-->

ผู้เขียน หัวข้อ: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"  (อ่าน 2144 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« เมื่อ: 17 ตุลาคม 2008, 19:48:16 »

http://board.palungjit.com/showthread.php?t=148678

เรื่องเกาะลิง

มีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง ไม่ใช่เกาะอกนะ เป็นเกาะไม่ใหญ่นักอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรทั้ง ๔ มันมีอยู่เกาะเดียว อยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้าง โดยที่รอบ ๆ นั้นไม่มีอะไรนอกจากทะเล บนเกาะนี้ก็จะมีลิงอยู่เป็นเจ้าเกาะ แต่ก็พอจะมีสัตว์อื่น ๆ อยู่บ้าง ทีนี้เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า อยู่มาวันหนึ่งมันมีคนเรือแตกว่ายน้ำขึ้นมาบนเกาะนี้เข้า เขามาจากไหนก็ไม่รู้ เป็นผู้ชายคนเดียวไม่มีเสื้อผ้าใส่ เพราะเขาเรือแตกว่ายน้ำมานาน เสื้อผ้าของเขาลอยตามน้ำออกไปหมด เดินขึ้นมาบนเกาะ พวกลิงต่างคนก็ต่างมอง ก็จ้องมองชายผู้นั้นอย่างแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วก็ร้องส่งเสียงกันบอกกัน ถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาสู่เกาะของพวกเขาตามประสาลิง กระโดดโลดเต้นไปด้วย ซ้ายขวา จนทำให้พญาลิงสงสัย ก็เลยออกมาจากถ้ำที่หน้าผาเพื่อยืนดูและมองไป แล้วพญาลิงก็เห็นตัวประหลาดที่เป็นมนุษย์นั้น กำลังเดินมาด้วยท่าทางโทรม ๆ พญาลิงจึงรำพันขึ้นมาว่า
?ที่นี่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว? โดยพูดอยู่ถึง ๓ ครั้งแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก แล้วก็โดดลงไปปลอบพวกลิงเด็ก ๆ ที่กำลังตื่นตกใจกับสิ่งประหลาดที่ได้เห็นว่า ?ลูกหลานเราจงอย่าได้ตระหนกตกใจกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเลย ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ของที่มีแต่ความเลวร้ายอย่างเดียว แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีแต่ดีอย่างเดียวด้วย แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นความจริง ที่เราไม่เคยพบมาก่อน? พญาลิงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับมนุษย์ผู้นั้น แต่ปล่อยให้มนุษย์ผู้นั้นทำตามที่ตนเองต้องการ

มนุษย์ผู้นั้นก็มีความหิวโหย เขาก็เก็บเศษอาหารที่พวกลิงเหล่านั้นเขวี้ยงทิ้ง กินทิ้งกินขว้าง เพราะว่าลิงฝูงนี้เป็นลิงที่มีบุญ ได้เกิดมาอยู่บนเกาะที่อุดมสมบูรณ์ และไม่มีศัตรูมาทำร้ายเพราะเขาอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ ไม่มีพวกเสือหรือสัตว์อะไรที่จะมาทำร้ายพวกเขาได้ ลิงพวกนี้ก็ใช้ชีวิตตามสนุกไปเรื่อย ตื่นมาก็ไปกินไปเล่น กินไปเล่นไปอย่างนั้น โตมาหน่อยก็หาสามีหาภรรยาสืบพันธุ์ไปตามปกติ ที่แก่ตัวลงก็ตายไป ทีนี้เมื่อมีมนุษย์ขึ้นมาอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง พวกลิงก็เลยไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่เอิกเริกอะไร ก็เลยปล่อยให้มนุษย์อยู่ไปอย่างนั้น ต่างคนต่างอยู่ไปวัน ๆ อยากทำอะไรก็ทำไป มนุษย์จะสร้างที่อยู่อาศัยจากกิ่งไม้ต้นไม้ ที่พวกเขาเคยเหยียบเคยย่างเคยเล่นอะไร ก็ปล่อยให้ทำไป มนุษย์จะทำอาวุธเพื่อหาอาหารก็ทำไป ทำไม้แหลม ๆ มาเพื่อทิ่มแทงสัตว์น้ำอะไรเพื่อหาอาหาร ก็ปล่อยให้ทำไป เหล่าวานรเหล่านี้ก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ

อยู่ต่อมาเรื่อย ๆ นานเข้า ๆ เป็นหลายปี มนุษย์ผู้นี้ก็หมดหวังว่าจะได้ออกไปจากเกาะแห่งนี้แล้ว เขาจึงเริ่มคิดที่จะสร้างอาณาจักร สร้างหลักแหล่งของเขาให้มากกว่าที่กินอยู่ไปวัน ๆ แบบนี้ เขาก็เริ่มหาความเป็นใหญ่ จากที่เขาเคยเดินสำรวจรอบ ๆ เกาะนี้แล้วใช้เวลาถึง ๖ เดือนกว่าจะรอบได้ และเขาก็ไม่พบว่าจะมีสัตว์ใดที่ดุร้ายพอที่จะมาทำอันตรายตัวเขาได้ และพื้นที่ในเกาะนี้ก็อุดมสมบูรณ์ มีอาหารการกินอยู่ทุกที่ อยู่ตรงไหนของเกาะก็มีกิน เขาก็เริ่มคิดว่า ตนเองเป็นเจ้าเกาะ แล้วเขาก็เริ่มแสดงอาการอย่างลิง เพื่อให้ลิงมันรับรู้ว่าเขาก็เป็นลิงตัวหนึ่ง เป็นพญาของลิง เห็นไหม คนน่ะมันทำได้ทุกอย่าง เป็นคนอยู่ดี ๆ ก็ทำเป็นลิงได้ เขาก็เริ่มเลียนเสียงร้องอย่างลิง เพราะเขาอยู่มานาน ก็พอจะเข้าใจลักษณะเสียงร้องของลิงได้ ไอ้ลิงเด็ก ๆ มันก็แปลกใจ นึกว่าเป็นพวกเดียวกัน คิดว่าพวกผู้ใหญ่ของเราคงพูดผิดว่าไม่ควรไปสนใจมนุษย์ผู้นี้ เพราะพวกลิงเด็ก ๆ มันเห็นมนุษย์ร้องเสียงเหมือนพวกมันได้ ก็เลยคิดว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นพวกของมัน เป็นลิงเหมือนมัน ก็มีลิงเด็ก ๆ ไปห้อมล้อม พาไปเป็นสมัครพรรคพวก เที่ยวคอยหาอาหารให้เขากิน มนุษย์ผู้นั้นก็คอยบอก อย่างนี้อย่างนั้น ให้ไปเอาอันนี้ ให้ไปเอาอันนั้น เขากินเสร็จเขาก็เขวี้ยงเล่นแบบลิงบ้าง ทำไปอย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไร นั่งกินนอนกินอยู่อย่างนั้น คอยให้ไอ้พวกลิงเด็ก ๆ ที่มาเป็นสมัครพรรคพวกของเขาหามาให้

พญาลิงเห็นในพฤติกรรมของมนุษย์ผู้นี้แล้วก็รู้สึกสังเวชใจที่ว่า ความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐของเขานั้นได้หมดไปแล้ว กลับกลายเป็นความคุ้นเคยอย่างสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งไปเสียแล้ว ไม่ใช่เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐอีกต่อไปแล้ว และก็กระทำการอันลามก คือ กระทั่งลิงตัวเมียเขาก็เอามาเป็นเมีย ทำการมักมากในกาม พญาลิงเห็นแล้วก็สลดใจว่า จิตดวงหนึ่งผู้เลวทราม แม้จะอาศัยกายที่เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ แต่กลับมีความหยาบคายเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ เห็นทีเราจะต้องปราบให้เขาได้รู้ว่า เขาได้กระทำในสิ่งที่ไม่ควรเช่นนี้ แล้ว ลิงก็เลยแบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือฝ่ายพญาลิงกับฝ่ายมนุษย์ที่ทำเลียนแบบลิง และอีกฝ่ายก็คือฝ่ายที่ยังไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่รอดูว่า ฝ่ายไหนชนะก็จึงจะไปเข้าข้างฝ่ายนั้น เป็นโลกธรรมไหม? (โลกธรรม ๘ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ มีนินทา มีสรรเสริญ ลิงมันก็รู้จักจะเข้าหาฝ่ายที่ชนะ ฝ่ายที่เป็นใหญ่ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่เดือดร้อนด้วย) ตอนนี้ก็เลยแบ่งเป็นสามกลุ่ม ก็เกิดการต่อสู้กันระหว่างลิงกับคน มีกองทัพลิง ๒ กองทัพเที่ยวเอาหิน เอาไม้ เอาของที่สามารถจะประทุษร้ายต่อกันได้มาขว้างปากัน เกิดการบาดเจ็บล้มตาย

พญาลิงน่ะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าเขาก็ปล่อยให้มันเกิด เพราะต้องการจะให้เหตุการณ์นี้ สอนลิงเหล่านั้นให้ทราบผลแห่งการกระทำที่หยาบคายต่อกัน หากพญาลิงไปห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ ก็เท่ากับว่าเขาไปฝืนความเป็นจริงไป ถึงแม้จะทำให้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่เคยเป็นอยู่ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือความเป็นจริง เขาก็ปล่อยให้ลิงเหล่านี้ประทุษร้ายกันไป คนละข้าง ต่างฝ่ายต่างก็เจ็บกันไปหมดจนไม่มีฝ่ายไหนกล้าต่อกรกันอีก เพราะต่างฝ่ายต่างก็เป็นลิงเหมือน ๆ กัน มึงขว้างได้ กูก็ขว้างได้เหมือนกัน มึงหลบเป็น กูก็หลบเป็น มันก็เจ็บกันทั้งคู่ ต่างคนก็ต่างเอามือกุมหัวกันทั้งคู่ ก็เหลือแต่พญาลิงกับไอ้พญาตัวเปลือยมาเผชิญหน้ากัน

พญาลิงก็ยืนนิ่งมอง ส่วนไอ้พญาตัวเปลือยก็เต้น ส่งเสียงร้องแบบลิงทำท่าท้าทาย พญาลิงก็เลยพูดเป็นภาษาของคนออกมาดัง ๆ ว่า ?ท่านผู้เจริญ ท่านลืมความเป็นท่านแล้วรึ? ทำให้คนผู้นั้นต้องหยุดแสดงความเป็นลิง งงไปเลย เจอลิงพูดภาษาคนได้ ถึงพญาลิงนั้นจะยืนไม่สง่างาม แต่ถ้อยคำวาจาของเขานั้น องอาจถึงกับทำให้คนผู้นั้นต้องมานั่งมองตัวเอง แล้วคิดอยู่ในใจว่า
?นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ เราเป็นมนุษย์ดี ๆ ทำไมกลับกลายเป็นสัตว์เดรัชฉาน?
แล้วพญาลิงก็พูดอีกว่า ?ท่านคิดถูกแล้ว ท่านไม่ควรจะเปลี่ยนความเป็นตัวของท่าน ท่านเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ทำไมจึงทำจิตใจชั่วหยาบดังสัตว์เดรัจฉาน? นี่เขาชมนะ
คน ๆ นั้นก็สำนึกใจได้ ?นี่เขาทำอะไรลงไป เราเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ เราไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ทำไมเราไม่พูดภาษามนุษย์กลับพูดภาษาสัตว์เดรัจฉาน ทำไมเราเอาสัตว์เดรัจฉานมาเป็นพวก มาเป็นลูกน้อง มาเป็นทาสรับใช้ เรารึก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานเลยนะ? เขาพูดอยู่ในใจแบบนี้
ท่านพญาวานรก็พูดกลับไปว่า ?ท่านผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายที่ได้ปรากฎต่อหน้าท่านนั้น คือความจริงที่ท่านได้ควรรู้ว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงไปโดยกาล แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปโดยธรรมอย่างแท้ ท่านควรจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามตัวท่าน ท่านมาอย่างผู้ที่ไม่มีอะไรติดตัวมา ท่านก็ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงไปตามตัณหาของท่าน ท่านควรจะเปลี่ยนแปลงมันไปโดยธรรม คือความเป็นจริงที่เป็นอยู่ เมื่อท่านไม่มีเสื้อผ้า ท่านควรจะหาสิ่งที่ปิดบังตัวท่าน เพราะท่านไม่มีขนปิดบังอย่างเรา เพื่อป้องกันความร้อนความหนาวได้ ไม่ใช่มายืนแก้ผ้าห้อยโหนโจนทะยานอย่างนี้ได้?
พอพญาวานรพูดไปอย่างนี้เข้า คนทั้งคนก็ถึงกับต้องทรุดตัวลง ยกมือไหว้ลิง แล้วก็พูดว่า ?ท่านผู้ประเสริฐ ช่างเป็นโชคอันล้ำค่าของเราโดยแท้ ที่ได้มาเยือนในดินแดนอันพิศดารที่นี่ ขอให้เราได้มีส่วนอยู่ร่วมกับพวกท่านด้วยความเป็นสุขเถิด?
ท่านพญาวานรก็ตอบว่า?เรายินดีที่ท่านจะอยู่ที่นี่ แต่ท่านจงอยู่อย่างมนุษย์ มีความประพฤติตัวอย่างมนุษย์ ให้พวกสัตว์ทั้งหลายได้เห็นความเป็นมนุษย์ เพื่อเบื้องหน้า เมื่อพวกเขาละอัตภาพไป เขาจะได้มีความพอใจในการเป็นมนุษย์อย่างท่าน และได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อย่างท่าน?
 
คน ๆ นั้นเขาก็เลยถามว่า?เราควรมีคุณธรรมของมนุษย์อย่างไรที่ควรปฏิบัติ?
พญาวานรก็ตอบว่า ?ท่านผู้เจริญ มนุษย์แปลว่าผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐย่อมเป็นผู้มีจิตใจดีงาม ไม่คิดประทุษร้ายไม่คิดอยากได้ด้วยเหตุอย่างใด เป็นผู้ละแล้วซึ่งความทะเยอทะยาน แก่งแย่งชิงดี เป็นผู้มีจิตใจอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือเนื้อถือตน เป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตาปราณี สงเคราะห์ผู้ที่ด้อยกว่า?
คนนั้นก็กล่าวตอบว่า ?เราจะจดจำถ้อยคำของท่านพญาวานรไว้ เราจะเริ่มปฏิบัติ เพื่อให้เป็นที่พึ่งยังเหล่าสรรพสัตว์ของท่านทั้งหลาย ให้พวกเขาเห็นเรา แล้วปรารถนาอยากเป็นอย่างเรา?
ท่านพญาวานรก็กล่าวสรรเสริญว่า ?ขอท่านผู้เจริญ จงเป็นผู้ที่มีความสุข ๆ เถิด? แล้วก็กระโดดขึ้นไป ๓ ก้าวก็ถึงยอด แล้วประกาศด้วยเสียงดัง ๆ ว่า ?นับแต่นี้เป็นต้นไป อัตภาพนี้ มิได้มีต่อเราแล้ว?

แล้วสภาพความเป็นลิงของพญาลิงก็ค่อย ๆ สลายไป กลายเป็นเทวดาปรากฎแทน เหล่าลิงที่เป็นบริวาร พากันมองพญาวานรที่กลายร่างเป็นเทวดาด้วยความรู้สึกว่า ?เราได้มองข้ามผู้ที่มีบุญคุณต่อเรา เราเฉยเมยต่อผู้ที่มีความดีมากถึงขนาดนี้? พวกเขารู้สึกละอายใจ จึงตั้งสัจจะว่า เขาจะปฏิบัติตนทำใจอย่างมนุษย์ เพื่อหวังว่าเมื่อละอัตภาพนี้แล้ว เขาจะได้เป็นมนุษย์ ท่านพญาวานรที่กลายเป็นเทวดาก็ได้กล่าวว่า ?ขอความเจริญจงยังปรากฎต่อหมู่เธอทั้งหลายเถิด? แล้วท่านก็ลอยขึ้นไปในอากาศ สัตว์เหล่านั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อไป โดยดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของมนุษย์ที่ท่านพญาวานรได้สอนเอาไว้ และเมื่อตายจากความเป็นลิงไปก็ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ต่อ ทีนี้จะไปเกิดที่ไหนก็ค่อยว่ากันต่อตอนภาค ๒ นะ

http://thaisquare.com/Dhamma/sound/index.html

Sylar

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2008, 20:26:45 »

กำลังอ่านเพลินเลย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2008, 03:54:23 »

เมื่อพญาวานรละอัตภาพกลายเป็นเทวดาไปแล้ว ลูก ๆ หลาน ๆ วานรก็ปฏิบัติเอาเยี่ยงอย่างจากมนุษย์ เพื่อให้เกิดมาเป็นมนุษย์เพราะพวกลูก ๆ หลาน ๆ วานรนั้นมีความพึงพอใจมากในความเป็นมนุษย์ ซึ่งในขณะที่พวกเขายังเป็นลิงอยู่นั้น มีลิงบางตัวถึงกับกล่าวว่า ?มนุษย์นี้ช่างมีคุณค่า สง่างาม? รู้สึกว่าการเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เพราะเขาไม่เคยรู้สึกถึงคุณค่าของการเป็นอะไรมาก่อน คิดแต่ว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งประเสริฐที่เขาจะเห็นได้ในเวลานั้น เพราะเห็นว่ามนุษย์นั้นมีความเมตตาปราณีต่อกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ถือเนื้อถือตน อ่อนน้อมถ่อมตนต่อกัน เขาต้องเป็นให้ได้ เขาจึงพยายามทำกำลังใจของตนตามแบบที่มนุษย์ผู้นั้นสอน ว่าให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเมตตา กรุณาต่อกัน จงยินดีในความดีซึ่งกันและกัน จงอย่าถือเนื้อถือตัว จงรู้จักช่วยเหลืองานการต่อกัน แล้วลิงทั้งฝูงนั้นก็รักษากำลังใจแบบที่มนุษย์ผู้นั้นสอนไว้เรื่อย ๆ จนถึงวันหนึ่งที่ลิงทั้งฝูงนั้นตายพร้อมกัน ลิงทั้งฝูงนี้ไม่ได้ป่วยเป็นโรคตาย แต่ว่าอยู่ ๆ ก็ตายไปพร้อม ๆ กันหมดทุกตัว โดยที่ลิงทุก ๆ ตัวนั้นมีความพร้อมใจกันตั้งจิตอธิษฐานต่อกัน ว่าเราพร้อมแล้วที่จะเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ แล้วกายที่เป็นลิงนั้นจึงหมดลมหายใจไป

แล้วจิตวิญญาณของลิงทั้งฝูงนั้นก็ล่องลอยไป ก็ไปเกิดบนโลก ๆ หนึ่งที่ไม่ใช่ชมพูทวีป บนโลกใบนั้นมีความเขียวชอุ่ม มีพืชพันธุ์ต่าง ๆ อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ขนาดใหญ่มากขนาดเล็กที่สุดก็ประมาณ ๑๐ คนโอบเป็นอย่างต่ำ บนโลกนั้นยังไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ มีแต่ต้นไม้ มีน้ำบริบูรณ์สมบูรณ์ พวกฝูงลิงเหล่านี้มาเกิดเป็นมนุษย์เองโดยไม่อาศัยการเกิดจากใคร เรียกว่าเป็นพวก โอปปาติกะ คือเกิดเอง เกิดด้วยความตั้งใจจะเป็นมนุษย์เอง ซึ่งการเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเขามาก พวกเขารู้แต่คุณธรรมของการเป็นมนุษย์ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าการอยู่อย่างมนุษย์นั้นจะอยู่อย่างไร จึงต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ว่า เมื่อมนุษย์ต้องอยู่ด้วยกัน ก็จะต้องช่วยเหลือกัน สิ่งแรกที่พวกเขารู้ได้ก็คือ ต้องหาเครื่องนุ่งห่มมาปิดบังกันร้อนกันหนาวกันแมลง พวกเขาก็ช่วยกันคิดช่วยกันทำหาวัสดุอุปกรณ์มาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม จนมีเสื้อผ้ามาใส่กัน ซึ่งทีแรกเสื้อผ้านั้นก็เป็นของหยาบ ๆ ไม่ได้มีความปราณีตใด ๆ และสิ่งที่จำเป็นต่อไปอีกก็คือที่อยู่อาศัย บางคนก็ไปอาศัยเอาในโพรง ตามโคนต้นไม้ ตามหลุม ตามถ้ำบ้าง แยกย้ายกันไปอยู่ ถึงเวลาพวกเขาก็จะมารวมตัวกันเพื่อคอยช่วยเหลือกัน
ในตอนแรกนั้นมนุษย์เหล่านี้ยังไม่มีความโหยหิว เพราะมาแรก ๆ นั้น จิตใจมันโปร่ง แต่พอจิตใจของพวกเขามีความหมกมุ่น มีความครุ่นคิด มีความอยากได้ไอ้โน่นไอ้นี่เข้ามาเรื่อย ๆ เข้า จิตมันเศร้าหมอง ก็ทำให้บังเกิดความหิวขึ้นมา เมื่อเกิดความหิวขึ้น เขาก็รู้โดยสัญชาติญาณเดิมในการเป็นลิงมาเมื่อชาติก่อน ว่าพวกเขาสามารถจะกินผลไม้ได้ เขาก็ไปหาผลไม้กิน และก็มีความเป็นอยู่แบบนั้นมาเป็นเวลาหมื่นปีเศษ อยู่แบบมีความเมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันเป็นอย่างดี เป็นมิตรต่อกัน

แต่ต่อมานาน ๆ เข้า เมื่อต่างคนต่างก็มีการพัฒนาตรงนั้น ปรับปรุงตรงนี้ สร้างที่อยู่อาศัยใหม่ที่มีความสวยงามแตกต่างกันไป คนนั้นทำดี คนนี้ทำสวยกว่า ทำให้ความน่าอยู่ไม่เท่ากัน ต่างคนต่างก็มีความคิดในการเลือกวัสดุ เลือกทำเล การตกแต่งที่อยู่อาศัยที่ต่างกัน มันก็เลยทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่อกัน เกิดความอยากจะได้อย่างนั้นบ้าง เกิดตัณหา (ความอยาก) ก็มีคนหนึ่งอยากจะมีบ้านที่สวยงามให้เหมือนกับบ้านของคนที่ทำเก่ง ๆ บ้าง แต่ตัวเขามีความรู้ความสามารถที่จะสร้างบ้านได้ไม่ดีเท่า เขาก็เครียด หนัก ๆ เข้าก็ไปขอร้องให้คนที่เป็นเจ้าของนั้นทำให้ เขาก็บอกว่าจะสอนวิธีทำให้ และก็พยายามสอนให้ แต่ไอ้คนนั้นมันไม่มีความถนัดในงานช่าง ก็เลยไม่สามารถจะทำออกมาให้สวยแบบที่ต้องการได้ ก็เลยโมโห เขวี้ยง ขว้าง ปา สิ่งของต่าง ๆ ลงพื้น ซึ่งนับว่าเป็นคนแรกในกลุ่มฝูงลิงที่มาเกิดเป็นคนที่แสดงอารมณ์โกรธให้คนอื่นได้เห็น คนอื่น ๆ เขาก็ตกใจว่าอีตานี่เป็นอะไร ต่างคนต่างก็เข้าไปถามตาคนนี้ว่าเป็นอะไร เพราะว่าไม่เคยเห็นว่ามีใครทำกิริยาอาการแบบนี้ อีตาคนที่แสดงความโกรธก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขาเป็นอะไร ไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาจึงไม่สามารถยับยั้งการแสดงอาการและอารมณ์แบบนี้ได้ พอเขาสงบใจลงได้แล้ว เขาก็ยังมานั่งมองบ้านอยู่อีก แล้วก็มาคิดสงสัยอีกว่าทำไมเราทำไม่ได้ เราอยากได้แต่เราทำไม่ได้ เราต้องไปขอร้องเพื่อนให้มาทำให้เราหน่อย เพื่อนก็บอกว่าจะแนะนำวิธีทำให้ แต่อีตานี่ไม่ยอม บอกว่าจะให้เพื่อนทำให้เลย เพื่อนเขาก็ยอมทำให้ พอทำออกมาก็ปรากฎว่าสวยไม่เท่ากับของตัวเอง อีตานี่ก็โกรธ ต่อว่าเพื่อนว่าทำไมเธอทำอย่างนี้ ทำไมเธอไม่ทำให้สวยเหมือนของเธอ ทำไมทำของเธอดี ทำของฉันไม่ดี ความไม่อยากได้ในสิ่งที่มีแต่อยากได้ในสิ่งที่ไม่มี เกิดไฟรุ่มร้อนอยู่ภายใน มีคำพูดคำจาที่มีความรุนแรงมากขึ้น นับวันก็ยิ่งจะรุนแรงมากขึ้น ๆ เขาจึงกลายเป็นแกะดำในฝูง และก็มีคน ๆ หนึ่งพูดออกมาในที่ประชุมว่าเป็นมนุษย์มีความสุขแบบนี้หรือ นี่หรือคือความเป็นมนุษย์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ที่เจริญแล้วด้วยเมตตาปรานีต่อกัน เกื้อกูลสงเคราะห์กัน แต่ทำไมในวันนี้ เรากลับเห็นภาพที่ไม่ใช่แบบที่ท่านผู้นั้นพูดเอาไว้เลย เกิดความลังเลสงสัยในการปฏิบัติแล้ว วิจิกิจฉาเกิดแล้ว

พญาวานรผู้นั้นไม่ได้ห่างจากคนเหล่านี้เลย ท่านก็พยายามคอยเฝ้าดูว่า คนเหล่านั้นจะมีการกระทำคิดเห็นเยี่ยงไรอยู่ห่าง ๆ จนนาน ๆไปเข้า อีตาคนที่แสดงอารมณ์โกรธนี้ ก็เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางหยาบขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมีความอยากกินเนื้อสัตว์ กินของสด ทำให้จิตมีความหยาบมากขึ้น ซึ่งเป็นเพราะอาหารนั่นเอง เพราะถ้ากินแต่ผักผลไม้ อารมณ์ใจจะดี ไม่รุนแรง สงบ สามารถควบคุมตัวเองได้ดี แต่ถ้ากินเนื้อสัตว์ มันจะไปส่งผลต่อร่างกาย จะทำให้ความหยาบของจิตหนักขึ้น ลองสังเกตดูพวกคนกินเจ ผิวพรรณจะผ่องใส อารมณ์ใจเขาจะดี จะไม่มีความรุนแรง และคนที่เขารักษาศีล ๘ ที่ไม่กินอาหารมื้อค่ำก็เพราะมีเหตุผลบางส่วนในเรื่องนี้ด้วย คือถ้าหากว่ากินเข้ามื้อเย็นเข้าไป มันจะมีผลไปกระตุ้นอารมณ์ทางจิตใจ มักใหญ่ใฝ่สูง เกิดความโลภทางจิตใจ มักมีความครุ่นคิด กระสับกระส่าย ถ้าได้เห็นได้รู้อะไรมันก็จะควบคุมใจได้ยาก
ชายผู้นี้ที่กินเนื้อสัตว์เข้าไปก็เช่นกัน เขามีความระงับใจได้น้อยลง ควบคุมตัวเองได้ยากขึ้น พอใจในของสิ่งใดเข้าก็ยั้งใจไม่ได้ เริ่มเข้าไปยื้อแย่ง เข้าครอบครอง ปรารถนาสมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน ใครไม่ให้เขาก็ประทุษร้ายเอา ด้วยอาวุธที่เขาทำเพื่อไปล่าเนื้อสัตว์ คนอื่น ๆ ก็หลีกหนีเขาเพราะไม่อยากถูกทำร้าย เพราะพวกเขากำลังเจริญพรหมวิหารสี่ (เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา)อยู่ อีตานี่ก็เลยต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครยอมคบหาด้วย แกก็เลยเริ่มหาพรรคพวกเพื่อนพ้องให้เข้ามาเป็นสมัครพรรคพวกของตน ด้วยการใช้วาจาคำพูดเชิญชวนให้เห็นข้อดี ความสุข ความสบายจากการกระทำแบบของเขา ก็เลยมีคนเริ่มเห็นดีเห็นงามตามเขาไปด้วย ก็เลยกลายเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่เจริญพรหมวิหารสี่กับฝ่ายที่เบียดเบียน ซึ่งโลกนี้มีของคู่กันเสมอนะ มันคือความจริง ทั้งที่เริ่มจากจิตที่ดีเหมือน ๆ กันแท้ ๆ

พอฝ่ายพวกประทุษร้ายนั้นมีจิตที่มีความเศร้าหมอง อายุของพวกเขาก็สั้นลง ซึ่งที่จริงแล้วพวกเขาสามารถมีอายุขัยได้ ๘๐,๐๐๐ ปีเป็นอย่างน้อย แต่ก็ลดลงมาเหลือแค่ ๔๐,๐๐๐ ปีเท่านั้น ร่างกายของเขาเสื่อมโทรมเร็วขึ้นจากการที่พวกเขาประพฤติตัวแบบนี้ ที่เขามีความหมกมุ่น จิตใจหม่นหมองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
มนุษย์ทั้งหมดนี้ก็ถูกแยกออกเป็นสองฝ่าย เหมือนกับแบ่งแยกออกเป็นประเทศ ต่างคนต่างกินอยู่ปกครองตามแบบของตน ต่างฝ่ายต่างก็แยกกันอยู่ไม่วุ่นวายต่อกันมาได้เพียงแค่ ๑๐,๐๐๐ ปีเท่านั้น ซึ่งในระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างแยกกันอยู่นั้น ฝ่ายที่เจริญพรหมวิหารสี่ ก็ได้มีการก่อสร้างบ้านเรือนที่สวยงามมากขึ้นเรื่อย ๆ มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่สวยงาม มีเมืองที่สวยงาม มีพืชพันธุ์ธัญญาหารผัสสาหารบริโภคมากขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ฝ่ายประทุษร้ายนั้น ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการสร้างสรรค์หรือพัฒนาใด ๆ ขึ้นเลยทั้งสิ้น มีแต่ทำลาย แล้วก็บริโภคอย่างเดียว เพราะทำไม่เป็น เอาแต่ขี้โม้โอ้อวดกันไป ไม่มีวิชาการฝีมือใด ๆ สร้างแต่อาวุธมาเพื่อฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ถึงวันหนึ่งฝั่งที่ประทุษร้ายก็คิดจะครอบครองอีกฝ่ายเพราะฝ่ายโน้นมีธัญญาหารสมบูรณ์ดี มีบ้านเรือนสวยงาม มีความเป็นอยู่ที่ดี จึงคิดจะไปเอาของเขา แล้วไล่ให้มาอยู่ฝั่งของตนแทน พวกเขาก็เลยไปโจมตีไปขับไล่จนสำเร็จ เพราะฝ่ายที่เจริญพรหมวิหารสี่นั้นไม่คิดจะต่อสู้อะไร ไม่มีอาวุธจะต่อสู้ ก็เลยต้องหนี ปล่อยให้พวกนั้นมาครอบครองที่ของตนไป ส่วนตนเองก็ไปสร้างใหม่ แต่ไอ้ฝ่ายประทุษร้ายเมื่อเข้าไปครอบครองที่แล้ว ก็ไม่ได้สร้างอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกเลย ได้แต่กินได้แต่ใช้ไปเรื่อย ๆ นานเข้า ๆ มันก็หมดไป ๆ แล้วก็ตามไปตีอีกฝ่าย เพื่อที่จะยึดครองทรัพย์สินสิ่งของของเขาอีก แล้วคนที่เคยมีความรู้สึกว่าเป็นมนุษย์นั้นดี จะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำได้อย่างไร ว่ามนุษย์นั้นเป็นผู้ประเสริฐ ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล เพราะว่าเขาไม่แน่ใจแล้วว่า มันจะเป็นอย่างนั้นได้จริงในดินแดนของการเกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกนี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นมา เพราะพวกเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจ เนื่องด้วยว่าเพราะทีแรกนั้นฝ่ายที่ประทุษร้ายนั้น เขาก็เป็นเหมือน ๆ กับฝ่ายที่เจริญพรหมวิหารสี่ คือเกิดมาเหมือนกัน ปฏิบัติกันมาด้วยกัน มีความตั้งใจประพฤติตนเป็นมนุษย์ เพื่อความเป็นสิ่งประเสริฐอยู่ มาด้วยกันแท้ ๆ แต่กลับมีความประพฤติที่แตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด มันเกิดจากอะไรกัน? พวกเขาหาคำตอบไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้นไม่สามารถจะรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้อยู่อย่างเดียวว่ามันไม่มีความสงบในใจ แม้สงบได้ก็ไม่นาน ถึงแม้จะได้อยู่กับคนที่ดีเหมือนกัน แต่ก็สงบไม่ได้เพราะถูกคนพาลรังแก มันก็หนีไม่พ้น เหมือนกับพวกเราที่ไม่ว่าเราจะดีแค่ไหนเราก็หนีคนพาลไม่พ้น ถึงจะมีคนอื่นมาชื่นชมยินดีกับเรา แต่มันก็ยังมีคนมาติคนมาว่าเราอยู่ดี มีคนชอบก็มีคนเกลียด มันเป็นเรื่องที่ปกติของโลกเรา สาเหตุนั้นมันไม่ได้เป็นเพราะคน

ลองคิดดูซิว่าเหตุที่ทำให้คนต้องมาเป็นคนเลวนั้นมาจากไหน ถ้านิทานเรื่องนี้จะทำให้เธอเห็นเหตุผล ของคนที่ต้องเป็นคนเลวว่าคืออะไร อาหารใช่ไหม อาหารเป็นเหตุของความชั่ว ถ้าร่างกายนี้ไม่ต้องการอาหาร คนทุกคนในเรื่องนี้จะไม่เดือดร้อนเลยใช่ไหม ถ้ามองแค่ผิวเผิน ไม่ต้องมองลึก เราก็สามารถเห็นได้ว่า เพราะว่าคนเหล่านี้เขามีความหมกมุ่นครุ่นคิดมากจนต้องกินอาหาร แล้วอาหารบางอย่างมันทำให้ร่างกายมันแปรปรวน จิตก็เลยไม่สามารถควบคุมตนเองได้ดีนัก เพราะว่าถูกอาหารและร่างกายเป็นนาย แล้วก็ความที่มันไม่สม่ำเสมอ ไม่แน่นอน ไม่เที่ยง ที่จริงใช้คำว่าไม่เที่ยงน่ะมันถูกตามหลักธรรม ที่จริงก็คือมันไม่เที่ยง ถ้าหากเกิดมาแล้วมันแน่นอน คือจิตของคนมีความแน่นอน โลกนี้ก็จะไม่มีความทุกข์ เกิดมาทุกคนก็จะดีหมดทุกคน ดูอย่างในครอบครัวซิ ลูกก็จะดีหมดทุกคน ดีเหมือนกัน เข้าใจกัน ประพฤติตนเหมือนกัน มีความสุขเหมือนกัน แต่ที่จริงมันไม่เป็นเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่เกิดมาพ่อเดียวกันแม่เดียวกัน สิ่งแวดล้อมเดียวกัน แต่ก็เป็นคนละแบบ แล้วก็สร้างแต่ปัญหา มีความหยาบความละเอียดต่างกัน มีตัณหา (ความอยาก) ต่างกัน คุณธรรมต่างกัน จิตถูกฝึกมาต่างกัน ดังนั้นการที่เรามาอยู่ด้วยกัน มันจะไม่มีคนพาลไม่มีคนดีได้อย่างไร มันก็เป็นของคู่กันนั่นล่ะ แล้วที่ใดที่มันมีสองอย่างอยู่ในที่เดียวกันที่นั่นจะมีแต่ทุกข์ มีแต่นิพพานเท่านั้นที่มีอย่างเดียว เลยไม่ทุกข์ บนสวรรค์ก็มีสองอย่างก็คือ เทวดาที่เป็นพาลกับเทวดาที่ไม่เป็นพาล ในพรหมโลกก็มีทั้งที่เป็นพาลและไม่พาล แต่ที่นิพพานนั้นมีอย่างเดียว ที่ใดที่มีอยู่อย่างเดียวที่นั่นเป็นสุข เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา ที่อื่น ๆ นั้นเป็นที่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไม่เที่ยงไม่มีความแน่นอน มีแต่ความทุกข์ และมีความเสื่อมสลายไป) นั่นคือกฎของโลก กฎของโลกสวรรค์ กฎของพรหมโลก ล้วนแต่ตั้งอยู่ในกฎเดียวกันทั้งนั้น ใครหลงเข้าไปก็จะต้องพบกับมัน ฉะนั้นใครจะบอกว่าโลกนั้นมีความเป็นสุขนั้นไม่จริง หาไม่ได้หรอกผู้ที่อยู่เป็นสุข ก็เหมือนอย่างกับในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าหากว่าเราดูตั้งแต่ทีแรก เราก็จะคิดว่าพวกเขาได้มาเกิดในที่ ๆ อุดมสมบูรณ์แล้วจะมีแต่ความสุขก็ไม่ใช่ มันไม่น่าเกิดปัญหา แต่มันก็เกิดปัญหา
!!!! ยังมีต่ออีกนะ

Sylar

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2008, 04:30:41 »

อ่านไม่เบื่อเลยครับ เรื่องนี้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008, 19:12:14 »

? ดังนั้นในคำว่าโลกนี้ ที่ไหนที่มีคำว่าโลกนั้นก็ไม่เป็นสุขใช่ไหมเจ้าคะ?(มีคนถามคำถาม)
ใช่แล้ว ไม่ว่าจะในโลกนี้ โลกสวรรค์ พรหมโลกต่างก็ต้องมีกฎแห่งไตรลักษณญาณ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อย่างนี้เสมอ ดังนั้นที่ดินแดนแห่งนั้นก็ต้องมีความวุ่นวาย ไม่สุขจริง

? แล้วภาษาที่เขาใช้กันนั้นใช้ภาษาอะไรเจ้าคะ?
ละเอียดเจาะลึกจริง ๆ นะ เขาใช้ภาษาใจด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่สำเนียงที่ออกมามันต่างกันบ้าง เหมือนลิงที่มันสื่อสารกันน่ะล่ะ มันสื่อจากใจออกมาแล้วก็เข้าใจต่อกัน แล้วสำเนียงภาษามันจึงจะตามมาทีหลัง ดังนั้นในบางชาติก็จะมีความแตกต่างกันไปในเรื่องสำเนียงบ้าง รวมความแล้วเข้าใจใช่ไหม ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเรามาอยู่ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยอนิจจัง เต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยสิ่งที่มันต้องสลายหมดไป ความไม่เที่ยง(ความไม่แน่นอน) นั้นยังพอทนนะ แต่การหมดไปนี้สิมันแย่ เพราะต้องหามาใหม่

? สงสัยว่าพญาวานรนั้นทำอะไรเจ้าคะ?
เขาก็ดูเฉย ๆ น่ะล่ะ ดูแล้วปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น ไม่ไปฝืนอะไร เพราะมันเป็นความจริง ทุก ๆ ตัว ทุก ๆ คนต้องศึกษาเรียนรู้จากความจริง จะไปใช้อำนาจบังคับฝืนความจริง ให้พวกนั้นเขารอดพ้นจากความทุกข์ ก็เท่ากับว่าไปฝืนความจริง ไม่ให้พวกเขาได้เรียนรู้กับความจริง แล้วมันก็จะไปส่งผลให้พวกเขามีความพอใจยินดีในการเกิดเป็นมนุษย์ ฝังใจอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อพญาวานรปล่อยให้มันเป็นไปเอง ไม่เข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือใด ๆ ไอ้ฝ่ายที่ฝังใจในการเกิดเป็นมนุษย์ก็คือคนพาล ที่มีความพอใจและยินดีในการเบียดเบียน และเสพสุขในโลก แต่ฝ่ายคนดีนั้นเริ่มที่จะไม่พอใจ ไม่ยินดีในความเป็นมนุษย์แล้ว แต่ไม่มีทางหนี ดังนั้น คนโง่จึงสามารถอยู่ในโลกที่วุ่นวายได้อย่างสบาย เพราะว่าเขาไม่สนใจว่ามันจะทุกข์ มันจะไม่เที่ยง มันจะเสื่อมสลายไปยังไง มันจะสกปรกแค่ไหน น่ารังเกียจเพียงใด เพราะสำหรับคนโง่คนพาลแล้วไม่สนใจ สนใจแต่ตัณหา ความอยากได้ อยากมี แม้แต่กับพวกเดียวกันก็ไม่ได้มีความรู้สึก ให้ความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน แต่ฝ่ายคนดีนั้นก็จะไม่คิดอย่างอื่น นอกจากเบื่อหน่าย สลดหดหู่ในจิตใจ อยากหนี อยากหลบ อยากหนีไปให้ไกล ๆ เหมือนกับที่พวกเขาหนีไปเรื่อย ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า มีคนตามมายื้อแย่งไปเรื่อย ๆ มันก็เบื่อใช่ไหม ? ถ้าเบื่อหนัก ๆ เข้า เขาก็ต้องเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงโดยคิดที่จะอยากต่อสู้ เห็นไหม เกมชีวิตมันเริ่มแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่เพราะคนหนึ่งตามล่าอีกคนถอยหนีแล้ว แต่ว่าคนที่ถอยหนีนั้นชักจะเริ่มเอือมระอากับการถอยหนี แล้วอยากที่จะต่อสู้ เมื่อมีการต่อสู้ระหว่างกันและกันแล้ว ก็จะเกิดความอาฆาตพยาบาทเคียดแค้นกันและกันตามมา เป็นการผูกกรรมต่อกันก็เกิดชาติหน้าต่อไป ทีแรกน่ะเขาอาจจะไม่สนใจ ก็หนีก็คือหนี ไม่เป็นไร เขาไม่ตามมาก็จบไป ไม่ต้องตามมาผูกเวรต่อกัน แต่ถ้าเปลี่ยนใจอยากจะสู้เมื่อไหร่ ก็ผูกเวรต่อกัน ชาติหน้าก็ต้องเกิดมาเจอกันแน่ ก็จะไม่เป็นมิตรต่อกันอีกเลย กลายเป็นศัตรูไป แม้ตอนแรกจะเป็นมิตร แต่ต่อมาก็ต้องเป็นศัตรูใหม่ และมันจะปลูกฝังเข้าไปชั่วลูกชั่วหลาน สอน ๆ ต่อกันไป ลูกเกิดมาก็ต้องสอนไป การคบคนเช่นใดมันก็เป็นเช่นนั้น คบคนชั่วก็กลายเป็นคนชั่วไป คบคนดีมันก็ดีไป แต่คนดีก็จำเป็นต้องรักษาหมู่คณะของตนเอาไว้ ก็ต้องต่อสู้ จากคนดีก็เลยกลายเป็นคนชั่วในสายตาของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย คนชั่วที่ทำร้ายคนดีก็จะเป็นคนดีในสายตาของคนชั่ว โลกนี้มีอะไรที่มันแน่นอนบ้าง จนวันหนึ่งก็จะมีวันที่คนชั่วกลับใจเข้ามาทางฝ่ายคนดีบ้าง และก็มีวันที่คนดีกลับเห็นว่าการทำดีไม่ได้อะไร ก็จะไปเข้าฝ่ายคนชั่ว ถ่ายกันไปก็ถ่ายกันมาแบบนี้ กลับไปกลับมา ลูกน้องมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ทุกเมื่อ มีที่ไม่เปลี่ยนก็คือหัวหน้าคือผู้ต้นคิด คนเหล่า ๆ นั้นก็จะต้องมาเจอกันร่ำไป ต้องมาคลุกคลีต่อกัน ประทุษร้ายกัน รบกัน เดี๋ยวดีต่อกันเดี๋ยวร้ายต่อกัน มันไม่มีทางที่จะดีกันไปหรือร้ายกันไปตลอดได้หรอก

ดูอย่างในครอบครัวของเราสิ เดี๋ยวเราก็ดีกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน ไม่ว่าจะพ่อกับแม่ ลูกกับพ่อ ลูกกับแม่ พี่กับน้อง ก็อยู่ในวงศาคณาญาตินี่ล่ะ เธอดูเถอะว่ามันเริ่มต้นมีกรรมต่อกันเริ่มที่หนึ่ง แล้วมันมีสองสามสี่ห้าต่อไปจนนับไม่ถ้วน กรรมมันนับไม่ถ้วน จนถึงจุด ๆ หนึ่งที่ทุกอย่างมันมารวม ๆ กันไปหมด มันก็กลายเป็นระลอก ๆ ไป กรรมอะไรเข้าก่อนกรรมอะไรเข้าหลัง รับไปเถอะ เกิดมารับแต่กรรม เกิดมาใช้เวรเกิดมาใช้กรรม เห็นมั้ย วงจรชีวิต กว่าเราจะถอดถอนอุปทานได้ กว่าเราจะละความพอใจและยินดีในการเกิดเป็นมนุษย์ได้ เธอลองคิดเถอะว่า เวลาเหล่านี้มีค่าไหม มีค่าทุกทีในการเกิด มันไม่ได้สูญเสียไปเปล่า แต่เป็นการสะสมสิ่งที่เรารู้มา ทำให้เวลาเราเจอผู้รู้ เราจึงเข้าใจง่าย อย่างพวกเธอฟังเรานี่ เข้าใจ เก็ท ใช่ไหม เอาไปทบทวนเถอะนะ ตั้งแต่เป็นลิงมา ไปไล่เอาเถอะ คนมันก็เป็นอย่างนี้ ตัณหา (ความอยาก) คือเหตุของความทุกข์ ถ้าเธอทบทวนตั้งแต่ต้นมา จะเห็นว่ามันเป็นสายทางยาว ๆ มาแล้วทะลุเข้ามา เขาเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ความพอใจเกิดรูป คืออารมณ์ สัมผัส เกิดสิ่งที่รับรู้ พอใจไม่พอใจ เธอจะเห็นชัดเจนว่ามันมีอะไรในปฏิจจสมุปบาท ลงท้ายคือกรรมแล้วก็ย้อนมาใหม่ เป็นหนึ่งในอวิชชาที่ต้องละ เหมือนเธอฟังว่าเรื่องนี้มันดำเนินเรื่องมา ว่ามันกำเนิดมาจากความพอใจ อยากมีรูป อยากเป็นมนุษย์ พอใจในความเป็นมนุษย์ มันทำให้เกิดรูป เป็นที่ตั้งของรูป พอมีรูปแล้วมันเกิดอะไรต่อ เกิดความสัมผัสอยากรับรู้ในสิ่งที่เรามาเกิด แล้วมาเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามมา จนเกิดตัณหา อุปทาน เกิดอกุศลกรรม ท้ายสุดภพชาติมันก็เกิดกันเรื่อยไป เห็นไหม มันผูกกันด้วยกรรม เกิดเพราะแรงกรรม มีกรรมเป็นตัวกำเนิด ทุกคนที่มาอยู่ด้วยกันแล้วก็มาฆ่ากันนั้น มันก็เพราะมีกรรมเป็นตัวกำเนิด เพราะเขาผูกใจด้วยอารมณ์ไม่ยินดี กับอารมณ์ที่ยินดี พวกเขาจึงต้องมาเกิดด้วยกัน เป็นกรรมพันธุ พวกที่มีความคิดเหมือนกันก็ไปอยู่ที่เดียวกัน พวกที่พอใจอีกที่หนึ่งก็ไปอยู่ด้วยกัน ก็เป็นแบบนี้ ดังนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ก็เป็นจริงดังนี้ เป็นไปแบบนี้ เป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ จบลงที่เรามีอวิชชา ความโง่ ถ้าเราละอวิชชาได้ก็จบ ไม่ต้องไปละกิเลสอะไรทั้งนั้น เพราะต้นตอมันอยู่ตรงนี้ เรื่องนี้เป็นของละเอียด พอเราหาต้นเหตุเจอเราก็ละไปที่ต้นตอเลยแล้วก็จบ

ปฏิจจสมุปบาท (เหตุที่เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ให้เกิดทุกข์และดับทุกข์)
  • ความไม่รู้อริยสัจ เป็นเหตุให้พอใจในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เพราะคิดเห็นว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกมีความสวยสดงดงาม เมื่อมีความพอใจในมนุษยโลก ก็คิดอยากเกิด จึงเป็นเหตุให้จิตวิญญาณเข้าปฏิสนธิในครรภ์
  • เมื่อจิตวิญญาณเข้าปฏิสนธิในครรภ์แล้ว ก็เกิดมีรูปนามคือร่างกาย เมื่อมีร่างกายแล้วก็เกิดมีอายตนะ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายประสาท และใจ
  • เมื่อมีตา หู จมูก ลิ้น กายประสาท และใจแล้ว ก็ได้สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและเรื่องราวต่าง ๆ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาคือ ความรู้สึกที่เป็นสุขและความรู้สึกที่เป็นทุกข์ หรือรู้สึกเฉย ๆ
  • เมื่อมีเวทนาคือความรู้สึกที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเฉย ๆ แล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุด และตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้เป็นปัจจัยให้เกิดอุปทาน สิ่งที่ชอบก็ยึดว่าดี น่ารัก น่าปรารถนา สิ่งที่ไม่ชอบก็ยึดถือว่าไม่ดี ไม่น่ารัก ไม่น่าปรารถนา
  • เมื่อมีอุปทานที่ยึดถือว่าสิ่งนั้น ๆ ดีและไม่ดี น่ารัก น่าปรารถนา น่าเกลียด น่าชัง เป็นปัจจัยให้เกิดภพ คือที่อันเป็นที่เกิดและเป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ เมื่อมีภพคือที่อันเป็นที่อยู่แล้ว จึงทำให้มีความเกิดไม่มีสิ้นสุด
  • เมื่อมีความเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องมีความแก่และความตายตามมา และมีความเศร้าโศกคิดถึงสิ่งอันเป็นที่รัก มีความร่ำไรรำพันใฝ่ฝันหาสิ่งอันเป็นที่รัก มีความทุกข์เพราะความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก และเพราะไม่สมหวังในสิ่งที่หลงรักหลงชอบใจ มีความเสียใจที่ต้องหมดหวังในการที่จะได้สิ่งอันเป็นที่รักนั้น
  • ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนั้นก็มีด้วยอาการอย่างนี้แล

cmman573

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008, 20:54:28 »

ข้อคิดดีๆๆมากมายเจงๆครับเรื่องนี้

Sylar

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2008, 04:50:38 »

อ่ะ จบแล้วครับ ขอบคุณมาก

pass07

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2008, 10:54:07 »

 ;khhg   ขอบคุณ ครบ   มีแต่ ข้อ คิด ดีๆๆ ทั้งนั้น

NO-B-TA

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2008, 14:39:12 »

เหมาะทีเดียวครับ ขอบคุณมาก

chu

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2008, 10:06:48 »

 ได้ข้อคิดดี  ขอบคุณมาก

acer2518

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2008, 16:24:38 »

 ::).....เกี่ยวอะไรกับ การเมืองตอนนี้รึป่าวหนอออออ....

patcha79

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2008, 15:01:27 »

อ่าน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

eaglezz

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 02 ธันวาคม 2008, 21:36:27 »

ยาวมากแต่ข้อคิด คุ่มค่า

kon62

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 22 มกราคม 2009, 15:38:30 »

มีคุณค่าจริงๆครับ

kon62

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 22 มกราคม 2009, 15:41:52 »

ขอบคุณครับ ดีจริงๆ

Disc

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2009, 14:43:01 »

 890 จบแบบปวดตา และดีจริงๆ

sleepypop

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทาน เรื่อง"เกาะลิง"
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2009, 00:29:53 »

  :(  ซึ้งในรสพระธรรม 

เวลามีน้อย นิพพานยังอีกห่างไกล ไม่เริ่มก้าวแรก ชาตินี้จะถึงมั้ย uy65tf