพ่อแย่งราชสมบัติไป จะล้างแค้น แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว
              เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จะไม่อยู่ด้วยจะกลับบ้านกลับเมืองของตนเองเวรกรรมทั้ง หมดขอให้สิ้นสุดลงแค่นี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลพอได้ยินก็เลยซาบซึ้งว่า ลูกศัตรูมีโอกาสก็ยังไม่แก้แค้นเลยมอบสมบัติคืนให้ครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่ามีศักดิ์เสมอกันต่างคนต่างช่วยกันปกครองแผ่นดิน
              คราวนี้ของเรา ก็ดูสิ ถ้าเขาสมบัติเยอะ ๆ ก็ขอสักครึ่งหนึ่ง (หัวเราะ) รีบล้างแค้นไม่ได้อะไร อันนี้ไม่แน่ใจเพราะว่าอ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ รู้สึกว่าสมัยก่อนเรียนตอน ป. ๒ หรือ ป. ๓ เองล่ะมั้งเรื่องนี้ แต่ว่าในธรรมบทเขามีจริง ๆ รุ่นหลัง ๆ เรียนทันไหมฑีฆาวุกุมารน่ะ ? แหะ ๆ ลืมหมดแล้ว ไม่ได้เรียนเลยใช่ไหม ?
              เรื่องดี ๆ สมัยก่อนเขาเยอะเลยสมัยนี้มันตัดเกลี้ยง หน้าที่พลเมืองกับศีลธรรมเขายกเลิกไปเลยใช่ไหม ? มาระยะหลังเห็นท่าไม่ดีเปลี่ยนเป็นจริยศึกษา เฮ้อ ....มันจะศึกษาแบบอย่างที่ไหน ไอ้คนเขียนแบบมันยังหาดีไม่ได้เลย จริยะแปลว่า   แบบอย่าง   จริยศึกษา   ก็เลียนแบบที่ดี    ที่นี้แบบที่ดีมันไม่ค่อยมีให้เลียน   แบบที่ดี  ๆ   เขาต้องวางยาให้ตาย     
               หลวงตาบัวโดน  (หัวเราะ)    เออ   มันไม่ใช่แต่หลวงตาบัวนะ   สมัยก่อนหลวงพ่อเราก็โดนประจำ    หลวงพ่อวัดท่าซุงนี่เขามีทั้งซุ่มยิง   มีทั้งวางยา   มีทั้งเล่นไสยศาสตร์      ทำกันจนทุกวิถีทางทำไม่ได้ต่างคนต่างตายไปเอง   
       ถาม :   พวกนี้เขาทำไปเพื่ออะไร    เขาได้อะไรคะ   ?
       ตอบ :  เขาจ้างมา ของหลวงพ่อนี่บางจุดน่าเกลียดมากเลยเหตุผล ถ้าหลวงพ่อตายคนจะได้ไปวัดเขาบ้าง แหม เหตุผลทุเรศที่สุด แต่ไอ้คนรับจ้างน่ะว่าไม่ได้หรอกมันมีเงินมันก็เอาเงินใช่ไหม ? ไอ้ตัวเองอยากได้เงินทองมันก็ไม่ไป หลวงพ่อท่านได้มาเท่าไหร่ท่านก็ต้องเหนื่อยไปก่อสร้างมันก็ไหลมาเอา ๆ (หัวเราะ) คนไม่อยากได้ ได้เยอะ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2008, 23:03:13 »

http://grathonbook.net/book/6.2.html

ถาม :   ......จำชื่อไม่ได้แล้ว    อายุประมาณ   ๕๘  ปี   เป็นข้าราชการบำนาญหลวงพี่รู้จักหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  พอได้ยินอยู่ ทำไมล่ะ ตายแล้วไม่เน่าน่ะมันฝืนธรรมชาติเพราะฉะนั้นพวกหมอเขาไม่ยอมรับ เขาก็บอกว่าอาจจะมีโรคประจำตัวบางอย่างที่ทำให้ตายแล้วไม่เน่า ไอ้โรคแบบนี้น่าเป็น (หัวเราะ) คือเรื่องที่เป็นธรรมาธิษฐาน  นี่เขาไม่เชื่อ     เขาเชื่อเป็นปุคคลาธิษฐาน เรื่องของบุญบารมีเขาไม่ค่อยเชื่อกันมันต้องประเภทคนทั่ว ๆ ไป มันจะเอาคนสร้างบารมีมาจนเป็นพระอรหันต์ไปเท่ากับมัน ๆ ก็ยากเหมือนกันนะ
       ถาม :   ต้องเป็นพระอรหันต์หรือครับถึงจะไม่เน่า  ?
       ตอบ :   ไม่ต้องหรอก   เอาแค่พระอนาคามีปฎิสัมภิทาญาณก็ได้แล้ว   ปฎิสัมภิทาญาณนี่จะแสดงผลตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป    เพราะว่าปฎิสัมภิทาญาณอานุภาพเขาสูงมาก   ถ้าหากว่าไม่ยอมรับกฎของกรรม   ไม่ละทางโลกได้ขนาดพระอนาคามีเดี๋ยวไปฝืนกฏของกรรมหรือไม่ก็ทำเพื่อตัวเอง เลยกลายเป็นบังคับไว้เลยว่าต้องระดับนั้นขึ้นไปผลถึงจะปรากฏ เพราะฉะนั้นบางคนฝึกแทบเป็นแทบตาย ใช้อภิญญาใหญ่ไม่ได้เต็มที่สักทีรอถึงอนาคามีเมื่อไหร่มันก็เต็มที่เมื่อ นั้นน่ะ
       ถาม :   ในขณะที่มีผลแบบนี้หมายถึงบอกว่าเหตุเป็นแบบนี้  ๆ   ใช่ไหมครับ  ? 
       ตอบ :  มันบอกได้ แต่ขณะเดียวกันทางวิทยาศาสตร์เขาไม่เชื่อไง งั้นรอไปก่อน รอให้มันทำถึงมันก็เชื่อเองแหละ ตอนนี้ปฎิเสธไว้ก่อน ถ้าไม่ปฎิเสธเดี๋ยวเขาหาว่างมงาย ทำถึงระดับนั้นแล้วคิดว่าให้เป็นอะไรมันก็เป็นไปตามที่ต้องการหนังสือพิมพ์ ลงซะน่าสนุก บอกว่าชาวบ้านร่ำลือกันมากว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำมรณภาพ แล้วไม่เน่า บุคคลผู้นี้ในเมื่อตายแล้วไม่เน่าคงสร้างบารมีมาใกล้เคียงกัน (หัวเราะ) อันนั้นมันเป็นสมบัติเศรษฐีนะไม่ใช่สมบัติของเรา
              หลวงพ่อมรณภาพไปแล้วไม่เน่ามันโคตรมหาเศรษฐี ลูกศิษย์หลวงพ่อตายแล้วไม่เน่ามันก็เศรษฐี ของเราเองไปชมสมบัติเศรษฐีอยู่น่ะสมบัติของตัวเองมีบ้างไหม ? มันสำคัญอยู่ตรงที่ว่าสร้างสมบัติเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่เที่ยวไปดูแล้วก็ชื่นชมว่าของเขาดีอย่างโน้นของเขาสวยอย่างนี้ของเขา รวยอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็จนแย่อยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นสำคัญอยู่ตรงที่ทำเองให้ได้เพราะทำเองให้ได้นอกจากจะหมดสงสัย แล้วผลยังทำให้เกิดสุขทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย 
       ถาม :    แล้วอย่างเรื่องที่เขาบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้      คนธรรมดาที่ไม่ได้นั่งสมาธิอะไรก็ไม่มีโอกาสได้เห็น  ?
       ตอบ :    มีเยอะ     พวกล้างป่าช้านี่เขาเจอหลายศพที่ไม่เน่า   พวกนั้นตรงจุดที่เขาฝังจะมีแร่อะไรบางอย่างที่มันรักษาสภาพเอาไว้ได้มีเหมือนกัน อย่างของต่างประเทศที่เขาไปเจอหล่มโคลนแห่งหนึ่งที่มันเป็นมัมมี่หมดเลย คนตกลงไปตายกี่คน ๆ ไม่เน่าเลย ลักษณะอย่างนั้นก็เหมือนกันนะโคลนมันอาจจะเกิดจากการหมักหมมของใบไม้ใบหญ้า อะไรที่เป็นสมุนไพรบางอย่างที่มันสามารถรักษาสภาพเอาไว้ไม่ให้เน่าได้ มันมีเหมือนกัน แต่ว่านี่เขาไม่ได้ไปไหนเขานั่งอยู่กับบ้านจนกระทั่งตายแล้วก็แห้งตายไปทั้ง นั่งนั่งนั่นแหละ (หัวเราะ) มันจะเอาอะไรมารักษาล่ะในเมื่อเขาสามารถจะอธิบายได้เขาก็เลยคาดว่าอาจจะมี โรคประจำตัวบางอย่างทำให้ตายแล้วไม่เน่า ไอ้โรคนี่มันมีแต่ตายแล้วเน่าเร็วขึ้น (หัวเราะ) ไอ้โรคที่ตายแล้วไม่เน่านี่น่าเป็น
       ถาม :    .....(ไม่ได้ยิน).....
       ตอบ :    ถ้ารู้แล้วจะไปฉันทำไมล่ะ   คือว่าเรื่องของการรักษากำลังใจญาติโยมนั่นหมายถึงในด้านดีเท่านั้น อย่างของหลวงตาบัวนี่เกิดเขาใส่ยามาแล้วถวายแล้วทั้ง ๆ ที่รู้แล้วจะฉันลงไปเพื่อรักษากำลังใจเขาน่ะ....เป็นคุณล่ะจะทำไหมล่ะ ?
       ถาม :    เคยดูหนังจีนอาจารย์ตั๊กม้อท่านก็รู้ว่ามียาพิษแต่ท่านก็กินไปคำ   ๒   คำ   
       ตอบ :   นั่นอาจารย์ตั๊กม้อ ถ้าเป็นอาตมานี่ก็เอาเหมือนกันเพราะว่าเคยไปเที่ยวแถวกะเหรี่ยงบางทีเขาลอง ของเขาทำมา ตอนแรกก็ตั้งใจจะกินพอเป็นพิธี พอรู้ว่าเขาทำมาเลยฟาดมันซะเหี้ยนเลย อร่อยดีไปนั่งปวดท้องอยู่ กินให้มันรู้ว่าเราไม่กลัวมัน อันนี้ไม่ได้กินเพื่อรักษากำลังใจมันหรอก กินให้มันรู้ว่าเราไม่กลัวมัน กินเสร็จก็ไปทนนั่งปวดท้องอยู่แป๊บนึง
       ถาม :    ......(ไม่ได้ยิน)......
       ตอบ :   ประเทศจีนโดยเฉพาะสมาคมแกะสลักของเขาถวายเจ้าแม่กวนอิม ๑,๐๐๐ พระหัตถ์ แกะจากไม้จันทร์เหลือง สูง ๖ เมตรน้ำหนัก ๕ ต้น ถวายในหลวงในวโรกาสเฉลิมพระชนม์พรรษา ๖ รอบ เขาใช้ช่าง ๑๒,๐๐๐ คนนะ แกะสลักเป็นเวลา ๒ ปี ตอนนี้อยู่ที่ศูนย์ศิลปชีพบางไทร    กำลังจะสร้างพระตำหนักถวายอยู่     
              ตอนที่เขาฉลองอยู่ก็เลยแวะเข้าไปร่วมสร้างพระตำหนักด้วยแล้วเขามอบศิลปวัตถุ แกะสลักไม้ต่าง ๆ จากหินสบู่พวกหยกมาให้หารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลคือได้เท่าไหร่ถวายในหลวง แล้วแต่ในหลวงจะใช้ แต่ของเขาแพงชิ้นหนึ่งเล็ก ๆ ก็ตั้งพันกว่า ๒ พัน ๓ พัน ชิ้นใหญ่ ๆ หน่อยหนึ่งต่ำสุดรู้สึกว่า ๘๐,๐๐๐ มั้ง ส่วนใหญ่ก็เป็นแสน ๆ แต่ว่าดูฝีมือเขาแล้วมันก็น่าชื่นชมอยู่ ซื้อเจ้าแม่กวนอิมมาเป็นตลับเล็ก ๆ คล้าย ๆ ตลับแป้งพัฟน่ะ เปิดออกมาข้างในเห็นแกะเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ ปรากฏว่าอาวุธที่ท่านถืออยู่ถอดออกได้ ก้านเล็กยังกับเส้นผมน่ะถอดออกได้ ฝีมือเขาร้ายจริง ๆ เป็นการแกะด้วยฝีมือจริง ๆ เพราะว่าแต่ละองค์หน้าตาไม่เหมือนกัน ถ้าแกะด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หน้าตาจะเหมือนกันทุกองค์ ใครมีโอกาสก็แวะ ๆ ไป ตั้งที่ศาลาโรงช้างเขาจะสร้างพระตำหนักใหม่ถวายอยู่มีตู้บริจาคมีอะไร ส่วนถ้าเราไม่ซื้อของเงินส่วนนั้นก็จะถวายโดยเสด็จพระราชกุศล
       ถาม :    ของจีนเขานับเป็นหน่วยอะไรครับ  ?
       ตอบ :  ไม่รู้ล่ะเห็นเขานับ ๑๒ พัน มันเขียนมาอย่างนั้นหรือภาษาอังกฤษมันเขียนอย่างนั้นไม่รู้ ภาษาอังกฤษมันเขียน ๑๒ พัน
               เขาบอกว่าสมเด็จพระเทพฯ เท่ากับเป็นฑูตสันติภาพ สร้างความเข้าใจอันดีงามระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนได้มาก เสด็จประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ๑๓ ครั้งแล้ว คราวที่แล้วนั้นพระราชินีเสด็จ    ปกติพระราชินีเสด็จจะเอาเจ้าฟ้าชายไป ด้วย งานนี้เสด็จเมืองจีนต้องเอาสมเด็จพระเทพฯ ไป (หัวเราะ) สมเด็จพระเทพฯ เป็นล่ามให้ ส่วนใหญ่ท่านก็ไปซะจนทั่วแล้ว งวดนี้ท่านเรียนภาษาจีนที่เมืองไทยเรียนมา ๘ ปีแล้ว ทางสถานฑูตจีนจัดอาจารย์เก่ง ๆ มาสอนให้แล้วก็ไปติวเข้มเดือนหนึ่งถึงได้ดุษฏีบัณฑิตกลับมา ไปถึงขนาดนั้นต้องไปเขียนลายมือจีน วาดภาพลายพู่กันจีน ไปรำมวยจีน แล้วก็ยังต้องไปบรรยายให้นักศึกษาจีนฟังเป็นภาษาจีนเกี่ยวกับไทยศึกษา โอ้โห....มันคงเช็คละเอียดยิบเลยว่าเก่งจริงหรือเปล่า ?
              ศึกษาเกี่ยวกับเมืองไทยต้องไปบรรยายให้เขาฟังว่าเมืองไทยมีอะไรดีบ้าง มีสิ่งไหนที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของไทย แล้วก็ต้องไปเล่นดนตรีไทยให้ฟังด้วย (หัวเราะ) รู้สึกว่าเขาจะติดใจมาก ถ้าเขาขอให้เขามั้ย ? ขอสมเด็จพระเทพฯ ไปครองเมืองจีน เผื่อมันจะกลับใจมั่ง ลาวก็เอาแต่แม่นางเทพฯ   นั้นแหละคนอื่นไม่เอาหรอก    (หัวเราะ)    เสด็จประเทศลาวเมื่อไหร่ก็แม่นางเทพฯแหละ
       ถาม :   ถ้ายกแผ่นดินให้ด้วยก็เอาค่ะ  เอามารวมกัน
       ตอบ :  มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ตอนนี้มันอะไรล่ะ ถิ่นกาขาวใช่ไหม ? ชาววิไล ไทยมหารัฐ จักรพรรดิราช อีก ๒ รัชกาลเท่านั้น
       ถาม :    ๒  รัชกาลหรือคะ  ?
       ตอบ :  อือม์.. มหากาลผ่านมหายักษ์ รู้จักธรรม จำต้องคิด สนิทธรรม จำแขนขาด ราษฏร์ราชาจน นั่งทนทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว พอรัชกาลที่ ๑๐ นี่ชาววิไล ๑๑ ก็ไทยมหารัฐ ๑๒ ก็จักรพรรดิราช เป็นจักรพรรดินี่ต้องปกครองทั้งโลกเลยนะ
       ถาม :    อ๋อ.....หมายถึงรัชกาลหน้าจะดี  ?
       ตอบ :    รัชกาลที่   ๑๐,๑๑,๑๒    ถึง   ๑๒   นี่ก็ดีขึ้นเต็มที่แล้วเพราะว่าบรรดาบ้านเมืองต่าง   ๆ    ที่มีกษัตริย์อยู่ก็จะต้องเอารูปแบบการปกครองที่รัชกาลที่   ๙    ของเราทำอยู่ในปัจจุบันไปใช้กับคนของเขา    เพราะว่าใช้แล้วมันดีชาวบ้านจะอยู่เย็นเป็นสุขกัน    แล้วที่ไม่มีระบบพระมหากษัตริย์อยู่แล้วแต่เคยมีก็พยายามฟื้นระบบขึ้นมา ฟื้นระบบขึ้นมาจะต้องทำยังไงล่ะ ...มันก็ต้องมาศึกษาระบบตัวอย่างจากระบบที่ดีที่สุดปัจจุบันก็คือเหลืออยู่ ที่เราเท่านั้น ของราชวงศ์อื่น ๆ นี่เขาให้ความเคารพระบบพระมหากษัตริย์น้อยมากแล้ว อย่างของอังกฤษ ขนาดที่ควีนยังครองราชย์อยู่แท้ ๆ นะ ตอนนี้โดนบีบสารพัดเลย
       ถาม :    ต้องเสียภาษีนี่คะ
       ตอบ :  เขาบังคับให้เสียภาษี ของท่านเองก็ไม่ได้ทำอะไรให้เห็นเด่นชัดเกี่ยวกับการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของ ชาวบ้านใช่ไหม? ของเรานี่ในหลวงท่านทุ่มเทตลอด ๕๐ กว่าปี ตอนที่ครบกาญจนาภิเษก ๕๐ ปีนั่น คุณบรรหาร เป็นนายกอยู่ ทูลเกล้าถวายเงิน ๙๙๙ ล้าน ถวายในหลวง เรามานั่งถามตัวเองท่านเหนื่อยแทบตาย ๕๐ ปี ให้ ๙๐๐ กว่าล้านคุ้มหรือเปล่า ? ตอบตัวเองว่าไม่คุ้ม ปรากฏว่ารุ่งขึ้นในหลวงมอบคืนให้ไปแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ไม่เอาซักบาทเดียว ขนาดให้ ๙๐๐ กว่าล้านเราว่าไม่คุ้มท่านยังไม่เอาเลย
       ถาม :    (คุยเรื่องปลูกต้นไม้ใน   กทม.)
       ตอบ :  (เสียงพูดขึ้นมาทับเสียงหลวงพี่...) ไอ้นั่นมันแพงอยู่แล้ว ของไม่ใช้แล้วแท้ ๆ ดันไปซื้อมาซะแพงเลย ( อะไรคะ) ปาล์มน้ำมันไงไอ้ที่เอามาประดับถนนน่ะ ไอ้พวกนั้นน่ะมันจะหมดอายุอยู่แล้ว เขาโละสวนทิ้งน่ะ กลายเป็นว่าซื้อมาแพง ๆ ทั้งนั้นต้นหนึ่ง ๕ พัน ๖ พัน ความจริงเขาจะโละสวนขอเขาฟรี ๆ ก็ได้ คนมันก็คงเต็มใจให้เพียงแต่ขออนุญาตปักป้ายหน่อยว่าใครบริจาคเท่านั้นล่ะ
       ถาม :    มันไม่สวยแล้ว   กาบเกิบพอมันร่วงออกมาก็   ต้นอะไรก็ไม่รู้
       ตอบ :    นั่นมันไม้ทะเลทรายแท้  ๆ   เลย  เอามาปลูกกรุงเทพฯ  มันก็เหมาะสมดีนะอย่างอื่นน่ะมันสวย   ที่น่าปลูกเยอะ  ๆ   ก็คือประดู่     ประดู่นี่ต้องไปดูที่ยะลา ยะลานี่นอกจากผังเมืองจะงามแล้วต้นไม้ยังงามด้วย ยะลานี่ต้นประดู่ ๒ ข้างมันสานกิ่งติดกันหมดเลย แต่ระยะหลัง ๆ นี่เห็นพวกการไฟฟ้าไปฟันมันออก โดยเฉพาะเทศบาล ขี้เกียจกวาดดอกประดู่ตอนที่มันบาน เพราะว่าประดู่มันบานพร้อมกันทิ้งดอกพร้อมกัน มันขี้เกียจกวาดมันเลยฟันกิ่งทิ้งซะเยอะเลย น่าเสียดาย ประดู่กิ่งอ่อนนั่นล่ะให้ความร่มเย็นดีมากเลย
       ถาม :    ถ้าเราปลูกแต่มะม่วงก็ไม่มีใครฟังหรอก  ?
       ตอบ :   ไม่แน่   ก็อย่างในพระมหาชนกไง    ไอ้ต้นมีลูกก็โดนเล่นซะจนกระทั่งล้ม   กิ่ง   ก้าน   ใบ    ฉีก   บรรลัยวายวอดหมด     ไอ้ต้นไม่มีลูกงี้ยืนต้นเขียวเชียว
       ถาม :   แต่ว่าคนไปเก็บผลไม้ในเรื่องพระมหาชนกเป็นคนมอญนี่ค่ะ  ?
       ตอบ :  (หัวเราะ) เขาอยากว่าลาวอยู่ไหนสัตว์สูญพันธุ์ มอญอยู่ที่ไหนต้นไม้สูญพันธุ์ มันอยากจะกินมันเล่นฟันลงมากินน่ะมันขี้เกียจปีนโค่นต้นมันเลย กินทีเดียวเลิก
       ถาม :   เห็นว่าบางประเทศห้ามคนลาวเข้า
       ตอบ :    อิสราเอลมั้ง
       ถาม :   เหรอคะ  กลัวสูญพันธุ์  ? 
       ตอบ :  มันไม่ใช่กลัวสูญ มันสูญไปแล้ว ขนาดตีข่าว เอ.พี ไปทั่วโลกเลยบอกว่า คนไทยพวกนี้ เขาใช้คำว่าคนไทยนะ ว่าไปจากอีสาน คนไทยพวกนี้มีความสามารถสูงมาก แค่มีเชือกเส้นหนึ่งเท่านั้นเขาสามารถประกอบเครื่องมือดักสัตว์ได้แล้ว เสร็จแล้วไม่ใช่เพราะว่าอดอยาก แต่ว่าทำเพราะว่าสัญชาติญาณในการล่าของเขา เขาจะมีความสุขมากถ้าได้กินสัตว์ที่เขาล่ามาเอง ไอ้พวกนั้นของเขาก็ไม่เคยไปแตะไปต้องเลย เขาปล่อยมันเอาไว้อย่างงั้นแหละ
               พอถึงเวลาคนไทยไปทำงานอยู่ในกิ๊บบู๊ด ไอ้กิ๊บบุ๊ดนี่มันคล้าย ๆ คอมมูมน่ะ พวกคอมมูมนี่แต่ละหมู่บ้าน ๆ จะอยู่รวมกันเป็นรูปแบบในลักษณะของสหกรณ์ แล้วพอผลิตได้ผลผลิตก็มารวมกันแล้วก็ส่งตลาด เขาสามารถต่อรองพ่อค้าได้เพราะได้เพราะว่าผลผลิตมันเยอะ นั่นแหละก็เข้าไปรับจ้างในกิ๊บบุ๊ดของเขา แล้วก็ไปกินซะสัตว์ของเขาสูญพันธุ์เป็นอย่าง ๆ ไปเลย (หัวเราะ) มันไม่เคยโดนล่ามันก็เชื่อง... เสร็จ !
               วีรกรรมคนไทยเชื้อสายอีสานแท้   ๆ    ก็แสงชัยไง   ลูกน้องแสงชัยเขา   ๗ ? ๘    คน  บอกปวดหัวเป็นบ้า    พักเดียวเท่านั้นแหละ    แมงกินนูนมา เป็นถุงเลย (หัวเราะ) แสงชัยบอก เฮ้ย ! เอามาไปปล่อย (หัวเราะ) ไอ้ลูกน้องก็ ครับ...ครับ ปล่อยเสร็จก็กลับมา แหม หัวหน้าอร่อยนะครับ (หัวเราะ) แสงชัยถามว่า มึงอดหรือเปล่า ไม่อดหรอกครับแต่อยากกิน เขาให้ค่าอาหารวันหนึ่ง ๒๐๐ น่ะไอ้ลูกน้องแทนที่จะไปซื้อหมูซื้อไก่ เปล่าหรอก มันไปจับโน่นจับนี่มากิน
              ก็แบบเดียวกับที่สมัยอยู่ชายแดนเหมือนกัน เรากำลังหลับ ๆ อยู่ในบังเกอร์น่ะกลางคืนทำไมอึ่งอ่างมันร้องกันชิบหายเลยวะวันนี้ ทนไม่ได้ลุกขึ้นมาส่องไฟดู โน่น.. มันยัดเอาไว้ทั้งถังเลยใต้เตียงเราน่ะ (หัวเราะ) เจ้านายมาตรวจมันกลัวเขารู้ แล้วมันรู้ว่าเราไม่ว่าอะไรมัน ๆ มาซุกเอาไว้เตียงเรา เราก็มาถึง ของใครวะ ? บอกว่าผมครับ ๆ คว้าถังได้ก็วิ่งหายไป รุ่งเช้าก็เอาเคล้าเกลือแล้วก็เอาลวดน่ะ แทงใต้คางมัน ร้อยอยู่บนราวเป็นร้อย ๆ ตัวเลย เราก็บอก เฮ้ย ! บาป มันบอกบาปน่ะอร่อยบุญไม่อร่อยหรอก (หัวเราะ) จะทำยังไงกับมันได้ ?
       ถาม :   ไม่สั่งอดข้าวเลยล่ะคะ   ใครกินอดข้าวเลย
       ตอบ :  อยู่ชายแดนนี่มันต้องผ่อนผันเขา เพราะเรื่องขวัญและกำลังใจของทหารเป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่าสงสาร เพราะว่า ..ถึงเวลาเขาเทเกลือลงไป ไอ้พวกอึ่งนี่ โอ้โห...ฟองมันฟอดไปหมดล่ะ มันแสบตามัน ๆ ก็เอาตีนป้าย มันยิ่งป้ายมันก็ยิ่งแสบ บอกไม่ถูก ...กรรมใครกรรมมัน เราเพียงแต่แปลกใจว่าทำไมคืนนี้อึ่งอ่างมันร้องดังเป็นพิเศษ ใครจะไปรู้ว่ามันยัดไว้ใต้เตียงเราเป็นถังเลย มันกลัวเจ้านายคนอื่นเตะมัน มันรู้ว่าเราไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว (หัวเราะ) สมันเเด็ก ๆ ของเรามันก็กระหายเลือดแบบนั้นแหละ แต่ของเรามันดีตรงที่ว่าล่าแล้วเอามากินไง มันไม่ได้ประเภทฆ่าทิ้งฆ่าเล่นอะไรแบบของคนอื่นเขา

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2008, 20:41:26 »

http://grathonbook.net/book/6.3.html

ถาม :     การที่เราเป็นผู้บังคับบัญชาแล้วไม่เหมือนกับการให้ท้ายเขาหรือครับ  ?
       ตอบ :    ไม่ได้ให้ท้าย    แต่ก็ไม่ห้าม     คือ   เรื่องใครเรื่องมัน   นั่นมันเรื่องส่วนตัวเราไม่ยุ่งกับเขา    ของเราจะยุ่งกับเขาก็ต่อเมื่อส่วนรวมเสียหาย   เรื่องของระเบียบวินัยเสียหาย     ถ้าหากว่าระเบียบวินัยยังไม่เสีย    ส่วนรวมยังไม่เสีย    เราก็ผ่อนผันให้เขาได้   
              ตอนอยู่กองร้อยปกติพอถึงเวลาเราเข้าเวร เขาก็มาเบิกพลั่ว พลั่วสนาม เบิกคนละอัน ๒ อัน เดินหาย ไปโน่นน่ะป่าหลังกองร้อยโน่น ตอนเย็น ๆ ก็กลับมาแล้ว ก่อนที่จะเคารพธง เพราะต้องรวมพลเคารพธงตอนเย็น มันก็กลับกันมาแล้วหิ้วมาเป็นพวงเลย แย้ ไปขุดแย้กัน หิ้วมาถึงก็จัดแจง ผ่าท้อง ถลกหนังเสร็จเรียบร้อยก็ไปจ้างโรงครัวเขาผัด ๑๐ บาท ผัดกระเพราให้มันสับไปอย่างดีเลย ของเราก็แค่เปลืองพริกกระเทียม ใบกระเพราหน่อยหนึ่ง คิดค่าผัด ๑๐ บาท เสร็จแล้วก็รวมกัน เขาจะมีตั้งเป็นวง ๆ วงหนึ่งก็จะมีกับข้าวทางโรงครัว ๒ อย่าง ของมันก็จะพิเศษของมันมา
              คราวนี้มันมีอยู่วันหนึ่ง เราก็แปลกใจมากเลย เฮ้ย ! ปลานิลทอด มาจากไหนว๊ะ ? คือของทหารนี่ไม่ต้องไปคิดหรอกประเภทจะกินเป็นตัว ๆ อย่างนั้นน่ะ ทหาร ๑ กองร้อย ไก่ ๖ ตัว ลองเฉลี่ยดูสิว่า ๑๔๐ กว่าคน ต่อไก่ ๖ ตัวมันจะได้เห็นสักชิ้นไหม ? แล้วไอ้ ๖ ตัวนี่ไม่ใช่ของเราทั้งหมดนะ จ่าสูทกรรมฟาดไป ๑ ตัวแล้ว มันถือว่ามันทำของมันอยู่ มันก็กินของมันน่ะ ไอ้เราก็งงว่า เอ๊ะมันมาได้ยังไงปลานิลทอดตัวเป้ง ๆ ทั้งนั้นเลย ข้องใจมาก มันจะต้องไม่ชอบมาพากลยังไงแน่ ก็เลยลากคอมันคนหนึ่งมาถาม เฮ้ย เอามาจากไหนวะ มันก็บอกว่า อย่าบอกคนอื่นนะครับ ที่สระหน้ากองร้อยน่ะ บอก มึงจับยังไงวะมันบอกว่าตอนเขาหลับกันหมดแล้วผมเอามุ้งช้อน ( หัวเราะ) มันเอามุ้งช้อนเข้า มันจับมุ้ง ๔ มุม แล้วไล่ช้อนเอามากินจนได้
              ส่วนอีกทีหนึ่งก็รุ่นพี่ อดิศักดิ์ นรา นั่นให้ท้ายเขาเลย จับนกพิราบ กองร้อยนี่หลังคามันมีช่องลมเยอะใช่ไหม นกพิราบมันเข้าได้ก็เข้าไปอาศัยอยู่มันก็เต็มไปหมดเสียงมันวู่ ๆ ๆ อยู่บนหลังคาทั้งคืนนั่นแหละ ไอ้นี่ก็ปีนขึ้นไปจับนกพิราบมาได้ก็มัดขา ๆ เอาใส่ตู้เอาไว้ ปรากฏว่าวันนั้นเจ้านายเขาตรวจความสะอาดพอดีเลย (หัวเราะ) ก็ตรวจไล่ไป ๆ พอเปิดตู้เจอนกพิราบตาปริบ ๆ อยู่เป็นสิบเลย (หัวเราะ) เวลาตรวจความสะอาดนี่เขาจะตรวจเตียง ตรวจตู้ ตรวจหมดทุกอย่างเลย เปิดตู้เจอนกพิราบตาปริบ ๆ อยู่เป็นสิบเลยถามว่า ใคร? วันนั้นโดนซ่อมกันอาน วิธีลงโทษของทหารเขาเรียกว่า ซ่อม สั่งมันวิดพื้นนั่งกระโดดกันซะหูตาลายเลย มันชอบไปกันตอนดึก ๆ ไอ้ที่เขาหลับกันหมดแล้วน่ะ นายทหารเวรหลับแล้วอะไรแล้ว
       ถาม :    ผิดกฏหรือเปล่าคะ  ?
       ตอบ :  มันไม่ผิดกฏไม่ได้อะไรหรอก แต่เขาก็เลี้ยงมันอิ่มอยู่ทุกวันน่ะ แล้วมันทะลึ่งไหม ของที่เขาเก็บไว้ประดับสวย ๆ งาม ๆ มันดันจับมากินกันหมด มันกินกระทั่งแมวนะ (ฮือฮา) โธ่แมว...มันยังเอาไปกินหมดเลย
       ถาม :   แสดงว่าไม่อิ่มจริงมั้งคะ  ? 
       ตอบ :   ไม่หรอก   มันอยากกิน    เรากลับมาถามว่าหมาหายไปไหน  ?   เขาบอกไอ้จันทีจัดการไปแล้ว    แมวหายไปไหน  ?   มันจัดการไปแล้ว
       ถาม :    ท่าทางน่าส่งไปอยู่ทะเลทรายนะคะ
       ตอบ :  พวกนี้มันเก่ง ตอนสมัยออกฝึกภาคกองร้อย ภาคกองพันภาคหมู่ตอนหมวด อาศัยพวกนี้แหละ โห พวกนี้มันเยี่ยมจริง ๆ กรรมการตรวจสอบหามันไม่เจอหรอก เขาห้ามเอาเสบียงอาหารไปนอกจากจะเดินไปตามแผนที่เข็มทิศตามจุดที่กำหนด บางจุดเขาจะมาส่งเสบียง บางจุดต้องไปแย่งชิงจากข้าศึกสมมติเขา นั้นแหละถึงจะกินได้แต่พวกนี้มันพกไปเพียบเลย กะปิ น้ำปลา หอม กระเทียม อะไรของมันน่ะ แล้วครูฝึกตรวจไปเหอะไม่เจอหรอก ถึงเวลาเขาจะตรวจมันเอาไปซุกไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่พอถึงเวลามันเลยจุดตรวจไปมันสะพายกันเทิ่ง ๆ ต่อไป อาศัยมันกินได้อยู่เรื่อยแหละ
               ไปกินต้มยำไก่ป่าทีหนึ่ง   โอโห   มันเผ็ดกระโดดเลยอย่างที่แสงชัยเขา ว่าไอ้แกงกระเด้งน่ะ มันกินแล้วมันจะเลื้อยได้ (หัวเราะ) ขนาดว่าพอกินเข้าไปเสร็จแล้วลงอาบน้ำห้วย น้ำมันเย็นขนาดไหนล่ะ ขึ้นจากห้วยมานี่เหงื่อแตกพลั่ก ๆ เลย มันร้อนขนาดนั้นน่ะมันใส่อะไรบ้างก็ไม่รู้ สารพัดสารเพเท่าที่เห็นนี่ไอ้พวกกระเพราป่า พวกพริกขี้หนูป่า มันตะบันลงไปเป็นกำมือ แต่ว่าสงสารลิงตัวหนึ่งมือมันเหนียว มันโดนยิงซะพรุนไปหมดแล้วมันไม่ยอมตกลงมามันก็นั่งประเภทเอามืออุดซ้ายอุด เลือดก็ออกทางโน้น เอามือขวาอุดเลือดก็ออกทางนี้ เออ...ไม่รู้จะทำยังไง
              มีอยู่คราวหนึ่ง เกือบตาย ไม่รู้...เอาเอ็ม ๑๖ ไปยิงหมูป่า ยังถูก ๗ นัดหมูป่าไม่รู้สึกอะไรเลยน่ะไล่ขวิดอุตลุด หมูป่ามันประเภททรหดมาก ไงละ ถ้าหากว่าไม่ใช่กระสุนที่มันหนักจริง ๆ โดนจัง ๆ นี่เอามันไม่อยู่ กระสุนเอ็ม ๑๖ มันแหลม ๆ นิดเดียวมันพุ่งปี๊ดก็ผ่านไปแล้ว มันมีแต่ยิงคนน่ะมันมีผล โดนไป ๗ นัด หมูป่าไล่ขวิดซะเกือบตาย คือ กว่าที่มันจะรู้สึกว่าตายน่ะไอ้คนก็ปางตายด้วย กระสุนมันคมมันทะลวงผ่านพรืดไปเลยไป แรก ๆ มันก็ชา ๆ ก่อน จนกว่ามันจะรู้สึกว่ามันโดนหนัก กว่ามันจะรู้ว่ากูสมควรตายได้แล้ว ไอ้คนยิงก็เกือบตาย ออกพื้นที่กันแต่ละที น่าเบื่อ กำลังด้อม ๆ ๆ กันระวังกันตัวลีบเลยนะ จะเหยียบกับระเบิดกันเมื่อไหร่ว้า ? เสียงปืนปัง ! มันก็ต้องพุ่งหมอบกันหมดน่ะ ไอ้ระยำเสือกยิงนก ( หัวเราะ) เห็นแล้วอยากกิน
               มีอยู่ที่หนึ่ง    ชายแดนตาพระยา   ระหว่างบ้านทับเซียม    บ้านนางงาม ไอ้ช่วงนั้นแหละที่เห็นพวกมันไม่กินตะกวดกัน ตะกวดตัวใหญ่เป็นไอ้เข้มันก็ไม่กิน ( ทำไมล่ะคะ) ก็...ไอ้พวกนั้นมันกินศพ คือ ช่วงนั้นมันตายกันเยอะแยะจริง ๆ ช่วงเหตุการณ์โนนหมากมุ่นปี ๒๕๒๓ น่า ๒๕๒๓ ทหารญวนของเฮงสัมรินเขาตีเข้ามาทะลุเข้ามาในเขตไทยตั้งหลายกิโล แล้วพวกเรากว่าจะขับไล่มันไปได้ตายเยอะเลยงวดนั้น
              ถ้าไม่ได้เครื่องบินติดปืน พวกเฮลิคอปเตอร์ติดกันชิปดีไม่ดีผลักมันไม่ออก ๓๐๐ กว่าศพ เกลื่อนทุ่งเลย แล้วปะทะกันทุกวัน อยู่หน้าแนว ๕ เดือน เฉพาะกองร้อยเดียวนี่ตายไป ๒๖ ศพ ๒๖ ศพนี่นับว่าเฉพาะฝ่ายเรานะ ฝ่ายเขาตายเยอะกว่าตายกันที ๓ ศพ ๕ ศพ เขาถือว่าขอกันกินพอตายก็เอาศพไปฝังลวก ๆ พวกสัตว์มันก็ไปรื้อกันขึ้นมากิน แหม...ไอ้พวกเหี้ย พวกตะกวดนี่ ตัวยาว ๕ ฟุต ๖ ฟุต ยังกะตะเข้านั้นแหละ เห็นมันไม่กินกันก็อีตรงนั้นแหละ (หัวเราะ) เพราะมันเห็นคา ๆ ตา มันไปคุ้ยศพกินกันอยู่แถวนั้นก็ไปดูวิธีล่าสัตว์ของชาวบ้านแล้วก็เวทนามัน มันไล่ต้อนลิง เอาอาหารล่อ พอลิงมันออกมาพ้นชายป่าเสร็จก็ดักทางด้านป่าไว้ไม่ให้มันกลับ ไล่ต้อนไปต้อนมามันก็วิ่งหนีขึ้นต้นไม้หลางทุ่ง ต้นไม้แถวทุ่งมันก็จะเป็นโคกขึ้นไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็มีต้นไม้ไม่กี่ต้น คราวนี้ก็เสร็จล่ะสิ สอยเอาทีละตัว แล้วเห็นมันตกงูเหลือมด้วยเบ็ดก็ที่นั่นแหละ เขาจะให้ไอ้พวกไก่เป็น ๆ น่ะ เกี่ยวเบ็ด แล้วก็โยนลงไปในบนกอสวะ
               ตรงนั้นมันมีบึงใหญ่อยู่เขาเรียกว่า บึงสะล็อกก๊อก   บึงสะล็อกก๊อกบางทีมันออกเสียง  เป็นบึงสะด๊กก๊ก มันจะมีพวกงูเหลือมอยู่ พอไก่มันดิ้นพั่ด ๆ มันก็เลื้อยปรืดมาถึงก็คว้ามับเลย พอมันขยอกเข้าปากก็ตวัดเบ็ด ฉึบ ! อีคราวนี้ก็เย่อกันเข้าไปเหอะคนกับงูน่ะ ดึงกันไปรั้งกันมา พอคนชนะก็แปลว่าต้องเอาสวะมาครั่งบึงน่ะ งูมันเอาหางพันกอสวะไว้ เย่อ ๆ กันมาลากเข้ามาน้ำบานเลยไปเอาขึ้นมา เขาต้องใช้ตะขอโต ๆ เลย ตะขอที่เขาใช้เกี่ยวกระสอบข้าวพวกนั้นแหละ ไม่งั้นเกี่ยวมันไม่อยู่
       ถาม :    แล้วเชือกใช้เชือกอะไรคะ  ?
       ตอบ :  เชือกไนล่อนใหญ่ ๆ ไอ้เราเองไม่อยากบอกมัน ปล่อยให้มันเหนื่อย ถ้าหากว่าบอกมัน ๆ หากินง่ายไป ถ้าเป็นเรานะพอมันเกี่ยวติดปากมันแล้ว ไม่ต้องไปออกแรงดึงมันหรอก แค่ดึงเชือกให้ตึงหน่อยแล้วก็เคาะเชือกไปเรื่อย ๆ หาไม้เข้าอันหนึ่งตีไปเรื่อย พอมันกระเทือนแล้วมันเจ็บปากเดี๋ยวมันเลื้อยตาม ถ้าบอกมันแล้วมันหากินง่ายเกินไปก็เลยนั่งเชียร์มัน ให้มันเย่อไปเหอะ กว่าจะได้กวาดสวะไปครึ่งบึงงูมันเอาฟางพันเอาไว้ (หัวเราะ) ก็แบบเดียวกับตกปลาไหลเหมือนกัน ตกปลาไหลนี่ปลาไหลมันคุดอยู่ในดิน นี่ไม่ต้องไปดึงหรอกเสียเวลาเปล่า เบ็ดยืดหมดแหละ มันไม่ยอมออก ใช้วิธีดีด ดีดสายเบ็ด มันเจ็บปากเดี๋ยวมันก็ค่อย ๆ ปล่อยตัวตาม
       ถาม :    แล้วตอนดึงมันก็เเจ็บหมือนกันนี่คะ  ?
       ตอบ :  มันดึงมันต่างคนต่างออกแรงไง พอก็ยังมีสิทธิที่จะชนะได้ นี่ของเรามันเจ็บอยู่ตลอดเวลา เคาะไปเลย พอมันรู้ว่าผ่อนแล้วมันไม่เจ็บมันก็คลายตามมา ใครดูอนาคอนด้าบ้าง  ?      อนาคอนด้ามันใช้อะไร  ?   มันไม่ได้ใช้เบ็ดมั้ง    มันใช้ปืนฉมวกนะ
       ถาม :   ถ้าทั้งตัวเอาไปเลี้ยงได้ทั้งกองร้อยนะคะ
       ตอบ :    นั่นชาวบ้านเขาล่ากัน   ไม่ใช่พวกทหารไปล่าหรอก     ทหารมันไม่เสียเวลาไปล่าหรอก   ออกไปเหยียบกับระเบิดมันไม่คุ้มกัน   
       ถาม :      ถ้าเอาลูกงูอนาคอนด้ากับลูกงูเหลือมมาเลี้ยงพร้อม   ๆ กันมันจะโตเท่า  ๆ  กันมั้ยคะ  ?
       ตอบ :  มันต้องดูที่อาหารมันด้วย ถ้าหากมีให้มันกินอุดมสมบูรณ์ มันก็โตได้เยอะไม่ต้องห่วงหรอก แต่อนาคอนด้ามันอยู่น้ำมากกว่าอยู่บนบก นาน ๆ มันโผล่ขึ้นบกขึ้นมาซะที มันเท่ากับเป็นงูน้ำน่ะ แต่งูเหลือมของเรามันงูบก ถ้ามันหาอาหารมันก็ลงน้ำหรือถ้ามันร้อนมันก็เลื้อยลงน้ำไปแช่
       ถาม :  ไปอ่านเจอที่เขาเขียนบักทึกไม่ลับของครูบา เขาพูดถึงอภิญญา เขาบอกว่าไปสงเคราะห์คนใกล้จะตาย แล้วเขาก็บอกว่าคนนั้นน่ะตอนใกล้จะตายเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้ นึกถึงมดดำดินเดินมาเป็นแถวชอบเอามือไปขยี้ ไปรูดเยอะ ๆ ทีเดียวตายเป็นแถวเลยล่ะ แล้วเขาก็ส่งจิตไปสงเคราะห์พ่อเขาก็ผ่านตรงนี้ไป สักพักหนึ่งตัวคนที่ใกล้จะตายเขาก็นึกถึง เขาส่งจิตไปสงเคราะห์อีก เขาก็บอกว่าจิตมันตกภวังค์ อีกสักพักหนึ่งเขาก็ไปเกิดเป็นอสุรกาย แล้วเขาก็เขียนบอกว่าไปเกิดเป็นอสุรกายนี่โชคดีกว่าไปเกิดเป็นสัตว์ เดียรัจฉานผมก็เลยงง ?
       ตอบ :  เขาน่าจะเขียนว่าเป็นอสุรกายโชคดีกว่าเป็นสัตว์นรก มันอาจจะผิดมันสลับกัน พ้นจากอสุรกายแล้วเศษกรรมทำให้มาเป็นเดียรัจฉานต่อ ฆ่าไปกี่ตัวก็เป็นเท่านั้นแหละ
       ถาม :   อสุรกายนี่มันโมทนาบุญได้หรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  ได้อยู่   เพียงแต่มันจะมีโอกาสโมทนามั้ยล่ะ  ?
       ถาม :    ถ้าเป็นสัตว์เดียรัจฉานนี่จะโมทนาได้หรือครับ ?
       ตอบ :   ทำได้ด้วยซ้ำไป
       ถาม :     ทำได้  ?
       ตอบ :  อย่างเอราวัณเทพบุตรโฆษกเทพบุตร ทำบุญเองซะด้วยซ้ำไป เอราวัณเทพบุตรก็ช่วยเขาก่อสร้างเป็นช้างให้เขาชักลากไม้ไปสร้างศาลา อย่างของโฆษกเทพบุตรนี่สงเคราะห์พระปัจเจกพุทธเจ้า ช่วยระมัดระวังอันตรายสัตว์ร้ายให้ แล้วมัณฑุกเทพบุตรนี่เป็นกบได้ฟังธรรม    แล้วก็ค้างคาว   ๕๐๐   งูเหลือมอีกนั่นก็ฟังธรรมใช่มั้ย    สร้างบุญเองซะด้วยซ้ำ      มักกะโฎเทพบุตรนั่น ตกจากต้นไม้ตาย เป็นลิงตกต้นไม้ตายเสียชื่อหมด เอารวงผึ้งไปถวายพระพุทธเจ้า ตอนอยู่ป่าเลไลย์น่ะ เสร็จแล้วพอพระพุทธเจ้ารับก็ดีอกดีใจกระโดดโลดเต้นแล้วดันไปคว้ากิ่งแห้ง เข้า (หัวเราะ) ตกต้นไม้ตาย เสียชื่อจริง ๆ
              พวกสัตว์เดรัจฉานนี่โอกาสทำบุญมีเยอะ ไอ้ของคนนี่สิน่าเสียดายโอกาสทำบุญมีมากกว่าสัตว์เดรัจฉานนับไม่ถ้วนแต่ไม่ ค่อยจะทำกันหรอก ฟังเทปหลวงพ่อม้วนท้าย ๆ ไหมล่ะ ? พวกเทวดาใหม่น่ะ ขอให้ทำบุญนั่นทำบุญนี่ให้ หลวงพ่อบอกไม่ทำให้หรอก อีตอนเป็นคนมันเสือกไม่ทำเองนี่หว่า (หัวเราะ) ใคร ๆ ฟังถึงตรงนี้คงว่าหลวงพ่อใจดำเป็นบ้าเลยนะ ความจริงหลวงพ่อท่านประเภทไม่ทำหรอกนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเทศน์ง่ายกว่า (หัวเราะ) ถึงเวลาสงเคราะห์กำลังใจเขาได้เลย
       ถาม :    อย่างเทวดาหรือพรหมนี่เขามีโอกาสทำบุญอะไรไหมคะ  ?
       ตอบ :  เยอะ จะสร้างเองก็ได้ อยู่ข้างบนก็ถือศีลภาวนาต่อ ศีลทรงตัวเป็นปกติอยู่แล้วกี่สิกขาบทก็ได้มันไม่ต้องไปละเมิดนี่ ภาวนาก็ทำใจตัวเองตัดกิเลสต่อไป แล้วขณะเดียวกันมีพระดีอยู่ที่ไหนก็ไปฟังเทศน์ฟังธรรมไปใส่บาตรไปอะไรได้
       ถาม :    ต้องไปแอบใส่เหรอคะ  ?
       ตอบ :  อาตมาก็เคยโดนเขาแอบใส่แต่อด ตอนเช้า ๆ ก่อนบิณฑบาตก็ใช้กำลังใจดูว่าวันนี้คนที่ใส่บาตรคนแรกจะเป็นใคร มันพิสูจน์ได้ใช่มั้ย ?
       ถาม :   ...................   
       ตอบ :  ที่ฝึกอยู่หลวงพ่อท่านให้ฝึกในวัดก่อน ท่านบอกว่าถ้าแกอดไม่ได้กินก็ไปกินที่โรงครัวจะได้ไม่อด นั่นล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านรอบคอบ ในเมื่อท่านรอบคอบเราก็ฝึกตามวิธีนั้น แต่หลวงพี่สพฤกษ์ ท่านออกป่าเลย ไปอยู่ที่บึงลับแลเลย สอนวิธีสอนอะไรท่านเสร็จท่านก็ไปตั้งอธิษฐานด้วยว่า ถ้าไม่ใช่อาหารที่ใส่ลงไปในบาตรนี้จะไม่ฉันอะไรเลย
              นี่ตั้งกำลังใจผิด เทวดาเขาชอบ เขาอยากลองดูว่ากำลังใจมันแค่ไหน ท่านใช้ได้จริง ๆ เลยกำลังใจเข้มมาก เพราะว่าทั้งนมทั้งโอวัลตินตั้งอยู่ใกล้ ๆ ประเคนแล้วด้วย ....ไม่แตะเลย นอนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกหายใจพะงาบ ๆ เราก็ ๑๐ วันเข้าไป คนไม่กินอะไรเลย ๑๐ วันมันแย่นะถ้าหากสมาธิไม่ทรงตัว แต่ว่าท่านกำลังใจเหลือเกินจริง ๆ ไปถึงหน้าเหี่ยวเลย เอายาโด๊ปให้เม็ดสองเม็ดมีกำลังขึ้นมาหน่อย เสร็จแล้วก็ให้พวกญาติโยมที่ไปด้วยเขาใส่บาตร ก็ต้องหุงข้าวต้นให้มันเละ ๆ ไม่งั้นฉันไม่ได้นะ อดมาเป็นสิบ ๆ วัน ของทหารสมัยที่ฝึกได้เดทไลน์ เขาทิ้งไว้กลางเกาะร้าง อาหาร ๓ วันหากินเอง มีมีดให้เล่มเดียวกับกระติกน้ำหนึ่ง อยู่ ๓ วันหากินเอง อันนั้นมันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการฝึกจู่โจม จบจากตรงโน้นขึ้นฝั่งปุ๊บให้เราตั้งโต๊ะเลี้ยงเลย มันเล่นให้ไก่ย่างคนละตัว กินกันไม่ได้เลย เสียของเปล่า อ๊วกเลย.. เพราะร่างกายไม่ได้รับอาหารมาหลายวันเขาเรียกว่าเป็นความคิดของคนบนฝั่งนั่น แหละ คือ ยังไง ๆ มันก็ได้กินแน่ เรากินกันไม่ได้หรอก มันจัดเลี้ยงเราคือเลี้ยงตัวมันเองด้วย
              พอขึ้นฝั่งปุ๊บเขาก็จะติดประดับหัวเสือให้ก่อน ไอ้เสือคาบมีดลักษณะเดียวกัน ถ้าอดนาน ๆ แล้วไปกินอาหารแข็งทีเดียวไม่ได้หรอก ถ้าไม่ใช่ปวดท้องปวดไส้ ชักไปเลยก็ลมใส่ ดีไม่ดีย่อยไม่ได้ตายเอาง่าย ๆ ไม่ใช่แค่อาเจียนรับไม่ได้
       ถาม :    แล้วหลังจากนั้น.....?
       ตอบ :  ก็ต้องให้เขาต้มพวกข้าวต้มเละ ๆ เป็นโจ๊กเลย ใส่บาตรให้เพราะท่านอธิษฐานไว้ว่า ถ้าไม่ได้ใส่บาตรท่านไม่ฉัน ก็ต้องใส่บาตรให้ท่าน แหม...ให้คนอดมานาน ๆ นี่มันน่ากลัว กินน่าตาย บาตรเบอร์ ๘ ครึ่ง ใส่เสียค่อนบาตร ฉันหมดน่ะ แล้วก็ไปอดต่ออีกอย่างน้อย ๗ วัน ถ้าไม่ใช่ ๗ วัน ๑๐ วันเข้าไปดูเสียทีหนึ่งเห็นแย่มาก ๆ ก็โผล่ไปดูที เป็นอาจารย์ที่โหดใช้ได้ (หัวเราะ)
       ถาม :    ตกลงได้กินบ้างหรือยัง  ?
       ตอบ :  ไม่ได้กิน   ตั้งกำลังใจผิด
       ถาม :     เป็นยังไง  ...?
       ตอบ :   อยู่ครบ   ๓   เดือนไม่ได้กินเลยมีแต่อาหารที่เราให้คนเข้าไปถวายถึงจะได้กิน    ตักใส่บาตร   ถึงเวลาเดินกลับมา    การขอข้าวเทวดากินมี   ๒   แบบ   แบบหนึ่งนี้เราเลือกต้นใดต้นหนึ่งเป็นการเจาะจงเลย   เอาบาตรไปแขวนไว้   แล้วก็ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขา   ถ้าได้ยินเสียงดังกุกเหมือนกับใครเอาอะไรเคาะฝาบาตรล่ะก็...    เก็บบาตรกลับได้     จะมีอาหารมาพร้อมกับดอกไม้มาด้วย  อีกแบบหนึ่งก็คือกำหนดระยะทางว่าเราจะเดินจากต้นไหนถึงต้นไหน   ส่วนใหญ่ประมาณครึ่ง   ๆ   ทางเขาก็โผล่มาใส่แล้ว   มาก็มาลักษณะชาวบ้านทั่ว   ๆ   ไป  กระมอมกระแมมมาโน่นล่ะ
               แต่ว่าอยู่อย่างนั้นมันมีอยู่อย่างคือว่า   ตัวเมตตาบารมีมันต้องทรงตัว    ถึงเวลาแผ่เมตตาและภาวนาต่อจนอารมณ์ทรงตัวแล้วรักษาอารมณ์นั้นไว้ต่อเนื่องให้ได้    ๓   วันห้ามพร่อง      ถ้าพร่องไม่ได้รับประทาน    ถ้าไม่พร่องเลยก็จะได้เลย     ถ้าได้แล้วอย่าประมาทนะ   พร่องมื้อต่อไปอด

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2008, 14:09:02 »

http://grathonbook.net/book/6.4.html

ถาม :       ฝึกเมตตาตัวเดียวเหรอคะ   ?
       ตอบ :  ฝึกเมตตาตัวเดียว แรก ๆ ใหม่ ๆ ฝึกงี้ขำจะตาย แหม... วันแรกมันชุ่มมันเย็นเหมือนกับซุกน้ำแข็งไว้ในอก มองฟ้า มองดิน มองจิ้งจกตุ๊กแกยิ้มให้มันได้หมด ไม่รู้จะยิ้มให้ใครเดินไปยิ้มกับถนนก็เอา พอวันที่สองหนักขึ้น ๆ เหมือนยังกับแบกช้างไว้ทั้งตัว วันที่สามนี้ไม่เกินครึ่งวันทะร่อทะแร่เป็นนกปีกหักร่วงแอ้ก ไม่เป็นท่า เอาไปรายงานหลวงพ่อท่านก็หัวเราะ ท่านขำ ท่านบอกอย่าลืมนะว่าถ้าฌานสี่ไม่คล่องตัว    ตัวเมตตาบารมีมันทรงยาก    เมตตาบารมีใช้กำลังสูงมาก     
              ท่านถึงบอกว่าให้ในบ้าน ให้ทำในวัดก่อนเราอยู่ตึกกองทุนมันไม่ต้องไปไกล ต้นมะม่วงขึ้นอยู่หน้าตึก หน้าตึกก็มีต้น หลังตึกก็มีต้น เลือกเอาสิว่าจะเอาต้นไป แล้วโรงครัวก็อยู่ไม่ห่างไม่เกิน ๕๐ เมตร อดก็เดินไปโรงครัวก็ได้ แหม.... หลวงพี่ท่านพอรู้วิธีก็ออกป่า...เกือบตาย ๓ เดือนกลับมามีแต่หนังหุ้มกระดูก ท่านถึงได้บอกว่าท่านเป็นหนี้ชีวิตอยู่ไง ไปรั้งชีวิตให้คืน ๗ รอบ ๘ รอบ กว่าจะครบ ๓ เดือน ท่านตั้งใจว่าจะอยู่ให้ครบ ๓ เดือน แล้วก็จะกินแต่อาหารที่เขาใส่มาในบาตรเท่านั้นเอง ในป่าอย่างนั้นถ้าไม่ใช่พวกเราเข้าไปมันจะมีใครไปใส่บาตร นอกจากรอเทวดาเขา
               เทวดาตรงนั้นจริง  ๆ  แล้วเขาให้หวยแม่นนะ    สมัยที่อยู่คนเดียว    ๒   เดือนกว่าเท่านั้น   แรก  ๆ   ลุงปาน เขาได้รับคำสั่ง เขาไปส่งเสบียง ส่งไปส่งมาก็ขี้เกียจ บางทีก็ ๑๐ วัน ๑๕ วัน ไม่ได้เจอหน้า พอเทวดาเขาบอกหวยเราก็เขียนไว้ เขียนเอาไว้ข้างกองไฟทีนี้ลุงปานมาได้ไปงวดเดียวเท่านั้นแหละ.... ครกกระบากสากกระเบือมันแบกไปให้หมด กระทั่งที่นอนยังแบกไปให้เลย ขยันมากเลยไอ้ตอนไม่ได้หวยนี่ขี้เกียจ (หัวเราะ) งวดสุดท้ายนี่ทะเลาะกับแสงชัย แทบเป็นแทบตาย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ... เขานัดวันที่ ๒๙ ธันวาคม แล้วแสงชัยเข้าไปวันที่ ๓ มกราคม ลุงปานเข้าไปถึงเห็น ๓ ตัวเจ๋ง ๆ เลยเพิ่งออกไป โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงบ่นซะประเภทตั้งแต่เดินไปยันเดินกลับเลย คือ ของแกคล้ายกับว่าบุญแกน้อย ถึงได้สอนไปว่า เรื่องหวยน่ะ มันเป็นผลของการทำบุญที่ไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อนในอดีตส่งผลให้ ถ้าเราทำมากก็ได้มากทำน้อยก็ได้น้อย ให้สังเกตว่าเราเคยเล่นเท่าไหร่แล้วได้ก็อย่าเล่นเกินนั้นมันเกินบุญตัวเอง มันจะไม่ได้      
              ลุงปานแกเล่นแกจะเล่นล้มเจ้ามือ แกบอกจะเอาให้มันดังสักทีปรากฏว่าตัวไหนแทงไม่เกิน ๕๐ บาทจะถูก คือ แกกลับไปกลับมา ถ้าตัวไหนแทงทีหนึ่งหลาย ๆ ร้อย ยิ่ง ๓ ตัวแทงมัน ๑,๐๐๐ ? ๒,๐๐๐ เลย ไม่ได้กินหรอกสูญหมดแกก็จะไปได้ตัวที่น้อยที่สุด เข้าไปวันนั้นเจอ ๒ ตัวไม่ต้องกลับ โกรธแสงชัยจนทุกวันนี้คุยกันหรือยังไม่รู้ บ่นซะไม่มี... ว่านัดกันวันที่ ๒๙ แล้วทำไมไม่มา
              แต่ความจริงแสงชัยไม่มาแกก็น่าจะเข้าไปเอง แกไม่เข้าเองแล้วจะโทษใครล่ะ ? เทวดาเขาก็เหลือร้ายนะเขารู้อยู่แล้วว่าไม่มาเขาก็ให้ ๓ ตัวตรง ๆ ไปแถวนั้นไปไม่ค่อยได้หรอก ขึ้นไปเจอหน้ากันมันแทบจะอุ้มไปเลย เพราะเจ้าที่แถวนั้นเขาเก่งเขาให้หวยบ่อย ไปทีไรมันได้กันทุกที หลวงพ่อท่านห้ามอาตมาให้หวย แต่ถ้าเขาบอกมาแล้ว เราบอกต่อไม่เป็นไร เราไม่ได้ให้ แต่เราแค่เอาจากเขามาแล้วเราบอกต่อ ไอ้ที่ไปใต้ก็เหมือนกัน ให้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าเจ้าแม่เขาให้เมื่อไหร่ก็ได้ เจ้าแม่โต๊ะโมะ      ให้หวยเก่งแต่ไม่ค่อยให้ใคร   
              เจ้าแม่ท่านไม่ซี้ซั้ว ท่านต้องรู้วาระเขาด้วยว่ามีบุญหรือเปล่า ? ถ้าวาระของทานบารมีมาสนองยังไงมันก็ต้องได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นี่แกก็เล่นให้หวย งวดแรกก็ถูกกันไป พวกที่ไม่มั่นใจไม่ได้เล่นก็ แหม... อยากจะได้งวดต่อไป พอทุ่มลงไปไม่ถูกเลยสมน้ำหน้า! คุยกันเรื่องอะไร ? เรื่องกินข้าวเทวดาออกไปยันหวยชักจะไปไกล หลวงพ่อท่านห้ามให้หวย ไอ้ตอนที่ให้จริง ๆ มันเกิดจากโยมเยี่ยมแม่ครัวที่วัดที่ให้โยมเยี่ยมเพราะแกมีสัจจะ แกบอกว่าแกอยากได้เงินทำบุญเท่าไร ก็ให้แกไปแกจะมาขอก็ให้แกไปตัวเดียวแกก็ไปเล่นถูกทีหนึ่ง ๒๐๐ - ๒๐๐ มันไม่เยอะหรอก แต่แกได้ถวายสังฆทานแกก็พอใจ เดี๋ยวนี้พอสัก ๒ งวดขึ้นไป คนเริ่มสังเกตไอ้ยายนี่ถูกติดกันนี่หว่า งวดต่อไปมันก็ตาม อาตมาก็บรรลัย ( หัวเราะ) หลวงพ่อท่านบอกว่า   รู้  ๆ   อยู่ไปบอกเขามันก็เท่ากับไปปล้นเขา   ท่านสั่งห้ามเลย    ห้ามให้หวยแล้วห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน    
              ถ้าคนตายมันมาบอกเองนี่ อาตมาจะบอกต่อได้ แต่ถ้าคนตายแล้วมันไม่มานี่บอกไม่ได้หรอก ถ้าคนถามบอกไปเลยว่าไม่รู้ บางทีถ้าถวายสังฆทานอยู่เขามายืน บอกเองเลยว่าเขาตายแล้วเขาไปไหน
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งพวกออมสินเขามา คนหนึ่งถวายสังฆทานให้ผัว คนหนึ่งถวายสังฆทานให้พ่อ ตายแล้วทั้งคู่ ไอ้ผีก็มาในลักษณะมนุษย์ แก่งั่กมาเลย เอ.. เราก็ว่าต้องเป็นพ่อยายคนนี้แน่ ๆ เลยถามเขาบอกว่าพ่อหน้าตาอย่างนี้ใช่ไหม ? อีกคนบอกไม่ใช่นั่นผัวหนู (หัวเราะ) ใครจะไปรู้ว่าผัวมันแก่ขนาดนั้น แสดงว่าชาติที่แล้วเขาทำบุญด้วยดอกไม้เหี่ยว ไม่ใช่นะคะนั่นผัวหนู.... ว่างี้ ผัวเขาแก่งั่กเลยนะ เราก็ต้องคิดว่าเป็นพ่อของอีกฝ่ายหนึ่งอยู่แล้ว มันมาแก่ขนาดนั้น ไอ้อย่างนั้นน่ะบอกได้เพราะเขามาเอง แต่ที่เดินมาถามดุ่ย ๆ เลย แล้วผีมันไม่โผล่มายืนยันเลยอันนี้บอกไม่ได้หรอก เพราะหลวงพ่อท่านห้ามไว้ ท่านบอกว่าการบอกว่าคนตายแล้วไปไหนมีแต่เสมอตัวกับขาดทุน   ไม่มีกำไรเลย เพราะบางคนทำดีมาตลอดชีวิต แต่ลงนรกเพราะจิตสุดท้ายไปเกาะความเลวเข้า คนทำชั่วมาตลอดชีวิตจิตสุดท้ายเกาะความดีได้ไปสวรรค์ ถ้าไอ้คนทำความดีมาตลอดชีวิตแล้วลงนรก นี่ลูกหลานมันจะมีอารมณ์ทำความดีไหมล่ะ ? ขาดทุนย่อยยับใช่ไหมถ้าบอกเขา ท่านก็เลยสั่งห้าม ท่านบอกถ้าใครถามบอกให้ไปฝึกเอง
               ออมสินสำนักงานใหญ่  คุณอัจฉรา  ยะธิกุล     สามี    แหม...  แก่เชียว   ส่วนจริยา ทำบุญให้พ่อมันแต่งสีกากีมามีขีดด้วยนะ เอ๊ะ ! เราก็เอ๊ะมันชุดอะไรหน้าตาแปลก ๆ ไม่เคยรู้จักหรอกว่ามันชุดอะไร ก็ถามเขาพ่อเป็นข้าราชการด้วยเหรอ แต่งชุดแบบนี้มาเขาบอก....พ่อเขาเป็นสารวัตรกำนัน เออ...สารวัตรกำนันติดขีดด้วยเหมือนกันนะ ไม่เคยเห็นจริง ๆ นะ ของเรามันชินตากับชุดข้าราชการอำเภอหรือพวกครูอะไรอย่างนั้นใช่ไหม อยู่ ๆ ไปเจอในลักษณะนั้นมันแปลก ๆ ไม่เคยเห็นสารวัตรกำนันมันไม่น่าเชื่อว่าเขาจะให้แต่งเครื่องแบบด้วย เราก็นึกว่ากำนันอย่างเดียวให้แต่งเครื่องแบบ
       ถาม :    อย่างการที่เราจะอุทิศบุญกุศลให้เขาต้องเกี่ยวเนื่องกับเราหรือเปล่า   ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าท่านมามันต้องเกี่ยวเนื่องกันอยู่แล้ว แล้วถ้าหาก ว่าถามใคร เรื่องอะไร หรือว่าขอการสงเคาระห์จากใคร ยึดองค์นั้นไว้เลย อย่าประเภทเปะปะมั่วไป ถ้ามั่วไปเมื่อไหร่โดยเฉพาะเรื่องการถามนี่เดี๋ยวโดน เพราะว่าโลกอื่นเขาไม่โกหกกัน เขาว่ากันตรงไปตรงมา ถ้าเราไปถามเปะปะ โดยเฉพาะปัญหาซ้ำซ้อนมันเท่ากับไม่เชื่อถือเขา เดี๋ยวเขาก็หลอกเอา ถามใครต้องถามองค์นั้นตลอด
       ถาม :       ......................
       ตอบ :  ถ้าสมาธิละเอียด ๆ นี้ ได้ยินเสียงตัวเองกรนนะ โดยเฉพาะตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดขึ้นไปสติมันรู้อยู่ กรนก็ได้ยินเสียงตัวเองกรน
       ถาม :     หลวงพ่อหนูทำได้แล้ว
       ตอบ :   อือม์   ได้แล้วอย่าเพิ่งไปเชื่อมันนะ
       ถาม :     .......................
       ตอบ :  เพราะว่ากำลังใจของเรามันมีขึ้นมีลงเป็นปกติ ถ้าได้แล้วไปเชื่อว่ามันดีแล้วเดี๋ยวมันพังก็นั่งร้องไห้อีก ต้องระมัดระวังอยู่เสมอห้ามประมาท
       ถาม :     ปกติกำลังจะมีขึ้นมีลง   ?
       ตอบ :   ถ้าขาดการทบทวนซ้อมไว้เสมอ   ๆ   ถ้ามันไม่ใช่อารมณ์ทรงตัวจริง  ๆ   มันจะเสื่อม
       ถาม :    ..............................
       ตอบ :   ถ้าหากว่าทำสมาธิสม่ำเสมอมันก็จะทรงตัวไป มันก็จะก้าวหน้าไป มันก็ไม่แน่ถ้าหากว่ากำลังใจยังเป็นโลกีย์อยู่ บางทีตัวอกุศลกรรมจะตัดมันก็พังเอาดื้อ ๆ ที่เขาเรียกสมาธิตก กำลังใจตก มันก็ฟุ้งซ่านไม่อยากจะทำความดี บางทีก็อยากจะชั่วให้มันสะใจ ทำนองนั้น ฟังว่าเขาทำได้แล้วเราก็โมทนานะ ถ้าเขาพังเมื่อไหร่เราก็คอยประคองไว้แล้วกัน
       ถาม :     .......( ไม่ได้ยิน)........ถ้าเกิดปัญญายอมรับกันมันก็จะไม่เสื่อม   ?
       ตอบ :    ถ้าวิปัสสนาญาณนี้จะไม่เสื่อม     สภาพจิตยอมรับแล้วมันรับเลย
       ถาม :     ถึงแม้บางครั้งยอมรับแล้วคือหมายถึงว่าเจอยังไง  ?
       ตอบ :  มันจะไม่คัดค้าน มันจะไม่คัดค้านอีก บอกมันว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานี่มันเชื่อเลย .....( ไม่ได้ยิน)...เป็นไงทิพย์มีอะไรไหม ? รอจนกว่าเขาจะมาใช่ไหม ? เอาเหอะ... รักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ ของพรรค์นี้ถ้าต่อเมื่อไหร่ อนาคตมันจู๋มันก็เลยสั้น ก็อย่างทิดฉัตรไง เขาก็คิดว่า เออ.. มันน่าจะทำได้แล้วไง... ท่านนั่งกลุ้มอยู่เรื่องเล็กเรื่องน้อยอะไรบางอย่างมันก็กระทบกระทั่งกันได้ จริง ๆ แล้วมันน่ากลัว คนมีครอบครัวแล้วโอกาสที่จะดีมันยิ่งกว่าแทงหวยหวังรางวัลที่หนึ่ง คู่ที่เรามันเหมาะสมกันแท้ ๆ เลยบางทีตัววาระกรรมมันเข้ามาก็ทำให้เข้าใจผิดกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะฉะนั้นการมีครอบครัวนี่สำหรับใครไม่ทราบ แต่สำหรับอาตมานี้รู้สึกว่ามันน่ากลัวมากเลย
       ถาม :     แล้วมันเป็นทุกคู่  ?
       ตอบ :  มันก็มี ใช่ไหม ? แต่ว่าโอกาสที่วาระกรรมมันเข้ามาสนอง เมื่อโอกาสที่จะทะเลาะกันบ้านแตกก็มีเยอะ เนื้อคู่ที่ศีลเสมอกัน ทางเสมอกันปัญญาเสมอกัน มันหายาก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าบุคคลที่จะครองสุขกันอยู่ต้อง   ทานเสมอกัน   ศีลเสมอกัน   ปัญญาเสมอกัน    แบบนี้   วันนี้คุณทรงยศ เขามาเขาปรารถว่า สมัยหลวงพ่ออยู่พาภรรยาไปนะ ภรรยาเขาประเภทที่เรียกว่าไม่ชอบเอาเลย ถึงขนาดคัดค้านกันเลย ก็ตัวเองเคารพหลวงพ่อภรรยาคัดค้านก็เลยทะเลาะกัน จนกระทั่งทุกวันนี้พอรู้ว่าไปวัดก็บ่น ๆ ด่า ๆ ไปเลย แบบนี้ศีลไม่เสมอกัน ปัญญาไม่เสมอกัน ลำบาก
       ถาม :    หลวงพ่อคะ    ปัญญามีอยู่ทางเดียวเหรอคะ  ?
       ตอบ :  ทางโลก ทางธรรม ก็ได้ ให้มันเสมอกันก็แล้วกัน ปัญญาทรงโลกมันก็น่าจะมีนะ รู้ว่าสามีเราชอบอย่างนั้นเราก็อย่าไปคัดค้านสิ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของครอบครัวก็คล้อย ๆ ตามไปบ้าง พอถึงเวลาเรื่องที่เราชอบเขาก็คล้อยตามมาได้นี่ มันไม่จำเป็นต้องปัญญาทางธรรมก็น่าจะมองเห็น
       ถาม :    แล้วอย่างนี้คนที่เขาแต่งงาน  แล้วถ้าเขาต้องทำบุญกันเยอะ  ๆ   
       ตอบ :   ก็โอกาสดีขึ้นก็มี   แต่อย่าเผลอนะ    มันไม่ได้ทำบุญมาตลอดช่วงบาปมันมี    ถ้าวาระบุญมันสะดุดลงด้วยเหตุใดก็ตาม โอกาสที่บาปมันแทรกมันมี ต้องทำสม่ำเสมอต่อเนื่องไปเรื่อยอย่าเผลอเปิดช่องให้เขา เปิดช่องเมื่อไหร่นี่เจ้าหนี้มาเพียบ มันรายเดียวยังพอจ่ายให้มัน มันมาเยอะเลย แต่สังเกตว่าบางคนพอถึงช่วงตกอะไร ๆ ที่มันไม่ดีมันนะรุมมะตุ้มกันมาเต็มไปหมด ก็คือเขารุมทวงกันทีเดียว มันหนีมานานแล้วไม่ได้เงินต้นเอาดอกก็ยังดี
       ถาม :     แล้วพวกที่เข้าวัดบ่อย  ๆ   ก็ยังมีอยู่  ?
       ตอบ :  มันไปทะเลาะกันหน้าหลวงพ่อก็มี อย่างคู่ที่ชัดที่สุดพี่สาวกับพี่เขย (ของคนถาม) นั่นนะเข้าวัดด้วยกันทั้งคู่ แล้วเสร็จแล้วดูสิว่าเขามีความสุขไหมตอนนี้
       ถาม :     ........................
       ตอบ :  มันไม่ตีกันต่อหน้าหลวงพ่อ แต่ว่ายังไงเขาก็ประเภทขัดคอกันอยู่เรื่อย ๆ เสร็จแล้วปรากฏว่าตัวพี่เขยของเจ๊หลิน เขาคนที่ทุ่มเทที่สุดตอนนี้ยังไม่ได้อะไร แต่คนที่พี่สาวที่เจ็บช้ำน้ำใจอยู่ตลอดเวลาจากการกระทำของพี่เขยไปนิพพานแล้วจ้ะ เห็นทุกข์มากกว่า (หัวเราะ)
       ถาม :    หลวงพ่อท่าน..........
       ตอบ :  จริง ๆ ก็คือพี่เขยเขามาก่อน เขาไม่อยากจะแต่งงาน แต่ทีนี้ลูกผู้ชาย... คนจีนด้วยไง เสียพ่อแม่บังคับไม่ได้ แต่งแล้วก็ว่าเจ๊เขาว่าเป็นมารมาขวางความดีเขา ไป ๆ มา ๆ มารกลับอยู่นิพพาน แต่พระยังไม่ได้ไปไหน ( หัวเราะ) ตอนเป็นฆราวาสหัวเราะซะไม่มี มันก็ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องของพี่เขยเขาอย่างเดียว
       ถาม :     แล้วเมื่อวานตัดสินใจกันไม่ถูกเหรอคะ  ?
       ตอบ :    เขาวางกันไม่ถูก    ของเขานั้นมันเกินแต่ของเจ๊ประภา เขาพอดี ระยะหลัง ๆ นี้ถ้าคุยกันถึงเรื่องนี้นึกถึงแกเมื่อไหร่แกนั่งหัวเราะอยู่ข้างบน อั๊วสบายแล้ว... ปล่อยมัน (หัวเราะ)

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2008, 19:23:48 »

http://grathonbook.net/book/6.5.html

ถาม :    (ไม่มีเสียง)
       ตอบคุณสุวิทย์เขาค่อนข้างจะขวางโลก   เขาเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำน่ะดีแล้วถูกแล้ว     การกระทำที่มันดีจริง  ๆ  ที่พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ  มันต้องสายกลางโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ไอ้นี่ประเภทโลกช้ำไปทั้งแถบเลย แต่งงานไปแล้วแยกห้องนอนเลย ต่างคนต่างอยู่แต่งเอาใจพ่อแม่ คนจีนอยากได้ทายาทสืบสกุล ในเมื่อมันไม่ท้องสักที มันไม่ใช่ปลากัดนี่มองหน้ากันมันจะไปท้อง ก็ด่าใครมันก็ด่าลูกสะใภ้น่ะสิ เจ๊แกเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ทุกวัน ไปหาหลวงพ่อกูก็ได้วะ ก็ไป ปรากฏว่าได้ตัวคนที่ทุกข์มานี่มันเห็นธรรมง่ายกว่า สบาย
               เรื่องของธรรมะมันเป็นสากล ใครก็ตามที่เห็นตัวทุกข์ก็เห็นธรรมเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้ารับไปปฎิบัติต่อเนื่องไปอารมณ์ทรงตัวมันก็ได้เลย ส่วนใหญ่พวกเรามันจะเห็นเป็นพัก ๆ ถ้าทุกข์มาก ๆ ขึ้นมากำลังใจดีหน่อย พอความทุกข์เลยไปก็เริ่มเละใหม่ มันทำไม่ต่อเนื่อง การปฎิบัติทุกอย่างทั้งทางโลก ทรงธรรมถ้าขาดการต่อเนื่องผลงานจะไม่ดีโดยเฉพาะเรื่องของทางธรรม ถ้าขาดการต่อเนื่องกำลังของอกุศลกรรมมันแทรกได้เมื่อไหร่นี่ตีคืนยากแล้ว เหนื่อยสาหัสเลย   
              ลองดูเถอะหลายต่อหลายคนที่ต้องทิ้งกำลังใจมันขาดช่วงจากความดีไป กว่าจะตะกายให้มันกลับมาดีเท่าเดิมให้นี่ ก็สาหัสแล้วไม่ต้องไปหวังดีกว่าเดิมหรอก มันปล่อยให้ลอยตามน้ำมาเยอะแล้ว มันต้องว่ายตามน้ำขึ้นมา มันเหนื่อยแค่ไหนล่ะ ? เพราะฉะนั้นต้องทำให้ต่อเนื่อง
               คุยกับคุณทรงยศ เมื่อเช้าถึงได้บอกว่าของเรานี่มันโชคดี บังเอิญว่ามันหนีไปอยู่สม่ำเสมอ ต่อให้คนมันด่าแค่ไหน ถ้าเราจะทำก็ทำของเราไปเรื่อย โดยเฉพาะตอนเป็นนักเรียนทหาร เวลามันน้อยมากเลยตื่นตีห้านอนสามทุ่ม สี่ทุ่มปลุกไปฝึกนอนสีสองตีสามเราต้องลุกมาภาวนา เรารู้ว่าสิ่งที่หลวงพ่อสอนน่ะดี เราต้องทำให้ต่อเนื่องเข้าไว้ อารมณ์ใจมันถึงได้ทรงตัว คุณทรงยศ เขาปรารภว่าระยะนี้กำลังเขาแย่มาก ก่อนหน้านี้เมียบ่นไม่โกรธ ตอนนี้โกรธตั้งแต่ไม่ทันจะบ่นแล้วล่ะ
       ถาม :      ..........(ฟังไม่ชัด)..........
       ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอกกินเยอะมันก็หลับเป็นธรรมดา เลือดมันไปเลี้ยงกระเพาะนี่ เลือดมันลงไปที่กระเพาะเพื่อไปย่อยอาหารมันทำให้เลือดที่เลี้ยงสมองน้อย มันจะทำให้ซึมหลับ เดี๋ยวพอมันย่อยหมดเดี๋ยวก็ตาใส กินใหม่
       ถาม :  ฝึกกรรมฐานในทางพุทธ มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับสัตว์เดรัจฉานมั้ย ? เขาบอกเขามีคนหนึ่งเขาเปิด...(ฟังไม่ชัด ) ... อีท่าไหนเขาบอกเขาถอดจิตมาเป็นเสือดาว เอ้ย ! เป็นเสือดำอะไรสักอย่างที่เขาบอกแปลก ๆ อยู่นะ
       ตอบ :  พวกนั้นไม่แน่เหมือนกัน เพราะว่าทางด้านเขมรเขาก็มี ปัจจุบันนี้ยังมีอยู่นะ แต่ไม่แน่ว่าท่านไปไหนแล้ว ทางด้านเหนือมีครูบาอยู่องค์หนึ่ง เรียนวิชาจากเขมร หัวใจเสือสมิงเหมือนกัน ขึ้น ๑๔ ค่ำ ขึ้น ๑๕ ค่ำกับแรม ๑ ค่ำ ๓ วัน เขากลายเป็นเสือ เพราะฉะนั้นครูบาองค์นี้ท่านต้องหนีไปอยู่ไกล ๆ ตามถ้ำตามอะไร ห่าง ๆ หมู่บ้านหน่อย คือพอชาวบ้านเขารู้ว่าอยู่ตรงนั้น ๆ เขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าหากว่าจะถึง ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ๑ ค่ำ นี่ต้องหนีก่อนกลัวว่าปุ๊บปั๊บเป็นขึ้นมาเดี๋ยวไปทำร้ายชาวบ้านเขา
       ถาม :    แล้วเขาบังคับตัวไม่ได้  ?
       ตอบ :   บังคับไม่ได้   เพราะว่ามันเป็นนี่   จิตใจมันก็เป็นสัตว์ไปเลยล่ะมันต้องหากินตามแบบของเขาไปเลย
       ถาม :     ก็เขาเป็นสัตว์แล้ว   เขารู้มั้ยว่าเขาเป็นคนมาก่อน  ?
       ตอบ :  ไม่ เขาบอกว่าความรู้สึกมันไม่มีเลย มันเป็นความรู้สึกของสัตว์เดรัจฉาน หิวขึ้นมาก็ล่าเลยอย่างนั้น เขาบอกว่าเขาเองเขาคิดผิดที่ไปเรียนวิชาพวกนี้ไว้ มันกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานวิชาอันตรายมาก
       ถาม :  เลิกไม่ได้ ใช่มั้ย ?
       ตอบ :  เลิกไม่ได้มันติดตัวไปเลย อันนั้นน่ะอาจจะเป็น ก็มันมี ๒ อย่าง คือ พวกที่ฝึกวิชานี้มาเกี่ยวกับน้ำมันเสือสมิง หัวใจเสือสมิงอะไรพวกนั้น มันสามารถแปลงเป็นเสือได้
       ถาม :  เพราะว่าเห็นเขาบอกว่า     ตั้งแต่เจอมานะ   คิดว่าไม่.....( ฟังไม่ชัด)...ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสัตว์เดรัจฉานนะตั้งแต่เห็นมา
       ตอบ :    ก็  ที่มีอยู่เหมือนกัน    หลวงปู่ปาน   หลวงปู่จง   หลวงปู่จาด    แปลงร่างเป็นเสือไปทดสอบกำลังใจหลวงพ่ออย่างนี้ทำได้
       ถาม :   แต่ที่ฝึกปฎิบัติมัน.......
       ตอบ :     ไอ้ฝึกปฎิบัติให้เป็นอย่างนั้น   มันไม่ใช่แน่
       ถาม :  ......(ฟังไม่ชัด)........ ว่ามันไม่ใช่ก็เลยบอกเขาบอกว่าเคยเห็นนะ เขาบอกเนี่ยเขาเปิดหนังสือให้ดู เขาบอกเหรอแต่เราไม่เคยเห็น
       ตอบ :     บอกเขาว่าระวังไว้    อันนั้นถ้าหากว่าฆ่าคน   ไม่สามารถกลับคืนเป็นคนได้อีกเลย    กลายเป็นสัตว์ตลอด
       ถาม :  เขาบอกว่าอะไรนะ ปู่หรืออะไรคนเนี้ย เขาบอกเขาถอดจิตเป็นเสือได้ เขาบังคับวิ่งไปวิ่งมาได้ แต่....(ฟังไม่ชัด)....เขาไม่เห็น
       ตอบ :    ทางใต้เนี่ย ....(ฟังไม่ชัด) ...  เคยได้ยินไหมเรื่องของตาหลวงรอด    ตาหลวงเดช ปัจจุบันนี้จะเป็นเจ้าที่ที่มีชื่อเสียงมาก จำไม่ได้อยู่แถวนครหรืออะไร นั่นก็ฝึกวิชานี้แหละ แล้วก็กลายเป็นเสือไป คราวนี้ตาหลวงรอดนี่พอรู้ตัวว่าตัวเองจะเป็นเสือ ก็ออกไปปลูกกระต๊อบอยู่ในป่าให้ลูกสาวไปส่งอาหาร พอถึงเวลาลูกสาวเรียกก็ เออ ๆ วางไว้นั้นแหละ จนกระทั่งวันหนึ่งลูกสาวทนคิดถึงพ่อไม่ไหว เป็นเดือนเป็นปีไม่เห็นหน้าเลย พ่อเอื้อมมือมารับของสักหน่อยก็ยังดี เอื้อมมือออกมาเป็นเล็บเสือ
       ถาม :    แต่พูดภาษาคน  ?
       ตอบ :   ยังประเภทที่เรียกว่า   แกยังรักษาสติสัมปชัญญะของคนอยู่ได้   ก็คงจะเป็นลักษณะว่ามันยังมีส่วนของร่างกายที่เป็นคนอยู่
       ถาม :    แล้วของแกนี่แปลงร่างเฉพาะวัน   หรือ...( ฟังไม่ชัด)....?
       ตอบ :  ก็คงจะเป็นตลอด ก็ฝรั่งเขาที่ก่อนหน้านี้ทาง ....( เสียหาย).... พรานฝรั่งเขียนเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องคนกลายเป็นเสือสมิงนี่แหละ พวกข้าหลวงอังกฤษที่สมัยก่อนปกครองมลายูอยู่ เขาบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่ามีคนที่สามารถกลายร่างเป็นเสือได้
              พวกอิสลามเขาฝึกวิชาพวกนี้อยู่ เขาบอกว่ามีเสือเข้ามากินวัวชาวบ้านอยู่เรื่อยแล้วมันฉลาดเหมือนคน ไม่ว่าจะติดกับดักล่าอีท่าไหนก็ตามมันหลบหลีกได้หมด แล้วเอาวัวไปกินประจำเลยข้าหลวงอังกฤษนี่แกก็เลยรับอาสาไป อาวุธแกดีด้วย แกก็ไปซุ่มอยู่ในกระต๊อบ ตรงกระต๊อบมันมีหน้าต่างมองออกไปมันจะเห็นวัวที่ผูกเอาไว้ ปรากฏว่าพอได้ยินเสียงวัวดิ้นแกก็ส่องไฟไป แกบอกว่าแกเห็นชาวอิสลามคนหนึ่งนะ เล็บเป็นเสือตัวมีลายเสือแต่ว่าร่างยังเป็นของคนอยู่ แล้วก็เขี้ยวยาวมากเลย กำลังตะปบกัดวัวอยู่ พอแกส่องไฟไปก็หันมาประประเภทว่าคงร้องด้วยความโกรธ เลยเห็นชัด ๆ ว่าหน้าเป็นคนอยู่แต่ว่าส่วนอื่น ๆ เป็นเสือแล้ว แล้วเขาก็กระโดดเข้าป่าหายไปไม่ทันยิง มัวแต่ตะลึงอยู่
              แล้วมาตอนหลังพอเอาวัวไปดักในป่ายิงได้นั้นเป็นเสือทั้งตัวอยู่แล้วเลยไม่ มั่นใจว่าเป็นคนคนนั้นหรือเปล่า แต่ว่าเขาบอกว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เสือที่อาละวาดกินวัวตัวนั้นก็หายไป มันอาจจะรู้ตัวแล้วมันหลบไปอยู่ที่อื่น หรือว่ามันโดนยิงตายไปจริง ๆ ก็ไม่รู้
       ถาม :     ถ้าเกิดว่าเขายิงได้ตอนกำลังครึ่งคนครึ่งเสือเนี่ย    พอเขาตายไปแล้ว   เขาจะเป็นของสภาพไหน  ?
       ตอบ :   ก็อย่างคุณสังคีตเขาเล่าให้ฟัง นั่นทางเหนือ แม้ว ครอบครัวหนึ่งพอตัวตายนี่รีบเอาไปฝังเลย ไม่มีการจัดงานศพ ไม่มีการอะไรเลย ปกติพวกแม้วเขาจัดงานศพหลายวัน ลักษณะคนจีน ไปฝัง เสร็จแล้ว แม้ว ๒ แม่ลูกก็อพยพไปอยู่ที่อื่น
              หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสืออาละวาดไปกินสัตว์เลี้ยงชาวบ้านเขา เขาตามลอยไป ก็ไปถึงหลุมศพแม้วนั่นน่ะ แล้วมันมีรอยกว้างชนิดที่ว่าคนมุดเข้าไปได้อยู่ เขาเลยเอาหน้าไม้ผูดเชือกยิงเข้าไป พอชักเข้ามามันมีเลือดติด แต่ว่ามันไม่มีเสียงเสือไม่มีอะไร เลยพร้อมใจกันขุดขึ้นมา ปรากฏว่าไอ้นั่นมันเป็นคน แม้วคนนั้นแหละแต่ว่ามือเท้าเป็นเสืออยู่ แล้วยังมีหางอยู่หน่อยหนึ่ง เขาก็เลยช่วยกันเผาทิ้งไปเลย
       ถาม :    อ้าว   แล้วตายมันตายยังไม่รู้เลยตายจริงหรือตายปลอม  ?   
       ตอบ :   ก็   แสดงว่าตัวเมียเขาต้องรู้อยู่แล้วว่าผัวมีสภาพอย่างนี้  พอตายปุ๊บเขารีบฝังไปเลย
       ถาม :      แต่ตอนนั้นที่ตายจริงน่ะสิ
       ตอบ :   ตายแล้วร่างคนน่ะตายแต่พวกได้มหิทธิกาเปรต    หรือไม่ก็กาลกัญจิกอสุรกาย    มันแฝงร่างหากินต่อ   อันตรายเหมือนกัน   เรื่องโลกจิณไตย    ถ้าหากว่าพูด  ๆ  ไปนี่ก็ประสาทกินเหมือนกัน    มันไม่น่าจะเป็นไปได้แต่มันก็เป็นไปได้   ?อจิณไตย?   พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ควรคิดไม่ควรไปหาเหตุผล   ผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า    มันเสียเวลากับการปฎิบัติ
       ถาม :      เรื่องของอะไรที่มันแปลก   ๆ  ไม่สามารถเจอได้ในโลกเนี่ย
       ตอบ :    เยอะ   
       ถาม :      มันมีเยอะมากเลย  ?
       ตอบ :  กรรมวิบาก โลกจิณไตย มันสารพัดสารเพเลย วิบากกรรม ถ้าทำเอาไว้มันปรุงแต่งออกไปพิลึกพิลั่น พิสดารกว่าที่เราคิดเยอะ ได้ดูไอ้นั่นไหมล่ะ ? หมาตัวหนึ่ง หูมันเหมือนหมี หูมันกลม ๆ แล้วก็หางเป็นกระรอก อย่างกับหมาตุ๊กตาเลย
       ถาม :     มีจริง  ๆ ?
       ตอบ :  มีจริง ๆ เขาเจอมัน เจ้าของน่ะเจอ เป็นหมาที่เรียกว่า จรจัดเห็นมันโทรมมาก ขับรถไปเจอก็เลยอุ้มขึ้นรถมารักษา จนกระทั่งหาย ขนสวยขึ้นมา ถึงไปเห็นว่ามันน่ารักขนาดนั้น หูมันกลม ๆ กลมบ๊องเลย แล้วก็หางเหมือนกระรอกแต่มันเป็นหมา เขาบอกว่ามันน่าจะมีเชื้อสายของพันธุ์อะไรก็ไม่รู้ ที่เป็นหมาเล็ก ๆ
       ถาม :     เชื้อแม่มันเป็นชู้กับกระรอก  (หัวเราะ)   
       ตอบ :  เสร็จแล้วเขาเอาไปไว้ในกองตุ๊กตาแล้วถ่ายรูปมา คนบอกไม่ได้ว่าตัวไหนเป็นตัวหมาตัวไหนเป็นตุ๊กตา เอาลักษณะส่วนหัวมันเหมือนตุ๊กตาหมี แต่หางมันเป็นกระรอก
       ถาม :     แปลว่ากรรมพันธุ์เหรอ  ?
       ตอบ :  ใจมันจะต้องไปฝังอยู่   ไอ้แม่หมาตัวนั้นมันต้องฟุ้งซ่านถึงหมีหรือกระรอกตอนคลอดลูก  (หัวเราะ)
       ถาม :      ดีนะเขาไม่จับมันไปดอง
       ตอบ :  ก็มันยังเป็น ๆ อยู่นี่ถ้าตายมันคงโดนผ่าพิสูจน์แน่เลย แต่ความจริงมันพิสูจน์ พวกยีนส์ พวก DNA อะไรมันน่าจะรู้ว่ามันเป็นอะไรแน่นะ
       ถาม :     นักวิทยาศาสตร์ก็คงตามอะไรไม่ทันหรอกค่ะ
       ตอบ :  จะไปตามทันอะไร   มนุษย์หิมะมันยังหาไม่เจอเลย   ทั้ง  ๆ  ที่ว่ามีเป็นฝูง
       ถาม :      เขาหาไม่เจอเพราะว่าพวกนี้เขาหนี    หรือว่าไปไม่ถูกกัน  ?
       ตอบ :   เขาไปไม่ถึง   พวกนี้เขาจะอยู่อย่างของทิเบต เขาจะอยู่แถวปากปล่องภูเขาไฟเก่า มันจะมีความร้อนเหลืออยู่ ทั้ง ๆ ที่รอบข้างเป็นทุ่งหิมะไกลสุดลูกหูลูกตา แต่บริเวณนั้นจะเป็นบริเวณอบอุ่น แล้วถ้าพวกผลไม้พวกต้นไม้ขึ้นงามมากเลย
              พวกพระทิเบตที่เขาศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรเขาจะรู้เพราะว่าเขาไปเก็บสมุนไพร บ่อย แล้วพวกนี้ เขาก็คบกับคนอย่างลักษณะว่าผูกมิตรดี อาจจะเป็นพวกพระมีความเมตตาอยู่เป็นปกติหรือยังไงไม่รู้ ถึงเวลาไป บางทีสมุนไพรมันเก็บยาก มันอยู่ทางปากเหว หมิ่นแหม่ พวกนี้เขาปีนคล่องกว่าเขาก็เก็บให้ เขารู้ว่าจะเอาประเภทไปจิ้ม ๆ ชี้ ๆ ใบ้ไปใบ้มาเดี๋ยวเขาก็เก็บมาให้
       ถาม :     เขาคงแปลกใจที่มีพระไปเก็บ   ไม่มีพระไปเก็บนานแล้วนะ   
       ตอบ :  พระเขาก็ไปกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าเขาเองเขาก็คล้าย ๆ กับว่ามันไม่มีหน้าที่ไปเล่าให้ใครฟัง ยกเว้นว่าเออ ไปถามตรงตัวก็แล้วไปถ้าไม่ตรงตัวเขาก็ไม่ไปนั่งโพนทะนาหรอก
       ถาม :    มีสักกี่องค์ที่จะกล้าเขียนแบบ   ลืมชื่อไปแล้ว   ท่านอะไร  ?
       ตอบ :   ล็อบซัง   ลัมปา    หนังสือเล่มนั้นอ่านตั้งแต่ป.  ๒   นะ    แล้วแปลใหม่   ๆ   นี่   เป็นอะไร  The??third?eyes?ตาที่   ๓   มาไอ้ชุดใหม่มันแปลเป็นอะไร  โอมมณีปัทเมหุม   ใช่ไหม  ?   เล่มเดียวกันเลย   นั่นอ่านตั้งแต่   ป.  ๒   ในสมัยที่ตะลุยอ่านหนังสือให้หมดทั้งห้องสมุดน่ะไปเจอเข้า
       ถาม :      วัฒนธรรมพวกนี้   ยังมีเหลืออยู่มั้ยที่ทิเบต   เขาเขียนว่าตำรายาเขาดีพวกนี้
       ตอบ :   วิทยาการพวกนี้มันก็สืบทอดมาเรื่อย   แต่ว่ามันเสื่อมไปตามยุคตามสมัยเพราะคนที่จะศึกษารู้จริงมันน้อยไง   
       ถาม :    เพราะว่าคนทำตาที่   ๓   ได้    มันมีแค่บางคนเองมั้ง   อยากเห็นของจริงจะเป็นยังไง   คงเป็นเหมือนแผลเป็นแน่เลย   
       ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ฟังดูวิธีการแล้วมันหวาดเสียว เขาสร้างดวงตาที่ ๓ ด้วยการเอาสว่านไชตรงหน้าผากเข้าไปถึงไอ้โพรงอากาศอะไร โพรงไซนัสมันน่ะ เสร็จแล้วก็ฝังสมุนไพร
       ถาม :      ..........(ฟังไม่ชัด).........
       ตอบ :   ก็ไทยมหารัฐประเทศของเราก็จะเริ่มกว้างขึ้น
       ถาม :    เป็นระบบสาธารณรัฐ   ....(ฟังไม่ชัด)....   
       ตอบ :  ก็แล้วแต่ว่าเราจะปกครองระบบไหนล่ะ เกิดมีใครเขามาพึ่งพิงขอร่วมไพบูลย์ด้วยก็รับเขาเอาไว้ก็แล้วกัน ประเทศจะใหญ่ขึ้นเรื่อยไหม ? โกหกมั้ง ? กัดฟันอยู่อีกสัก ๒ รัชกาล เดี๋ยวก็ได้เห็นเอง คนอื่น ๆ เขายังอยู่ได้ตั้ง ๔ แผ่นดินเนอะ แต่ถ้ามันอยู่แผ่นดินรัชกาลที่    ๕    นี่แผ่นดินเดียวก็ปางตายแล้ว    ๕๐   กว่าปี   (หัวเราะ)   ที่พูดถึงรัชกาลที่   ๙   เผลอไป   รัชกาลที่  ๕    นั่นเท่าไร   ๔๒   ปี
       ถาม :      รัชกาลที่   ๙    นี่น่าจะ  ๖๐ 
       ตอบ :  ก็กำลังลุ้นอยู่ให้ท่านอายุถึง ๘๓ ปี ก็เท่ากับว่าท่านต้องครองราชย์เท่าไหร่ล่ะ ? ๖๔ ปี เพราะท่านครองตั้งแต่อายุ ๑๙ นี่
       ถาม :      ไม่มีใครลบสถิติได้
       ตอบ :  ก็ไม่แน่เหมือนกัน    สมัยพระบรมไตรโลกนาถเท่า ไหร่ ? ๓๐ ปี ใช่ใหม ? รัชกาลที่ ๕ ท่านก็ลบสถิติไป พอรัชกาลที่ ๕ ท่านครอง ๔๒ ปี ใคร ๆ ก็ไม่มีคนลบสถิติได้ รัชกาลที่ ๙ ท่านก็ลบได้ อย่าลืมนะบางช่วงนี่คนจะอายุยืนมากนะ บางช่วงก็อายุเป็นหมื่นปีอย่างนี้น่าจะทำลายได้
       ถาม :    ก็คงไม่ใช่ในอีก   ๒   รัชกาล   
       ตอบ :  ก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ว่าราชวงศ์จักรีของเรานี่มีเป็นร้อยรัชกาลไม่ต้องห่วง
       ถาม :      อ๋อ   จะมีเป็นร้อยเหรอคะ   ?
       ตอบ :   มีเป็นร้อยรัชกาลเลย
       ถาม :      แล้วอีก   ๒   รัชกาลนี่สักกี่ปี  ?
       ตอบ :   อันนี้เป็นนิทานโกหก   ถ้าใครอยากรู้ว่าจริงไหม    ต้องอยู่ดูสิว่าจะมีเป็นร้อยรัชกาลจริงหรือเปล่า
       ถาม :     แล้วจะสืบต่อยังไง  ?
       ตอบ :  ถึงเวลาก็รู้เองแหละ    ก็อย่าไปกังวลสิ
       ถาม :      อยุธยานี่มีกี่รัชกาลคะ
       ตอบ :  อยุธยามี   ๓๓   มั้ง   ๔๐๐   กว่าปีใช่มั้ย    ๔๑๗   ปี
       ถาม :     จะมีตั้งหลายราชวงศ์อยุธยา
       ตอบ :   ราชวงศ์ปราสาททอง   ราชวงศ์สุวรรณภูมิ    ราชวงศ์บ้านพลูหลวง    ก็อย่างพระเจ้าทองล้น   ๗     วันเอง   พระยอดฟ้ากี่ปีเอง   ไม่ถึงปีมั้ง    ที่โดนขุนบรมวงศาธิราช    จับปลงพระชนม์    แล้วแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์   มาว่าราชการแทน    ไอ้คำว่าแม่ยั่วเมืองน่ะ   สมัยก่อนมันมาจากคำว่า  ?แม่อยู่หัวเมือง?     แล้วเสร็จแล้วมันก็เลยกร่อนลงมาเหลือแค่แม่หยั่วเมือง    ไอ้สมัยใหม่มันอ่านเป็นแม่ยั่วเมือง    กลายเป็นไม่ดี    สมัยก่อนเขาหมายถึงผู้หญิงที่ครองเมือง

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2008, 20:37:06 »

http://grathonbook.net/book/6.6.html

ถาม :     ประวัติศาสตร์จีนอย่าง   บูเช็กเทียนนี่    เขาครองราชย์ความสามารถในการครองประเทศเป็นยังไงบ้าง ?
       ตอบ :   มหาเสนาบดีเก่ง   
       ถาม :    เป็นเพราะว่ามีคนดีหรือว่าไม่ใช่ความสามารถส่วนตัว
       ตอบ :    ก็ต้องใช้คำว่านายกรัฐมนตรีดี   ก็คือว่า  เต๊กยิ่นเกี๊ยดนี่ เขาจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ซื่อสัตย์แล้วตรงไปตรงมา ขนาดจักรพรรดิณีท่านเกรงใจ จนกระทั่งมีอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างของเต๊กยิ่นเกี๊ยดนี่มันจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
                เรื่องเกี่ยวกับอธิษฐานบารมี เต๊กยิ่นเกี๊ยด เขาจะโดนประหารชีวิต ก็อธิษฐานว่าถ้าเขาไม่ผิด ขอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก มันจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ มันจะเกิดเป็น มิราจภาพลวงตา หรือบังเอิญมันจะมีฝนอะไรตกทางด้านนู้นแล้วมันจะสะท้อนเงาพระอาทิตย์ อะไรก็ตามก็ไม่รู้แต่พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก เขาก็เลยต้องปล่อยขนาดธรรมชาติช่วยขนาดนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องอธิษฐานบารมีนี่ล้อเล่นไม่ได้นะ   บุคคลที่กำลังบารมีเขาถึงนี่   เขาทำได้จริง  ๆ 
       ถาม :   ขออะไรก็จะได้  ?
       ตอบ :   ขออะไรก็เป็นไปตามนั้น   แต่ว่ามันจะต้องไม่ใช่เรื่องของผิดศีลผิดธรรม    เขาซื่อสัตย์มาตลอด    ไม่เคยทำผิดเลย   จนกระทั่งตอนหลังได้แต่งตั้งเป็นมหาเสนาบดี  บูเช็กเทียน นี่เขาเป็นคนที่ใช้คนเป็น นอกจากท่านจะมีความสามารถ ในการปกครองแล้วยังใช้คนเป็น คนไปตำหนิท่านว่าผัวเยอะ แต่ว่าไม่เข้าใจความคิดของท่าน ท่านเห็นว่าฮ่องเต้ยังมีนางสนมตั้ง ๓,๐๐๐ น่ะ ท่านเอง ก็เท่ากับว่าเป็นฮ่องเต้ผู้หญิง มันก็ต้องมีบ้าง ท่านก็เลยคัดผู้ชายไปเป็นสนมเหมือนกัน
              คนสมัยใหม่นี่มันเล่นเอาศีลธรรมจรรยาของสมัยนี้ไปวัดเขา มันจะไปอะไรได้ล่ะ ของเขา เขาก็แสดงออกถึงพระราชอำนาจ ซึ่งความยิ่งใหญ่ของท่านใช่ไหม ? ท่านก็ทำเป็นปกติ อย่าลืมว่าแผ่นดินสมัยบูเช็กเทียนนี่ จีนนี่เจริญรุ่งเรืองมากเลยนะ ขนาดต่างประเทศยอมรับ เขาไม่เก่งจริงเขาคงทำไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่างนี่มหาเสนาบดีดีด้วย ซื่อสัตย์มาก ตรงไปตรงมาทุกอย่าง เชื้อพระวงศ์ทำผิดยังโดนลงโทษเท่ากับคนสามัญนะ แล้วโดยเฉพาะมันมีอยู่รายหนึ่ง เป็นนักบวชแล้วก็เป็นชู้ลับ ๆ กับบรรดาผู้มีอำนาจ แล้วไม่สามารถที่จะไปปิดบังความชั่วของตัวเองได้ก็แอบจับผู้หญิงที่ไปทำบุญ ไหว้พระที่วัดของตัวเองไปขังห้องใต้ดินไปข่มขืน
              พอท่านสอบสวนไปถึง สั่งประหารเลยไม่เกรงใจ เป็นเราสมัยนี้กล้าแตะมั้ยล่ะ ? พอบอกสมบัติบิ๊กจ๊อดนี่ไม่มีใครกล้าหือ .....(หัวเราะ) ของเขาตรงไปตรงมาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก
               ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดต้องอ่านในเรื่องบูเช็กเทียน    หรือไม่ก็อ่านประวัติศาสตร์จีนทีละช่วงก็ได้   อย่าง  น่ำซ้อง   ปักซ้อง  ตังฮั่น    ไซฮั่นหรือว่า ซ้องกั๋ง อะไรพวกนั้น   ซ้องกั๋งนี่มันเกี่ยวกับ  ๑๐๘   ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน ต้นราชวงศ์ซ้อง ก็ยังแบ่งออกเป็นราชวงศ์ซ้องฝ่ายเหนือ ราชวงศ์ซ้องฝ่ายใต้มีการย้ายราชธานี ตั๋งฮั่น ไซฮั่น ก็ประเภทตะวันออกตะวันตกของคนจีนเขาสืบทอดมาหลาย ๆ พันปี
       ถาม :     แล้วจะกลับไปสู่ระบบจักรพรรดิอีกทีรึเปล่าครับ  ?
       ตอบ :    ก็ต้องลองดู   ถ้าอยู่ถึง   อย่างสมัยของเหมาเจ๋อตุง   หรือว่าเติ่งเสี่ยวผิง    เขาลักษณะเป็นจักรพรรดิกลาย  ๆ   อยู่ดี   บัญชาการได้หมด
       ถาม :    มิน่าพระมหากษัตริย์จีน    เขาถึงเรียกว่าจักรพรรดิ   เพราะมันใหญ่ดี
       ตอบ :  น่าจะให้เขา   จักรพรรดิจีนนี่ถือว่ามีความสามารถมากที่สุด
       ถาม :    แล้วอย่างไซซีกับหย่างกุ้ยเฟยล่ะครับ  ?
       ตอบ :  ทำไม  ?   หยางกุ้ยเฟย    ไซซีอันนี้มีตัว จริง จริง ๆ แล้วสมัยนั้นผู้หญิงไม่สามารถที่จะต่อรองอะไรได้เลย ต้องพึ่งพิงผู้ชายโดยตลอด ก็เลยเหมือนกับสมบัติชิ้นหนึ่งจะยกให้ใครก็ได้ โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นเจ้าของจะยกให้ใครก็ต้องตามเขาไป ดู ๆ แล้วน่าสงสารหยางกุ้ยเฟยนี่อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า เป็นพระสนมท่านใช้เสน่ห์ความงามของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ก็เลยสามารถผูกมัดใจฮ่องเต้ได้ แต่ว่าฮ่องเต้เองก็ขาดสติไปลุ่มหลงมัวเมาอยู่จนกระทั่งไม่ได้ว่าราชการ เรื่องมันก็เลยปั่นป่วนวุ่นวายกันไปหมด ก็เขาบรรยายความงามของไซซีว่า นกบินอยู่ถ้าเห็นก็ตกเลยปลาว่ายน้ำอยู่ก็จมป๋องไปเลย
       ถาม :    แล้วมาสิ้นสุดที่ราชวงศ์ถัง  ?
       ตอบ :   ราชวงศ์ถัง   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้   สมัยนั้นทั้งทางโลก  ทางธรรมเจริญมาก   แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ที่สุด   กว้างกว่าปัจจุบันนี้เยอะ 
       ถาม :      สมัยของมองโกล    ที่เจงกิสข่านตีไปถึงยุโรป   แล้วไม่ใหญ่กว่าหรือครับ  ?
       ตอบ :    อันนั้นมันการศึกการสงคราม    ไม่ได้หมายความว่าศาสนาจะรุ่งเรือง    สมัยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้นี่สมัยที่พระถังซำจั๋งไปอาราธนาพระไตรปิฎกจากอินเดียไง     ศาสนารุ่งเรืองมาก   สร้างวัดซะจนเป็นพัน  ๆ   วัดเลยล่ะ    โดยเฉพาะวัดม้าขาว     ที่สร้างถวายบูชาโดยเฉพาะ  สร้างถวายพระถังซำจั๋ง     เป็นวัดใหญ่ที่สุดในนครลกเอี๋ยงน่ะ   สมัยนั้นลกเอี๋ยงนี่ภาษาจีนกลางเขาเรียกว่า   ?ลั่วหยาง?
       ถาม :     พระถังซำจั๋งนี่มีตัวจริงหรือคะ  ?
       ตอบ :   มีจริง  ๆ   พระถังซำจั๋งนี่แหละมั้งที่เขียนถึง   ใช่รึเปล่า    ที่เขียนถึงเกี่ยวกับเรื่องไชยา   อาณาจักรศรีวิชัยของไทยเรามีอยู่ในบันทึกการเดินทางของท่านด้วย
       ถาม :     แต่ว่าไซอิ๋วจริง   ๆ   แล้วเนี่ยเขาเอาประมาณการโม้ต่อ 
       ตอบ :    มันก็ลักษณะเดียวกับสามก๊กไง   สามก๊ก   มันก็มีแต่แต่งเติมไปอะไรเข้าไป
       ถาม :    แสดงว่าไม่มีขงเบ้ง  ?
       ตอบ :  มีแต่ขณะเดียวกันก็เป็นพวกเรา ก็ประเภทที่ว่าขงเบ้งเป็นพระเอกไง ลองนึกดูว่า ถ้าเราเป็นโจโฉล่ะ ยกพวกไป ๗๕ หมื่นเหลือกลับมา ๓๐ เนี้ย ๗๕ หมื่น ๗๕๐,๐๐๐ คน มันตายไป ๗๔๐,๐๐๐ กว่าเหลือมา ๓๐ เป็นเราไหวมั้ยล่ะ ตายกันทีขนาดนั้น เราก็ต้องว่าขงเบ้งนี่โหดสุด ๆ เลยใช่ไหม ?
       ถาม :   ข้าศึกจำนวนเท่าไหร่คะ   เหลือกลับไปแค่นั้น
       ตอบ :  ข้าศึกจำนวนเท่าไหร่ ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ขงเบ่งเขาใช้ภูมิประเทศ ใช้ดิน ใช้น้ำ ใช้ลม ใช้ไฟช่วย โดยเฉพาะไฟเผาสังหารข้าศึก
       ถาม :    ผมสังเกตว่าหลวงพี่ก็อ่าน  ...(ฟังไม่ชัด) ...  หลวงปู่มั่น   ท่านทำ.....(ฟังไม่ชัด)...จริง  ๆ  มั้ยครับ  ?
       ตอบ :  ทางสายอิสานที่ต้องปฎิบัติลำบากเราต้องดูด้วยนะลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะการทำมาหากินของทางสายอิสานนี่จะลำบากมาก ยิ่งสมัยก่อนที่การชลประทานยังไม่เหมือนสมัยนี้ มันแห้งแล้งจริง ๆ การต่อสู้ดิ้นรนเขาต้องมากกว่าปกติ กำลังใจเขานี่จะเข้มแข็งมาก ถ้าไม่ได้เจอทรมานมาก ๆ นี่จะเอาไม่ลง
               ดังนั้นสายหลวงปู่มั่นถึงได้ถนัดเกี่ยวกับธุดงควัตร    บางคนบอกว่าธุดงควัตร   ๑๓    ข้อของพระพุทธเจ้าเป็นอัตกิลมถานุโยค คือ ทรมานตัวจนเกินไป อันนี้ไม่ใช่ ธุดงค์ แปลว่าการแผดเผา เผากิเลส จะเหมาะสำหรับท่านที่กำลังใจเข้มแข็ง กลายเป็นพอดีของท่านไม่ใช่การทรมานตน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 ตุลาคม 2008, 20:39:30 โดย Nobody »

shinpe uhah

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 21 เมษายน 2009, 19:33:04 »

ขอบคุณครับยาวเหมือนเดิม เหอะๆๆ