-->

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔  (อ่าน 3280 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป

http://grathonbook.net/book/3.1.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
          ตอบ :    (เล่าเรื่องดุนายทหารพม่าที่สูบบุหรี่บนรถทัวร์ แล้วเห็นใจตัวเองมัวลง)
       ถาม :    แต่ว่าเป็นการเหมือนแต่สักแต่ว่าทำไม่มีเจตนาหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :  เราเผลอนะซิ ตอนที่ทำมันสักแต่่ทำ เราเผลอตัวปฏิฆะมาจับตอนไหนไม่รู้ยังดีว่าของเรายังสำรวจใจเองอยู่ทุกระยะ พอด่าไปเสร็จก็นั่งดูตัวเองอ้าวใจเรามัว ไล่ต้อนไล่จับมันอยู่พักหนึ่ง ตัวปฏิฆะแอบมาเกาะตอนไหนไม่รู้ มันไวจริง ๆ
       ถาม :    ไล่ต้อนไล่จับมันอยู่พักหนึ่งนี่ กี่วินาทีครับ ?
       ตอบ :   ลืมจับเวลา จำไว้ว่าเผลอไม่ได้ในทุกอารมณ์ เผลอเมื่อไหร่ มันเอาเรา เจตนาของเราคือดูให้มันรู้ตัว ทางพม่านี่ทหารเขาใหญ่มากโดยเฉพาะพวกนายทหารนี่จะกร่างเป็นพิเศษ พระอื่นเขาไม่ด่ามีแต่เราด่า พอมาดูใจของตัวเอง ขาดทุนใจมัวไปหน่อย ตัองมาจับกำลังใจให้ใสใหม่ เผลอเมื่อไหร่มันก็เอา ประมาทมันไม่ได้หรอกใครคิดว่าดีแล้วเตรียมตัวตายได้เลย
       ถาม :    เรื่องยานที่ไปลงดาวอังคาร แล้วอเมริกาจะไม่รู้หรือครับ ว่าเป็นเยอรมันหรือมนุษย์ต่างดาว ?
       ตอบ :   เรื่องยานไปลงดาวอังคาร สืบเนื่องมาจากหนังเรื่องหนึ่ง ที่ชายผู้มาจากดาวอังคาร ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ติดค้างในใจของพวกเขาอยู่ตลอดว่าดาวอังคารมีคน ในเมื่อดาวอังคารมีคนก็ต้องเป็นมนุษย์ต่างดาว เขาไม่ได้คิดว่ามันจะไปจากโลกมนุษย์ของเราเอง เขาเผลอไปหน่อย เผลอตรงที่ว่าตัวที่เขียนไปเป็นภาษาอังกฤษชัด ๆ มนุษย์ต่างดาวคงไม่ได้ศึกษาภาษาอังกฤษไปหรอก
       ถาม :    แล้วเขาก็ไม่เชื่อ
       ตอบ :  ไม่เชื่อเพราะคิดว่าตัวเขาเองสามารถควบคุมได้หมด ทั่วทั้งโลก ไม่ว่ายานอวกาศจะขึ้น-ลงที่ไหนของเขาจะต้องจับได้ จะต้องรู้ใครจะไปเชื่อว่าพวกจะลักไก่ไปได้
       ถาม :    เขาลักไก่ไปได้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ หรือเปล่า ?
       ตอบ :   ตั้งแต่ก่อนนั้น
       ถาม :    ถ้าแบบนั้น โอกาสที่ท่านฮิตเล่อร์ท่านจะชนะได้ในตอนนั้น ?
       ตอบ :  ยัง เพราะวิทยาการความก้าวหน้าพอที่จะไปท่องอวกาศได้ แต่ว่าพวกแร่ธาตุที่สำคัญต่าง ๆ ที่เอามาเขายังไม่สามารถจะศึกษาวิจัยและใช้ประโยชน์มันได้
       ถาม :    คือมาจากดาวอังคารไม่ใช่มีอยู่บนโลกนี้ ?
       ตอบ :   แร่ธาตุต่าง ๆ นั้นดวงดาวอื่นมันมีเยอะ บนโลกเรายังไม่มี
       ถาม :   ที่เอาไปฉาบบนเครื่องบินนะครับ ?
       ตอบ :  เป็นตัวที่ดูดกลืนรังสีทุกอย่างได้ อย่างเช่นว่า เรดาร์โซนาร์ ส่งไปโดนดูดเกลื้ยงเหมือนกับไม่มีเลย เพราะมันไม่สะท้อนกลับกลายเป็นล่องหนได้ แต่จริง ๆ ถ้าเรามองไปก็เห็น ๆ
       ถาม :   โดยทางวิทยาศาสตร์สารตัวนั้นมันค่ามิลล์สูง ค่าเอ็กซิดอนหรือค่า ?
       ตอบ :   เรียกไม่ถูกเพราะว่าไม่ได้ศึกษาเรื่่องนี้มา รู้อยู่อย่างเดียวว่ามันมีคุณสมบัติแบบไหนเท่านั้น
       ถาม :    แต่หาบนโลกไม่ได้ ?
       ตอบ :   บนโลกไม่มี
       ถาม :    แสดงว่าเยอรมันมีเจ้าเดียว ?
       ตอบ :    ไม่รู้ คนอื่นอาจจะมี
       ถาม :    เผื่อเมืองไทยมี จะได้เสาะหาครับ
       ตอบ :   เมืองไทยมีอยู่ตัวหนึ่ง เป็นภูเขาเป็นลูก ๆ เลย ที่อเมริกาต้องการจะเอาไปหุ้มเปลือกกระสวยอวกาศ สารตัวนี้พอป่นเป็นผงแล้วจัดทำเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์เผาด้วยความร้อนสูงหลาย ๆ พันองศา แดงโร่เลยนะ แต่ถ้าจับถูกมุมไม่ร้อน คนหยิบไม่เป็นไร มุมด้านนั้นจะป้องกันความร้อนได้ เขาต้องการเอามาทำเป็นเปลือกกระสวยอวกาศ พอเอามาแล้วมาติดไว้ด้านนอก วิ่งผ่านอวกาศไปด้วยความเร็วสูง จะทำให้ข้างในมันไม่ร้อน อยู่ได้สบายเมืองไทยมีเยอะ เคยสอบถามราคากับสถานฑูตอเมริกาแล้ว เขาให้กิโลกรัมละ ๑ ล้านดอลล่าร์ นี่ราคาเมื่อปี ๒๕๓๒
       ถาม :   นี่คือยังไม่ได้ไปสกัดเอาออกมา ?
       ตอบ :  ลองดูแล้วเนื้อมันใช้ได้เลย เขาแค่ไปบดให้เป็นผง แล้วอัดเป็นลูกบาศก์เท่านั้นเอง แต่ว่าลักษณะที่สายตาเราเห็นมันก็คือหินชนิดนึง เท่าที่ใช้เลื่อยเลื่อยดูเนื้อข้างในมันเหมือนเนื้อกระเบื้องเราเป็นผง ๆ ไม่ใช่เนื้อผลลักษณะหินนะ แต่เป็นเนื้อผงลักษณะเนื้อกระเบื้อง
       ถาม :    กระเบื้องหลังคาแบบนั้นเลย ?
       ตอบ :  ใช่ แต่ว่าประกอบไปด้วยแร่ธาตุอะไรไม่รู้ ถึงเวลาที่อัดเข้ามาเป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ แล้วจะมีอยู่ด้านหนึ่งที่กันความร้อนได้ ถ้าจับอีกด้านก็พัง รายการข่าวต่างประเทศเขาหยิบให้ดูเลย หยิบให้ดูแดง ๆ นั้นแหละไม่เป็นไร
       ถาม :   อยู่แถวไหน ?
       ตอบ :    ในประเทศไทย ถ้ามีคนสนใจก็ชี้ให้ได้แต่ราคาแพงหน่อย 
       ถาม :    แต่ว่าคนไทยยังไม่รู้ค่า ?
       ตอบ :  ยังไม่รู้ซะด้วยซ้ำ ที่รู้น่าจะมีบ้างแต่ว่าเขาก็คงเห็นว่ามันเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ในเมื่อเป็นทรัพย์ของแผ่นดินก็ไม่ควรไปยุ่งกับมัน ที่ไม่รู้ก็คือคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่รู้ว่าประเทศเราจริง ๆ ทรัพยากรมันมหาศาลขนาดไหนต่างประเทศถึงอยากได้บ้านเรานักหนา
       ถาม :   วิทยาการตรงนี้ครับอีกกี่สิบปีถึงจะใช้สามารถเอาเพชรพังงาออกมาใช้ได้ ?
       ตอบ :  สำหรับประเทศเราคงจะลำบาก ถ้าอย่างสหรัฐหรือว่าญี่ปุ่นเครื่องมือเครื่องใช้ในปัจจุบันของเขาสามารถใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ ได้อย่างสบาย แค่วิจัยค้นคว้าเพิ่มเติมว่าวัตถุที่มีความแข็งขนาดนั้น ต้องใช้พลังงานขนาดไหน ? ยิงเข้าไปเพื่อสลายโมเลกุลของนิวเคลียสมันออกมาให้เป็นพลังงาน เขาศึกษาค้นคว้าแล้วทำเิพิ่มเติม สำหรับเขาภายใน ๑๐ ปีน่าจะได้ แต่สำหรับของเราในปัจจุบันนี้ ๑๐ ปีนี้ คงประเภทยังไม่ได้ติดฝุ่นเลย ไม่ได้ติดฝุ่นในปัจจุบันของเขานะ
               เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่าเรามีของดีอยู่แต่ว่าใช้งานได้ไม่คุ้มราคามันเลย พลังงานมันมหาศาลถึงขนาดหลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าสามารถทำเครื่องยนต์ขึ้นมารองรับพลังงานอันนี้ได้ อยู่ขั้วโลกเหนือแค่สตาร์ทเครื่องถึงขั้วโลกใต้ความเร็วมันสูงขนาดนั้น ปัจจุบันนี้เขาใช้แค่เป็นเครื่องประดับเท่านั้น เรารู้จักกันในนามของเพชรพังงา หรือเพชรภูเก็ต เขาไม่รู้หรอกว่าเพชรที่ว่า คือสารกัมมันตภาพรังสีที่มีอานุภาพสูงมาก เพียงแต่ว่ามันยังไม่แตกตัวเท่านั้นเอง
       ถาม :   แล้วความรุ่งเรื่องคือประชาชนทั่วไปจะได้มีโอกาสใช้สิ่งนี้เมื่อไหร่ ?
       ตอบ :  เมื่อไหร่ ? ก็น่าจะอยู่ในช่วงปลาย ๆ รัชกาลที่ ๑๐
       ถาม :   กว่าจะชาวประชาวิไล ?
       ตอบ :   น่าจะอยู่ตอนปลาย ๆ รัชกาลที่ ๑๐ คือ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คนดีจะเริ่มมากขึ้นเรื่อย ความจริงคนดีเขาดีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่คนดีที่มีอำนาจในการปกครองประเทศ มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ให้มันสมบูรณ์พร้อมหน้ากัน มันเพิ่งจะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย
              โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่มันบังคับในตัว ถ้าหากไม่ดีจริง กกต. จะแจกใบแดง เลยกลายเป็นว่าคนดีเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พอคนดีเริ่มมากกว่าอยู่ในระดับที่พอควร เมื่อนั้นทรัพย์สินต่าง ๆ ของประเทศชาติเราจะปรากฏขึ้นมาก ในปัจจุบันนี้แค่ทองคำอย่างเดียว ประเทศเรานี้ พูดง่าย ๆ ว่าจะซื้อโลกนี้เรื่องเล็กเลย
       ถาม :    ปล่อยปูมีอานิสงส์ ? คำว่าอานิสงส์นี่...
       ตอบผลที่จะได้รับจากการกระทำ ผลที่เขาหวังว่าจะได้คือการปล่อยชีวิตสัตว์ คือ เห็นแล้วสงสาร มันโดนมัดอยู่ ปล่อยชีวิตสัตว์ให้ได้รับความสุขความสะดวกสบาย ถ้าเรามีอุปฆาตกรรมอยู่ก็สามารถที่จะตัดอุปฆาตกรรมนั้นได้ 
              แต่บังเอิญว่าการปล่อยปูนั้น หลวงพ่อท่านช่างสังเกต ปล่อยไป ๒ ครั้ง อาการที่เคยปวดเคยเมื่อร่างกายรู้สึกมันหายไปเฉย ๆ ท่านพิจารณาไปพิจารณามาก็คิดว่าน่าจะเป็นจากการปล่อยปูเพราะว่าปูมันโดนเขามัดอยู่ทั้งวัน ปล่อยให้ได้รับความสบายมันไม่ปวด ไม่เมื่อยของมัน คนเลยพลอยได้ไปด้วย ดังนั้นจริง ๆ แล้ว อานิสงส์คือสิ่งที่ต้องได้รับแน่ ๆ แต่เราคิดไม่ถึง ถึงได้ใช้คำว่ามันเป็นอานิสงส์พลอยได้ แต่ความจริงมันเป็นของที่ต้องได้อยู่แล้ว ใช้คำพูดผิดไปนิดเดียว
       ถาม :    ถ้าในกรณีที่ต้องการที่จะปล่อย เขาก็ได้รับในส่วนนี้ แต่ถ้าผมไปแนะนำเขาว่ามันมีของดีกว่านั้น คือการปล่อยจิตปล่อยใจของเรานี่เอง จะดีกว่าไหมครับ ?
       ตอบ :   มันดีกว่า แต่มันดีในด้านของปฏิบัติ ในด้านของอามิสคือผลที่จะได้รับของเรามันขาดไป มันเหมือนกับว่าเขาจะให้ทาน แล้วเราไปบอกเขาว่าภาวนาอานิสงส์สูงกว่าทานเป็นหมื่นเท่าเกิดชาติใหม่ฉลาดแต่จนเพราะขาดทานบารมี 
              เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาทำเราแนะนำให้เขาทำต่อได้เลย แต่เสริมไปด้วย แบบเดียวกับพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ขัดแย้งใคร ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมกับบริวารเป็นพันบูชาไฟ ท่านก็บอกการบูชาไฟนะดีแต่การบูชาไฟภายในจะดีกว่า ท่านถามว่าไฟภายในคืออะไร ? คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ท่านบอกว่าถ้าหากว่าสามารถบูชาไฟภายในคือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะด้วยการทำ เราทำให้ไฟทั้ง ๔ กองนี้ดับลงได้ ก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
               พระพุทธเจ้าท่านไม่ขัดใคร ท่านมีแต่เสริม เพราะถ้าหากว่าขัดของเ่ก่าเขาจะไม่ได้มัน ถ้าหากว่าทิฏฐิเขามาในลักษณะนั้น คือว่าเขายึดมั่นถือมั่นในการปฏิบัติของเขา เขาจะเห็นเราเป็นศัตรูไปเลยไม่ใช่พวกเดียวกัน คราวนี้เรื่องที่เขาจะฟังเราก็ยากแล้ว
              ฉะนั้นการเผยแพร่ศาสนาพระพุทธเจ้าท่านระบุไว้ชัดเลยจะไม่ขัดคอใคร จะไม่ทับถมใคร เผยแพร่ศาสนาด้วยเจตนาต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อลาภยศชื่อเสียงเกียรติคุณอะไรของตนทั้งสิ้น
       ถาม :    แล้วเราก็เสริมเขาไป
       ตอบ :  ของเขาดีอยู่แล้ว บอกเขาได้เลยว่าทุกอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ที่ดีกว่านั้นยังมีอยู่แบบเดียวกับ พระวังคีสะเถระท่านมีมนต์ เรียกว่า ฉวะสีสะมนต์ คือเคาะศีรษะของคนหรือสัตว์ที่ตาย กะโหลกจะรู้ว่าคนและสัตว์นั้นตายแล้วไปไหน พระพุทธเจ้าก็ให้ทดลองดู ตอนนั้นท่านยังเป็นพราหมณ์อยู่ ถ้าเคาะศีรษะ อันนี้ตายไปแล้วลงนรก พระพุทธเจ้าท่านก็รับรองว่าถูกต้อง เคาะอันนี้ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน พระพุทธเจ้าท่านก็รับรองว่าถูกต้อง เคาะอันนี้ไปเป็นพรหม เป็นเทวดา ถูกต้องท่านก็รับรอง เคาะพระอรหันต์เงียบ...ไม่รู้ ความรู้ไม่ถึงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าแต่ตถาคตรู้ ในเมื่อตถาคตรู้ขออนุญาตเรียนมนต์บทนี้ได้ไหม ? พระพุทธเจ้าก็บอกได้ แต่การเีรียนต้องเป็นพวกเดียวกันถึงจะสอนให้
               เพราะฉะนั้นต้องแต่งตัวเหมือนกันก่อน ก็ขอบวช ท่านวังคีสะพราหมณ์ท่านคิดว่ามนต์บทหนึ่งมันไม่ยากสำหรับคนฉลาดอย่างท่าน ก็เลยบอกลูกศิษย์ว่ากลับไปก่อนเดี๋ยวขอเรียนมนต์บทนี้จบแล้วจะไป พระพุทธเจ้าท่านบวชให้ เสร็จแล้วให้อาการ ๓๒ ไปท่อง ไล่ขึ้นมาเลยตั้งแต่เส้นผมลงปลายเท้าปลายเท้าขึ้นไปเส้นผมประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ท่องไปท่องมาเกิดรู้แจ้งขึ้นมาว่า ทั้งหลายทั้งปวงมันก็ไม่เที่ยง มันก็เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือได้เลยสักอย่าง กลายเป็นพระอรหันต์ไป ของเขาดีอยู่แล้วแค่เสริมเขา พระพุทธเจ้าท่านเผยแพร่ลักษณะนี้
       ถาม :    ผมผิดไปนิดนึงที่จิตคิดพลาดไปนิดพังเลย คือใจเราอยากให้เขาได้ดีมากที่สุดเพียงแต่ว่าลืมของเดิมเขาไป
       ตอบ :   ตัวนี้ต้องระวังให้มากที่สุดเลยสำหรับนักปฏิบัติทุกคน เราทำไปถึงตรงไหน ด้วยจิตที่เมตตานะ แต่บังเอิญมันใช้ผิด ด้วยจิตที่เมตตาหวังจะให้เขาได้เหมือนอย่างเราก็แนะนำเขาไป แต่มันกลายเป็นว่าถือเอาทิฏฐิคือความรู้ ความเห็นของตนไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้า ไม่ใช่ธรรมะบริสุทธิ์ กลายเป็นกิเลสของเราครึ่งหนึ่ง ระวังให้จงหนักเลย
               หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านต้องไปตามแก้เทศน์อยู่เป็นปี ๆ ไอ้เรื่องนิพพานสูญ ท่านเป็นมหาท่านเรียนมานิพพานัง ปรมังสุญญัง นิพพานสูญ เทศน์ไปหลายจังหวัดเลยต้องมานั่งไล่ว่าไปเทศน์ไว้ที่ไหนบ้าง แล้วย้อนกลับไปแก้เทศน์ให้ ถ้าแก้ไม่หมดเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซวยหนักเลยนะ ทำคนเป็นมิจฉาทิฏฐิโทษหนักถึงขนาดลงนรกโลกันต์ได้ ไม่ใช่อเวจีเฉย ๆ ก็แปลกใจทำไมโทษหนักถึงลงนรกโลกันต์ได้ 
              ท่านบอกว่าทำให้คนเป็นมิจฉาทิฏฐิ คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิโอกาสที่จะลงนรกมีมากเกินร้อยเปอร์เซนต์ เมื่อลงนรกไปกว่าจะกลับขึ้นมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นถึงมนุษย์แล้วได้เข้าถึงธรรมนะ มันนานแค่ไหน ถ้าหากว่าเป็นมนุษย์ บังเอิญว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิต่อ ทำความชั่วอีกลงนรกอีก เราทำให้เขาห่างความดีขนาดนั้น โทษมันก็เลยหนักมหาศาล
ไม่น่าเชื่อเลย สอนคนผิดหน่อยเดียวตัวคนสอนลงโลกันต์ไปเลย

pass07

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2008, 16:39:27 »

 ;khhg ;khhg ;khhg   ขอบคุณ ท่าน   



ความรุ้ ดีๆๆ ครับ

Nick2005

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2008, 16:40:48 »

;khhg  ความรู้ใหม่ 

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2008, 23:23:19 »

http://grathonbook.net/book/3.2.html

ถาม :  ผมขอความรู้เรื่องหนึ่งในกรณีที่หลานชายผมนี่เขาต้องการไหว้เจ้าที่ การไหว้เจ้าที่ตรงนั้น เครื่องที่จะไปไหว้กับเจตนาที่เราจะไหว้ให้กับทุก ๆ ท่าน มันควรมีอะไรบ้างไหมครับ ? (บ้านอยู่กาญจนบุรี)
       ตอบ :  ถ้าหากว่าตามโบราณที่เขานิยมโดยเฉพาะแถวนั้นมันมีเหล้าด้วย แต่ไม่อยากให้มีเพราะถ้ามีเมื่อไหร่เดี๋ยวลามาก็กินกันเองเทวดาหรือว่าเจ้านะ เขาต้องการความเคารพจากเราเท่านั้น เรามีหรือไม่มีอะไรก็ตามท่านไม่ว่า คราวนี้มันมีประเภทที่ว่าเป็นลูกน้องของท่าน พวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสี พวกนี้ถ้ามีเหล้าจะชอบใจมากก็จัดไป ประเภทไก่สักตัวหนึ่งถึงเวลาเรากินเองอยู่แล้ว อย่างอื่นคิดว่ามีอะไรเพิ่มเติมก็แล้วแต่เรา ไก่ต้มสักตัวหนึ่งไปเซ่นท่าน แต่แถว ๆ เขาชนไก่ เขาไปไหว้พ่อขุนไกร พ่อขุนแผน เขาไปคิดกันอีท่าไหนก็ไม่รู้เล่นเอาเลือดสด ๆ ไปประเคนกันเลย เราก็แปลกใจว่าพ่อเราปู่เราดุขนาดนั้น ? (หัวเราะ)
       ถาม :    ทีนี้ ถ้าจะกล่าวถึงก็คือท่านเทพยดาแล้วก็ท่านเจ้าของที่ ?
       ตอบ :  ศาลนั้นจริง ๆ เขาสร้างถวายพ่อปู่่ขุนไกรกับพ่อขุนแผน ศาลที่เขาชนไก่ต้องนับ ๒ องค์นี้ ในเมื่อนับ ๒ องค์นี้ พูดง่าย ๆ ก็คือผู้ทรงความดีทั้งคู่ เอาอะไรที่มันไม่ผิดธรรมผิดวินัยไป ท่านก็ชอบใจมากกว่า พ่อขุนไกรนี้เป็นเทวดาผู้ใหญ่ ส่วนขุนแผนนี่ไปลิบโลกเลย ไกลกว่าพ่อเยอะ (หัวเราะ)
       ถาม :   เรื่องถ้ำมรกตล่ะครับ ? 
       ตอบ :    เชื่อว่าทุกถ้ำแถวนั้นต้องมี เรามันยังไม่ได้สำรวจทั่ว ไปเจอะเข้าถ้ำเดียวเป็นถ้ำที่มีหินเขียวที่เป็นประเภทมรกตเยอะแยะไปหมดเลย ก้อนใหญ่ ๆ โต ๆ 
       ถาม :    อย่างถ้ำที่เขาแดงเห็นหลวงพี่สมปองได้ไปพี่สุรินทร์แกบอกว่า หลวงพี่สมปองไปถ้ำที่เขาแดงแล้วเข้าใจว่าภูเขาน้ำมันอาจเซาะแล้ว ที่ผมไปศึกษาแร่
       ตอบ :     สายแร่มันอยู่เป็นชั้น แล้วก็แผ่ไป หรือไม่ก็วิ่งเป็นเส้นไป มันต้องไปถึงกันได้
       ถาม :    อย่างนี้ก็ ถ้ำแถวนั้นมีโอกาส ?
       ตอบ :    พูดง่าย ๆ ว่า มันเป็นไปได้แทบทุกถ้ำ
       ถาม :    แต่ผมไม่กล้า พี่สุรินทร์เขาก็ไม่ยอม
       ตอบ :    ถ้าไปเจอรอยเลื้อยของงูใหญ่ตัวนั้น ชาวบ้านต่อให้เก่งแค่ไหนก็เผ่นกันหมด
       ถาม :     ยังมีงูใหญ่อยู่อีกเหรอค่ะ ?
       ตอบ :  รอยเลื้อยมันกว้างเท่าไหล่ของเรา นอนทาบมาแล้ว ตัวมันเล็กกว่าตัวเรานิดเดียว เพราะตอนเลื้อยตัวจะแบนออกหน่อยหนึ่ง คิดเอาก็แล้วกัน สำหรับเรามันก็คำเดียวแหละ
       ถาม :    ไปเจอมาหรือเปล่า ?
       ตอบ :  ไม่ได้เจอตัวเจอแต่รอยเลื้อย มันเข้า ๆ ออก ๆ ถูหินจนเลื่อมเลย เราก็เอ๋ ! หินก้อนนี้สีแปลก ๆ เอาไฟส่องดู ที่แท้มรกต สีเขียวปี๊ดเลย แต่ว่าอยู่กับพื้นถ้ำ แล้วงูมันเลื้อยจนลื่น เลยดูว่าเหมือนกับสีดำ ฟิตตัวเราให้ดีก่อน ตอนที่ไปถ้ำเขาแดง ปีนขึ้นปีนลงสบายมาก แต่คนที่ไปด้วยจะไปไม่รอด เพราะว่ากำลังข้อไม่พอรับน้ำหนักตัว
       ถาม :   อย่างถ้ำนี่มีโพรงคล้าย ๆ กับ งวงช้าง ...ผมเห็น...แล้วข้างในมีโพรงอีก ลักษณะมันมีโพรงต่อกัน
       ตอบ :  จะเป็นถ้ำซ้อนถ้ำ ถ้าหากว่าเดินข้างในระวังให้ดี เราหักมุมเลี้ยวเมื่อไหร่ กดรอยเท้าหนัก ๆ ไว้ จะได้จำได้ว่าเราเลี้ยวตรงไหน ไม่อย่างนั้นต้องหาอะไรไปทำเครื่องหมาย มันตั้ง ๑๐ ปีแล้ว ไปที่ไหนมาเล่าให้ฟังกัน แล้วเขาอยากไป (หัวเราะ)
       ถาม :   แล้วที่ไป จะไปศึกษาหรือไป ?
       ตอบ :  จะไปเอา มาถามราคาข้างนอกแล้ว กะรัตตั้ง ๘๐,๐๐๐ น่ะ แกล้งโง่ ๆ หยิบมาสักก้อน ก็รวยแล้ว แต่บังเอิญอาตมาเป็นพระ หยิบอะไรของเขาไม่ได้ ก็ได้แต่ไปถ่ายรูปมาดูเฉย ๆ
       ถาม :     ถ้าเกิดว่าสามารถเข้าไปได้ คือเขาให้?
       ตอบ :    ถ้าสามารถเอาออกมาได้ ไม่ใช่สามารถเข้าไปได้ (หัวเราะ) ใช้คำพูดให้ถูก
       ถาม :    ถ้าเข้าไปแล้วเขาไม่ให้ก็เอาออกมาไม่ได้ ?
       ตอบ :  หมดสิทธิ์ แต่ว่าเท่าที่ไปทุกที่สามารถเข้าไปได้ คนอื่นเข้าไปบางทีเข้าไม่ได้ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า อะไรก็ตามถ้าเขาไม่ให้เราด้วยตัวเขาเอง แม้แต่ทรายเม็ดเดียวเราก็ไม่หยิบออกมา ขอเข้าไปให้ดูเป็นขวัญตาเฉย ๆ ไม่น่าเชื่อเลยเมืองไทยรวยจริง ๆ นะ ตอนนี้คนดีเริ่มมากขึ้นแล้ว พอคนดีเริ่มมีอำนาจในการปกครองประเทศชาติมากขึ้น ทรัพย์แผ่นดินก็จะปรากฏมากขึ้นไปด้วยดีไม่ดี คุณชาตรี อาจเป็นหนึ่งในผู้ค้นพบก็ได้
       ถาม :     มีบุญได้เป็นเจ้าของ จะไปได้มั้ยคะ ?
       ตอบ :    น่าจะเป็นประเภทเจ้าของเก่า หรือไม่ก็มีส่วนร่วมบุญกันมา สมัยหลวงปู่ปานวัดบางนมโคท่านยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่ามีพระบวชใหม่อยู่องค์หนึ่ง มาวันหนึ่งหลวงปู่ปานท่านบอกว่า ?นี่คุณวันนี้เขาขนไอ้เหลือง ๆ กันนะ ไปขอแบ่งกับเขาบ้างซิ? พระองค์นั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอกลางคืนได้ยินเสียงคนขนอะไร ก๊อกแก๊ก แบกเดินกันทั้งคืน ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจกัน
              พอรุ่งเช้า หลวงปู่ปานบอกว่า ?คืนนี้เขาจะขนไอ้ที่ขาว ๆ นะ คุณไปขอแบ่งกับเขาบ้างซิ? ก็ไม่ได้ใส่ใจอีก พอขนจนหมดเพิ่งจะนึกสงสัยว่าขนอะไรกัน มาถามหลวงปู่บอก ?คืนแรกขนทองกัน พวกลับแลน่ะ คืนที่สองขนเงินกัน คุณเคยเป็นพวกเขามาก่อน ถ้าไปขอแล้วเขาจะให้ แต่หลวงพ่อ? คือท่านใช้แทนตัวเองว่าหลวงพ่อ ?แต่หลวงพ่อเองไม่ได้เคยเป็นพวกเขาขอแล้วไม่ได้หรอก ถ้าคุณขอเขามา หลวงพ่อก็สบายสร้างวัดสร้างวา ไม่ต้องหาเงินมากไป? แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อสบายไม่ได้ (หัวเราะ) บอกให้ขอ ๒ คืน ไม่ขอน่ะ จนกระทั่งเขาขนไปหมดแล้ว เอามาสักเข่งก็พอ แบบเดียวกัน
               ถ้าหากไม่เคยสืบเนื่องกันมานี่คงจะยากนะ ที่จะได้ บอกคนมาเยอะแล้ว เพิ่งมีคุณชาตรีนี่ ที่มีฉันทะไปวิ่งหาอยู่ แล้วนี่เอาจริงนะ ไปมาตั้ง ๓ รอบแล้วถึงจะลงไปถูก แต่ก็วาดแผนที่มาลักษณะนี้แล้วมาถามใหม่ว่า เส้นทางนี้จริง ๆ มันอยู่ตรงไหน ก้อนใหญ่ ๆ ขนาดโต๊ะขนาดเตียงยังมีอยู่ เข้าไปแล้วก็นอนเล่นเลย ให้เขาถ่ายรูปให้ รูปชุดนั้น น่าเสียดายว่ามันอยู่กับท่านชาติชาย ไอ้ของเราเราเหลืออยู่รูปเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่ามีทั้งชุดจะเห็นเลยว่า ก้อนใหญ่ ก้อนเล็ก ส่องไฟไปทางไหนผนังถ้ำมันเขียวไปหมด น่ารวยมั๊ย ? แต่มันเปลี่ยนแปลงเยอะจริง ๆ นะ แค่ประมาณ ๑๐ ปีเท่านั้นเอง
        ถาม :     (อธิบายเส้นทาง..) เห็นในถ้ำต้องลงไปอีกหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :    ไม่ต้องเลย อยู่บนพื้น กลิ้งเกลื่อนหมด
       ถาม :   อยู่ตามพื้นเลย แล้วถ้ำมันใหญ่มั๊ยครับ ?
       ตอบ :     ความกว้างของมันประมาณ ๑ ใน ๔ ของห้องใหญ่นี่ แต่มันลึกเหมือนกัน มีซอกเล็ก ซอกน้อย ให้ไปได้เหมือนกัน
       ถาม :   (อธิบายเส้นทาง...)
       ตอบ :  ดีเหมือนกันไปเจอมาเยอะแล้ว ทรัพย์แผ่นดินอะไรต่าง ๆ เยอะต่อเยอะด้วยกัน แต่มันอัศจรรย์ว่า ถ้าไม่มีอะไรเนื่องกันมาเขาไม่เอาจริง ๆ แล้วอีกรายหนึ่งหมอนพพร จะเอาแต่ว่าไม่ได้อันนั้นเป็นทองญี่ปุ่นที่เมืองกาญจน์ ที่คุณเชาวรินทร์ พยายามไปเอานั่นไปถูกที่นะแต่มันผิดทิศ อยู่บริเวณนั้นแหละ แต่เขาไปเลี้ยวขวาขึ้นเขา ความจริงมันต้องไปเลี้ยวซ้ายลงน้ำ
              เขาได้ยินว่าของอยู่ในถ้ำเลยขึ้นเขา ไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้าที่จะเป็นพื้นน้ำ พวกเนินเล็ก ๆ มันมีถ้ำใหญ่อยู่ พอกักน้ำที่เขื่อนเขาแหลมแล้วน้ำมันท่วมถ้ำไป มันอยู่ตรงทางด้านน้ำแทน เขาลืมนึกไปว่า ญี่ปุ่นขนทองไปด้วยรถไฟ รถไฟที่ไหนมันจะขึ้นเขาล่ะ ต้องหาที่ ๆ มันพอไปได้ ใช่มั๊ย ? นั่นแหละ เขาต่อรางแยกออกจากทางเก่าที่แยกไปพม่านั่นแหละ พอเข้าไปถึงถ้ำก็เอาทองไปเก็บเสร็จ ระเบิดปิดถ้ำ แล้วถอดรางเก็บกลับไม่ได้เหลือไว้
       ถาม :    แล้วทองนั่นเป็นของญี่ปุ่นหรือของไทยคะ ?
       ตอบ :  ไม่แน่ใจว่าเป็นของประเทศไหน ? เพราะเขาตีได้หลายประเทศตอนช่วงนั้น แต่ขนมาคล้าย ๆ กับว่าจะเอามาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างทำสงคราม เยอะมากนะ ๒-๓ ตู้รถไฟ ปีนั้น น้ำแห้งมากเลย ปี ๓๗ ต้นปี น้ำแห้งมากเลย เหลือสูงจากปากถ้ำ ๒ เมตรกว่า ๆ เท่านั้น คือ ถ้ำนี่ยังจมอยู่ใต้น้ำ ๒ เมตรกว่า
               บอกหมอนพพรว่าเอาซิหมอ พาทหารลูกน้องที่จบพวก RECON คือ คล้าย ๆ กับว่าฝึกภาคทะเลมา ให้เขาลงไปขนเอา หมอก็บอกว่า ปากถ้ำมันไม่ได้ปิดโดยธรรมชาติ แต่มันปิดเพราะว่าเขาระเบิดมันลงมา เพราะฉะนั้นถ้าเข้า ๆ ออก ๆ หลายครั้งเพื่อขน ไม่แน่ใจว่าจะทรุดหรือเปล่า ยังไงยังไง ให้โผล่พ้นพื้นก่อน โผล่พ้นน้ำก่อนดีกว่า ปรากฏอาทิตย์ต่อมาฝนตกทั้งอาทิตย์เลย น้ำขึ้นมา ๑๗ เมตร มันเหมือนยังกับว่าถ้าไม่ถึงวาระ มันยังไม่ได้อย่างนั้นน่ะ
       ถาม :   แล้วอย่างนั้นใครเฝ้าล่ะ ผีหรือ?
       ตอบ :     มีอยู่ ที่เขาฮาราคีรีตัวเองตายที่นั่น ๖-๗ ศพ ฆ่าตัวเองตายอยู่นั่นเพื่อเฝ้าเลย
       ถาม :   แล้วอย่างงี้ ... เป็นผีประเภทไหนล่ะ ?
       ตอบ :     มันจะเป็นพวก กาลกัญจิกอสุรกาย หรือไม่ก็ มหิทธิกาเปรต พวกนี้จิตใจจะยึดเกาะอยู่กับงานเดิมเขามาก เราอธิบายยังไงว่าญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้ว มันไม่ฟังหรอก เพราะเวลาของเขาแค่วันกว่า ๆ เป็นไปได้ไงวันกว่า ๆ ตีไปตั้งครึ่งโลก แพ้สงครามแล้ว วันหนึ่ีงเขามันเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ วันกว่า ๆ แค่นั้นเองแพ้ได้ยังไง !
       ถาม :   ต้องสู้กับผีซิคะ ?
       ตอบ :    ผู้ใหญ่เล็กเจอมาแล้ว เจ้าพ่อทองผาภูมิ ชื่อเล็กเหมือนกัน โดนอ่วม มาให้รดน้ำมนต์ รดเสร็จเข็ดไม่กล้าไปนึกว่าจะเอาใหม่ !
       ถาม :   แล้วพวกนี้ เขาไม่เอาบุญหรือคะ ?
       ตอบ :  ไม่เอาอะไรทั้งนั้นเขายึดมั่นอยู่กับหน้าที่เขา โดยเฉพาะความซื่อสัตย์ของทหารญี่ปุ่นนี่ ต้องยกให้เป็นยอดเลย ถ้าไม่ใช่คำสั่งของแม่ทัพหรือพระเจ้าจักรพรรดิ์นี่ คนอื่นไปกรอกหูท่าไหนไม่ฟังทั้งนั้น
       ถาม :   อย่างนี้ต้องไปตามวิญญานพระเจ้าจักรพรรดิ์มาบอก...
       ตอบ :  (หัวเราะ) จะไปตามที่ไหน ทองก้อนประมาณกำปั้น เอาใส่ลังไม้ ลังไม้มันก็ผุหมดแล้ว บางแห่งมันเกิดเปิดก็หลุดออกมา มีตู้รถไฟอยู่ ๒ ตู้ใหญ่ ๆ แล้วข้างนอกยังมีอยู่หลายลังนะ แล้วที่แน่ ๆ มีหัวรถจักรกับเครื่องบินอยู่ด้วย ไอ้เครื่องบินปีก ๒ ชั้น ZERO สมัยสงครามโลกของญี่ปุ่น มีเครื่องบินอยู่ลำหนึ่งด้วย ตอนนั้นคงกะไว้อีกไม่นานจะขุด ปรากฏว่าแพ้สงครามซะก่อน ขุดไม่ทัน แต่ว่าพวกนี้เขาจะมีของที่ประเภทยึดไว้เป็นส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง ที่เขาทำแผนที่ตกทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
              ช่วงก่อนจะไปอยู่ทองผาภูมิมีพ่อค้าญี่ปุ่นมาตั้งโรงงานผลิตหน่อไม้ดองอัดปี๊บ กว่าจะรู้น่ะ ขนทองไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เอาทองใส่ปี๊บแล้วเอาหน่อไม้ไว้ข้างบน คือเขาได้แผนที่จากบรรพบุรุษมาก็มาขุดให้คนงานหาหน่อไม้หาอะไรไปตามเรื่อง ตัวเองก็อ้างว่าสำรวจป่าบ้างอะไรบ้าง พอถึงเวลาได้มาก็ใส่ปี๊บไว้ เอาหน่อไม้ดองใส่ไว้ข้างบนแล้วก็ส่ง ทำยังกับว่าญี่ปุ่นอยากกินหน่อไม้นัก กว่าคนงานมันจะกล้าพูดก็ตอนที่ปิดโรงงานไปแล้ว แล้วของมันจะเหลือเรอะ ! แต่ว่าตรงช่วงเขาเรียกว่าแก่งระเบิดอยู่ในแม่น้ำแควน้อย
       ถาม :  ในหนังสือ หลวงพ่อท่านไปเจอสมบัติ ท่านปู่ก็ขอไว้ไม่ใช่หรอครับ ?
       ตอบ :    อันนั้นเป็นส่วนตัวของหลวงพ่อท่านเอง หลวงพ่อท่านเคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์มาหลายชาติ เป็นสมบัติเก่าที่สมัยของท่านมีชีวิตอยู่ แล้วท่านปู่พระอินทร์ท่านขอเอาไว้ว่า ถ้าหากท่านลงมาเกิดใหม่ในสมัยพระศรีอริยะเมตไตรย ท่านต้องทำบุญเยอะ ขอสมบัติอันนี้ไว้เป็นของท่าน แต่ไปไปมามาตอนหลังท่านตัดสินใจว่าไม่เกิดแล้วก็ต้องยกให้เป็นทรัพย์แผ่นดินไป รอพระเจ้าจักรพรรดิ์องค์ใหม่
       ถาม :    ลูกหลานจะขุดก็ไม่ได้ ?
       ตอบ :     ก็ท่านยกให้ไปอย่างนี้แล้วนี่ แล้วคนอื่นจะเอาอะไรล่ะ ? (หัวเราะ) พระเจ้าจักรพรรดิ์ส่วนใหญ่จะมีในช่วงที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนา เพราะว่าท่านจะเป็นผู้ที่ทรงธรรม จะสามารถนำชาวบ้านทำความดีได้ในระดับหนึ่ง จะเป็นทาน ศีล ภาวนา ในขั้นต้น ขั้นกลาง แต่ว่าไม่ถึงขั้นสูงสุด

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 01 กันยายน 2008, 00:23:33 »

http://grathonbook.net/book/3.3.html

ถาม :     (มีผู้มาทำบังสุกุลเป็น-บังสุกุลตาย)
       ตอบ :     เอานะทุกคนตั้งใจนะ คิดว่าขณะนี้เราได้ตายแล้วเคราะห์กรรมทั้งหลายตายลงไปพร้อมกับร่างกายนี้ของเรา ตัวเราที่เคยทำความดีมาไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ขอให้ตั้งใจว่าผลบุญทั้งหมดนี้ ส่งผลให้เราเข้าสู่พระนิพพานเพียงที่เดียว ใครใช้มโนมยิทธิได้ยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ตั้งใจว่าเราขออยู่ที่นี่
              ใครใช้มโนมยิทธิไม่ได้ นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใด องค์หนึ่ง ที่เรารักชอบมากที่สุด ตั้งใจว่านั่นคือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหน นอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่าน คือ เราอยู่บนพระนิพพานกับท่านด้วย เอาใจเกาะให้ดีนะ ?อนิจจา วตะสังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตะวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปสโมสุโข? 
              คราวนี้ตั้งใจใหม่ว่า เนื่องจากความดีที่เราทำ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราตั้งมั่นอยู่ในพระนิพพานได้ ดังนั้น เราขอมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งการมาเกิดใหม่ครั้งนี้ของเราเคราะห์กรรมตามมาไม่ได้ เพราะมันตายลงไปเมื่อครู่นี้แล้ว เราที่ี่มาเกิดใหม่ด้วยความดีของศีลทาน ? ศีล ? ภาวนา
ความดีของการให้ทาน เกิดมาจะร่ำรวยมาก ความดีของการรักษาศีล เกิดมาเป็นคนรูปสวย เป็นคนมีจิตใจดีงาม ความดีของการภาวนาเกิดมาเป็นผู้มีปัญญา สามารถแก้ไขอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตให้ลุล่วงไปได้โดยง่าย ถ้าผู้ใดตั้งใจปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระนิพพาน ก็จะมีปัญญาสามารถตัดกิเลส เป็นสมุทเฉทประหาร เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ได้ให้ทุกคนตั้งใจ ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดช่วยอนุเคราะห์ สงเคราะห์ให้ การเกิดใหม่ของเราครั้งนี้สมบูรณ์ บริบูรณ์พร้อมในทุก ๆ ด้านด้วย ตั้งใจนะจ๊ะ... ?อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิง คะรัง? เอ้า ! สาธุ เกิดใหม่ซะทีลูก เอาสังฆทานมา แล้วทำบุญ สาธุ (ถวายสังฆทาน/ให้พร) ขอให้มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาสมหวังทุก ๆ คนเลยจ๊ะ !
       ถาม :   แล้วถ้าเกิดมีคนเขา ..............(ฟังไม่ชัด)..........?
       ตอบ :    รู้จักตั้งแต่พรรษาแรก เขาจะว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ เป็นหลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหนก็ตามน่ะ เชื่อได้แต่อาตมายืนยันว่า ?ไม่ใช่? แล้วขณะเดียวกันไปที่นั่นให้ระวังไว้ เพราะว่าท่านเก่งไสยศาสตร์มาก ไสยศาสตร์มันมีทั้งคุณทั้งโทษ ใช้ผิดเมื่อไหร่ก็บรรลัยเมื่อนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ต้องดูกำลังใจท่าน ถ้ากำลังของท่านเกาะในด้านดี ท่านสามารถใช้งานได้ดีกว่าคนอื่นเขาเยอะ ต้องระวังไว้นิดหนึ่ีง ยืนยันว่า ไม่ใช่พระองค์ที่ ๑๐ เพราะว่าอาตมากับคุณธรรมนูญเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของพระองค์ที่ ๑๐ นั่งเฝ้ากันเป็นวันเป็นคืน เลยจำแม่น
       ถาม :    (ไม่มีเสียง)
       ตอบ :    เรื่องของพระมหากัสสปนี่ หลวงพ่อเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งว่า ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ภูเขาสองลูกที่ปิดหน้าถ้ำที่เก็บพระศพท่านอยู่ มันเลื่อนออกมาเป็นช่องให้เข้าไปได้ แล้วนายช่างที่สำรวจทาง ที่จะทำทางรถไฟสายเหนือที่เป็นฝรั่งเข้าไปพบเข้า อาจเป็นความต้องการของท่านด้วย เพราะฝรั่งเขามีกล้องถ่ายรูป
       ถาม :    ทุกวันนี้พบแล้วหรือยังครับ...?
       ตอบ :  พบตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ แล้ว ก็มีคนไปถ่ายรูปชุดนั้นออกมา พอหลวงพ่อได้ข่าวนี้ก็ขอรูปมา หลวงพ่อบอกอัศจรรย์มาก ดอกไม้ธูปเทียนที่จุดบูชาอยู่ตั้งสมัยที่ท่านมรณภาพจนป่านนี้ก็ยังสดอยู่ปกติ ก็เอาไปถวายหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานบอกว่า ไม่แปลก เพราะว่าเรื่องของอภิญญา อธิษฐานอะไรก็ได้
              ท่านบอกพอพ้นจากนั้นมาแล้วภูเขาสองลูกก็เลื่อนเข้ามาตามเดิม ปิิดอยู่ตามเดิม แล้วถามว่าเมื่อไหร่ สังขารถึงจะมาปรากฏอีกทีหนึ่ง ท่านบอกว่ารอพระศรีอาริยเมตไตรยอยู่ เพราะท่านมีกรรมเนื่องกันมา 
               ท่านมีกรรมเนื่องกันมาว่า มีอยู่สมัยหนึ่ง พระศรีอาริยเมตไตรย ท่านเป็นควาญช้าง ส่วนพระมหากัสสป ท่านเป็นช้าง ท่านเป็นช้างที่ได้รับการฝึกดี แล้วก็ถวายเป็นพาหนะของพระราชา วันนั้นพระราชาเสด็จประพาสอุทยาน
              สมัยก่อนอุทยานก็คือป่าดี ๆ นี่เอง แต่มันเป็นป่าเฉพาะที่พระราชาท่านกันเอาไว้ ช้างป่ามันเข้ามา ช้างทรงพอได้กลิ่นตัวเมีย เตลิดตามเลย ควาญช้างสับท่าไหนก็ไม่ยอมหยุด พระราชาท่านเห็นว่าจะเกิดอันตรายขึ้น ท่านฉลาดนี่ ท่านมองซ้าย มองขวา เห็นมันวิ่งจะลอดใต้กิ่งไม้ก็โอบกิ่งไม้เอาไว้ ปล่อยให้ช้างวิ่งไปช้างเตลิดหายไปเลย กลับมาก็กริ้วมากหาว่าควาญช้างฝึกมายังไง ลอบปลงพระชนม์กันหรือไร ? ทำให้ช้างอาละวาดได้ขนาดนั้น ควาญช้างท่านก็ยืนยันบอกว่า ถ้าหากว่าตามปกติทั่ว ๆ ไปแล้ว จะไม่มีอะไรที่ทำให้ช้างตัวนี้ตื่นตกใจหรือว่าวิ่งตามไปได้ ยกเว้นอย่างเดียวก็คือตัวเมีย ไม่อย่างนั้นแล้วมนต์ของท่านรับประกันว่าบังคับช้างได้ทุกรูปแบบ
              พระราชาท่านก็บอกว่าถ้าบังคับได้ทุกรูปแบบต้องแสดงให้ดู ถ้าทำได้จริง ๆ จะเชื่อแต่ถ้าทำไม่ได้จริงอย่างปากพูดจะประหารซะ แล้วท่านก็เลยไปตามช้างกลับมา พอไปตามช้างกลับมาก็แสดงหน้าพระที่นั่ง ก่อกองไฟขึ้น เอาท่อนเหล็กไปเผาจนแดงโชนเลย แล้วก็ร่ายมนต์บังคับให้ช้างเอางวงจับท่อนเหล็กนั้นขึ้นมาให้ดู พระราชาท่านก็สลดใจว่า เออหนอ ไฟราคะนี่มันรุนแรงขนาดนี้ รุนแรงขนาดทำให้ช้างซึ่งยอมตายถวายชีวิตเพื่อควาญของตัวเองโดยการเอางวงจับเหล็กแดง ๆ ได้ ถึงกับลืมคำสั่งควาญเตลิดตามตัวเมียไป
              คราวนี้ไม่ใช่พระราชาท่านสลดใจเฉย ๆ ช้างตายด้วย บาดเจ็บสาหัสก็ตาย เลยกลายเป็นเวรกรรมผูกพันกันมาว่า ควาญช้างที่เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยต้องมาเอาช้างคือพระมหากัสสปเผาในมือท่านด้วยเตโชธาตุ ถึงจะสิ้นเวรสิ้นกรรมกันไป ถึงได้ว่าร่างของท่านต้องอยู่กระทั่้งสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย จนได้รับการพระราชทานเพลิงมีกรรมเนื่องกันมานิดเดียว
               ถามหลวงพ่อว่า แล้วพระศรีอาริยเมตไตรยจะร้อนมั๊ยครับ ? ท่านบอกว่า เรื่องของเตโชธาตุนี่บังคับได้อยู่แล้วนี่จะไปร้อนอะไรเล่า เพียงแต่ว่ากรรมมันเนื่องกันมาต้องไปใช้หนี้เก่า ต้องเผาด้วยมือตัวเอง คราวนี้เรามานึกดูว่า พระมหากัสสปท่านอยู่ในสมัยที่มนุษย์สูงแค่ ๘ ศอก คือพระพุทธเจ้าสูง ๘ ศอก ใช่มั๊ยล่ะ ? พระพุทธเจ้าพระราชทานสังฆาฏิให้กับพระมหากัสสปได้ แสดงว่ารูปร่างท่านต้องสูงใกล้เคียงกัน ตีว่าพระมหากัสสปสูง ๘ ศอก เหมือนกัน แต่พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้นี่พระวรกายสูง ๘๘ ศอก เท่ากับว่า เอาอะไรเล็ก ๆ เผาในมือตัวเอง
       ถาม :    ๘๘ ศอก ?
       ตอบ :    ๘๘ ศอก นี่อ่านในอนาคตวงศ์ 
        ถาม :     ที่บอกว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์ นี่ก็ พระมหากัสสป ก็ไม่ไหม้ ?
       ตอบ :  ก็จะไปไหม้อะไรเล่า ไหม้ก็แต่ของที่อยู่บนผิวโลก นี่อยู่ในถ้ำใต้โลกเลย ภูเขาปิดอยู่มันก็เหมือนอยู่ใต้โลกถึงเวลาก็เลื่อนเปิดออกมา
       ถาม :   แล้วดิน ไม่สุกหมด ?
       ตอบ :    ก็สุกไปซิ
       ถาม :   เผาอย่างนี้ ?
       ตอบ :    อะไรที่มันนอกเหตุเหนือผลเป็นอจิณไตย ไม่ควรเสียเวลาไปนั่งคิด มีคนเจอแล้วเป็นคนสำคัญเสียด้วยยังกับว่าท่านเจตนาให้เจอ เพราะถ้าคนทั่ว ๆ ไปเจอก็ไม่ไดุ้ถ่ายรูปอยู่แล้ว รูปชุดนั้นหลวงพ่อท่านถวายหลวงปู่ปานไป ไม่งั้นจะขอดูว่าเป็นยังไง แต่ท่านบอกว่าดอกไม้ธูปเทียนยังสดอยู่เป็นปกติ
       ถาม :    แต่ที่วัด เห็นมีรูปท่านนั่งสมาธิ พระมหากัสสป ที่เป็นแบบมอง ๆ แล้วยังหนุ่มอยู่เลย ด้านหลวงพ่อที่วิหาร ๑๐๐ เมตร นี่ แถว ๆ พระปัจเจกน่ะ ผมเห็นรูปที่ใต้รูปท่านจะเขียนว่า พระมหากัสสปใต้รูป
       ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนถ่ายไว้ ไม่แน่ใจเพราะไม่เห็นด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันไม่ทราบที่มาของรูปด้วยก็ไม่กล้ายืนยัน แต่ว่าหลวงพ่อท่านบอกว่า พระมหากัสสปเคยเป็นพี่ชายท่านมาหลายชาติ เวลาว่าง ๆ ท่านก็แวะมาเยี่ยม ไปถึงก็กราบ ๆ ท่านก็มาทุบหลังปั๊กเข้าให้ ไปไหว้ผีทำไม ? ข้าอยู่นี่ (หัวเราะ) ท่านไปกราบศพ คราวนี้กายทิพย์ท่านก็มาซิ ไปไหว้ผีทำไม ข้าอยู่นี่มีธุระอะไรก็ว่ามา อย่างนั้นน่ะ แล้วท่านก็ยังสนุกอยู่เป็นปกติ ทำหน้าที่อะไรของท่านเป็นปกติอยู่ พระที่ไปนิพพานแล้ว จะไปไหนก็ไปได้อยู่แล้ว สังขารมันเป็นอย่างไร ท่านไม่ได้สนใจตั้งแต่ตอนมีชีวิตแล้ว
       ถาม :   แต่ท่านรู้จักใคร ก็ไปของท่านเป็นปกติ ?
       ตอบ :    ไปเป็นปกติ
       ถาม :  ผมแปลกใจ ติดใจตรงที่หลวงพ่อบอกว่า ?ดูอย่างพระมหากัสสปซิ พอท่านมรณภาพไปแล้ว เห็นมั๊ย ใครไปสนใจใยดีอะไรมากมาย (ฟังไม่ชัด).......?
       ตอบ :  ก็ไม่ทราบเหมือนกันวาระสำคัญ ๆ นี่จะมีการเปิดประตูถ้ำอีกหรือเปล่า คงจะเป็นเทวดาท่านสงเคราะห์ให้ อย่างว่าตอนนั้นครบ ๒๕๐๐ ปี ใช่มั๊ย ? กึ่งพุทธกาลนี่สำคัญมากด้วย กึ่งอายุพระพุทธศาสนานะ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเปิดสัก ๑๐๐ ปี ครั้ง หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
       ถาม :   ตอนนี้ พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มยังมีชีวิตอยู่มั๊ยครับ ?
       ตอบ :    บารมีเต็ม ?
       ถาม :    แบบเข้าเขตบารมีเต็มที่รอบรรลุเลย
       ตอบ :    ถ้าข้างบนนี่นับไม่ถ้วนเลย
       ถาม :    ไม่ ที่อยู่บนโลกมนุษย์
       ตอบ :   บนโลกมนุษย์นี่มีไม่เท่าไหร่ ถ้าในระดับปรมัตถบารมีล่ะเยอะ แต่ว่าบารมีเต็ม ถ้าหากว่าตายชาตินี้แล้วไปนั่งรอคิวเลยมีแค่ไม่กี่องค์
       ถาม :    มีไม่กี่องค์ แสดงว่ามีหลายองค์ ?
       ตอบ :     มีหลายองค์ มีทั้งฆราวาส มีทั้งพระ
       ถาม :   พบด้วยซิ สาธุ
       ตอบ :  พบด้วย จริง ๆ แล้วไม่อยากจะไปเดาเรื่องมรรค เรื่องผลของใคร เราไม่มีหน้าที่ แต่ดูจริยาที่ท่านทำแล้วยอดจริง ๆ เลย ที่ไปพม่ามา ก็เจออย่างหลวงพ่อวัดเขาตามะยะเลี้ยงคนเป็นแสน ๆ เลี้ยงได้ทุกวัน ไปถึงกินฟรีอยู่ฟรีหมด จะทำบุญกับท่านหรือไม่ทำท่านไม่ว่า
       ถาม :   ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ?
       ตอบ :     แหง ....แหง.....เลย ! ปรารถนามาคู่กับหลวงปู่ครูบาวงศ์ นั้นน่ะคู่หูกันเลย อายุก็เท่ากันด้วย
       ถาม :    พระเดชพระคุณหลวงปู่วงศ์ นี่ท่านจะเกิดอีกมั๊ย ?
       ตอบ :     ท่านบอกว่าอีกพันปี ท่านจะมาเกิดใหม่อีกที
       ถาม :    มาตรัสรู้เลยหรือ ?
       ตอบ :    ไม่ใช่ จะมาเกิดเพื่อบูรณะซ่อมแซมในสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านเคยทำไว้ในชาตินี้น่ะ
       ถาม :   แล้วอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรา นี่ท่าน?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าของท่านเองไม่ได้เร่งรัดอะไรมากไปกว่านี้ ยังต้องเกิดอีก ๗ ครั้ง แต่ถ้าหากว่าเร่งทำหนักก็อาจเต็มในชาตินี้เลย เรื่องของบารมีมันเร่งกันได้ ถ้าทำบุญใหญ่ไม่ต้องอะไรมากหรอก สังคายนาพระไตรปิฎกซักรอบ เอามันจริง ๆ อย่างนั้นน่ะ
       ถาม :    แค่สังคายนานี่นะครับ ?
       ตอบ :    มันไม่ีใช่แค่นะ การรวมพระอรหันต์อย่า่งต่ำ ๓๐๐ องค์ ไม่ใช่เรื่องง่ายนา
       ถาม :  แต่ก็เกิดจุดธูปอธิษฐานบน ท่านก็มา?
       ตอบ :    ถ้าหากคนจุดความดีไม่พอ ความสามารถไม่พอท่านจะมาทำเกลืออะไรเล่า ?
       ถาม :  เราเอาง่าย ๆ ไม่ได้หรือครับ เราไปเอาสังคายนาฉบับที่หลวงพ่อบอก
       ตอบ :     ไอ้นั่นมันไม่ใช่งาน มันเป็นการลอกงาน
       ถาม :    นั่นแหละ มันเป็นของเรา
       ตอบ :    มันสำหรับตัวเรา ไม่ใช่กำลังใจของพระโพธิสัตว์ท่าน ของพระโพธิสัตว์ท่านประเภทที่ทำทางใหม่ด้วยตัวเองได้ล่ะยิ่งดี เดินตามรอยคนอื่นนี่ไม่ค่อยอยากจะเดินหรอก ถึงจะได้เห็นว่าได้ออกลีลาแปลก ๆ ไปเยอะ
       ถาม :    แล้วไม่มีใครคิดทำเลย
       ตอบ :    ไม่ใช่ไม่คิด คิดอยู่แล้วเรื่องนี้หลวงพ่อเคยปรารภเอาไว้แล้ว แต่พอวาระและเวลามันผิดไปจากที่ปรารภไว้ เพราะกำลังใจของคนมันเคลื่อน คือว่าแทนที่จะเร่ง หรือแทนที่จะทำเท่าเดิม มันกลายเป็นว่าลดน้อยถอยลง การสังคายนาก็เลยไม่ปรากฏขึ้น 
               ในช่วงนั้น ท่านถึงขนาดบอกเลยบอกว่า ถ้าเรื่องของพระสูตรนี่พระไทย ถ้าเรื่องของพระวินัยพระมอญ ถ้าเรื่องพระอภิธรรมนี่พระพม่า จะต้องรวมพระที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณอย่างน้อย ๓๐๐ องค์ขึ้นไป คือเท่าที่มีมาในอดีตต่ำสุด ๓๐๐ สูงสุด ๑,๐๐๐ หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายน่ะ 
               หลวงพ่อ ๒ องค์ ที่อยู่ในป่านั่น ช่วงนั้นหลวงพ่อท่านบอกไว้ว่าเพิ่งรวมได้ ๖๐ กว่าองค์ เฉพาะสายท่านสายเดียว ๖๐ กว่าองค์ คราวนี้เรามาคิดดูว่า ถ้าหากเป็นพระมอญ พระพม่าที่ท่านมีความสามารถระดับนี้ด้วยคงไม่หนีกันเท่าไหร่ ท่านถึงขนาดออกชื่อว่าพระมอญชื่อหลวงพ่อโด๊ด แต่ว่าไม่ได้ทำตอนนั้นมาก็มานั่งคาดกัน ว่าใครที่จะเป็นคนทำอย่างนี้แล้ว หมอนพพร จะเป็นคนอาสาหาทุนเอง หมอนพพรมาถามเลยว่า ภูเขาทองหลวงพี่อยู่ที่ไหน ? ผมจะไปขนมาให้ เขาสังคายนาพระไตรปิฎกเราก็บอกทาง บอกแผนที่ บอกอะไรหมอเขาไปเลย
       ถาม :   หมอหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ?
       ตอบ :  แกเอาเครื่องบินขึ้นเลย แล้วเครื่องวัดแร่ไป บอกมันเยอะจริง ๆ คับ พอขึ้นไปถึงตรงจุดนั้นนี่เครื่องมือวัดแร่นี่มันตียันเกย์เลย
       ถาม :   อู้หู ! ...แสดงว่ามากมายมหาศาลซิ ?
       ตอบ :  แล้วยังไงรู้มั๊ย ? พอร่อนลงมันเหลือศูนย์เอาซิเทวดาท่านไม่เอาด้วย ยังไม่ถึงเวลา บอกพอขึ้นไปมันก็เท่าเดิม พอร่อนลงเมื่อไหร่ก็เหลือศูนย์น่าสนุกมั๊ยล่ะ ?
       ถาม :    คุณหมอนี่ไม่ยอมลาใช่มั๊ยครับ ?
       ตอบ :    ไม่ยอมลาหรอก หาทางเร่งชาตินี้ให้เต็มซะด้วยซ้ำไป ขอทำงานใหญ่ ๆ หน่อยเหอะ
       ถาม :  แต่ผมว่ามีสิทธิ์น่ะ เพราะดูงานวัด
       ตอบ :    เรื่องของกำลังใจนี่ยืนยันว่าเร่งเต็มได้ แต่มันเหนื่อยมาก
       ถาม :    แล้วล้มเลิกแล้วเหรอ เรื่องพระไตรปิฎก ?
       ตอบ :  คงไม่ได้ล้มเลิกหรอก ก็รอจังหวะซิ จังหวะนั้นมันไม่สมควร ก็ดูซิไม่ได้ทำจริง ๆ หลวงพ่อก็มรณภาพไปแล้วใช่มั๊ย ? ต้องรอจังหวะใหม่ ถ้าใครประกาศทำหมอก็คงไปใหม่ เพราะว่าที่มันอยู่ตรงไหนก็รู้แล้วนี่ไม่ต้องอาศัยเราแล้ว
       ถาม :   แล้วทุกอย่างนี้มาจากพุทธพจน์ทำนายหมด
       ตอบ :    ก็ใช่อยู่
       ถาม :   (แล้วองค์สมเด็จ ไม่ทันจะตั้งเลย...../ฟังไม่ชัด)
       ตอบ :    ในจารึกพระเจ้าอโศกมหาราช พระโมคัลลาติสสะเถระ ท่านทำนายเอาไว้ว่า หลังกึ่งพุทธกาลพระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้ยิ่งด้วยบารมีจะยังพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองคล้ายพุทธกาลอีกวาระหนึ่ง คำว่าเจริญนี้คือมากด้วยพระอริยเจ้า เรื่องนี้แหละที่ทางสายธรรมกาย มั่นใจว่าเป็นอาจารย์เขา (หึ...หึ)

cmman573

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 01 กันยายน 2008, 22:31:10 »

มิจฉาทิฏฐิ  ทำให้เราตกนรก ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 01 กันยายน 2008, 23:34:55 »

http://grathonbook.net/book/3.4.html

ถาม :     แต่ผมว่าที่ (ฟังไม่ชัด) เขาทำหนังสือหลวงพ่อก็มีสิทธิ์นะครับ 
       ตอบ :     เราต้องดูว่าคำสอนของใครทำให้คนเป็นพระ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคาีมี อรหันต์กันเท่าไหร่ เรื่องนี้มันพิสูจน์แบบประเภทที่เรียกว่า จับตัววางตาย แบบคนเรียนจบปริญญามันไม่ได้มันต้องเป็นคนที่เป็นพระอริยเจ้าด้วยกัน หรือพระอริยเจ้าระดับสูงขึ้นกว่าท่านถึงจะรู้ หรือว่าบุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณ กราบทูลถามต่อพระท่านโดยตรง จะรู้ แล้วมันได้ซักกี่คนล่ะ ทิพจักขุญาณ ? เราไปบอกว่าคนนั้นเป็น คนนี้เป็นโดยที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทำนายมันก็ผิดมารยาทพอแล้ว แล้วไปโดนเขาด่ากลับมาอีกว่า ไม่เชื่อก็เจ๊ง
              เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็เลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครสอนให้เป็นพระอริยเจ้ามากกว่ากัน แต่ว่าตั้งแต่สมัยเด็กมาจนป่านนนี้ ตั้งแต่รู้เรื่องการปฏิบัติเรื่องธรรมะนี่นะ สรุปได้ว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครูบาอาจาย์ใหญ่ฝ่ายอีสานน่ะ หลวงปู่มั่นสร้างพระเป็นพระ แต่หลวงพ่อของเราสร้างคนเป็นพระ อันนี้กล้าใช้คำพูดนี้ ใครจะว่ายังไงก็กล้ายืนยันคำพูดนี้ หลวงปู่มั่นสร้างพระเป็นพระ แต่หลวงพ่อเราสร้างคนเป็นพระ
       ตอบ :     พระพุทธเจ้าท่านไปตรัสรู้ในชมพูทวีปมี สาเหตุ ๒ ประการ ประการแรกก็คือว่าคนที่นั่นรวยที่สุดกับจนที่สุด อยู่ในที่เดียวกัน จะได้เห็นทุกข์ชัดเจน ประการที่สองก็คือว่า บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ มีมากคน เป็นนักคิดกันอยู่แล้ว ถ้าหากว่าสอนให้เขารู้จักการคิดอย่างเป็นระบบตามแบบพระพุทธเจ้า เขาได้ดีเร็วมาก 
               แต่ว่าบรรดาอาจารย์ใหญ่ทั้งหลายทั้ง ๖ คนนั่นก็มี บูรณะกัสสป มักขลิโคสาละ อชิตะเกสะกัมพล สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครณก์นาฏบุตร ทั้ง ๖ คน ก็มีลัทธิต่าง ๆ กันมา 
               ตัวของมักขลิโคสาละ เป็นเด็กรับใช้บ้านเศรษฐี  พ่อแม่เลี้ยงวัวให้เศรษฐี ตัวเองเกิดในคอกวัว ก็เลยชื่อนายโคสาล คอกวัวโคสาละ วันหนึ่ง เจ้านายก็ให้แบกหม้อเปรียง เปรียงต้องเป็นน้ำมันแสดงว่าต้องเป็นน้ำมันวัว อาจเป็นน้ำมันเนยก็ได้เพราะมาจากนมวัว แบกหม้อเปรียงไปตลาด เจ้านายจะไปขายเปรียง คราวนี้ทางมันลื่น เจ้านายก็บอกเป็นภาษาบาลีว่า มาขลิ มาขลิ ระวังลื่น นายโคสาล ก็ยังลื่นจนได้หม้อเปรียงหก เจ้านายก็โมโห คว้าตัวไว้ได้เอาไม้จะตี แกก็ดิ้นหลุดมือไป ผ้านุ่งผ้าอยู่ผืนเดียว พวกทาสอะไรส่วนใหญ่มีแค่ผ้านุ่ง ผ้าห่มไม่มี ใช่มั๊ย ! ผ้าหลุดติดมือเจ้านายด้วยความตกใจก็วิ่งหนี กลัวนายจะตีหนีไปหลบอยู่้ในป่าแก้ผ้าอยู่ในป่านั้น
              คราวนี้หลบเจ้านายก็หลบได้ไม่นาน เวลาผ่านไปผ่านไป วันหนึ่งหิวไส้กิ่วเลย พอรุ่งขึ้นก็เลยเดินย่อง ๆ ออกมาจากป่า มองซ้ายมองขวา เจ้านายไม่อยู่ไปหาคนเพื่อขอข้าวกิน คนเห็นเดินมา สมัยนั้นความคิดเรื่องการเป็นพระอรหันต์นี่ เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นเรื่องสุดฮิตเลย เห็นอะไรแปลกหน่อยก็พระอรหันต์ เอ รายนี้รู้สึกว่า มักน้อย สันโดษกว่าเพื่อน เสื้อผ้ายังไม่เอาเลย ต้องเป็นพระอรหันต์แน่ ๆ ก็เลยพากันเอาโน่น เอานี่ พากันถวายกันยกใหญ่เลย นายโคสาละ ก็เลยสบาย กินอยู่สบาย แกก็เลยบัญญัติทิฏฐิ ขึ้นมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต้องทำถึงเวลาก็เป็นเอง แบบตัวแก อยู่ ๆ ก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา คราวนี้ แกชื่อโคสาละก่อนที่เจ้านายจะจับตัวแกตี ก็เตือนว่าระวังลื่น ระวังลื่น มาขลิ มาขลิ เขาเลยเรียกแกว่ามักขลิ โคสาละ มาจนทุกวันนี้แหละ 
              ก็ลองคิดดูว่าอาจารย์ใหญ่ระดับนั้นน่ะ มันมีความสามารถหรือเปล่า เป็นขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้ แบบเดียวกันเปี๊ยบเลยทั้ง ๖ องค์ แต่ละองค์ก็เหมือนกัน อชิตะกัมพลนั่น กัมพล ก็คือ ผ้าที่ทอจากผมคน แกเอาผมคนมาทำเป็นผ้านุ่งไง คนเขาเห็นอัศจรรย์น่ะ ส่วนบูรณะกัสสปนั่นเป็นทาสในเรือนเบี้ย คือว่าพ่อแม่เป็นทาส ลูกก็เป็นทาสด้วย เกิดมาคนที่ ๑๐๐ พอดี ก็เลยชื่อบูรณะ แปลว่าเต็ม เต็มร้อยพอดี (หัวเราะ)  บูรณะ ที่เรียกว่าบริบูรณ์ไง บูรณะแปลว่า เต็มพอดี แต่ละคนก็มีประวัติพิลึกพิลั่น แต่ละคนไม่เหมือนกัน 
               ส่วนเรื่องของอรหันต์ตุ่ม อรหันต์รากไทรนั้น มันเกิดจากว่า เขาอยากแสดงปาฏิหารย์ให้ลูกศิษย์รู้ ครูบาอาจารย์ ก็ไม่รู้็ว่าทำไง แอบขุดหลุมขึ้นใต้เตียงแล้วเอาตุ่มฝังเอาไว้ ถึงเวลาลูกศิษย์มาเคาะประตูก็หลบไปนอนอยู่ในตุ่ม ลูกศิษย์เปิดประตูเข้ามา อ้าว ! อาจารย์ไม่อยู่นี่หว่า ใช่มั้ย ? ก็ถอยไป แกก็ขึ้นมาจากตุ่มมานั่งบนเตียง ตะโกนเรียกลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็แปลกใจ เมื่อกี้ไม่อยู่นี่ อาจารย์เราต้องเป็นพระอรหันต์แน่ ๆ เลย หายตัวได้ด้วย ลือกันไปยกใหญ่
               ส่วนอีกรายหนึ่งเขาเรียกอรหันต์รากไทร เพราะว่า ประเภทจำศีลภาวนาใต้ต้นไทร คราวนี้แกพิจารณาว่าต้นไทรของแกอยู่ริมผาแล้วรากนี่มันเลื้อยไปถึงถนนหลวง ข้างล่าง ตัวแกอยู่บนภูเขาเวลาคนขึ้น ต้องเดินอ้อมเขาขึ้นมาก่อนใช่มั๊ย ! พอมานิมนต์ไปงานไปอะไรก็บอกว่าให้ไปล่วงหน้าก่อน บ้านช่องอยู่ที่ไหนบอกมาก็แล้วกัน แล้วเสร็จแล้วพอคนเดินลง แกก็ลงตามรากไทรมันถึงถนนก่อน ไปอยู่ที่บ้าน คนก็ลือว่าเป็นพระอรหันต์ ย่นระยะทางได้ อะไรได้
               เรื่องในธรรมบทนี่ อ่านแล้วมันมากเลย นั่นแหละเค้าเรียกว่าอรหันต์รากไทร แล้วอรหันต์ตุ่ม พวกนั้นเป็นอรหันต์เพราะคำร่ำลือของลูกศิษย์ ไปหลงยึดติดอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศที่ได้ เลยติดอยู่ตรงนั้น 
              ส่วนรายที่ไม่ยึดติด ก็คือพระพาหิยะ นั่นเรือแตกแล้วลอยไปติดชายฝั่งขึ้นมาเสื้อผ้าหายหมด ตอนว่ายน้ำอยู่น้ำพัดไปหมด เพราะว่าผ้านุ่งแขกก็นุ่งเหมือนกับผ้าขาวม้า ผ้าสะโหร่ง โจงกระเบน แล้วอีกผืนก็พาดเฉย ๆ โดนน้ำพัดไปหมด เอาสาหร่ายมานุ่ง คนก็เห็นว่าเป็นพระอรหันต์
              พอเห็นว่าเป็นพระอรหันต์ก็แห่กันมาถวายเครื่องสักการะอะไร อยู่สมบูรณ์บริบูรณ์ เอ้อ ! อยู่อย่างนี้ก็สบายดี เขาว่าเราเป็นพระอรหันต์ เราคงเป็นจริง ๆ ละมั้ง อะไรอย่างนั้น อยู่ไปเรื่อย คราวนี้ไปเดือดร้อนว่า เพื่อนร่วมปฏิบัติมาตั้งแต่ชาติก่อน ท่านไปเป็นพรหมอยู่องค์หนึ่ง มองลงมา เอ้า ! เพื่อนเราไปไกลซะแล้วก็ลงมาเตือนสติ ท่านรู้ตัว เพราะว่าพรหมท่านมา ก็ต้องแสดงเต็มที่ของท่าน ใช่มั๊ยว่า สภาพท่านเป็นพรหมว่าขนาดของท่านยังได้แค่นี้เลย แล้วคุณจะเป็นอรหันต์ได้ยังไง ท่านก็เลยถามว่าจะเป็นพระหันต์เป็นอย่างไร ท้าวมหาพรหมท่านก็เลยบอกว่า ขณะนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว ให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
               เชื่อมั๊ยว่า ท่านเดินคืนเดียว ๑๒๐ โยชน์ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยความอยากจะเฝ้าถึงขนาดไปถึงเชตวันมหาวิหาร พระท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตตามไปในตัวเมือง ไปถึงก็เข้าไปกราบ กอดพระบาทพระพุทธเจ้าขอฟังธรรม พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเลย ฟังธรรมตอนนี้ไม่มีผลอะไร ท่านก็ขอร้องอีกเป็นครั้งที่สอง บอกว่าท่านเดินทางมาไกล และก็ไม่แน่ใจว่าชีวิตจะยังอยู่ได้นานเท่าไหร่ขอฟังธรรมเถิดพระพุทธเจ้าก็ บอกว่า ตอนนี้ไม่สะดวก ครั้งที่ ๓ ขอร้องอีก จึงได้เทศน์ให้เพราะกำลังใจของท่าน
              ตอนนั้นมันปิติมากไป ฟูมากเกินไป ถ้าเทศน์ตอนนั้นจะไม่มีผล ก็ห้ามซะสองครั้ง กำลังใจลดลงมาพอพระพุทธเจ้าเห็นว่ากำลังใจลงลงมาสู่จุดเหมาะ เทศน์ว่า พาหิยะ เธอจงอย่าไปสนใจในรูปที่เธอเห็น แค่นั้นแหละเป็นพระอรหันต์เลย บุญเก่าทำไว้เยอะเห็นชัดเลยว่า ทุก สิ่งทุกอย่างที่กระทบตา หู ลิ้น กาย ใจ มันสักแต่ว่าเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสัมผัส แค่นั้นเอง ถ้าไม่รับเข้ามาสู่ใจ ไม่เอาใจไปปรุงแต่ง ทุกอย่างก็หยุดหมด ดับหมด เป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนั้นเลย เป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุใดในทางบรรลุเร็ว เทศน์สั้นจู๋นิดเดียวบรรลุเลย 
              แต่ว่าท่านไม่มีโอกาสจะนุ่งเหลือง ห่มเหลือง เหมือนคนอื่น เพราะว่าในอดีตชาติไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรมาก่อน พระพุทธเจ้าไม่สามารถบวชด้วยวิธีเอหิภิกขุ การบวชด้วยวิธีเอหิภิกขุ คือ ตรัสว่า ?เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด? ก็จะมีจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จากบุญเก่าของตัวเอง ลอยมาสวมให้อันนี้ของท่านไม่มี พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าให้เธอไปหาจีวรก่อน ระหว่างที่ออกไปหาจีวรก็โดนยักขิณีแปลงร่างเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย
               ถามว่า บุคคลที่ทรงความดีถึงขนาดเป็นพระอรหันต์ทำไมถึงทรงชีวิตอยู่ถึงตอนบวชไม่ได้ ? เฉลยว่า บุคคล ที่เป็นพระอรหันต์ มีคุณอนันต์ และมีโทษมหันต์ บุคคลทำดีกับท่านแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นบุญมหาศาล แต่ขนาดเดียวกัน ถ้าเป็นบุคคลที่ไม่ทราบทำในสิ่งที่ล่วงเกินแม้เพียงเล็กน้อยก็จะเป็นโทษ มหันต์เหมือนกัน
               แบบเดียวกับนางขุชชุตตรา อริยสาวิกา อันนั้นแค่บอกเพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ว่า พระแม่เจ้าโปรดช่วยส่งกระเช้าแต่งตัวให้หม่อมฉันด้วย ภิกษุณีท่านเป็นพระอรหันต์ได้อภิญญา ท่านได้อะไรหมด ทะลุตลอดไปเลยว่า ถ้าเราไม่ส่งกระเช้าเครื่องแต่งตัวให้เธอจะโกรธ เธอโกรธพระอรหันต์เธอจะต้องลงอเวจีมหานรก แต่้ถ้าเราส่งกระเช้าให้เธอต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ เป็นคนใช้เขาดีกว่าตกนรก เลยหยิบกระเช้าให้ นั่นน่ะแค่นิดเดียว คุณอนันต์โทษมหันต์
               ดังนั้นบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ในลักษณะฆราวาส หลวงพ่อบอกว่าเท่าที่ท่านมีประสบการณ์มาตำรา เขียนไว้ว่าไม่เกิน ๗ วัน แต่ประสบการณ์ของท่านแล้ว ผู้ที่เป็นตอนกลางวันไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ตก ผู้ที่เป็นตอนกลางคืนไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน เพราะว่าถ้าอยู่ต่อจะเป็นโทษกับบุคคลอื่นมากก็ตัดตายซะ
              ฟัง ๆ ดูเหมือนไม่ยุติธรรม แต่ความจริงแล้วอันตรายมากเลย ไม่ต้องอะไรมาก เกิดคนรู้จักกันเดินผ่านมาบ้องหัวเล่นซักที เฮ้ย ! เพื่อนเป็นไงบ้าง...ซวยมั้ยล่ะ ? ตอนนั้นไม่ใช่เพื่อนแล้วนะนั่นน่ะ พระอริยะเ้จ้าขั้นสูงสุดแล้ว
               ขีณาสวะ ผู้สิ้นแล้วด้วยอาสวะ อีคราวนี้ของคนไทยเรานี่ บาลีสันสกฤต ว.แหวน กับ พ.พาน มันตัวเดียวกันไง ก็เลยเขียนเป็น สพ. อ่านเป็น ขีณาสพ ฟังดูแล้วเป็นไง อันตราย ถึงได้ว่า จ่าพัว แม่อ๋อย คุณหญิงเยาวมาลย์ ไปก็ไปเอาง่าย ๆ อีกรายคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ ที่จันทบุรีนั่นน่ะ ยังอยู่ในท่าไหว้พระเลยฟุบบนกับเตียง 
       ถาม :     ท่านไปยังไง...?
       ตอบ :    ไปยังงั้นแหละ คุณสมบูรณ์ หลังจากหลวงพ่อมรณภาพไม่นานท่านก็ไปด้วย ตอนที่คนไปพบน่ะ ท่านฟุบอยู่กับเตียงในท่าไหว้พระ ส่วนโยมจันทนา ท่านพิจารณาธรรมไปจุด ๆ หนึ่ง กำลังจิตบอกว่า ถ้าเธอหยุดอยู่แค่นี้จะอยู่ได้อีก ๑๒ ปี แต่ถ้าพิจารณาต่อจากนี้อีกสักหน่อยเดียวเธอจะเป็นพระอรหันต์แล้วตายเลยน่ะ ตามที่หลวงพ่อสัมภาษณ์มา ท่านพิจารณาดูแล้วว่า ๑๒ ปี กับตายเดี๋ยวนี้ อะไรมันจะดีไปกว่ากัน พิจารณาเสร็จเรียบร้อยไม่ต้องตอบก็ได้ ใช่มั๊ย ! ท่านว่าต่อเลย ถ้าขืนอยู่ก็ลำบากอีก ๑๒ ปี คนที่มีปัญญาถึงระดับนั้นแล้ว ทุกข์แม้แต่ละเอียดยิบนิดนึง ท่านก็เห็นชัดเจน ๑๒ ปี ชั่วโมงเดียวยังสุดจะทนเลย ท่านก็เลยไปมันซะ แล้วลูก ๆ หลวงพ่อที่ไปก่อนหน้าแล้ว พี่ ป้า น้า อา ของเราเยอะแยะแล้วตัวเราเองนี่ ก็นั่งรอไปเถอะว่า เมื่อไหร่จะได้ไปมั่ง
       ถาม :   แสดงว่าเราก็มีบุญอยู่บ้าง...ที่ได้เกิดมาใช่มั๊ยคะ ?
       ตอบ :     มีแหง ๆ แล้วอย่าลืมว่าคนเราเกิดมา ต้นทุนเก่าคือ ศีล ๕ มีอยู่แล้ว คนมีศีล ๕ ครบ จะเรียกว่าไม่มีบุญได้ยังไง บุญมหาศาลเสียด้วยซ้ำไป คราวนี้สำคัญตรงที่ว่าเกิดมาแล้วใช้บุญให้เป็น
       ถาม :   แล้วหนูใช้เป็นมั๊ยคะ ?
       ตอบ :     ยังเป็นอยู่ คือ ถ้าหากว่ายังอยู่ในศีลในธรรม ยังอยู่ภายใต้กฏหมายบ้านเมืองนี่ เรียกว่าใช้บุญเป็น อยู่ เราก็พยายามรักษากำลังใจของเราเอาไว้ ประคับประคองเอาไว้ เดี๋ยวผู้ใหญ่เขาเห็นใจเองน่ะอย่ารีบไปตอบโ้ต้ เก็บเขี้ยว เก็บเล็บใส่กระเป๋าไว้ก่อน ถ้ามันเหลือทนจริง ๆ แล้วค่อยอาละวาดให้มันกระเจิงทั้งแผนกไปเลย (หัวเราะ)
       ถาม :    แล้วอย่างนั้นจะมีประโยชน์เหรอ ?
       ตอบ :  มี เขาจะได้รู้ซะบ้างว่า เขี้ยวเล็บเราก็มี ไม่งั้นให้มันเราฝ่ายเดียว นี่แนะนำถูกมั๊ยเนี่ย ? (หัวเราะ) จำไว้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราได้ทั้งนั้น ทำถูกได้กำไรทำผิดได้บทเรียน
       ถาม :   ต้องขอบคุณเขาด้วยที่เขาสอนเรา
       ตอบ :     ใช่ ทำผิดเราก็ได้บทเรียนได้ทั้งคู่ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแก่เรา จำว่าไม่มีไม่ดี ดีทั้งนั้น แต่เราจะหาแง่ดีจากมันได้อย่างไรเท่านั้นเองสำคัญตรงที่เราหาให้ได้
       ถาม :    แล้วยังนี้คนอื่นจะเข้าใจ ?
       ตอบ :     จำไว้ว่า ถ้าสิ่งที่เราทำแล้วมั่นใจว่าถูกต้องไม่จำเป็นต้องไปแคร์กับกระแสสังคม เขาจะมองในแง่ไหนเขาจะพูดว่าอย่างไรเรื่องของเขา เราตั้งหน้าทำในสิ่งถูกต้องต่อไป แล้วหลังจากที่เราตั้งหน้าทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง คนอื่นเห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกจริง เดี๋ยวเขาคล้อยตามมาเอง แต่อย่าไปหวังคำ ขอโทษจากคนอื่น ๆ ไม่มีหรอก พวกนี้ พอถึงเวลามันรู้ว่าเราทำถูกตัวมันเองผิดมันก็ แหะ แหะ เงียบฉี่อย่างเก่งเจอหน้าก็ยิ้มแหย ๆ หน่อย
       ถาม :   แล้วคนที่แบบไม่เคยเจอหน้ากันอยู่ ๆ ก็โกรธเราไม่มีเหตุผลอย่างงี้คะ ?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันมีนะ มันอาจเจอเหมือนกันแต่ชาติโน้น ๆ ไม่ใช่ชาตินี้ สังเกตมั๊ย ! ว่า บางคนเราเจอหน้าก็ชอบเลย แต่ว่าบางคนแค่เจอหน้านี่ แหม ! เกลียดขึ้นมาทันที ไม่มีเหตุ ไม่มีผลเลยใช่มั้ย ?
       ถาม :    ทั้งที่เขาก็ไม่เป็นแบบนี้ง่าย ๆ กับคนอื่น
       ตอบ :     นั่นแหละ คือว่า คนที่เราเจอแล้วรักเลย ในอดีต ก็คือ คนที่เราเคยรักมาก่อน อาจเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นคนที่เรารัก เป็นครูบาอาจารย์ของเรา แต่ว่าคนที่เราเกลียดเลยนั้น สบายมากศัตรูเก่าแหงแหง.
       ถาม :    แสดงว่าปน ๆ กันอยู่ ?
       ตอบ :     ใช่ แต่เราอย่าไปเอาของเก่ามาปนกับของใหม่ อดีตมันผ่านมาแล้ว เราทำปัจจุบันให้ดีน่ะ ทำปัจจุบันให้ดี เดี๋ยวอนาคตมันดีเอง ถ้าจะเกิดใหม่ รับรองได้ว่าดีแน่ (หัวเราะ)
       ถาม :   หนูควรจะอยู่ในอาชีพเดิมต่อไปดีมั๊ยคะ ?
       ตอบ :     ถ้ายังไม่มีอะไรที่ดีกว่าตอนนี้ก็ทำของเดิมไปก่อน อย่าเป็นคนหลักลอย ยกเว้นว่าเราหาได้แน่ ๆ ว่าโอเค แล้วค่อยออกจากงานเก่า ไม่ใช่ว่าไปหวังน้ำบ่อหน้าทิ้งอันนี้เลยเดี๋ยวอดน้ำตาย
       ถาม :   แล้วที่ทำอยู่นี่ท่านว่าดีมั๊ยคะ ?
       ตอบ :     ท่านว่าดีมั๊ย  สำหรับพระถ้ามีงานทำก็ดีทั้งนั้นแหละ จะได้ไม่เป็นภาระแก่สังคม (หัวเราะ)
       ถาม :    แล้วจะดีกับชีวิตหนูมั๊ยคะ ? หรือว่าไง
       ตอบ :      เรื่องนี้มันอยู่ที่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถทำให้มันดีได้ เพราะฉะนั้น ถามว่างานอันนี้ดีมั้ย ? งานอันโน้นดีมั้ย ? ถ้าเราทำเป็น ปรับปรุงเป็น ทุกอย่างดีกับเราทั้งนั้น
       ถาม :   แต่มันปรับปรุงยาก บางคนก็ไม่อยากปรับปรุง
       ตอบ :    ช่างมัน เราเอาเฉพาะในสิ่งที่เรารับผิดชอบนะ สูงกว่านั้นต่ำกว่านั้น ไม่ต้องใส่ใจ ถ้าอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วก็ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีที่สุด ส่วนสูงขึ้นไปไม่ต้องไปสนใจจะประเภทที่เรียกว่า อยุติธรรมกับเราขนาดไหนก็ตาม ช่างมัน ! ทำมันให้ดีเองได้ไม่ต้องไปถามคนอื่นหรอก ว่ามันดีมั้ย ?
       ถาม :   เพราะว่าคนที่เขาไม่ชอบหนู บอกว่าไปอยู่้ที่อื่นดีกว่า
       ตอบ :  นั่นเขาว่า บางทีเขาอาจรอตำแหน่งของเราอยู่ก็ได้ ไล่ ๆ มันออกไปซะจะได้เป็นแทน เชื่อมันได้ยังไง (หัวเราะ) สิ่งที่เราว่าไม่ดี เพราะว่าเราคุ้นอยู่กับมัน ใช่มั้ย ? แต่คนอื่นเขาเห็นว่าดีจ้องเำ้ก้าอี้ของเราตาเป็นมันอยู่ก็ได้ อย่าลืมซิว่า ถ้าหากว่ายังมีคนอิจฉา มีคนรังเกียจอยู่ แสดงว่าเราต้องมีอะไรดีกว่าเขา (หัวเราะ) นี่สอนให้ติดสักกายทิฏฐิ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 03 กันยายน 2008, 20:04:13 »

http://grathonbook.net/book/3.5.html

ถาม :     พระองค์ที่ ๑๑ พอได้ไปแล้ว มีลาภอยู่เรื่อย ๆ 
       ตอบ :    เรื่องสมเด็จองค์ปฐม ตอนแรกคาดว่า น่าจะเป็นเรื่องของอำนาจ วาสนา ความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกอย่าง ความที่ว่าของท่านเองเป็นผู้สำเร็จเป็นองค์แรก คาดผิด หลวงพ่อสมเด็จ (สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ) ทำยังไงไม่รู้ กลายเป็นลาภมหาศาลเลย เมื่อวานนั่งอยู่นี่รับไปล้านสองกว่า ไม่เคยได้เยอะขนาดนี้เลย ปกติแล้วรายรับเดือน ๆ ยัง ๆ ก็ไม่ถึงล้าน เมื่อวานนี้นั่ง สิบโมงเช้าถึงบ่ายสอง บอกไม่ต้องทำงานไปครึ่งปีก็ได้ (หัวเราะ) มันประดังขึ้นมาจริง ๆ เมื่อวานนี่มันอาจเป็นเพราะว่าของเราอั้นไว้ ทำเสร็จแล้วยังไม่แจก...กลายเป็นอยากได้กัน
               เรื่องของสมเด็จคำข้าว ? สมเด็จหางหมาก เป็นเรื่องของลาภโดยตรง แต่ท่านมาลักษณะลาภไม่ขาดสาย แต่ว่าเรื่องของ สมเด็จองค์ปฐมกลายเป็นลาภฉับพลัน คนที่เอาไว้ส่วนใหญ่ ได้เงินกันทุกคนเลย บางคนมาเล่าให้ฟังว่า ถูกหวยเท่านั้น เท่านี้ อาตมาไม่รับรู้ (หัวเราะ) ปกติของเราถ้าพก สมเด็จองค์ปฐม ติดตัวไปไหนก็ไม่กลัวใครแล้ว งานนี้กลายเป็นเรื่องลาภไปได้ กลายเป็นลาภประเภทฉับพลันทันทีเสียด้วยแปลกใจมากเลย ก็แล้วแต่ท่านจะเมตตาแล้วกัน
               คุณสุดเฉลียว มาขอขมาพระ คือเขาเองน่ะ...อยู่ ๆ มีพระมาบิณฑบาตรที่หน้าบ้าน แล้วตัวเองก็กินข้าวไปแล้ว กับข้าวก็ไม่มี เหลือปลาทูที่กินไปครึ่งนึง เลยไม่กล้าใส่บาตรเพราะว่าของตัวเองกินแล้ว ก็ไปบอกพระว่าหนูเป็นคริสต์ค่ะ (หัวเราะ) พระท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็หันกลับ ปรากฏว่าพอหันกลับ คุณสุดเฉลียวนึกขึ้นมาได้ว่า อาหารถึงมันจะกินแล้วก็ยังถวายได้ ออกไปดูก็ไม่มี ถามใคร ๆ ก็ไม่มีใครเห็น ท่านสูงมากสูงชนิดหัวชนเพดานแน่ะ ! ไม่ได้สังเกต คือตอนนั้นไม่ได้เฉลียวใจ ออกไปไม่มีใครรู้ แล้วตัวเองอยู่ห้องแถวห้องที่สามหัวแถว ? ท้ายแถว อีกแปดห้องไม่มีใครเห็นสักคนหนึ่ง แต่ว่าตอนที่คนมาเรียกตรงหน้าบ้านคนอื่นเห็น คนนั้นคนเดียว ไม่เห็นพระกว่าจะเฉลียวใจก็ไม่ทันซะแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทำอะไรมันก็ติดมันก็ขัดจนหมดนี่ ก็เลยตั้งใจมาขอขมา
               ท่านขาดเฉลียวใจไปนิดนึง อันดับแรกพระมาบิณฑบาตรตั้งเกือบเที่ยงแล้ว ก็น่าสงสัยอยู่แล้ว แล้วบิณฑบาตรลักษณะนั้นส่วนใหญ่เขาจะเอาสตางค์กัน แต่รายนี้ขออาหารจริง ๆ นะ ประการที่สองความสูงระดับนั้น หาไม่ได้ง่าย ๆ นะ ต้องคนโบราณจริง ๆ ใช่มั๊ย ! ประเภทหัวสูงเกือบจะค้ำฝ้า บุญมี แต่บังเอิญบุญใหญ่กว่านั้นบังเอาไว้ก็ไม่รู้จะว่ายังไง เขาก็เลยบอกว่ายิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ขอขมาพระดีกว่าว่างั้น คนประเภทนี้เราต้องเต็มใจสงเคราะห์ช่วยเหลือ เพราะว่าเขาเองไม่มีที่พึ่งจริง ๆ บางคนจะไปด่าว่า น่าเบื่อ น่ารำคาญ คิดอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด
       ถาม :  อย่างกรณีที่มีคนเห็นพวกนักรบนี่ครับ นักรบพม่า นักรบไทย มาโบกไม้โบกมือตอนที่เรากลับกัน ที่กาญจนบุรีเราเห็นได้ยังไงครับ ?
       ตอบ :     พวกบรรดาสิ่งที่ผ่านมาแล้วนะ ถ้าหากว่าเรามีความเป็นทิพย์ที่เรียกว่าทิพจักขุญาณ ใช้ย้อนอดีตไปดู ก็สามารถรู้ได้ ที่เขาเรียกว่าอตีตังสญาณอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือว่า เขาเหล่านั้นเคยมีกรรมบางอย่างเนื่องกับเรามา เราอาจเป็นพวก อาจเป็นพ้อง หรือเคยร่วมสมรภูมินั้นมา เขาจะไม่รอให้เราใช้ทิพจักขุญาณ แต่จะเป็นฝ่ายปรับมาหาเราเอง เรากับเขาอยู่กันคนละมิติกัน เรียกอย่างนั้นดีกว่า มันฟังง่ายดี เขาต้องปรับคลื่นเพื่อให้ตรงกับคลื่นของเรา ถ้าเราใช้เอเอ็มอยู่ เขาก็ต้องปรับมาเอเอ็มกับเราน่ะ
       ถาม :    ทหารพวกนั้นยังไม่เกิดใช่มั๊ย ?
       ตอบ :    เวลาของเขามันแค่นิดเดียว ๕๐ ปีของเราเท่ากับของเขาแค่วันเดียว
       ถาม :    ๕๐ ปี ของเรา เท่ากับเขาวันเดียว ?
       ตอบ :     อือ  ก็คิดดูว่ากี่วัน ไปเจอที่ไหนล่ะ ?
       ถาม :    เห็นกันทั้งคันเลยครับ จะมืดอยู่แล้ว
       ตอบ :    ที่ไหน ?
       ถาม :   กาญจนบุรี
       ตอบ :  กาญจนบุรีตอนอาตมาอยู่ที่นั่นก็เจอวันดีคืนดีก็จะมีประเภทกองทัพประจัญบาน เสียงโห่ เสียงแห่ เสียงช้างม้า อาวุธกระทบกัน สนั่นหวั่นไหวไปหมดเลย แต่ได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัว แล้วบางทีทหารที่เข้าเวรก็วิ่งตาเหลือกตาปลิ้นเข้ามาเลย บอกว่ามีคนแต่งตัวนักรบโบราณสะพายดาบ เขาเองน่ะหลับยาม พวกกระโดจากหลังคา พาอาวุธมาฟันซะจมเลย ประเภทหวดทีเดียวดาบจมทั้งอันเลย เขาเองก็คิดว่ากูตายแน่ตกใจก็วิ่งเลย ความจริงเขามาปลุกไม่ให้หลับเวร ยังมีสภาพนั้นอยู่บ่อย ๆ เพราะว่าพื้นที่ของกองพลที่ ๙ ค่ายสุรสีห์ ตอนนั้นเค้าใช้ชื่อค่ายกาญจนบุรี มันเป็นพื้นที่รบเก่าอยู่ สมัยสงครามเก้าทัพลงตรงนั้นห้าทัพ
       ถาม :    พระนเรศวรนี่เสียชีวิตแล้ว ตอนนี้มาเกิดแล้วใช่มั๊ยครับ ?
       ตอบ :    ก็ต้องเรียกว่า เกิดจนจะตายอยู่แล้ว (หัวเราะ)
       ถาม :    ประชาชนที่มาสักการะพระรูปพระนเรศวรนี่ ?
       ตอบ :   ยังมีผลอยู่ บุคคลสำคัญเป็นที่เคารพนับถือของคน ถ้าหากว่าท่านไปเกิดในภพภูมิใหม่แล้วจะมีเทวดา หรือว่าพรหมที่มีอานุภาพใกล้เคียงกันรับหน้าที่นั้นแทน ท่านจะรับหน้าที่แทน แต่ว่าจริง ๆ แล้วท่านเป็นองค์แทนไม่ใช่องค์จริง ถ้าหากว่าองค์จริงกลับไปสู่ลักษณะนั้นอีกที ก็รับงานตัวเองคืนไป
       ถาม :    หมายความว่า อย่างสมเด็จเตี่ย มีรูปทั้งหมดหลายแห่ง ก็แสดงว่าต้องมีเทวดา ?
       ตอบ :     ไม่ใช่องค์เดียว ถ้าหากว่าสมเด็จเตี่ยนี่ท่านยังอยู่ ท่านก็รับภาระหน้าที่ของท่าน แต่ว่าเสด็จพ่อ ร.๕ ก่อนหน้านี้ก็ ท่านท้าวสัจจพรหมรับ เทวดาหรือพรหมท่านมีความเป็นทิพย์ ท่านสามารถแยกเป็นพัน ๆ แ่ห่งได้ในพริบตาเดียว
       ถาม :   อ้อ ! แบ่งร่าง
       ตอบ :    สามารถแบ่งร่างไปได้แบ่งความเป็นทิพย์ไปได้ สามารถที่จะสงเคราะห์ได้ทุกที่พร้อม ๆ กัน 
        ถาม :      เคยนั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกว่ามีเงาดำผ่านไปด้านซ้ายแล้วมาจดที่จมูกแล้วเราก็ตกใจสะดุ้งนิดหนึ่ง มันคืออะไรครับ ?
       ตอบ :      กลัวดี
       ถาม :    อะไรนะครับ ?
       ตอบ :     กลัวดี (หัวเราะ)  ตอนที่กำลังใจของเราเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ มันสามารถรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ คราวนี้ของเราไปตกใจ ต่อไปถ้าหากว่าเกิดอาการอย่างนั้นอีก สักแต่ว่าให้รับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปให้ความสนใจ หรืออย่าไปกลัวนะ แล้วถึงเวลาถ้าหากว่ายังไม่หายไปไหน ยังอยู่จริง ๆ กำหนดใจถามไปเลยว่าเป็นใคร ต้องการอะไร แล้วจะได้รับคำตอบ
       ถาม :     ผมเคยถามพระอีกองค์หนึ่ง บอกว่า คือ ตัวผมเอง
       ตอบ :    ตอบดีมากเลย ในระหว่างที่ใจเป็นทิพย์ มันสามารถรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ ถ้าตัวเรามันต้องอยู่ข้างใน ยกเว้นเรากำหนดให้ออกไปข้างนอก
       ถาม :    แต่มีความรู้สึกว่า ตัวผมนั่งดูเงาดำนั่น ไม่ใช่เงาดำนั่นดูตัุวผม ไม่ใช่
       ตอบ :  มันใช่ของท่าน ไม่ใช่ของอาตมา คือถ้าท่านนั้นบอกว่า ตัวของเรา ก็ใช่ของท่าน แต่ไม่ใช่ของเรา (หัวเราะ) ฟังยากมั๊ย ! คือท่านว่าใช่ก็เรื่องของท่านเหอะ แต่เรารู้ว่าไม่ใช่ก็แล้วกันไป ต่อไปกำหนดใจให้รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าเขามา ถ้าหากว่ายังไม่หายไป ก็กำหนดใจถามว่าต้องการอะไร หรือเป็นใคร มาจากไหนจะได้รับคำตอบเอง
       ถาม :    ตอนนี้ไม่มาแล้ว
       ตอบ :     เขามาเฉพาะตอนนั่งนี่ บางทีเราอาจะอยู่ในบริเวณเขตของเขา พอถึงเวลาอาจติดต่้อได้ ก็เลยโผล่มา ถ้าเราพ้นเขตเขาไป ก็ไม่ยุ่งด้วยแล้ว
       ถาม :    คำว่าพ้นเขตนี่ไม่ได้หมายความว่า
       ตอบ :      คือไม่ได้อยู่ในบริเวณที่เป็นพื้นที่ของเขาน่ะ
       ถาม :    ปกติก็นั่งอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว
       ตอบ :    ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูใหม่  ถ้ากำลังใจมันตกตรงจุดนั้นมันก็ได้อีก ให้ระวังไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราต้องการจะรู้จะเห็น จะทำให้รู้เห็นลำบากเพราะว่าตัวอยากมันบังหน้า ให้เรากำหนดใจว่าต้องการรู้เห็นเรื่องอะไรแล้วลืิมความต้องการนั้นไปเลย มีหน้าที่ภาวนาอย่า่งเดียว ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาอย่างเดียว จะเห็นหรือไม่เห็น เรื่องของมัน อย่างนี้จะเห็นได้เร็ว แต่ว่าถ้าหากว่าเราไปตั้งใจว่า จะเห็น จะเห็นมันไม่ค่อยได้เห็นหรอก
       ถาม :     คือตั้งจิตว่าอยากจะเห็นอะไร ก่อนที่นั่ง ใช่มั๊ยครับ ?
       ตอบ :      ใช่ เสร็จแล้วลืมความต้องการนั้นซะ แล้วก็นั่งภาวนาของเราไป
       ถาม :    ภาวนาพุทโธอะไรก็ได้ใช่มั๊ยครับ ?
       ตอบ :     แล้วแต่ที่คุณถนัด คราวที่แล้วทำยังไงแล้วเห็น คราวนี้ก็ว่ายังงั้น
       ถาม :    ที่ทำอยู่ก็คือ หายใจเข้า หายใจออก ในกรณีที่เรานั่งแล้ว รู้สึกว่าเราวิ่งฝ่าพายุ ตรงนี้มีอะไร ?
       ตอบ :    เป็นอาการปกติ เพราะิสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันเกิดขึ้นมาเสมอ ๆ สำหรับนักปฏิบัติ เรารับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปสนใจ โดยเฉพาะอย่าไปกลัวมัน จำไว้เลยว่า ความกลัวทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเกิดจากเรากลัวตาย อาตมาเคยถามใจตัวเองมาเยอะต่อเยอะแล้ว กลัวงูมันกัด กัดแล้วเป็นยังไง ตาย ! กลัวเสือมันกัด กัดแล้วเป็นไงตาย ! กลัวผีหลอก ผีมันหักคอ หักคอแล้วเป็นไง ตาย ! สรุปแล้วมันกลัวตายทั้งหมด นักปฏิบัติที่ดี ถ้ายังกลัวตาย คือว่ายังยึด ร่างกายอยู่เอาเอาดีได้ยาก เพราะฉะนั้นเราสักแต่ว่ารับรู้ไว้เฉย ๆ ว่า อาการอย่างนั้นมันเกิดขึ้น
       ถาม :    เวลาที่ไปไหว้พระขอบารมีก็อย่าได้เที่ยวซี้ซั้วไปขอเหรอครับ ?
       ตอบ :     เรื่องที่ท่านจะช่วยเราได้มันต้องไม่มากเกินไป เราขาดแค่นี้ท่านช่วยได้ แต่ถ้าเราขาดแค่นี้ (ทำท่าให้ดู) ท่านก็ช่วยไม่ได้ต้องวางเฉยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไม่มีเหตุเพียงพอ ผลนั้นก็ไม่เกิดแก่เรา เราต้องสร้างต้นเหตุของเราให้ดีพอด้วย ขาดนิดหน่อยพอช่วยได้ ขาดมากเกินไปใครจะช่วยไหวเล่า เป็นคุณจะควักช่วยเขาสัก ๕๐ ล้านไหมล่ะ ?
              สมัยนั้น หลวงพ่อท่านบอกว่าแกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้เยอะ เศษกรรมของปาณาติบาตจะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยปลาที่เขาขายเพื่อเอาไปฆ่า อย่างน้อยเดือนละตัว จะได้บรรเทาไปได้ก็กราบเรียนท่านว่าการปล่อยปลามันเป็นการต่ออายุไม่ใช่หรือครับ ? ผมไม่อยากอายุยืน แล้วจะไปปล่อยทำไม
               ท่านบอกว่า แกเข้าใจผิดแล้ว การปล่อยปลาจะอายุยืนหรือต่ออายุได้ก็ตอนที่มีอุปฆาตกรรมเข้ามาถึง ถ้าอุปฆาตกรรมเข้ามาถึงตอนนั้นล่ะ ปล่อยปลาจะเป็นการต่ออายุ แต่ถ้าไม่ใช่อุปฆาตกรรมมา เราปล่อยให้เขามีชีวิตรอด ให้ไปเป็นอยู่อย่างสะดวกอย่างสบายต่อไปเราทำอะไรก็สะดวกคล่องตัวไปหมด แล้วมันจะตัดกรรมปาณาติบาตเก่าที่ตามมาทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยน้อยลงได้ด้วย นี่ขนาดลดแล้วนะ ถ้าเต็ม ๆ ของมันยังไม่รู้เลยว่าเท่าไหร่

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 06 กันยายน 2008, 19:16:19 »

http://grathonbook.net/book/3.6.html

ถาม :      หนูเห็นท่านแม่เป็นนักรบด้วยค่ะ
       ตอบ :    เห็นท่านแม่เป็นนักรบน่ะมันอาชีพของแม่เลย ยังไม่รู้ว่า่ท่านแม่น่ะฝีมือระดับไหน ท่านยิงธนูทีเดียว ๓ ดอก แล้วแต่ละดอกแยกเป้าได้ด้วย (โอ้โห) ๓ ดอก ๓ เป้าหมาย ยิงได้นะแค่บังคับด้วยนิ้วแค่นั้นเองน่ะ บังคับด้วยนิ้วมันจะแยกไปคนละเป้าที่ต้องการได้เลยแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ชำนาญมากที่สุดก็คือซัดหอกด้วยเท้า ข้าศึกระวังไม่ทันหรอก ฟันกันอยู่ดี ๆ หอกโผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ล่ะ หอกซัดนี่เขาจะเสียบไว้ที่ข้าง ๆ ของม้าใช้เท้าคีบซัดขึ้นไป กำลังข้อขนาดไหนนึกเอาก็แล้วกัน ตอนก่อนนี้ หลวงพ่อท่านปรารภว่าจะสร้างรูปท่านแม่ ๓ องค์ ขณะที่ออกศึกให้อาจารย์ที่กรมศิลปากรไปออกแบบไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาหมดปัญญาหรือไง มันเงียบไปเฉย ๆ จะสร้างในลักษณะขี่้ม้าออกศึกแต่ละองค์ให้ใช้อาวุธที่ท่านถนัด
       ถาม :    นี่ขนาดว่าเราควบคุมสติได้นะเจ้าคะ แต่ว่ามือมันไปเอง
       ตอบ :    ครั้งแรกที่ฉลองพระเจ้าพรหมมหาราชไง พอหลวงพ่อท่านบวงสรวงเสร็จก็บอกผู้การศรีพันธ์ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้ติดนายพล ก็ยังเป็นพันเอกอยู่ บอก แดง...เอาธงไทยวิ่งรอบอนุสาวรีย์สัก ๓ รอบวะ โห่ไปด้วย 
               ปรากฏว่าพอพี่แดงเขาคว้าธงออกวิ่งปั๊บ ไอ้ของเราเหมือนกับมีใครฉุดไปเลย มันตามเขาไปเลย ของเราอยู่ในพิธีเราก็ถอดรองเท้า แต่พี่แดงแกทหารแกเล่นไอ้โอ๊บแกเหยียบตีนเรา (หัวเราะ) มันวิ่งคู่ ๆ กันไป นี่พวกก็ตามหลังกันเป็นพรวน ไอ้เราก็เอ๊ะ...นี่ไม่ใช่ความต้องการของเรานี่หว่า เราก็ปล่อยมือชิ่งตัวออกมา ขนาดชิ่งตัวออกมานี่รู้สึกเลยนะว่ามีกำลังดึงเรากลับ แต่ของเรากำลังเราแข็งพอเราแยกออกมาได้ พี่แดงน่ะถ้าแยกแกแยกออกมาได้แต่ว่าเป็นคำสั่งของหลวงวพ่อก็เลยต้องทำ หน้าที่วิ่งต่อ คนอื่นที่กำลังอ่อน ๆ ไม่มีใครแยกออกสักคนไปกันทั้งพรวนเลย
       ถาม :    หนูก็พยายามบอกตัวเองให้แยกให้ออก อายเขา ๆ 
       ตอบ :    ไม่ได้หรอก ถึงเวลามันไปเอง แล้วงานนั้นน่ะได้เลือดไม่น่าเชื่อ เสาข้างรั้วข้างพระจุฬามณีน่ะ จะเห็นว่ามันเป็นเหล็กสี่เหลี่ยมน่ะนะมันบาดได้ บาดส้นเท้านี่เว่อเลย แล้วพอรุ่งขึ้นหลวงพ่อสั่งช่างปิดทอง ถามว่าทำไม ท่านบอกว่าสีดำเป็นสีขณะออกศึกต้องมีเลือดเซ่น โธ่...เล่นเอาตูไปเซ่น (หัวเราะ) ท่านบอกว่าให้ปิดทองซะ ถ้าปิดทองนี่เป็น ตอนบวชจะได้เบาลง ของเรานี่โดนเซ่นซะส้นเท้้าเว่อเลย ถ้าบาดที่อื่นยังพอไหวยังไง ๆ ก็ไม่ได้กินเราแน่ล่ะ ท่านเล่นนอกข้อนี่ หลวงพ่อท่านบอกว่านอกข้อออกไปนี่กันไม่ได้
       ถาม :    จริง ๆ แล้วลักษณะอย่างนี้พวกเทวดามิจฉาทิฏฐิ สามารถมาทรงเราได้ไหมคะ ?
       ตอบ :    สามารถจะทำได้แต่ทว่าขณะเดียวกันว่าไอ้เรื่องอย่างเนี้ย มันจะต้องมีกรรมเนื่องกันมาจริง ๆ  ถ้าไม่มีกรรมที่เนื่องกันมาถ้าเราบอกว่า ?ไม่? ท่านทำอะไรไม่ได้ เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกามารยาทของท่านมีอยู่ ขนาด ว่าเป็นร่างทรงประจำของเทวดาองค์นี้แต่ถ้าผีมันมาแทรกก่อน เทวดาท่านก็ไม่ลงท่านถือว่าคนมาก่อนเป็นสิทธิ์ของเขา เขามีมารยาทขนาดนั้น
       ถาม :    ถ้าอย่างนี้เราก็จับสมเด็จองค์ปฐมตลอดเวลาแล้วทำไมออกมารำได้ยังไงคะ ?
       ตอบ :   ไ้อ้นั่นมันสันดานเดิม มันไปเอง ความเคยชิน ภาษาวัยรุ่น เขาเีรียกว่านิสัยถาวร ไม่มีใครละนิสัยถาวรของตัวเองได้ นอกจากพระพุทธเจ้า ตัวอย่างก็คือ พระสารีบุตรน่ะ นั่นพระอัครสาวกเบื้องขวาใน พระสงฆ์ทั้งหมดถือว่าใหญ่ที่สุดแล้วนะ แต่ถึงเวลาที่ ๆ คนอื่นเดินข้ามท่า่นกระโดดเฉย พระพุทธเจ้าบอกว่าท่านเกิดเป็นลิงมาหลายชาตินิสัยเก่ามันติดมา
       ถาม :   ผมเคยไปวัดเเขาสมโภชน์น่ะครับ พอดีผมไปหลวงพ่อคงจับผมฝึกน่ะครับ
       ตอบ :    เป็นไงออกอาการเหมือนเขาไหม
       ถาม :    ก็ออกนะครับ สัญชาตญาณก็คือทหาร คือเป็นทหารมาหลายชาติ
       ตอบ :     ท่านบอกแล้วว่าทำตามวิธีของท่านนี่ ไอ้กฏของกรรมเก่าเป็นยังไงมันออกมาหมดแหละ เคยทำอะไรไว้มันก็ทำอย่างนั้น
       ถาม :     พูดไม่ออกเลยครับ
       ตอบ :     มันตื้อขึ้นมา คอหอยมันตันหมด ดีไม่ดีน้ำตามันไหลเอาเฉย ๆ (นี่ก็ไหลครับ)
       ถาม :     ท่านสงเคราะห์ให้เรารู้ว่าเราเคยทำอะไรคะ
       ตอบ :    ท่านสงเคราะห์ให้เรารู้ว่าเอ็งทุกข์มาเยอะแล้วต่อไป อย่าเกิดอีกเลย (หัวเราะ) เอ๊ะ ตีความคนละอย่างแฮะ จะ ได้รู้เอาไว้ว่าแต่ละชาติที่เราเกิดมามันทุกข์ยากขนาดไหน ต้องเอาเลือดทาแผ่นดินต้องรักษาผืนแผ่นดินนี้เอาไว้เจ็บตายมาตั้งหลายต่อ หลายชาติจนป่านนี้ ก็ยังทุกข์อยู่ควรจะดิ้นรนหนีมันได้หรือยัง ? เป็นนักรบมาทุกชาิติ ชาตินี้ก็รบให้หนัก รบกับกิเลส ใช่ไหม เป็นนักรบของอาณาจักรมาเยอะแล้วตอนนี้ก็เป็นนักรบของพุทธจักรบ้าง 
               พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ?ธรรมเสนา? คือ เป็นทหารของกองทัพธรรม เป็นมาทุกชาิติก็เป็นมันซะอีกชาติหนึ่ง แต่เปลี่ยนมาเป็นทหารของกองทัพธรรมแทน รบกับกิเลสคราวนี้ของใครของมัน รบไม่เยอะหรอก ไม่ต้องรบเพื่อคนอื่นรบเพื่อตัวเองก็พอ
       ถาม :     เวลาเรารบกับกิเลสเราต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันหรือคะ ?
       ตอบ :    ก็อย่างนั้นแหละ ตายเป็นตาย ถ้าหากมันไม่ตายเราก็ตาย ต้องอย่างนั้นเลย ถ้าไม่เด็ดขาดขนาดนั้นกินมันยาก ไอ้พวกนี้ลูกอ้อนมันเยอะ ไอ้กิเลสนี่มันอ้อนสะเด็ดยาดเลย ไอ้ประเภทอย่าเพิ่งเลยน่า...อยู่กันก่อนอีกนิดเหอะ
       ถาม :    การที่เราจะปฏิบัติให้มั่นคงหรือเฉียบขาดแสดงว่าต้องมีสัจจะ เด็ดเดี่ยวมั่นคงใช่ไหมคะ ?
       ตอบ :     คือบารมีทั้ง ๑๐ ตัวต้องมีครบถ้วน ตัวใดตัวหนึ่งถ้านำหน้าอีก ๙ ตัวตามมาหมด เพราะเรื่องของสัจจะบารมีก็ ดูได้เลย พวกนี้พูดคำไหนเป็นคำนั้น นัดใครตรงเวลาเป๊ะไม่เคยพลาดหรอกมีแต่ก่อนไม่มีหลัง ไอ้คนนัดแล้วผิดเวลานี่สัจจะบารมีพร่องแน่ ๆ เลย
       ถาม :    แล้วคนบำเพ็ญสัจจะบารมีเนี่ยสามารถที่จะว่าใคร ก็เป็นวาจาสัตย์ใช่ไหมครับ ?
       ตอบ :     ถ้าหากว่าทรงตัวจริง นี่มันเหมือนยังกับพระร่วงน่ะ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์พูดอะไรเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้วคนที่ำทำถึงระดับนั้นแล้ว ต้องถนอมปากถนอมคำ ไม่อย่างนั้นยุ่ง 
       ถาม :   ประวัติพระร่วงเป็นยังไงครับ ?
       ตอบ :    ประวัติพระร่วงเป็นยังไง ? เกิด แก่ เจ็บ ตาย จบ (หัวเราะ) อ้าว กินความครบเลยใช่ไหม ?
       ถาม :     ว้า อย่างนี้ถ้าเกิดถามประวัติท่านแม่ศรีก็ตอบอย่างนี้สิคะ ?
       ตอบ :   (หัวเราะ) เรื่องที่เลยมาแล้วตามคิดถึงไม่มี ประโยชน์ ยกเว้นอย่างเดียวคือดูไว้เป็นบทเรียนของเรา แต่ละชาติแต่ละภพเกิดมา รวยที่สุดก็รวยแล้ว จนที่สุดก็จนแล้ว มีอำนาจมากที่สุดก็มีแล้ว ด้อยวาสนาที่สุดถึงขนาดที่เป็นขอทานอดตายข้างทางก็มีแล้ว แล้วแต่ละชาติมีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ปัจุบันของเราชาตินี้ เราเกิดอยู่เราก็ทุกข์อีก อนาคตข้างหน้าเกิดใหม่ก็ทุกข์ต่อไป ควรจะตัดสาเหตุของมันได้สักทีหรือยังล่ะ ?
       ถาม :     เวลาที่เราไปปล่อยปลาแล้วคนเขาไปเก็บของเรามาขายต่ออย่างนี้ล่ะครับ ?
       ตอบ :    เราปล่อยบุญเป็นของเราแล้ว อานิสงส์เป็นของเราแล้ว ไอ้คนตามเก็บมันกำลังก่อเวรใหม่ ปล่อยมันเถอะ ถ้าเกิดว่าห้ามปรามได้ก็เมตตาห้ามปราม แต่ถ้าห้ามไม่อยู่จริง ๆ ก็ปล่อยวาง มันอยากลงขุมไหนปล่อยมันไป
       ถาม :     ลูกสวดมนต์ทุกวัน ทำไมใจมันไม่เห็นจะสบายเลยเจ้าคะ ?
       ตอบ :    เราเองสวดจริง ๆ หรือเปล่าล่ะ ปากมันสวดแล้ว ใจนึกอะไรอยู่ ?
       ถาม :    คือ หนูมักจะเศร้าหมองอยู่น่ะเจ้าค่ะ
       ตอบ :   นั่นแหละ มันตั้งอารมณ์ผิด อารมณ์ใจขณะที่สวดมนต์ อารมณ์ใจต้องอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ เราว่านะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ คำแปลก็คือ ข้าพเจ้าขอนอบน้อม ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กายเราน้อมตามวาจา จิตของเราน้อมตามวาจาไปหรือเปล่า ? พุทธัง สรณังคัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มันยึดจริง ๆ หรือเปล่า ? หรือว่ายึดแต่ปาก ?
       ถาม :    แต่พอทำถึงตอนหนึ่งมันชอบร้องไห้
       ตอบ :    อย่างนั้นก็จงร้องต่อไป ถ้ามันอยากร้องปล่อยมันร้องให้เต็มที่ไปทีเดียว นะ บางทีมันเป็นตัวปีติของขุทกาปีติมัน ถ้าหากเราไปห้ามเอาไว้ทำถึงตรงนั้นเมื่อไหร่มันก็ร้องเมื่อนั้น อาจจะไม่ใช่ตัวเศร้าหมองอะไรหรอก มันอาจจะเป็นตัวปีติ ลองซัดให้มันเต็มที่สักทีสิ ปิดห้องให้ดีก่อน เดี๋ยวคนเขาตกใจ เตรียมทิชชุไว้สักกล่องหนึ่ง ปล่อยให้มันเต็มที่สักทีเดี๋ยวมันเลิกไปเลย อย่าให้ขายหน้าแบบอาตมาแล้วกันดันไปร้องกลางบ้านสายลม คนเป็นพัน อารมณ์ใจมันขึ้นอีตอนนั้นพอดีน่ะ ตั้งใจจะกลั้นเอาไว้ คิวด่ากลั้นได้แน่ไม่เป็นไร
               ปรากฏว่าพอตั้งท่าจะกลั้น หลวงพ่อท่านบอกว่า ปล่อยมันเต็มที่ไปเลยลูก ถ้าไปกลั้นเอาไว้ถึงตรงนี้มันก็เป็นอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ซัดมันแตั้งแต่เช้ายันบ่ายสี่โมง เช็ดหน้าจนแสบไปหมดน่ะ วันนั้นหน้าคงบางไปเยอะเลย ปกติเป็นคนหน้าหนามาก (หัวเราะ)
       ถาม :     แล้วอาการอย่างนี้จะเกิดขึ้นนานหรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :   แล้วแต่บางคน อย่างอุเพ็งคาปีติของอาตมาโดนเกือบ ๓ เดือน มันหกคะเมนตีลังกาโลดโผนของมันไปเรื่อยน่ะ มันจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับคน ตัวที่เกิดนานก็มีอุเพ็งคาปีติกับโอกกันติกาปีติ หกคะเมนตีลังกาไปลอยไปอะไรไปมันว่าของมันไปเดือน ๆ กว่ามันจะเลิก แต่ตัวอื่น ๆ มันป๊อบแป๊บ ๆ มันก็ผ่านได้แล้ว ตัวผรณาปีติตัวสุดท้าย มันเกิดขึ้นพร้อมกับอุเพ็งคาปีติ 
               ตอนนั้นโดนหลวงพี่โอท่านแกล้ง นอนเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อท่านอยู่ เป็นพระองค์เดียวที่เฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อด้วยวิธีนอน นอนภาวนา ตีโปงอยู่ หลวงพี่โอมา ถึงท่านก็เอานิ้วจิ้มหัว แหมท่านนี่เอาแต่ภาวนาจังเลยนี่ พอท่านจิ้มปั๊บตัวมันลอยพั่บขึ้นมา ไอ้ของเราใจมันก็ยั้งปุ๊บเลยว่า เฮ้ย ไม่ได้ เดี๋ยวคนเขาแตกตื่นกันทั้งวัดหรอก มันลอยพ้นพื้นขนาดมือสอดได้ แต่เราเอาจีวรตีโปงอยู่ พี่โอเขาเลยไม่ได้สังเกต ใช่ไหม ทีนี้มันเกิดอาการว่า เหมือนกับตรงที่ท่านจิ้มนี่หัวเราเป็นรู แล้วมันมีของไหลจากข้างในออกมาซู่ เหมือนยังกับลมมันออกน่ะ พอมันไหล ๆๆ ออก มันเหมือนกับว่ามันออกไม่ทันใจมันก็ออกซ้ายออกขวา ออกหน้าออกหลัง ทั้งตัวพรุนเป็นฝักบัวไปเลย มันไหลซู่ซ่า ๆ ของมันอยู่ตลอด ไอ้เราก็ดู เออ...ไอ้ตัวนี้มันตัวปีติ 
               หลวงพ่อเคยบอกไว้แล้วอาการแบบนี้ ไม่กลัวมันหรอก ก็กำหนดใจรู้ไว้เฉย ๆ มันเป็นของมันอยู่พักใหญ่เกือบชั่วโมง มันก็แปะลงกับพื้นของมันตามเดิม หมดลม แฟบ (หัวเราะ) นั่นล่ะ เต็มที่ทีเดียวจบ
       ถาม :    ต้องเกิดทุกคนเลยเหรอครับ ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าวิสัยพุทธภูมิมาก่อนนี่จะพบทุกตัว ถ้าไม่ใช่วิสัย บางทีก็เป็นแค่อย่างสองอย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง คนที่ปรารถนาพุทธภูมิคือ จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าไปสอนเขา ถ้ารู้ไม่ครบมันสอนลูกศิษย์ไม่ได้ต้องเจอให้ครบ
               ตัวที่อยากเตือนก็คือว่า เราได้ฌานได้สมาบัติแล้วจะพ้นปีติน่ะไม่ใช่หรอก ถ้ามันจะเจอตัวใหม่กำลังมันจะลดลงไปเจอเอง อยู่ ๆ มันลดพรวดลงไปเหลือ แค่ปีติน่ะ แล้วมันก็เป็นปีติตัวใหม่ขึ้นมาเลย สังเกตมาตั้งแต่ครั้งแรก ๆ เป็นอย่างนี้ทุกที พอข้ามปีติเป็นสุขมันก็เป็นฌานไปเลยใช่ไหม ? แต่คราวนี้อยู่ ๆ กำลังมันถอยลงมาเจอตัวใหม่เอง ไม่ได้อยากจะเป็นเลย พอเราเข้าฌานคล่องถึงเวลา ก็โดดปั๊บไปเลย โดดปั๊บไปเลยมันข้ามขั้นไปเลยไง นี่มันถอยของมันมาเองบังคับมันก็ไม่ไ้ด้ มันอยากจะเป็น
       ถาม :     แล้วที่บอกว่าคนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องมีใจรักพระนิพพาน นี่หมายถึงว่าเขาจะต้องทำยังไงหรือไม่ ?
       ตอบ :    รู้มากกว่าเราหลายเท่า
       ถาม :    จำเป็นจะต้องไปเจอหรือ ?
       ตอบ :    พระโพธิสัตว์ตั้งแต่อุปบารมีตอนปลายนี่ท่านไปนิพพานเป็นปกติ ไปสำรวจมันซะทุกซอกทุกมุม ไม่งั้นบอกลูกศิษย์ไม่ถูก
       ถาม :     แล้วคนที่บอกว่าไม่เคยไปพระนิพพานแต่บอกว่าปรารถนาพุทธภูมินี่ ?
       ตอบ :   ยังห่างลิบเลยจ๊ะ (หัวเราะ) ปรารถนาพระโพธิญานแล้วยังไม่เคยไปพระนิพพานนี่ยังห่างลิบเลย อย่าเพิ่งท้อ สมัยนี้เครื่องทุ่นแรงเยอะ (หัวเราะ)
       ถาม :    เด็กที่บ้านหนูน่ะค่ะ เขาชอบทำความสะอาดพระพุทธรูป
       ตอบ :  ทำไปเถอะจ๊ะ ท่านไม่รำคาญหรอก (หัวเราะ) ถ้าวันไหนท่านบอกพอซะทีสิโว้ย แล้วค่อยหยุดทำไปเถอะ สมัยก่อนก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน เพราะว่าโรงครัวมันอยู่ติดกับห้องพระ แล้วเสร็จแล้วไอ้ด้านบนที่ติดกับเพดานเราไม่ได้ตีฝ้า พอทำครัวไอน้ำมันก็วิ่งข้ามมา เรารำคาญแทนพระ จับพระอาบน้ำเป็นปกติเลย ประเภทละลายน้ำยาล้างจานเป็นกาละมัง ๆ แล้วอุ้มพระลงไปเอาฟองน้ำขัดเลยล่ะ ทีละองค์ ๆ แล้วก็เอาขึ้นมาเช็ดให้แห้ง พอแห้งดีแล้วค่อยจับเข้าที่ ทำอย่างนั้นประจำเพื่อความสบายใจ
       ถาม :     ทำได้ใช่ไหมคะ ?
       ตอบ :   ทำได้ ทำไปเถอะ ทำความสะอาดพระนี่ทำเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น จะมีอยู่ ๓ ฤทธิ์ นรฤทธิ์ เทพฤทธิ์ พลฤทธิ์ ๓ ฤทธิ์นี่สร้างความปวดกะโหลกให้อาตมาตลอด เทพฤทธิ์ยังน้อย พลฤทธิ์สิ โอ้โห เล่นกรรมฐาน ๔๐ บวกสติปัฏฐานสูตรทุกขั้นตอนเลย แล้วเขาถามเอาความรู้จริง ๆ นะ จิตเขาละเอียดถึงขนาดเขาตั้งคำถามว่า วาโยกสิณ อากาศกสิณ กับ อากาสานัญจายตนฌาน มันต่างกันตรงไหน เป็นเรา ๆ คิดคำถามงี้ได้ไหม ? คุณพลฤทธิ์ รอดรักษา นั่นแหละ พอเขาได้รายละเอียดทั้งหมดแล้วเขาก็ขึ้นเขาไปเลย ออกมาอีกทีนี้เหาะไม่ได้ไม่มาหรอก เขาเอาอาตมาเป็นเครื่องประกันความเสี่ยง ของเราเองบางอย่างเราคลำอยู่ตั้งหลาย ๆ ปีกว่าจะผ่านมันถามแป๊บเดียวน่ะ แล้วดันเชื่อซะด้วยว่าเราทำได้จริง จด ๆ รายละเอียดไปจนเกลี้ยงเลย แล้วเสร็จแล้วก็ไปทำ เขามั่นใจว่าไม่ผิดแน่
               ตอบได้ไหม ถามว่า วาโยกสิณ อากาศกสิณ กับอากาสานัญจายตนฌานต่างกันตรงไหน ? (หัวเราะ) มัน ต่างกันตรงอาการของมัน วาโยกสิณเราจับอาการความเคลื่อนไหว อากาศกสิณเราจับความว่าง อากาสานัญจายตนฌานเรา จับความไม่มีขอบเขตของอากาศ ไอ้ของเรานี่ถ้าไม่เคยเดินเฉี่ยว ๆ ตำรามานี่วันนั้นตายเลย โอ้โห คำถามแต่ละคำถามเขาเอาตายเลย จิตเขาละเอียดมาก ละเอียดจนเชื่อว่าเขาทำได้มาก มากจนสามารถจะตั้งคำถามประเภทนี้ขึ้นมาได้ แล้วเขาเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 07 กันยายน 2008, 22:11:05 »

http://grathonbook.net/book/3.7.html

ถาม :   ที่ทิเบตเขาบอกอากาศไม่ค่อยดีนะครับ
       ตอบ :   ที่ทิเบตอากาศมันบางเพราะพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ประมาณ ๗ กิโลเมตร แล้วจะเอาอะไรหายใจ ไปที่โน่นจะป่วยเป็นโรคขาดอากาศ เดินเร็วไม่ได้ ทำอะไรรุนแรงไม่ได้ ต้องเป็นคนเรียบร้อยค่อย ๆ ทำ ตอนนี้อากาศหนาวมาก ออกจากรถบัสหรือเครื่องบินก็ตัวแข็ง
       ถาม :    เวลาเราคิดถึงใคร คนนั้นเขาจะรู้ได้หรือเปล่าคะ ?
       ตอบ :    การที่เราตั้งใจคิดถึงใคร ถ้าบุคคลนั้นได้เจโตปริยญาณ เขารู้แน่นอน เพียงแต่ว่าจะให้ความสนใจในสิ่งนั้นไหม จำไว้ให้ขึ้นใจว่า เรื่องของอภิญญา เรื่องของสมาบัติ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาแสดงเพื่อเรียกร้องความสนใจของใคร การทำงาน วาระและเวลาต่าง ๆ ของท่าน จะใช้ไปเฉพาะหน้าตลอดเวลา อาจะต้องสงเคราะห์ใครบางคนอยู่ขณะที่เราคิดถึงท่าน แล้วท่านจะไม่มีเวลามาสนใจกับเราหรอก เอาเวลาไปสงเคราะห์คนที่เข้าถึงธรรมดีกว่าไอ้ที่จะมาอวดว่า เฮ้ย... ข้ารู้นะเว้ยว่าเอ็งคิดอะไร มันเสียเวลาเปล่า
               ประคับประคองมันเอาไว้โดยเฉพาะการอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าตราบใดที่สติมันยังอยู่กับลมหายใจเข้าออก สมาธิมันคลายตัวอารมณ์นั้นก็จะทรงตัวอยู่ เมื่อใดที่เราเผลอสติหลุดจากลมหายใจเข้าออก เมื่อไหร่มันก็สลายไป ยกเว้นว่าเรามีความคล่องตัวในการทรงฌาน ถึงขนาดที่เรียกว่า จะเข้าฌานระดับใดก็ได้เมื่อใดก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็พอที่จะอาศัยได้ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้อยู่ดี เพราะเราประมาทเมื่อไหร่บางทีอารมณ์ฝ่ายไม่ดี มันแทรกเข้ามาเราอาจจะตีคืนไม่ได้ก็ได้ ปกติถ้ามันทรงตัวไม่ภาวนามันก็รู้ของมัน แต่ว่า...เอากำไรหน่อยสิ
       ถาม :     ต้องเริ่มใหม่ไหมครับ ?
       ตอบ :    ไม่ต้องทำใหม่หรอก ย้อนเก่าก็ได้ การพิสูจน์น่ะ พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีการให้แล้ว เพียงแต่ว่า ความสามารถของเราไม่พอ หรือว่าขาดความมั่นใจเท่านั้นเอง ใช่มั้ยล่ะ ? ฝึกทิพจักขุญาณไม่เห็นจะยากตรงไหน ? ฮึ หรือไม่ก็ไม่ดู ลักษณะการหมุนเวียนโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ของอะไรน่ะ ลักษณะเดียวกัน มีขึ้นมีตก แต่ว่าอันนี้มันไม่ใช่ของแปลกสำหรับเรา แต่ว่าการเวียนตายเวียนเกิดนี่ จะต้องใช้ความเป็นทิพย์ในการพิสูจน์
               ขนาดปู่ย่าตาทวดของเราลงมาถึงเรายังมีอยู่แล้ว ก็ลูกหลานเหลนโหลนของเราก็มีอยู่ ถ้าหากว่าไม่ใช่คนขี้สงสัยจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปัญญามากมายอะไร ก็เห็นอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าขี้สงสัยจริง ๆ ต้องเอาให้ได้อย่างน้อยวิชชาสองนะ ถ้าหากอย่างกลางก็อภิญญาห้า หนัก ๆ หน่อยก็เล่นปฏิสัมภิทาญาณไปเลย ปฏิสัมภิทาญาณทำง่ายกว่าอภิญญา เพราะว่าใช้พื้นฐานของกสิน ๙ กอง แต่ปฏิสัมภิทาญาณได้ยากกว่าอภิญญามหาศาลเลย เพราะว่าปฏิสัมภิทาญาณกำลังคลุมได้ทั้งอภิญญาหก ทั้งวิชชาสาม ทั้งสุกขวิปัสสะโก เมื่อความสามารถสูงขนาดนั้นต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ
               ดังนั้น ผู้ที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อกำลังใจเข้าถึงพระอนาคามีแล้วเท่านั้น เพราะว่าเข้าถึงพระอนาคามีนี่ตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวรักหมดแน่ ๆ หลงน่ะยังหลงอยู่นิดเดียวคือคิดว่าความเป็นพระอนาคามีแค่นี้ก็พอแล้ว นอนพักมั่งก็ได้ อะไรอย่างนั้น ใช่มั้ย ? แต่ความจริงถ้าท่านทำต่ออีกก็หน่อยเดียวเท่านั้นเอง
               ดังนั้น ปฏิสัมภิทาญาณจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อกำลังใจเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี ไม่อย่างนั้นแล้วจะฝืนกฎของกรรม โดยเฉพาะนิสัยอย่างพวกเราเห็นคนลำบาก เดี๋ยวก็ไปช่วยเขาเห็นมันเดินมาประเภทขาลีบ มือหงิก แค่เราคิดให้หาย มันหายเลยนะ เพราะความคล่องตัวในตัวกสิณ ตัวอภิญญาแค่ตั้งใจให้ธาตุสี่ประสานเสมอกัน อาการเจ็บป่วยของเขาจะหายหมด แต่เราไม่ได้ดูไปว่าเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะในอดีตทำกรรมอะไรมา เราเป็นผู้ฝืนกฎของกรรม ทำให้ระเบียบของโลกของจักรวาลบรรลัยหมด ภพภูมิไหน ๆ เราก็ไม่สนใจ ความสามารถมันถึงใช่มั้ย ? ก็เลยจำกัดเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าจะทำ จะใช้ความสามารถปฏิสัมภิทาญาณได้ ต่อเมื่อเป็นพระอนาคามีขึ้น
               แล้วอีกข้อหนึ่ง อย่างอภิญญาหก ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทั่วไป ถ้าเป็นอภิญญาหกจริง ๆ ท่านรู้ว่าสมควรจะใช้อย่างไร ? เพราะว่าจะเป็นอภิญญาหกได้ ต่อเมื่อเป็นพระโสดาบันขึ้นไป คือตัวสุดท้ายอาสวักขยญาน ทำกิเลสให้สิ้นไปได้ ถ้าไม่ใช่พระโสดาบันขึ้นไปนี่ไม่สามารถทำกิเลสให้สิ้นไปได้ ถ้าเป็นพระโสดาบันขึ้นไปก็สิ้นได้ส่วนหนึ่ง สกิทาคามีได้อีกส่วนหนึ่ง อนาคามีได้อีกส่วนหนึ่ง อรหันต์นี่สิ้นกิเลสได้ทั้งหมด
               คราวนี้ก็ได้แค่อภิญญาห้า กำลังอภิญญาห้า ถ้าหากว่าคุณฝืนกฎของกรรม หรือว่าทำผิดศีล ผิดธรรมอภิญญาจะเสื่อมเลย ต้องไปตั้งหน้าตั้งตา รวบรวมกำลังใจกันอีกขนานใหญ่กว่าจะฟื้น กลับมาใหม่ได้ ถ้าผิดอีกก็เสื่อมอีก ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะใช้กันได้ง่าย ๆ สำคัญตรงที่ว่าถ้าหากเราอยากรู้ เราอยากพิสูจน์ เราต้องทุ่มเทฝึกไปเลย
       ถาม :    แล้วอย่างเดวิด คอปเปอร์ฟิลล์ อย่างไร ?
       ตอบ :   อันนั้นอภิญญาไม่ใช่มายากล อันนั้นอภิญญาจริง ๆ เขาเองเขาก็บอกตามประวัติเขาไปฝึกกับพระแต่เป็นพระจีน ทางนิกายมหายาน คราวนี้พื้นฐานเก่าเขามีเยอะ พอฝึกสมาธิใจสงบ อภิญญามันคืนมา แรก ๆ แกก็แปลกใจ แต่พอใช้ไปใช้มา ความเคยชินอดีตเคยใช้ได้ ปัจุบันนึกอย่างไงเป็นอย่างนั้น แป๊บเดียวมันก็คล่องแล้ว เปิดหลังทีวีหิ้วตัวละครออกมาดูเล่นข้างนอกได้ คนทั่ว ๆ ไปทำได้มั้ยเล่ามายากล ประเทศไหนมันทำได้ ? ประเภทตำรวจไล่ยิงผู้ร้ายอยู่ในจอ มันเปิดหลังทีวีหิ้วผู้ร้ายออกมา ตำรวจยืนงง ในจอมันหายไปแล้วนี่ (หัวเราะ) สนุกดี เครื่องบินโบอิ้งทั้งคัน เขาสามารถทำำให้หายได้ใช่ไหม เอาผ้าคลุมอยู่สองฝั่งของกำแพงเมืองจีน เดินมุดผ้าคลุมไปหายไปทะลุอีกฝั่งหนึ่ง นั่นจริง ๆ ก็คือ กำลังของกสิณ อธิษฐานให้มันมีช่องว่าง แล้วก็เดินผ่านไปแค่นั้น
              อาตมาเองไม่ได้อย่างเขายังเดินทะลุประตูฝั่งพม่า มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่นี่นา มันเปิดตีสี่ครึ่ง แต่เราไปตั้งแต่ตีสี่ เรื่องอะไรจะยืนให้ยุงกิน ก็เข้าไปสวดมนต์ข้างใน ที่หลวงพ่อพระมหามุนีที่เขาทำพิธีสรงพระพักตร์ล้างหน้ากันนั่นแหละ เราก็เข้าไปสวดมนต์ข้างในก่้อน ก็เล่นอิติปิโส ๓ ห้อง ล่อไป ๗ จบ พอตีสี่ครึ่งเขาก็เปิดประตู ทั้งพระทั้งโยมก็กรูกันเข้ามา ครูบาน้อยเขาตามหลังมา เขาถามหลวงพี่เข้ามาอย่างไรครับ ? บอกวิธีเดิม รายนั้นเขาเห็นบ่อยเขาไม่แปลกใจหรอก คนอื่นไปแล้วมันติดกุญแจ เราไปนี่กุญแจมันไม่ติด เราก็เข้าไปเรื่อยนะ
        ถาม :    เคยไปวัดอนาลโย ที่แท้ยังไง ?
       ตอบ :  (หัวเราะ) วัดอนาลโยนั่นไม่เจตนา ท่านเจ้าคุณ ท่านอนุญาตแล้ว ไปถึงตีห้าพอดี ท่านเจ้าคุณกำลังสะพายบาตร นั่งรอรถเบนซ์อยู่ ไปถึงก็กราบ ๆ อ้าว คุณมาตอนนี้เหรอ ? ขออภัยนะผมกำลังจะไปฉันเช้าที่เชียงใหม่ (วัดอนาลโยอยู่พะเยา) ผมยกวัดให้คุณเลย ไปจัดการเอาเองก็แล้วกัน อยากจะดูตรงไหน
               จุดที่เราอยากที่สุดก็คือ เข้าไปกราบพระแก้วในหอ ในหอพระแก้วเขาจะมีพระแก้วที่แกะสลักมาจากมรกต องค์ประมาณหัวแม่มือ แล้วก็จะมีพระแกะสลักจากบุษราคัมองค์เล็ก ๆ แต่ราคาแพงมาก น่ารักมาก เราก็แหม ไปถึงก็ต้องกราบตรงนั้น เขาเปิดต้องสองโมงครึ่ง ไปถึงตีห้า ไปนั่งรอ สามชั่วโมงครึ่งใช่มั้ย เราไปถึงเขายกให้เป็นบ้านเราแล้วนี่ ก็เปิดมันทั่วเลย เปิดประตู เปิดหน้าต่าง เปิดไฟ พวกทหารที่มันไปตั้งกองรักษาอยู่มันคว้าเอ็มสิบหก วิ่งกันตุบตับ ๆ มาเต็มไปหมดเลย มาถึงมันยืนงง ๆ พระเปิดได้อย่างไง ยังไม่ถึงเวลา เราก็เลยบอกหลวงพ่อท่านอนุญาตแล้ว เขาคิดว่าหลวงพ่อท่านให้ักุญแจเรามาใช่มั้ย (หัวเราะ) ตัวใครตัวมัน
       ถาม :  คนละเรื่องเดียวกันเลยครับ
       ตอบ :  (หัวเราะ) คนละเรื่องกัน คือเขาเข้าใจอย่างงั้น เราต้องปล่อยให้เขาเข้าใจอย่างงั้น ว่าไม่ได้ใช่มั้ย ก็เราบอกเมื่อกี้เจอหลวงพ่อตรงนั้นนะ หลวงพ่ออนุญาตแล้ว เขาก็คิดว่าหลวงพ่อให้กุญแจมา ขนาดตู้กระจกที่บรรจุพระนั้นเขาใช้กระจกกันกระสุนนะ ของเขาราคามหาศาล พระแกะจากมรกต พระแกะจากบุษราคัม มีพระทองคำฝังเชร มีช้างม้าทองคำ ต้นไม้ทองคำที่ฝังอัญมณี ราคาเท่าไหร่ ? ขนาดทหารต้องไปตั้งกองรักษาการณ์อยู่ใกล้ ๆ สามคนสี่คนวิ่งมาเหนื่อยเปล่า พระเปิดซะเกลี้ยง ทุกซอกทุกมุมเลย
               แล้วไปอีกที่หนึ่งก็วัดหลวงปู่ครูบาวงศ์ ไปถึงเขาฉันเพลกันพอดี ไม่มีพระเจ้าหน้าที่อยู่เลยสักองค์ หลวงปู่ก็ไม่อยู่ แล้วต้องการวัตถุมงคลหลวงปู่ จะทำยังไง เปิดตู้ขายเองเลย ราคาติดไว้แล้วนี่ ก็ขายให้ตัวเองนี่แหละ รับเงินแล้ว ก็กอง ๆ ไว้ในตู้ ปิดตู้ให้เขาเสร็จก็กลับ (หัวเราะ) เจ้าหน้าที่เขามาคงงง ๆ ว่า เงินมันโผล่มาจากไหน กอง ๆ อยู่นั่นน่ะ น่าสนุกมั้ย (หัวเราะ) ลองทำดู เป็นลูกขุนแผน ไอ้วิชาขโมยมันต้องทำได้
       ถาม :   คาถาอะไรฮะ ?
       ตอบ :    คาถา นะ มะ พะ ทะ ถอยหลังเป็น ทะ พะ มะ นะ ตัวคาถาน่ะ ไม่สำคัญ สำคัญตรงทำใจ ตัวตรงทำใจก็คือ ความรู้สึกของเรา ต้องคิดว่ามันไม่ติดกุญแจอยู่ โยมลองจับประตูที่ไม่ได้ล็อกนะ แล้วบิดประตูลูกบิดน่ะ ใจเราสบายอย่างไร บิดไปเฉย ๆ อย่างไง ต้องทำอย่างงั้นนะ คือ ให้ใจมันอยู่ลักษณะเดียวกัน ถ้าทำอย่างนั้นนะ หลุดแชะทุกดอกเลย
              คราวนี้ ปีนั้นก็คิดว่า เคี่ยวเข็ญพระเขาหน่อย ทั้งกาแฟ ทั้งโอวัลติน ทั้งคอฟฟี่เมตอะไร ยัดเข้าห้องหมด ล็อกกุญแจ อยากกินไปเปิดเอาเอง ห้ามใช้กุญแจ และห้ามงัดแงะด้วย อดหัวโตเลย (หัวเราะ) ถ้าหากว่าไม่เคี่ยวเข็ญขนาดนั้น ก็ไม่ค่อยเอาดีกัน น่าสนุกมั๊ย ?
               ไปฝึกที่โน้นนะจริง ๆ แล้วมันเหมือนกับไม่ทำอะไร เพราะว่าปล่อยให้รับผิดชอบกันเอง ไปภาวนาเอา ไปทำเอา มีเทปมีหนังสืออ่านเอา ฟังเอา ถ้าตรงไหนตีความไม่ถูกหรือทำต่อไม่ได้ มาถามจะบอกให้ เพราะหลวงพ่อสอนเรามาแบบนี้ สอนแบบสอนผู้ใหญ่ ในเมื่อท่านสอนแบบสอนผู้ใหญ่ ให้รับผิดชอบเอาเอง เรามันถนัดแบบนี้ ถึงเวลา ลูกศิษย์ก็ต้องอย่างงั้น ถึงเวลา คุณก็ต้องไปอ่านตำราเอา ไปฟังเทปเอา ทำตรงไหนได้ก็ทำไป เอาหน่อยมั้ย ทะ พะ มะ นะ ถอยหลัง 
               แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ตัวคาถามันทำให้ใจเป็นสมาธิเท่านั้น กำลังใจของเราต้องใช้ความรู้สึกว่ามันไม่ได้ล็อกอยู่ เปิดประตูแบบเดียวกับเรามั่นใจว่า ประตูนี้ไม่ได้ล็อกแน่ แล้วเราเปิดประตูเข้าไป ใจมันสบายมันปล่อยว่างอย่างไง ก็ปล่อยว่างอย่างงั้นแหละ แบบเดียวกันเลย ถ้าเราทำอยา่งนั้นได้ แค่เอื้อมมือแตะ มันก็หลุดเลย
               ยังดีนะวันนั้นไปกันเป็นสิบใช่มั้ย สิบสามคนใช่มั้ย หมอเพชรด้วย จัดแจงเปิดเลย ก็ท่านบอกแล้วว่า ท่านยกวัดให้เราเลยนะ เราเป็นเจ้าของ เราก็เปิดได้ ฮึ ๆๆ เล่นเอาเทหารวิ่งตับแล็บ เพราะมันเปิดได้ยังไง คราวนี้พอเราบอกว่าเมื่อกี้เจอหลวงพ่อ หลวงพ่ออนุญาตแล้ว เขาก็เลยพลอยคิดว่า หลวงพ่อให้กุญแจมา สบาย
       ถาม :    วัดอะไรฮะ (คนมาใหม่)
       ตอบ :    วัดอนาลโย วัดใหญ่ที่สุดของพะเยา อยู่ริมกว๊านพะเยา หลวงพ่อไพบูลย์ ท่านเป็นพระธรรมยุต แต่ว่าท่านคบหาพระมหานิกายเยอะมาก เพราะว่าของท่านเอง ท่านก็ติดมาทางฤทธิ์ ทางอภิญญา อะไรเหมือนกัน พวกออกมาทางฤทธิ์ ทางอภิญญา นิสัยมัน ถ้าหากว่าพูดภาษาชาวบ้าน นิสัยนักเลงหน่อย คบหากันง่ายดี ก็คิดดูพึ่งไปถึง ท่านบอกยกวัดให้คุณเลย ไปจัดการเอาเองก็แล้วกัน (หัวเราะ) ตอนนี้เป็นอะไร เจ้าคุณรัตนากรวิสุทธิมั้ง
              ท่านไปสร้างตรงนั้นเพราะว่าโดนลองดี เจ้าที่ท่านมาในร่างของมังกร อาละวาดจะไม่ให้ท่านอยู่ ท่านบอกว่า ก็ให้มันรู้ไปว่า จะมีอะไรเกินกว่าคุณพระได้ คุณพระรัตนตรัยถือว่าใหญ่ที่สุด ในเมื่อคุณพระรัตนตรัยใหญ่ที่สุด จะยอมแค่ให้เจ้าที่อาละวาดแล้วเราหนีมัน อายเขาก็ไปฟัดกันที่นั่นจนกระทั่งเขายอม แต่ว่าถึงยอมก็ต้องตั้งศาลให้นะ ไม่งั้นเขาแกล้งคนอื่น ไม่งั้นลูกศิษย์ ลูกหาไปนี่ พ่อแกล้งกระจายเลยต้องตั้งศาลให้เขา ทุกวันนี้ถ้าขึ้นไปจะเจอศาลเจ้าพ่อมังกรเขียว บางคนก็แปลกใจ หลวงพ่อเป็นพระไทยแท้ ๆ ทำไมมีศาลจีน ศาลเจ้าอยู่ในวัดด้วย ไม่ตั้งให้ก็ไม่ได้เขาบังคับ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 10 กันยายน 2008, 22:10:03 »

http://grathonbook.net/book/3.8.html

โปรดเวไนยสัตว์ (๑)

              เช้าวันหนึ่ง ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ เวฬุวันวิหาร ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ทอดพระเนตรเห็น สิงคาลกบุตร กำลังนอบน้อมทิศทั้งหลายอยู่ พระพุทธองค์ทรงดำริว่าวันนี้เราจักกล่าวธรรมอันเป็นวินัยของคฤหัสถ์ แก่สิงคาลกบุตร ถ้อยคำนั้นจักมีผลแก่มหาชนจึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ทอดพระเนตร เห็นสิงคาลกบุตรตรัสถามว่า เธอทำอะไรหนอ
              ในอรรถกถา กล่าวว่าบิดาและมารดาของสิงคาลกบุตรเป็นอุบาสก และอุบาสิกาผู้โสดาบัน มีความเชื่อมันในพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก พยายามให้บุตรผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใสได้เข้าไปเฝ้าและฟังธรรมเทศนาจากพระศาสดา แต่ก็ไม่สำเร็จ
              สิงคาลกบุตรกล่าวว่า การเข้าไปหาสมณะทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ัน เพราะการเข้าไปหาสมณะก็ต้องไหว้ เมื่อก้มลงไหว้หลังก็เจ็บ เข่าก็ด้าน จำเป็นต้องนั่งบนพื้นดิน เมื่อนั่งบนพื้นดินผ้าก็จะเปื้อน จำเดิม แต่เวลานั่งใกล้ย่อมมีการสนทนา เมื่อมีการสนทนาย่อมบังเกิดความคุ้นเคย จากนั้นย่อมต้องนิมนต์ แล้วถวายจีวร และบิณฑบาต เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนั้นประโยชน์ย่อมเสื่อม
              บิดามารดาแม้จะสอนจนตลอดชีวิต ก็ไม่สามารถจะทำให้บุตร เข้าใกล้พระศาสนาได้ ก่อนจะสิ้นชีิวิต บิดาให้โอวาทบุตรว่าลูกควรจะลุกแต่เช้าตรู่ แล้วจงนอบน้อมทิศทั้งหลาย ทั้งนี้บิดาประสงค์ว่า หากพระพุทธองค์ หรือพระสาวกทั้งหลายเข้าไปบิณฑบาต ได้เห็นการกะทำเช่นนั้นแล้ว จักได้ชี้แจงให้บุตรเกิดความเข้าใจ ความหมายของการไหว้ทิศในทางที่ถูกที่ควร สิงคาลกบุตรจักไ้ด้บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
              สิงคาลกบุตรไม่เข้าใจ และไม่ทราบจุดมุ่งหมายของบิดา หลังจากบิดาสิ้นชีวิตแล้ว เขาออกไปประคองอัญชลีมีผ้าเปียก มีผมเปียก นอบน้อมทิศทั้งหลายอยู่ทุกเช้าตามคำสั่งของบิดามาตลอด
              พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมาบิณฑบาตตรัสถามความเป็นมาของการกระทำเช่นนั้น สิงคาลกบุตรจึงทูลถึงคำสั่งของบิดาให้ทรงทราบพระพุทธองค์ทรงแนะนำสิงคาลบุตร จึงกราบทูลขอประทานโอกาสให้พระองค์ทรงแสดงการนอมน้อมทิศทั้งหลาย ในวินัยของพระอริยะ
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการละกรรมกิเลส ๔ ประการ คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร และมุสาวาท
               ไม่เสพความเสื่อมแห่งโภคะ ๖ คือ อบายมุขทั้ง ๖ ได้แก่ เป็นนักเลงสุราชอบเที่ยวกลางคืน ชอบเที่ยวดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตรและเกียจคร้านในการงาน แล้วทรงตรัสการนอบน้อมทิศทั้งหลายว่า
                          มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า               คือทิศตะวันออก                อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา              คือทิศใต้                บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง               คือทิศตะวันตก                มิตรอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย               คือทิศเหนือ                ทาสกรรมกร              เป็นทิศเบื้องต่ำ                สมณพราหมณ์               เป็นทิศเบื้องบน
              นี้คือทิศทั้งหลายในวินัยของพระอริยเจ้าที่ควรนอบน้อมคฤหัสถ์ในตระกูลผู้ไม่ ประมา่ท ควรนอบน้อมทิศเหล่านี้จักมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อม
              พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้แล้ว สิงคาลกบุตรขอแสดงตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต จากนั้น พระพุทธองค์จึงเสด็จเข้าไปในกรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต

http://grathonbook.net/book/3.9.html

โปรดเวไนยสัตว์ (๒)
   
               ครั้งหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสาร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ให้ส่งทูตไปยังเมืองจำปา แคว้นอังคะ มีรับสั่งให้ โสณโกฬิวิสะ บุตรเศรษฐีมาเฝ้า ดุจมีพระราชกรณียกิจบางประการ โสณะออกเดินทางพร้อมกับชนชาวอังคะจำนวนหนึ่ง มาเฝ้าตามพระราชดำรัส ครั้นมาถึงและถวายบังคมแล้ว พระเจ้าพิมพิสารทรงแนะนำชนชาวอังคะเหล่านั้น ในประโยชน์ปัจจุบัน และรับสั่งให้ชนเหล่านั้น ไปเฝ้าพระศาสดา เพื่อพระพุทธองค์จักทรงสั่งสอนประโยชน์ภายภาคหน้า พวกเขาจึงพากันไปเฝ้าพระศาสดาที่เขาคิชฌกูฏ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพกถา และอริยสัจ ๔ ชนทั้งหมดได้บรรลุธรรม ณ ที่นั้น ได้ขอแสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัย
              โสณเศรษฐีบุตร มีความคิดว่าบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่ จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ดุจดังสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย เราพึงปลงผมและหนวดครองผ้ากาสาวะออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต หลังจากชาวเมืองหลีกไปไม่นานนัก โสณโกฬิวิสะ ได้เข้าไปกราบทูลพระพุทธองค์ของบรรพชาอุปสมบท ครั้นได้รับบรรพชาอุปสมบทในพุทธสำนักแล้วไปพำนักอยู่ที่ป่าสีตวัน ท่านปรารภความเพียร เดินจงกรมจนเท้าทั้ง ๒ แตก สถานที่เดินจงกรมเปื้อนโลหิตดุจสถานที่ฆ่าโค
              พระโสณโกฬิวิสะคิดว่า บรรดาสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ปรารภความเพียร เราก็เป็นรูปหนึ่ง แต่ไฉนจิตเราจึงยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ สมบัติในตระกูลของเรามีอยู่ เราอาจบริโภคสมบัติและบำเพ็ญกุศลได้ เราละลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยโภคทรัพย์และทำบุญดีกว่า
               พระศาสดาทรงทราบความกังวลใจของพระโสณะ จึงเสด็จจากเขาคิชฌกูฏ ไปปรากฎตรงหน้าท่านพระโสณะที่ป่าสีตวัน ตรัสว่า โสณ ะเมื่อเธออยู่ครองเรือน เธอเป็นผู้ฉลาดในการดีดพิณ ก็สมัยใด สายพิณของเธอตึงไป หย่อนไป หรือไม่ตึงไม่หย่อน เธอย่อมรู้ในเสียงนั้น ฉันใด ความเพียรที่เธอปรารภมากเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ดูก่อน โสณะ เธอจงตั้งความเพียรให้สม่ำเสมอ จงตั้งอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ และจงถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น พระโสณะกระทำตามโอวาทนั้น หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว มีความเพียร ตั้งใจแน่วแน่อยู่ในพระโอวาท ไม่นานนัก พระโสณโกฬิวิสะ ก็ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย
               เมื่อบรรลุอรหันต์แล้ว ท่านพระโสณะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระคันธกุฎี ภูเขาคิชฌกูฏ กราบทูลว่า ข้า พระองค์ไ้ด้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว หมดสิ้นกิเลสเครื่องประกอบในภพ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้น้อมไปในเนกขัมมะ ๑ ความสงัด ๑ ความไม่เบียดเบียน ๑ ความสิ้นตัณหา ๑ ความสิ้นอุปาทาน ๑ ความไม่หลงใหล ๑

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 11 กันยายน 2008, 22:10:11 »

http://grathonbook.net/book/4.1.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
          ถาม :   อยากทราบเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณพเนจรเจ้าค่ะ ว่าเขาน่ะ สามารถสิงตามที่ต่าง ๆ ได้ไหม ?
       ตอบ :  พวกวิญญาณพเนจรในความหมายของเรา ภาษาพระเรียกว่า ?สัมภเวสี? สัมภเวสี คือ พวกที่เร่ร่อนไปตามที่ต่าง ๆ เพราะว่ายังไปตามบุญตามบาปของตนไม่ได้เนื่องจากตายก่อนหมดอายุขัย มันก็เหมือนกับว่า ถ้าหากว่าเขาหิว ๆ ขึ้นมา ก็อาจหาทางแทรกใครสักคนหนึ่ง เพื่อที่จะบอกกล่าวอะไรบางอย่างหรือว่าขอให้เขาทำบุญให้หรือว่าขออาหารกินเลยนะ แต่ว่าไม่ได้ทำได้เนิ่นนานอะไรหรอกสักแป๊บดียวก็ต้องออกแล้ว สิงได้เหมือนกัน
               ส่วนใหญ่แล้วกำลังเขาน้อย ถ้าไม่ใช่คน ๆ นั้นช่วงวาระบุญขาดลงจริง ๆ โอกาสที่เขาได้รับประทาน...ยาก เพราะงั้นก็ต้องรอญาติโยมตัวเองทำบุญให้ไป สิงได้ แทรกได้เหมือนกัน แต่ว่า ...โอกาสน้อยเหลือเกิน
       ถาม :  ถ้าหากมาแทรกในคนที่ี่มีวาระจิต เขาเอาจิตมาแทรกได้ไง ?
       ตอบ :   แค่กดทับลงมา บังคับให้เราทำอาการตามที่เขาต้องการ จิตของเราก็ยังอยู่นะ จิตของเรายังอยู่แต่กำลังจิตที่เหนือกว่าของเขาเขาใช้กำลังที่เหนือกว่ากดลงมาเพื่อเราทำอาการตามที่เขาต้องการ
       ถาม :   แล้วสภาวะอย่างเทพที่มา
       ตอบ :    แบบเดียวกัน ไม่ได้มาเข้าตัวเราหรอก ยืนอยู่ข้างนอกนั่นแหละ แต่ใช้อำนาจจิตที่เหนือกว่ากด และก็บังคับให้ร่างกายของเราทำตามที่เขาต้องการให้พูด ให้แสดงท่าทางต่าง ๆ ตามที่เขาต้องการ
       ถาม :  แล้วทำไมบางคนรับได้ บางคนรับไม่ได้ ?
       ตอบ :    ต้องมีกรรมเนื่องกันมาด้วย ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมา ต่อให้เขาต้องการเราเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถจัดการอะไรเราได้หรอก ถ้าเจ้าของร่างไม่ยอมจริง ๆ ...ไม่มีสิทธิ์ ส่วนใหญ่แล้วบรรดาร่างทรงต่าง ๆ ก็ต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถึงสามารถคุมได้ ควบได้ แทรกได้ สิงได้ ในช่วงนั้นนะ
       ถาม :  แล้วอย่างพวกต้นไม้ที่มีแก่นนี่ เขาสามารถเข้าไปแทรกที่ตรงนั้นได้ อยู่ได้ยังไงเจ้าคะ ?
       ตอบ :    อันนั้นเป็นเทพ เทวดานี่สามารถขยายร่างให้ใหญ่ได้ เล็กได้ ตามต้องการ อัตภาพปกติของเขา คือ สามคาวุต...ถ้าเทียบเป็นมาตราปัจจุบัน คือ ๑๒ กิโลเมตร เกือบโยชน์หนึ่ง โยชน์หนึ่งมัน ๑๖ กิโลเมตร เขาสามารถที่จะทำร่างให้เล็กลงได้ ขนาดที่อรรถกถาท่านเปรียบเปรยเอาไว้ว่า ๑ ปลายเข็มหมุด เทวดาท่านอยู่ได้ ๘ องค์ ต้นไม้มันใหญ่เบ้อเร่อน่ะ
               แต่จริง ๆ แค่อาศัยเอาวิมานไปแปะเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ต้องร่อนไปเร่มา หาคนจัดจราจรไม่ได้ เดี๋ยวชนกันบรรลัยหมด อันนี้พูดเล่นนะจ๊ะ ไม่ชนกันหรอกนะ แต่ท่านก็ดูเหมือนกัน ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในสถานที่ ที่ผิดปกติ อย่างเช่นว่า ขึ้นตามกำแพง ขึ้นตามหลังเขา อย่างพวกโพธิ์ พวกไทร ถ้าหากว่าเหล่านั้นโดนคนทึ้ง โดนคนถอนทิ้งในระยะเวลาอันใกล้เขาก็ไม่อยู่ให้เสียเวลาหรอก ขี้เกียจหาที่ใหม่
       ถาม :    แล้วอย่างพวกบอนไซเขาก็อยู่ได้ ?
       ตอบ :    ถ้าเป็นไม้มีแก่น ก็อยู่ได้ สบายเสียอีก เจ้าของดูแลดี
       ถาม :   แล้วอย่างพวกที่เป็นเครื่องรางของขลัง พวกไม้มีแก่น เช่น รัก-ยม อย่างนี้ล่ะเจ้าคะ ?
       ตอบ :    พวกอย่างนี้ พิธีเขามีอยู่ พิธีกรรม ถ้าหากคนทำถูกต้อง ใช้คำว่า พุทธาภิเษก ก็ได้ ของทั้งหลายเหล่านั้นเทวดาจะรักษา แต่ถ้าทำพิธีกรรมแบบไสยศาสตร์ ก็อาจได้เปรต อสุรกายไปแทน ต้องดูว่าการกระทำเขาแบบไหน ทำแบบหมอไสยศาสตร์หรือทำแบบถูกต้อง
       ถาม :   แล้วเช็คดูยังไงคะ ?
       ตอบ :    อันนี้ต้องอาศัยทิพจักขุญาณหน่อย เชื่อยากนะ หัดเองให้เป็นง่ายดี
       ถาม :   ยังกะหัดกันง่าย ๆ เลยเจ้าค่ะ ?
       ตอบ :   ง่ายจ้ะ...ง่าย ไม่ยากเลย กล้ายืนยัน
       ถาม :  ทีนี้พวกที่เล่นไสยศาสตร์ พวกอาคมอะไรอย่างนี้จะมีการปล่อยของตามวันพระ ช่วงวันพระเราจะทำยังไงที่จะไม่ให้โดนที่เขาปล่อย หรือว่าช่วยคนที่ถูกของที่ปล่อยออกมาแล้ว ให้เขาทุเลาลง ?
       ตอบ :    แยกเป็น ๒ ประเด็น อันดับแรกก็คือว่า บรรดาหมอไสยศาสตร์ วิชาการเขาเรียกง่าย ๆ ว่า มันร้อน เมื่อมันร้อนถึงเวลาถึงวาระ อย่างเช่น ทุกวันอังคารหรือวันเสาร์ เขาจะต้องทำการปล่อยของนั้นออกไป ถ้าเขาไม่ปล่อยของนั้นออกไป ของนั้นจะเข้าตัวเขาเอง เขาก็ต้องทำพิธีของเขาไป สิ่งทั้งหลายที่เขาปล่อยไปนี้เรียกว่า "ลมเพ-ลมพัด" ถ้าหากว่า ใครมีเคราะห์กรรม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อไปถึงมันจะกระทบ ทำให้เกิดเสียงดัง อย่างเช่น เหมือนยังกับใครสาดทรายใส่หลังคากราวไปเลย...หรือไม่ก็มีเสียงใครเคาะข้างฝาโป๊กเป๊ก ตุ้บตั๊บ
               โบราณถึงได้แนะนำว่า ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ อย่าไปเอ่ยปากทัก ถ้าหากว่าเอ่ยปากทักของดีแค่ไหนก็คุ้มไม่ได้ เหมือนกับเราเป็นเจ้าของบ้านแล้วเราเปิดประตูบ้านให้โจรมันเข้ามา ตำรวจเขาเห็นเจ้าของบ้านเต็มใจต้อนรับ คิดว่าคนรู้จักกันก็ไม่มายุ่งด้วย ประเด็นที่สอง ถ้าหากว่าถ้าเรากลัวจะโดนของนั้น อันดับแรกอย่าไปเอ่ยปากทักอะไรง่าย ๆ อันดับที่สอง พยายามภาวนาให้กำลังใจของเราทรงตัว จะได้มีสติอยู่กับตัวเราเสมอ ไม่ตกใจอะไร ถ้าตกใจง่าย ๆ เอ่ยปากทักอะไรขึ้นมา เขาจะเข้าแทรก เข้าสิง เข้าทับได้ หรือว่าจะมีผลให้ร้ายได้ในตอนนั้น
               ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เราว่าจะช่วยคนเหล่านี้ได้อย่างไร ถ้าเขาโดนแล้ว ตัวเราเองถ้ามั่นใจตัวเองว่าเราทรงความดีระดับหนึ่ง เอาแค่ว่าทรงปฐมฌานได้ก็พอ ทรงปฐมฌาน ตั้งใจทำน้ำมนต์ด้วยความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ใช้อิติปิโสฯ ทั้งหมดก็ได้ เอาน้ำมนต์นั้นราด รดหรือให้เขารับประทานก็จะแก้ได้ หรือไม่ก็ไปหาพระที่คุณธรรมพอทรงความดีพอให้ทำน้ำมนต์รดให้ ราดให้ ก็สามารถแก้ได้ถอนได้ ไสยศาสตร์จริง ๆ แล้วไม่น่ากลัว เพราะว่ากำลังใจของเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของการภาวนาไม่ได้ เนื่องจากจิตที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น คิดร้ายต่อผู้อื่นทำให้ขาดตัวอุเบกขาในอารมณ์ฌาน ถ้าไม่มีฌานจะเข้าถึงกำลังสูงสุดไม่ได้ เราภาวนาให้กำลังใจทรงตัวแค่เกินอุปจารสมาธินิดหนึ่ง ไม่ต้องถึงปฐมฌานของเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แต่อย่าเผลอสติ ถ้าเผลอสติ จะโดนได้
               หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเคยแนะนำว่า ให้เราภาวนาในตอนเช้าให้กำลังใจทรงตัว แล้วอาราธนาบารมีพระ คือว่ามีพระเครื่องติดตัว ตั้งใจขอบารมีพระให้คุ้มครองเรา ภาวนาให้กำลังทรงตัว แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะสามารถป้องกันอันตรายพวกเหล่านี้ได้ทั้งวัน สำคัญอยู่ว่ากำลังใจของเราทรงตัวมั้ย ? แก้ได้ ถ้าสมาธิเราดีพอ ตั้งใจขอบารมีพระทำน้ำมนต์ด้วยตัวเองก็ได้ อิติปิโสฯ ทั้งจบน่ะ ง่ายที่สุด
       ถาม :    ถ้าเราไปช่วยเขาแล้ว กลัวว่าของนั้นจะเข้ามาที่ตัวเรา
       ตอบ :    ตอนที่เราช่วยเขาไม่เข้าหรอก เพราะว่าบารมีพระ ถ้าเรายึดมั่นจริง ๆ ของนั้นจะสลายตัวไปเลย แต่พวกท่านทั้งหลายที่เล่นไสยศาสตร์ มักจะรู้ว่าใครเป็นคนช่วย บางทีเขาเลี้ยงผีไว้ด้วย ผีฟ้องเขาก็หันมาเล่นงานเราแทน เราเองน่ะโอกาสเผลอมันมี เหมือนคนจ้องขโมยกับคนระวังไม่ให้โดนขโมยของ ให้คนระวังระวังยังไง เดี๋ยวก็พลาดจนได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่กรรมอันเนื่องกันมาจริง ๆ ประเภทมาล้มพราด ๆ มาิ้ดิ้นอยู่ตรงหน้า อย่าไปยุ่งกับเขาเลย อันตรายเปล่า ๆ
       ถาม :  ถ้าเราจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องช่วย มีวิธีที่จะป้องกันตัวเราในระยะยาวอย่างไร ?
       ตอบ :    ทำตะกรุดหรือผ้ายันต์ด้วยพุทธมนต์ ถ้าอาราธนาพระสงเคราะห์ได้ก็วิเศษเลย ติดตัวไว้บอกให้อาราธนาทุกวันและอย่าเอาออกจากตัวจะป้องกันได้
       ถาม :   ถ้าอาราธนายันต์เกราะเพชร...วัดท่าซุง...
       ตอบ :     ได้...เพราะว่ายันต์เกราะเพชรของวัดท่าซุง นี่ ต่อต้านพวกไสยศาสตร์โดยตรงเลย ได้รุ่นเก่าไปแล้วยิ่งดี รุ่นที่ราคา ๓๒๐ นั่นน่ะ อันนั้นชัวร์ ๆ เพราะว่าพ่อทำ อย่างลูกเก่งแค่ไหนก็คงสู้พ่อไม่ได้หรอกนะ เอารุ่นเก่าดีกว่า เรื่องของยันต์เกราะเพชรหรือว่าธงแดงนะ ต่อต้านพวกไสยศาสตร์โดยตรงเลย เพราะว่ายันต์เกราะเพชรก็แตกลูกมาจากธงแดงนั่นแหละ ธงมหาพิชัยสงคราม ...ยันต์เกราะเพชรเป็นลูก ....ธงมหาพิชัยสงครามเป็นพ่อ (หัวเราะ)
       ถาม :    แล้วจริงหรือเปล่าคะที่ว่ามียันต์เกราะเพชรแล้ว ไสยศาสาตร์จะเข้าได้แค่ข้อมือ ?
       ตอบ :     มันต้องดูด้วย ถ้าเรามีติดตัวไว้เฉย ๆ ไม่เคยนึกถึงไม่เคยอาราธนาก็เจ๊งเหมือนกัน มันไม่เข้าแค่ข้อมือหรอก
       ถาม :   ถ้าให้เขาพกติดตัวด้วยยันต์เกราะเพชรแล้ว ...ต้องให้รักษาศีลด้วยไหมคะ ?
       ตอบ :    จำเป็นต้องมี ถ้าสามารถรักษาศีล เจริญภาวนาได้ ปลอดภัยแน่นอน เหมือนกับใส่เกราะไว้แต่หากว่า ไม่มีการรักษาศีล ไม่มีการเจริญภาวนา สักแต่่ว่าติดตัวอยู่ บางทีก็ช่วยอะไรไม่ได้ ที่บอกว่า "เข้าได้แค่ ข้อมือ" ถ้ากำลังใจเราทรงตัวจริงเข้าใกล้ไม่ได้ซะด้วยซ้ำไป แต่ถ้าหากว่ามีเคราะห์กรรมอะไรบางอย่าง ก็เข้ามาได้แค่ข้อมือ แค่ข้อศอก ถ้าเราอาราธนากำลังใจมั่นคงจริง ๆ ไม่เกินข้อศอก
       ถาม :    ในกรณีที่เราได้ฌานหรืออะไรพิเศษขึ้นมา แล้วเรากลัวว่ามันจะสูญไป หายไป จะทำอย่างไรให้คงอยู่กับเรา ?
       ตอบ :     ซ้อม....ต้องใช้ให้บ่อย ๆ นะ ต่อให้เป็นฌานสมาบัติ หรือทิพจักขุญาณ หรือวิชชา ๓ อภิญญา ๕ อภิญญา ๖ สมาบัติ ๘ อะไรก็ตาม ก็ต้องซ้อมบ่อย ๆ กำลังใจเหล่านี้เป็นกำลังของฌานสมาบัติเสียส่วนใหญ่ กำลังฌานสมาบัติ ถ้าร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย เหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ ส่วนใหญ่มักจะเสื่อมของมันเอง ต้องทำให้ทรงตัว ชนิดที่ต้องการเมื่อไหร่ เข้าได้ทันทีหรือว่าพิจารณาจนช่ำใจจริง ๆ ว่าธรรมะกองนี้เรารู้ตลอดแน่แล้ว อย่างนั้นถึงจะอาศัยได้ ถ้าหากทำทำ ทิ้งทิ้ง ไม่ต่อเนื่องกัน โอกาสที่จะเสื่อมมีสูงมาก เพราะงั้นต้องทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งขึ้นใจจริง ๆ
       ถาม :    ต้องภาวนาอะไรก่อนไหมคะ ?
       ตอบ :  ภาวนาอะไร ? กรรมฐานกองไหนใช้คำภาวนาตามนั้น ถ้ามีเวลามากก่อนทำกรรมฐา นสวดมนต์ไหว้พระอะไรของเราก่อนก็ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่มีเวลาของเราเอง ก็เริ่มต้นด้วยบทภาวนาไปเลยก็ได้
       ถาม :  ถามเรื่องการสิงของวิญญาณเมื่อกี้นี้เจ้าค่ะ พอดีไปที่บ้านหลังหนึ่งค่ะ มีกอไผ่อยู่หน้าบ้าน เป็นกอใหญ่พอสมควร พอไป เราก็เห็นวิญญาณสิงอยู่ในกอไผ่...เราก็บอกว่า เดี๋ยวทำบุญส่งไปให้นะ พอทำเสร็จวิญญาณตัวนั้นไป อีกไม่นานวิญญาณตัวใหม่ก็มาอยู่ตรงนั้นอีก อันนี้เพราะอะไรเจ้าคะ ?
       ตอบ :  บางทีมันเป็นที่อาศัยของเขานะ วิญญาณบางประเภทอาศัยจอมปลวก วิญญาณบางประเภทอาศัยอยู่ในกอไผ่ หรือร่มเงาไม้ใหญ่อยู่อาศัยก็มี คนนั้นได้บุญของเราแล้วไปจากสถานที่นั้น ...มันเท่ากับบ้านว่าง พอบ้านว่างคนใหม่มาเจอ เขาอยู่ต่อ ให้เขาอีก เดี๋ยวก็ไปอีกแหละ
       ถาม :     อย่างนี้ก็แสดงว่าเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวของบรรดาผีสิงทั้งหลายสิเจ้าคะ ?
       ตอบ :     ถ้าหากว่าเขาไม่ได้บุญอาจพักถาวรก็ได้ (หัวเราะ) ถ้าหากว่าเราให้บุญเขา ก็พักชั่วคราว ถึงเวลาเขาก็ไป
       ถาม :  เพราะว่าเจ้าของบ้านได้ยินเสียงกระซิกกระซี้ แบบร้องไห้ ได้ยินชัดมาก แล้วก็เกิดอาการกลัวเราจะเอากอไผ่นั้นออกไหม ? หรือว่าเราจะทำอย่างไร ?
       ตอบ :     ถ้าสงสารเขา ก็อย่าไปยุ่งกับกอไผ่ ถ้าสงสารตัวเองมากกว่า ก็เอาให้ราบไปเลย (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วเขาแค่อาศัยร่มเงาไม้เท่านั้น
       ถาม :   เขาจะไม่มาทำร้ายใช่ไหมคะ หรือแค่มาดู ?
       ตอบ :     ถ้าหากว่าช่วงอกุศลกรรมเข้า แบบที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ดวงตก" บางทีเขาอาจฉวยโอกาสได้ แต่ถ้าในเขตบ้านของเรามีพระภูมิเจ้าที่ได้รับการบูชาถูกต้อง ให้ความเคารพท่าน สิ่งเหล่านี้เข้ามาข้างในไม่ได้
       ถาม :   แล้วมีไหมคะ แบบไม่ดูแลเจ้าที่ เจ้าที่ปล่อยให้เข้าเลย ?
       ตอบ :     ไม่มีจ๊ะ ยกเว้นว่า เราไม่สนใจเจ้าที่เลย ไม่เคยขอให้ท่านช่วยเลย ไม่เคยให้ความเคารพท่านเลย ไม่รู้จะช่วยทำไม ?
       ถาม :   อ๋อ... ก็มีเจ้าที่แบบ มองเฉย ๆ 
       ตอบ :     เทวดาท่านถืออุเบกขามากกว่าเราเยอะ ถ้าหากว่าไม่ให้ความเคารพท่าน ไม่เรียกให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมอง มันเก่งเองนี่หว่า ไม่เรียกให้ท่านช่วย ดูซิว่ามันจะทำยังไง ระวังเอาไว้นะ เจอมาเองแล้ว พกพระอยู่กับตัวเต็มที่ผีมันบีบคอเสียแทบตาย ก็สงสัยว่าพระทำไมไม่ช่วย หลวงพ่อถามว่า "แกอาราธนาบ้างหรือเปล่า บอกเปล่าครับ เออ... สมน้ำหน้ามัน ถ้าเอ็งไม่เรียกให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมอง ดูซิว่ามันจะเก่งแค่ไหน" (หัวเราะ)
       ถาม :    อย่างนี้ท่านมีการมองด้วยหรือคะ นึกว่าท่านมีการทำงานแบบอัตโนมัติ ?
       ตอบ :     เราเองยอมทำโอทีไหมล่ะ โดยไม่ได้สตางค์น่ะ 
       ถาม :    อาราธนาที่ว่านี้ ต้องทำยังไงบ้างคะ ?
       ตอบ :  ตั้งใจนึกด้วยความเคารพ คาถาอาราธนาก็มี ของหลวงพ่อท่านใช้ "อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด" นั่นแหละคำอาราธนา คำอัญเชิญคุณพระเขามีอยู่

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 14 กันยายน 2008, 04:21:23 »

http://grathonbook.net/book/4.2.html

ถาม :     มีคนเขาบอกว่า เวลาจะต่ออายุหรือต่อชีวิตให้ยืนยาวให้ไปทำบุญโลงศพ ช่วยได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ?
       ตอบ :     ช่วยได้ มันช่วยได้ตรงที่เป็นมรณานุสติ อย่าลืมว่ามรณานุสติเป็นกรรมฐานใหญ่ หนึ่งในอนุสติ ๑๐ กอง ถ้าทำเป็นเข้าถึงนิพพานได้เลยเสีียด้วยซ้ำไป เราไปซื้อโลงศพก็รู้อยู่แล้ว ซื้อไปใส่คนตาย ถ้าเฉลียวใจสักนิดนึง เราเองก็จะตายอยู่แล้ว ถึงต้องมาซื้อโลงศพต่ออายุ การต่ออายุก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดไป
              ดังนั้น เราเร่งทำความดีในวันนี้ดีกว่า ลักษณะอย่างนี้แหละ เรียกว่า มรณานุสติ การนึกความตายเพื่อให้เกิดความไม่ประมาท มันเป็นบุญใหญ่มาก บุญใหญ่ตัวนี้จะทำให้เราห่างกรรมอันนั้นออกมา ทำให้เหมือนกับการต่ออายุได้ แล้วลักษณะของการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ อย่างบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น อันนั้นก็นึกถึงความตาย ไปวัดก็นึกถึงพระพุทธรูป ได้กราบพระ ได้ไหว้พระ ได้ทำบุญ ได้นึกถึงความตาย ใจเกาะนิพพาน เหล่านี้จะเป็นกรรมฐานใหญ่ บุญใหญ่ ทำให้เราห่างจากเคราะห์กรรมอันนั้นออกมา แต่เขายังตามอยู่ มีโอกาสเขายังที่จะสนองได้อยู่
              ดังนั้นว่า เราต้องทำความดีให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ไม่พลาดให้แก่เขาอีก ทำอย่างอื่นได้ไม่จำเป็นต้องซื้อโลงศพอย่างเดียว ปล่อยสัตว์ใหญ่ อย่างวัว ควาย อะไรก็ได้ แต่ว่าให้เป็นสัตว์ที่เขาจะฆ่า จะได้มีผลในการต่ออายุ ถ้าไม่ใช่สัตว์ที่เขาจะฆ่าก็ได้แต่เมตตาเฉย ๆ    
       ถาม :  ต้องไปที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วตัวที่จะถูกฆ่าในนั้นเลย หรือเจ้าคะ ?
       ตอบ :     จ้า...
       ถาม :  ได้เจอคน ๆ นึง ขอต่ออายุพ่อเขาด้วยการตั้งจิตอธิษฐานรวบรวมกุศลผลบุญตั้งแต่อดีตชาติ เพื่อต่ออายุพ่อ คุณหมอก็บอก ทำไมอยู่ดี ๆ อาการดีขึ้น ตอนแรกจะเสียอยู่แล้ว
       ตอบ :     ตัวนั้นเป็นอธิษฐานบารมี บุคคลที่ใช้อธิษฐานบารมีเป็น ต้องสร้างบุญสร้างกุศลมาจนถึงระดับปรมัตถบารมีแล้วเท่านั้น บุคคลที่สร้างความดีมาจนถึงปรมัตถบารมีจะประกอบด้วยฤทธิ์ คือสิ่งที่อัศจรรย์เกินกว่าคนอื่นจะทำได้ ฤทธิ์ตัวนี้ เรียกว่า ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐาน ตั้งใจให้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่สามารถฝืนกฎของกรรมได้นาน ถึงจะต่ออายุได้ อะไรได้
              แต่ถ้าหากว่าบุคคลนั้นไม่ได้ทำความดีต่อ จะไปในเวลาอันใกล้เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นสามารถช่วยเขาได้ ถ้ากำลังสูงเท่าไหร่ก็สามารถช่วยได้มากเท่านั้น ตัวอย่างคือ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ ท่านใช้คาถาต่ออายุ ท่านต่อได้ ๒ ปี อาตมาใช้วิธีเดียวกันหมดเลย ต่อได้ ๒ วัน ต่างกันลิบโลกเลย 
               เพราะงั้นมันอยู่ที่กำลังบารมีของคนที่ตั้งใจอธิษฐานด้วย อธิษฐานนี่เป็นฤทธิ์ ๑ ใน ๑๐ อย่างนะ  ฤทธิ์ที่เราหมายถึงส่วนใหญ่ เราคิดว่าเป็น "วิกุพนาฤทธิ์" คือ สามารถผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ได้พิลึกพิลั่นต่าง  ๆ นา ๆ แต่ความจริงมันมีตั้ง ๑๐ อย่าง มันมีทั้งฌานฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ อธิษฐานฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจมั่นของเรา ฐานาฐานะฤทธิ์....ฤทธิ์ที่เกิดจากฐานะอันสูง อย่างพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพระยามหากษัตริย์ สั่งให้เป็นก็เป็น สั่งให้ตายก็ตาย วิชชามัยฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการ อย่างเช่นว่า รถไฟทั้งคัน ทำไมเอาไปลอยอยู่ข้างบนได้ เหล็กน้ำหนักหลายร้อยตัน ทำไมลอยน้ำได้ ลอยอยู่บนฟ้าได้ อย่างนี้เป็นต้น มีทั้งหมด ๑๐ อย่างด้วยกัน
              พระพุทธเจ้าบอกไว้ละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเป็นฤทธิ์โดยอธิษฐานอย่างหนึ่ง แสดงว่า คน ๆ นั้น กำลังเขาสูงมาก สร้างบารมีมาเยอะมากและอธิษฐานด้วยความตั้งใจจริงก็สำเร็จสมกับที่เขาต้องการ
       ถาม :    แล้วคนที่จะมีฤทิธิ์ได้ทำยังไงถึงจะมีฤทธิ์ได้เจ้าคะ ?
       ตอบ :    ต้องดูว่าฤทธิ์แบบไหน มันมีอยู่ตัว เรียกว่า "กัมมวิปากชาฤทธิ์" ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม เราลองไปเดินตามพวกชาวเขาดูซิ มันไป ๓ ลูกเขาแล้ว ลูกแรกเรายังตะกายข้ามไปไม่ได้เลย (หัวเราะ) นั่นเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรมอย่างหนึ่งนะ
              อย่างเช่นว่า นกเกิดมาบินได้ เราฝึกวาโยกสิณแทบตายกว่าจะเหาะได้แบบมัน ปลาทำไมอยู่ในน้ำได้ ทำไมไส้เดือนมุดดินดำดินได้ เป็นฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรมของเขา เรียกว่า "กัมมวิปากชาฤทธิ์" ถ้าอยากจะมีต้องฝึกกสิณ ๑๐ อย่า่ง เอาให้คล่องตัว แล้วคราวนี้เราก็จะเริ่มตั้งแต่ วิกุพนาฤทธิ์ คือจะแสดงอะไรก็ได้ตามใจชอบ
       ถาม :    แต่ถ้าเล่นจะติดฤทธิ์หรือเปล่า ?
       ตอบ :  อยู่ที่เรา ถ้าเรามีสติรู้อยู่เสมอก็ไม่ติด แต่ถ้าเผลอ หลงไปตามลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่ได้มาจากการที่เราีมีฤทธิ์ ก็เรียบร้อยในเวลาอันสั้น
       ถาม :    แล้วพวกที่เล่นกสิณ เพ่งกสิณนี่เจ้าคะ จะทำให้มีฤทธิ์หรือเปล่า ?
       ตอบ :     บอกแล้วไง ว่าให้ฝึกกสิณ ๑๐ พวกเล่นกสิณ เพ่งกสิณนั่นแหละ มันอยากมีฤทธิ์กันล่ะ (หัวเราะ)
       ถาม :   เวลาที่เราทำบุญแล้วอธิษฐานจิตว่าขออย่างนั้น ขออย่างนี้ กับการไม่อธิษฐานเลย การทำบุญแบบไหนดีกว่ากันคะ ?
       ตอบ :     แบบอธิษฐานดีและถูกต้อง แบบไม่อธิษฐานเลยอาจพลาดจากประโยชน์ใหญ่ไปได้ การทำบุญโดยอธิษฐานขอให้เป็นนั่นเป็นนี่ เราจะขอหรือไม่ขอก็ตาม สิ่งที่เราทำทั้งดีและชั่วจะส่งผลกลับคืนมาอยู่แล้ว ถึงคุณต้องการหรือไม่ต้องการผลที่คุณกระทำคุณได้แน่ มันก็จำเป็นต้องกำหนดเจาะจงไปเลยว่าผลที่เราทำนั้นเราต้องการให้เป็นแบบไหน เป็นเมื่อไหร่ ถ้าเราตั้งใจแบบนี้เหมือนกับยิงปืนเล็งเป้า มันก็ถูกต้องสามารถยิงได้แม่นยำ แต่ถ้าหากไม่มีการเล็งเลยไม่ได้กำหนดเลย เราหิวข้าวตอนนี้ แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยจะมาถึง เป็นไง...ไส้กิ่วเลยดีไม่ดีอดตาย
               แบบอานันทเศรษฐี อานันทเศรษฐีตอนเป็นเศรษฐี ถ้าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระอนาคามี แต่ถ้าหากทรัพย์สินลดน้อยลงมาเป็นคหบดี ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระโสดาบัน บังเอิญถ้าเขารักษาทรัพย์สินไม่ได้ ทำให้ยากจนกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเทศน์แล้วจะไม่มีผล เพราะจิตของเขากังวลอยู่ด้ัวยการทำมาหากิน ก็เลยเสื่อมจากมรรคผลไปอย่างน่าเสียดาย
               พระอานนท์ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดมีวิสัยจะได้มรรคผลจะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น แล้วทำไมอานันทเศรษฐีถึงได้เสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี เพราะฉะนั้นที่บอกว่าทำบุญแล้วอธิษฐานเป็นการโลภนะ อย่าไปฟัง เราต้องการหรือไม่ต้องการ ผลนั้นเกิดกับเราแน่ จะโลภหรือไม่โลภเกิดแน่ แต่เราอธิษฐานนั่นเป็นการเจาะจงว่าให้เกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ ตัวนั้นเป็นตัวกันเอาไว้ก่อน เพื่อว่าในเวลาที่เราต้องการแล้วได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าตอนเราต้องการไม่ได้ มาตอนเราไม่ต้องการ
              บางทีถ้าเป็นอย่างอานันทเศรษฐีก็พลาดประโยชน์ใหญ่ในชีวิตไปเลย เป็นพระอนาคามีอย่างไรก็ไม่ต้องไปเกิดใหม่มาทุกข์แล้ว นี่กลายเป็นขอทานไม่ทราบว่าจะเวียนตาย เวียนเกิดอีกกี่หมื่นกี่แสนกัปป์ ต่อไปอธิษฐานให้เยอะ ๆ (หัวเราะ) จริง ๆ แล้ว แค่อธิษฐานขอไปนิพพานอย่างเดียว กว่าจะไปถึงยอดเขาตลอดทางมีอะไรมันกวาดไปหมดอยู่แล้ว   
        ถาม :  ถ้าเราอธิษฐานไปแล้วสมมติว่าเราเคยอธิษฐานในอดีตชาติ แล้วพอมาในชาติปัจจุบัน เรายังไม่รู้ว่า ณ ผลกรรมที่เราได้รับในปัจจุบันนี้ อาจเป็นเพราะว่าเราอธิษฐานไว้แล้วก็ตาม ถ้าเราขอยกเลิกการอธิษฐานของเรา...
       ตอบ :   ได้ ... อธิษฐาน ก็คือ การตั้งใจมั่น เราสามารถเปลี่ยนใจได้ มีสิทธิเปลี่ยนใจได้ทุกเวลา
       ถาม :    แล้วอย่างที่เราทำบุญแล้วนี่นะคะ เราจะอุทิศส่วนกุศล ลำดับที่เราอุทิศส่วนกุศลมีผลไหมคะ ว่าเราจะต้องอุทิศให้ผู้ใดก่อน ?
       ตอบ :    เรียกว่ามีก็ได้ มันขึ้นอยู่กับผู้รับ ถ้าผู้รับกำลังบารมีเขาสูงกว่า อยู่ในสถานที่ ๆ สมบูรณ์พร้อม จะให้ก่อนให้หลัง ท่านได้แน่นอน แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นพวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสี เหล่านี้ ถ้าให้ท่านก่อน ท่านก็จะได้เต็ม ๆ ถ้าไม่ได้ให้ท่านก่อน แต่บอกให้เป็นการทั่วไป บางทีพวกที่กำลังใจสูงกว่ามันแทรกเข้ามา มันเอาไปหมด คนที่กำลังน้อยกว่าก็อาจเข้าไม่ถึง เคยเวลาโปรยอาหารแล้วสัตว์มันแย่งกันไหมล่ะ ? ตัวที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่จะได้ ลักษณะเดียวกันเขาต้องการก็ต้องกันไม่ให้คนนี้เข้ามา
       ถาม :     ถ้าอย่างนี้ เวลาเราจะทำบุญให้ใคร เราระบุ....
       ตอบ :    เจาะจง...ระบุชื่อให้เขาไปก่อนเลย แล้วค่อยอธิษฐานอย่างอื่น 
       ถาม :     แล้วต้องจัดไหมคะ ว่าต้องให้ใครต่อ ?
       ตอบ :  ก็แล้วแต่เราชอบใจ เอาตามแบบหลวงพ่อ ท่านก็ให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน ถัดจากเจ้ากรรมนายเวร ก็เป็นเทวดาที่รักษาตัวเอง เทวดาทั้งหมดทั่วสากลพิภพ จนถึงพระยายม แล้วค่อยให้ญาติโยมที่ตายไปแล้ว จะใช่ญาติหรือไม่ใช่ญาติให้ทั้งนั้น
       ถาม :    แล้วอุทิศให้ตัวเองได้ไหมคะ ?
       ตอบ :   ได้จ้ะ แต่อุทิศให้ตัวเอง อุทิศหรือไม่อุทิศตัวเองได้อยู่แล้ว ได้ตั้งแต่ตอนทำแล้ว
       ถาม :     แล้วการกรวดน้ำ กรวดน้ำยังไงเขาจะได้ ?
       ตอบ :    แค่เราตั้งใจ ว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำในครั้งนี้ขอให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย แค่นี้เขาก็ได้รับแล้วไม่ต้องไปเสียเวลาเอาน้ำรดมือนะ ไอ้น้ำรดมือนั้นรูปแบบของพราหมณ์รดมือตัวท่านเอง เลยเป็นรูปแบบยึดต่อ ๆ มา
       ถาม :  วันก่อนได้อ่านหนังสือหลวงพ่อ ถาม-ตอบ ที่บอกว่าเมื่อเสียชีวิตปรากฏว่าได้เข้าไปในนรก ผ่านมาตลอดทางก็เจอมีอาหารมีอะไรคล้ายกับตัวเองใส่บาตร อะไรทุกอย่างของเขาเอง แล้วน้ำมีแค่ครึ่งขวด แล้วคนที่พาไปบอกว่าเวลาทำบุญตักบารตร เขาต้องใส่น้ำให้ด้วยเป็นลักษณะกรวดน้ำก็ต้องใช้น้ำ
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วให้เป็นอาหารก็สมบูรณ์แล้ว บรรดาผู้ที่ตายใหม่ ๆ อันนี้ฟังให้ดีนะ ถ้าไม่เคยฟังจากที่อื่น ๆ อาจกลายเป็นสิ่งไม่ตรงกับเค้า บรรดาผู้ที่ตายใหม่ ๆ อุปาทาน ทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องกิน ต้องใช้อะไรต่าง ๆ เหมือนกับคนอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะมาปรากฏรอให้เขา 
               แต่ถ้าหากว่าบุคคลที่ทำความดีสูง ๆ ผลบุญจะส่งให้เขามีกายทิพย์ อิ่มทิพย์ไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปกิน ถ้าใหม่ ๆ อาจต้องไปนั่งเคี้ยวอยู่หลายมื้อ ลำบากจะแย่ พอรู้ตัว เฮ้ย !?กูเป็นเทวดานี่หว่า จะเสียเวลากินทำไม ก็หายโง่ไปหน่อย ถ้าใหม่ ๆ เป็นเหมือนกันนะ พวกยังติดอุปาทานอยู่
              มันมีอยู่สถานที่หนึ่งใครเคยไปหรือยังไม่รู้ มันมีพวกบรรดาตลาดใ้ห้จับจ่ายใช้สอยกัน มีเดินเข้าเดิินออกกัน ช็อปกันให้มั่วเลย !มีเหมือนกัน พวกที่ไปใหม่ ๆ ละนิสัยมนุษย์ไม่ได้ก็ไปอยู่แถวนั้นแหละ พอรู้ตัวว่าเป็นเทวดาสบายกว่ากันตั้งเยอะ มาเดินกันให้เมื่อยทำไม เขาก็เลิก...
       ถาม :    แล้วที่เวลาเขาเผา กระดาษเงินกระดาษทองไป เขาก็ได้สิคะ ?
       ตอบ :   ได้ขี้เถ้าจ๊ะ...(หัวเราะ)
       ถาม :     ยังไม่ถามเลย ทำไมขนลุกซู่เลยเจ้าคะ ?
       ตอบ :   มันอยากลุก ขนลุกมันมีหลายอาการนะ อาการที่ร่างกายกระทบหนาวก็ขนลุก อาการกลัวก็ขนลุก อาการปีติก็ขนลุก ตัวปีติมันจะเป็นปีติเพราะตัวเองได้ทำความดี มันมีอยู่ตัวหนึ่งเขาเรียกว่า ขณิกาปิติ ขนมันลุกเหมือนกัน แล้วอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ผีจะมา อันนี้ไม่ได้พูดเล่น ถ้าเขาอยู่ในบริเวณนั้นแล้วเรารับสัมผัสได้ ช่วงนั้นขนจะลุกเกรียว เกรียว เป็นระยะ ๆ น่าตื่นเต้นไหม
       ถาม :  ตื่นเต้นเจ้าค่ะ เคยมีผีตามมาเจ้าค่ะ คือไปบ้านคนนึง แล้วเขาเสียชีวิต เราก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่ตรงที่เรายืนอยู่ เขาตายอยู่ พอยืนสักพัก กลิ่นมาแล้วเจ้าค่ะ พอกลิ่นมาไม่นาน ก็เริ่มมีอาการจะเข้ามาที่ตัวเรา เราก็วิ่งหนีออกจากจุดนั้น เหมือนแบบมีลมเหม็น ๆ วิ่งตามเข้ามา จะเข้าปากน่ะเจ้าค่ะ
       ตอบ :    รอดมาได้ ....ไม่น่าเลย อยากจะดูอีตอนโดนสิง ออกอาการยังไง (หัวเราะ)
       ถาม :     ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่ได้นึกถึงคุณพระคงแย่เหมือนกัน...
       ตอบ :    แย่เหมือนกัน แต่จำเอาไว้ว่า ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมาแล้วเราผู้เป็นเจ้าร่างไม่อนุญาต เขาทำยังไงก็สิงไม่ได้
       ถาม :    แต่คุณแม่รีบเอาน้ำมนต์เจ้าแม่กวนอิมใส่ แล้วอาเจียนออกมาเจ้าค่ะ เขาจะเข้าทางปากได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
       ตอบ :     รอบตัว ทุกขุมขนก็ได้ ไม่เป็นไร...แก้ได้แล้ว

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 15 กันยายน 2008, 02:24:18 »

http://grathonbook.net/book/4.3.html

ถาม :     มีพลังแรง ได้กลิ่นออกมาด้วย
       ตอบ :     มันก็ไม่ได้แรงอะไรนักหนาหรอก ถ้าหากว่าพลังของเขาสมบูรณ์จริง ๆ เขาสามารถปรากฏกายตอนกลางวันแสก ๆ ให้คนหมู่มากเห็นได้พร้อมกันด้วย ของเขามาได้แค่กลิ่นเท่านั้น ยังถือว่าโน่นอยู่สุดปลายตะโกนเลย 
               รายที่กำลังเขาสูงสามารถปรากฏกายออกมาพูดคุยแจ้งความประสงค์ของเขากับเราได้ รายที่กำลังต่ำหน่อย เห็นได้แต่รูปไม่ได้ยินเสียง รายที่กำลังต่ำลงไป รูปไม่เห็นแต่ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ที่ต่ำที่สุดก็คือ รูปก็ไม่เห็นเสียงก็ไม่ได้ยิน ได้กลิ่นอย่างเดียวเท่านั้น นับว่าแย่มาก ๆ เพราะฉะนั้นไอ้ที่เราเห็นหน้าตาเละเทะดูไม่ได้ ไอ้นั่นของมันเต็มที่แล้วนะ ได้สวยแค่นั้นะ นั่นสวยที่สุดของเขาแล้ว
              เพราะฉะนั้นต่อไปเจอผี อย่าไปกลัว เขาน่าสงสารมาก เป็นผู้ที่ขาดแคลนหาความสวยงามก็ไม่ได้ เปลี่ยนโลกทัศน์เสียใหม่ ผีไม่ได้น่ากลัว น่าเกลีียด แต่น่าเวทนาที่สุด พยายามเร่งตัวเองจนเต็มที่แล้ว ปั้นหน้าได้สวยแค่นั้น เพื่อมาพบกับเรา แทนที่เราจะอุทิศส่วนกุศลให้เขา วิ่งหนีไม่พอ ด่ามันอีก นั่งร้องไห้ไปหลายตลบแล้วล่ะ
       ถาม :    อย่างนั้นคนที่ตายไปแล้วยังอยู่ในสภาพนั้น คือไม่มีบุญที่เปลี่ยนสภาพเขาได้เลยหรือเจ้าคะ ?
       ตอบ :     ก็บางทีเขาพบที่มีบุญกุศลมากก็ต้องการบุญกุศลอันนั้น อย่างเช่น ว่าเราอาจะได้ทำบุญใหญ่โดยการถวายสังฆทานหรือวิหารทานมา เขาไปในบริวเณนั้น เขาอยากได้ส่วนกุศลนั้น พยายามติดต่อกับเรา แต่ไอ้เราก็หูหนวก ตาบอดขาดทิพจักขุญาณขึ้นมา พยายามเต็มที่แล้วก็ได้แค่กลิ่น ไม่รู้ทำไงเข้าสิงมันซะเลย ให้มันร้องบอกคนอื่นเป็นภาษามนุษย์ดีกว่า ถ้าหากว่าเขาสามารถที่จะใช้กำลังข่มเราลงได้ เราก็จะพูดตามที่เขาต้องการ
       ถาม :  แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ เพิ่งจะถวายสังฆทานพระประธานมา อยู่ดี ๆ คนขับรถเนี่ยะ ...ก็ขับรถเข้าไปในป่าช้า ไม่ทราบว่าเขาทำยังไง ถึงได้ดึงสภาวะของคนขับรถเข้าไปในป่าช้า ?
       ตอบ :  แสดงอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรก ก็คือ กำลังเขาสูงมาก อย่างที่สอง คนขับของเรานี่แย่ที่สุดเลย จิตอ่อนมากจนเขาสามารถครอบงำได้ง่าย แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นด้วยกรรมเนื่องกันมาทำให้เขาเห็นเราว่า เฮ้ย ! เพื่อเราหรือเปล่าหว่า ทำบุญมาขอแบ่งหน่อย จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เนื่องกันมาด้วย
       ถาม :    ถ้าอย่างนั้น ระหว่างศพที่เผากับศพที่ฝัง พลังความรุนแรงของวิญญาณ....?
       ตอบ :     ไอ้นั่นมันศพ มันอยู่ที่ตัวเขาเลย ที่จิตเขาเลย ถ้าหากว่าจิตของเขาประกอบด้วยกำลังบุญที่ทำมามาก หรือว่าความโกรธ เกลียด อาฆาตแค้น อย่างฝังใจรุนแรงมาก อันนันกำลังเขาจะสูง อีกฝ่ายหนึ่งสูงด้วยความดี ฝ่ายหนึ่งสูงด้วยความชั่ว ไอ้ศพก็คือศพ ทำยังไงก็เรื่องของมัน เผาก็กลายเป็นขี้เถ้า ฝังก็เปื่อยจมดินไป แต่ดวงจิตที่ประกอบด้วยบุญด้วยบาปต่างหากล่ะว่าทำมากน้อยแค่ไหน ถ้าทำมามากกำลังสูงก็แรงมากอย่างที่ว่า
       ถาม :    แล้วอย่างนี้ถ้าเขาเผาศพแล้วอัฐิยังเก็บไว้ในบ้านจะมีสื่ออะไรกับผู้เสียชีวิตไปแล้ว ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าเขายังไม่ไปเกิดนะ ยังประเภทติดตามอยู่ สามารถที่จะเข้าไปในบ้านกับเราได้ด้วย เท่ากับว่าเราเชิญเข้ามาเอง แหม ! อุ้มเข้ามาเลยใช่ไหม ไม่ต้องพูดถึงเจ้าที่แล้ว อุ้มเข้ามาเอง เขาก็ตามต้อย ๆ
       ถาม :    เห็นทางบ้านเขาเอากระดูกไปไว้กับโต๊ะหมู่บูชา
       ตอบ :  ถ้าไว้ต่ำกว่าพระไม่เป็นไร ถ้าไว้สูงกว่าพระก็เตือนเขาด้วยแล้วกัน บอกว่ากระดูกผีไว้ต่ำกว่าพระหน่อยก็ดีจ้า แยกออกต่างหากจะดีกว่า
       ถาม :    ทีนี้ ...แบบมีความอิจฉาเล็ก ๆ น่ะเจ้าค่ะ บางคนถูกรางวัลที่ ๑ ได้ลาภลอยกันใหญ่ ทำบุญยังไงมาคะถึงได้ตรงนี้
       ตอบ :    บุคคลที่มีลาภทางการพนัน ทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน อย่างเช่นว่าเดิม ๆ เจอเขากำลังทำบุญก็ควักกระเป๋าร่วมกับเขาไปเลย อย่างนี้จะได้ลาภการพนัน เล็ก ใหญ่ ตามผลบุญที่ตัวเองทำ บางรายถูกรางวัลที่ ๑ อาจได้สร้างพระพุทธรูปหรือถวายสังฆทานโดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจมาก่อน ไปเจอปุ๊บปั๊บก็ทำเลย แต่บุคคลที่ตั้งใจทำจะเกิดเป็นเศรษฐีเลย ไม่ต้องเสียเวลารอลาภลอย อันนั้นก็เลือกเอาว่า เราจะเอาแบบไหน แล้วก็ไปตั้งใจเกิดใหม่เดี๋ยวได้แน่ (หัวเราะ) อยากเกิดไหม ถ้ายังอยากก็เอา
       ถาม :  แล้วการทำบุญแบบไหนบ้างที่จะส่งเสริมในแต่ละด้าน ๆ เช่น บางคนมีสติปัญญา บางคนมีรูปทรัพย์ดี แล้วมีคนรัก อย่างนี้เขาต้องทำยังไงบ้าง ?
       ตอบ :     สติปัญญา ต้องให้ด้านธรรมทาน สั่งสอนเขาในธรรม หรือว่าุถวายพระไตรปิฎกเป็นต้น ทางด้านรูปสวยจะต้องเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยศีล ศีล ๕ ต้องบริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ รูปสวยหรือถ้าหากต้องการสวยเป็นพิเศษ ให้ซ่อมพระพุทธรูปเก่าที่ปรักหักพัง ให้มีสภาพตามเดิมอันนี้จะสวยเป็นพิเศษ
               แต่ถ้าอยากรวยก็ต้องให้ทานโดยเฉพาะสังฆทาน นี่เป็นมหาเศรษฐีแน่นอน ผลพิเศษเหล่านี้เลือกเอา้แล้วกันว่า เราจะเอาอันไหน แต่ถ้าหากว่าเราให้ทานใช่ไหม รวยแต่รูปไม่สวยปัญญาไม่มี ก็ลำบากนะ แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้มีศีล เราเกิดมารูปสวยแต่ปัญญาไม่มีก็แย่ หรือไม่ก็เราก็มาฉลาดแต่หน้าตาห่วยแตก ก็ไม่เอาไหนอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทำให้ครบทุกอย่างดีกว่า
       ถาม :    แล้วทำอย่างไรไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ?
       ตอบ :    อย่าฆ่าสัตว์ แม้แต่มดแดงแมงน้อย ตัวเดียวก็ห้าม ถ้าเกิดชาติใหม่จะเป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก นอกจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัว ตัวร้อน เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือว่าอาการปวดเมื่อยตามสภาพร่างกายที่ใช้งานแล้ว การเจ็บป่วยด้วยโรคภัยอื่น ๆ ไม่มี
               อีกอย่างก็ทำอย่างท่าน พระพากุละเถระ พระพากุละเถระท่านสร้างส้วมถวายวัด ช่วยปลดทุกข์ใหญ่ให้กับผู้คน โดยเฉพาะพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เกิดมาในชาติปัจจุบันที่ท่านเป็นพระพากุละเถระท่านไม่เคยเจ็บป่วยกับใครเลย ท่านเป็นพระที่พระพุทธเจ้ายกให้เป็นเอตทัคคะทางเป็นผู้มีโรคน้อย คือ นอกจากอาการปกติอย่าง หิว เจ็บ หนาว ร้อน หิวกระหาย เหล่านี้ เรื่องอื่นเช่น เจ็บหนัก ๆ ท่านไม่เคยเป็นกับใคร สร้างส้วมอย่างหนึ่ง แล้วก็อย่าฆ่าสัตว์อย่างหนึ่ง ทำมันสองอย่างเลยก็ได้
       ถาม :    อย่างนี้พวกที่เข้าผ่าตัดตลอดต้องไปทำเขามาแน่เลย ?
       ตอบ :    อย่างนั้นเศษกรรมจากปาณาติบาตแน่นอนจ้ะ
        ถาม :   ต้องทำอย่างไร ถึงจะได้กัลยาณมิตรที่ดี ?
       ตอบ :  เราชักชวนเขาทำในสิ่งที่ดี ๆ ด้วย อย่างเช่น ชวนคนให้ทำในทาน ในศีล ในภาวนา ผลที่เกิดขึ้นกับเขาส่งผลให้ชาติใหม่ถ้าเขาเกิดมาก็เป็นเพื่อนที่ดีของเราต่อไป การทำบุญชักชวนเขามีผลพิเศษ ก็คือว่า เกิดใหม่จะมีบริวารมาก มีคนมาพึ่งพาอาศัยเยอะ ได้เพื่อนก็ได้เพื่อนที่ดี
       ถาม :     ที่เป็นคู่กัน ทำยังไงถึงเป็นคู่กันได้ ?
       ตอบ :   ประกอบด้วย ๒ อย่า่ง อย่างหนึ่งเรียกว่า ปุพเพสันนิวาส คือ เคยเกื้อกูลกันมาในชาติปางก่อน ปุพพะ...ปุพเพ แปลว่า แต่ปางก่อน สันนิวาส คือการอยู่ร่วมกันมา พวกนี้ถ้าเห็นหน้ารักเลย ประเภทหนีตามกันง่าย ๆ เลย ไม่ต้องเสียเวลาจีบนาน อีกประเภทหนึ่งเกื้อกูลในชาติปัจจุบัน เห็นอกเห็นใจกัน สองประการที่จะเป็นเนื้อคู่กันได้
       ถาม :   แล้วประเภทอยู่กันไป แล้วทะเลากัน ...เขาทำกรรมอะไรกันมา ?
       ตอบ :   พระพุทธเจ้าบอกว่า ครอบครัวที่จะอยู่กันอย่า่งมีความสุข สามีภรรยา ต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ถ้าหากว่านอกเหนือจากนี้ อันไหนขาด อันไหนพร่อง เดี๋ยวก็ทะเลาะเบาะแว้งกันไป ถ้าใช้ง่าย ๆ ก็คือ บารมีเสมอกัน บางคู่เราเห็นว่าไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้
              ปรากฏว่าบารมีเขาเสมอกัน ที่เขาเปรียบคู่ว่า ยักษ์อยู่กับยักษ์ เทวดาอยู่กับเทวดา มนุษย์อยู่กับมนุษย์ ถ้าอย่างนี้จะอยู่อย่างมีความสุขใช่ไหม ถ้าเกิดว่าเทวดาไปอยู่กับยักษ์หรือมนุษย์ไปอยู่กับยักษ์ อย่างนี้ก็อาจโดนขย้ำสักฝ่ายหนึ่ง โบราณท่านเปรียบไว้เยอะ
       ถาม :     ถ้าในชาติปัจจุบันเราเป็นผู้็หญิง แล้วชาติหน้าเราอยากเกิดเป็นผู้ชายต้องทำยังไงบ้างคะ ?
       ตอบ :   ๒ อย่าง ประการแรก ถ้าแต่งงานก็ต้องเคารพสามีเหมือนพ่อ ชาติต่อไปจะเกิดเป็นผู้ชายใหม่ ประการที่สองสร้างบุญใหญ่ อย่างเช่น ว่าสร้างโบสถ์คนเดียวหลังหนึ่งเลย หรือเป็นเจ้าภาพพระประธานหน้าตัก ๔ ศอก ๘ ศอก แล้วตั้งความปรารถนาว่าผลบุญที่เราทำในชาตินี้ ชาติใหม่ขอให้เกิดเป็นผู้ชาย แล้วจะไปเกิดให้มันทุกข์ทำไม ? (หัวเราะ)
       ถาม :    เพราะคิดว่าชาตินี้คงไม่ทัน ขอชาติหน้าอีกชาติหนึ่ง แล้วนิสัยผู้ัหญิงจะติดไปอีกชาติไหมเจ้าคะ ?
       ตอบ :    การที่เราเกิดเป็นผู้หญิง เพราะเราสร้างบารมีมาน้อยหรือไม่ก็ตั้งใจจะเกิดไปเป็นเืนื้อคู่ของบุคคลอื่น ที่อธิษฐานเอาไว้ จะเกิดเป็นผู้หญิงแต่ถ้าสร้างบารมีมาถึงอุปบารมีขั้นปลาย จะเกิดเป็นผู้ชายไปเรื่อย ยกเว้นว่าผู้ชายคนนั้นเจ้าชู้มากเมียก็จะถูกบังคับไปเกิดเป็นผู้หญิงเพื่อชดใช้กรรมเหมือนกัน
              เพราะฉะนั้น อย่ามาเรียกร้องสิทธิสตรี ผู้หญิงยังสร้างบารมีมาน้อยกว่า แต่ผู้หญิงบางคนที่สร้างบารมีมามหาศาลแล้วยังเป็นผู้หญิงอยู่ เพราะว่าตั้งใจมาเป็นเนื้อคู่เขา อย่างเช่นตั้งใจเกิดเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์องค์นั้น...องค์นี้ ก็จะเกิดเป็นผู้หญิงต่อไป แต่อันนั้นบารมีท่วมหัว เขามากกว่าเราหลายเท่าเลย
       ถาม :     แล้วอย่างพวกกะเทย ?
       ตอบ :    อันนั้นว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาอยู่ในจุดระหว่างกึ่งกลางพอดี อย่างเช่นว่า บุคคลที่เริ่มจากหญิงจะเป็นชาย.....นิสัยความเป็นชายจะมาก่อน เราไปว่าเขาเป็นทอม  ที่เพิ่งเริ่มเป็นชาย แต่ว่ามาจากผู้หญิงใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงกระตุ้งกระติ้งจะติดมาเราก็ไปเรียกว่าพวกตุ๊ด แต่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องกฏของกรรมที่ปกติ ถ้าเรามองเห็นตรงจุดนี้ได้ไม่ต้องไปตำหนิใคร เพียงแต่ว่าพวกอุปบารมีช่วงนี้มันเกิดเยอะไปหน่อย ใช่ไหม ?... มันก็อาจมีผู้ชายใส่เกาะอกอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) เห็นมารึยัง มีจริง ๆ นะ บังเอิญอาตมาตาไวเห็นเข้า แหม ! แล้วเขาเองก็อยากให้เรามอง พอเรามองเนี่ยะ เชิดเชียว (หัวเราะ) น่ารักเนอะ
       ถาม :    แสดงว่าเราก็เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ?
       ตอบ :   เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ใช่ ....กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เหล่านั้นเราเคยทำมาก่อน เขาเองน่ะ ลูกหลานเราทั้งนั้น แล้วเราจะต้องไปเกลียดลูกเกลียดหลานทำไมเล่า ก็รักเขาเสมอตัวเรา ต่างคนต่างก็เกิดมาร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน
       ถาม :    แต่ละสัตว์ที่เกิดมา วิญญาณที่มีชีวิตอย่างมดปลวก พวกแมลง ต้นไม้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ?
       ตอบ :   ต้นไม้มีชีวิต แต่ว่ามีแค่วิญญาณ คือ ประสาทบังคับได้ แต่ว่าไม่มีจิต เพราะฉะนั้นต้นไม้เป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตที่เราได้ฆ่าเขาแล้วจะเป็นบาปเป็นกรรม ชีวิตที่ฆ่าแล้วเป็นบาปเป็นกรรม ต้องเป็นชีวิตที่มีจิตประกอบอยู่
       ถาม :    ชีวิตที่มีจิตประกอบ ...อย่างพวก มด ปลวก ?
       ตอบ :   อันนี้รับรองได้เลย จิตภายในของเขา ก็คือคนดี ๆ นี่เอง เพียงแต่สภาพกรรมบังคับ สภาพกรรมบังคับเขาทำให้เขาอยู่ในสภาพที่มืดบอด ไม่สามารถที่จะแสดงความต้องการอะไรมากกว่า การกินการสืบพันธุ์ การต่อสู้กันการหนีภัย แต่เขาก็เป็นชีวิตหนึ่ง ถ้าฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ระวังไว้ ถ้าเผลอไปรับโทษด้านอบายภูมิเมื่อไหร่ เกิดเ็ป็นเขาเท่ากับจำนวนที่เราฆ่า (หัวเราะ) ใครเคยฉีดมดทั้งรังบ้าง ? อย่าเผลอเกิดใหม่
       ถาม :   พวกแบคทีเรีย ?
       ตอบ :   ทำไม ? พวกเหล่านั้นกรณีเดียวกับต้นไม้ คือเป็นแค่ประสาท รับความรู้สึกของมันได้ เท่านั้นเอง มันไม่ใช่จิต
       ถาม :    ที่บอกว่าเราฆ่ามด แล้วจะทำยังไงคะ ที่บ้านมดเยอะมาก ทำไงไม่ให้อยู่ในบ้านเรา ?
       ตอบ :   สารพัดวิธีทีจะกัน ชอล์กกันแมลงนันก็มี ขีดเส้นไว้เสีย
       ถาม :     เคยทำแล้ว เห็นจะจะเลยค่ะ ว่ามันผ่านระหว่างรอยต่อ ระหว่างชอล์กนั่นแหละค่ะ 
       ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเสี่ยงตัวเองเข้าไปด้วย คือฉีดยา แต่การฉีดยานี่อย่าไปฉีดให้ใส่เขา อย่างเช่นฉีดใส่ผนังห้องให้กลิ่นมันออก เดี๋ยวเขาก็ไป เราฉีดให้ทั่ว แล้วก็ฉีดบ่อย ๆ คราวนี้เราเองเราจะตายก่อนมดหรือเปล่า ? เพราะสมัยนี้มันแรงจังเลย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 17 กันยายน 2008, 21:38:16 »

http://grathonbook.net/book/4.4.html

ถาม :   แต่ถ้าเราฉีดแล้วบังเอิญโดนมันตายล่ะคะ ?
       ตอบ :     ไอ้นั่นถ้าไม่มีเจตนากรรมมันน้อยลง โทษมีเหมือนกัน แต่น้อย การฆ่าสัตว์โทษ ๑๐๐% ก็ต่อเมื่อ
               ๑)   สัตว์นั่นมีชีวิตอยู่
               ๒)   เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่
               ๓)   เราตั้งใจฆ่า
               ๔)   เราลงมือฆ่า
               ๕)   เราฆ่าสำเร็จ
               ถ้าประกอบด้วย ๕ ส่วนนี้ โทษ ๑๐๐% ส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่องโทษลงไปตามส่วน เจตนาไม่มี นี่ปกติแล้วถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไปเขาไม่ปรับซะด้วยซ้ำ ยกเว้นบรรดาผู้มีจิตละเอียดมาก ๆ นั่น ไม่มีเจตนาก็เอาซะหน่อย
       ถาม :     ถ้าเราเจตนาฆ่าสัตว์ แต่ว่าในระหว่างทำร้ายนี่มีการทรมานสัตว์อย่างไหนจะ ....?
       ตอบ :     ก็เหี้ยมกว่าเดิม โทษหนักขึ้น หนักกว่าเดิมจ้ะ
       ถาม :  แล้วเวลาเราไปทานอาหารเราไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรกับเจ้าตัวที่เรามองไม่เห็น เหมือนว่าเราจะสั่ง จะกินปลาตัวนี้ อย่างนี้ เราไม่รู้ว่าเขาไปจัดการมันมา แล้วเรามารู้ทีหลังว่าทำยังไง ?
       ตอบ :     อันนั้นไม่ต้องจ้ะ สำหรับคนทั่ว ๆ ไป เขาไม่ปรับ สำหรับพระถ้าไม่รู้ว่า เขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ฉันได้ แต่ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ประเภทที่เรียกว่า เดินเข้าไปหลังครัว เสียงทุบโป้ง โป้ง ดิ้น ปั๊บ ปั๊บ เลยล่ะัชัวร์แน่เลย เขาทำให้เราแน่เลยใช่ไหม ! เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เลือดสาดกระจายอยู่ตรงหน้าหรือรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา คือ เขาเอามา เอ...นี่เขาทำให้เรากินนี่หว่า มันทำให้สัตว์ตายลง ถ้ากินเข้าไปท่านปรับอาบัติทุกคำกลืนน่ะ นี่ของพระ แต่ถ้าของฆราวาสนี่ ถ้าไม่ได้สั่งเขาฆ่า ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง กินไปเหอะ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงมันก็ตายอยู่แล้ว
       ถาม :      แล้วมันไม่ติดตามเรา ทวงหนี้กรรมเหรอคะ ?
       ตอบ :    เรื่องของธรรมะ ตรงไป ตรงมา ใครทำ คนนั้นรับไป คนฆ่ารับไป คนสั่งรับไป ถ้าเราไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า เขาทำให้เรียบร้อยแล้วก็กินไปเหอะ 
       ถาม :    ก็มีอยู่ ตอนนั้นไปเจอค่ะ เจ้าของเนื้อ เวลาที่ตายเขามาทวงเนื้อเขาอยู่น่ะค่ะ อย่างนี้เขาตามมาได้ไงเจ้าคะ ?
       ตอบ :     เขาทวงเราหรือทวงคนฆ่า ?
       ถาม :      ตามทวงหมดเลยเจ้าค่ะ ทำได้ไง ?
       ตอบ :     อันนั้นเขายังยึดอยู่กับอุปาทานมาก ไอ้อันนั้นเป็นตัวเขาของเขา ดวงจิตที่มุ่งมั่นมาก ก็ไปตามตัวเขาคืน คือ ส่วนที่แยกเป็นชิ้นส่วนไปแล้ว มันมีอยู่รายหนึ่งในประวัติหลวงปู่มั่น มันมี ...หมูมันโดนฆ่าตาย เสร็จแล้วเขาวิ่งมาบอกแม่ชีล่วงหน้าเลย บอกว่าพรุ่งนี้จะมีคนเอาเนื้อผมมาถวายช่วยกินหน่อยนะครับ ผมอยากจะได้บุญแล้วอันนั้น เขารู้ว่ามาถวายผู้มีศีลแน่ ก็เลยขอให้ช่วยซะหน่อย คือ อย่างน้อย ๆ ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ตายแล้วก็ขอให้ได้บุญด้วยเนื้อตัวเองครั้งสุดท้ายก็ยังดี แบบนั้นก็มี
              แต่ไอ้ที่มันตามทวงอยา่งนั้นมันยึดติดตัวเองมากไปน่ะ ต้องเกิดแบบนั้นอีกเยอะเลย คือว่า ยึดในความสมมุติว่าเป็นวัว ยึดในความเป็นวัว ก็ต้องเกิดเป็นวัวต่อไป
       ถาม :      แล้วอย่างนี้สภาพดวงจิต ถ้าเราตายไปแล้ว จากสภาวะที่เราเป็นมนุษย์ เป็นดวงจิตที่ต้องการไปเกิดในภพชาติใหม่
       ตอบ :    ต้องเป็นไปตามบุญตามบาปที่ตัวเองทำ ดวงจิตอันนั้น ถ้าหากว่าตัวเองสร้างบุญบารมีไว้พอดี ปรากฏออกไปก็เป็นกายเทวดา ของพรหม หรือว่าของพระนิพพานในนิพพานไปเลย จะเปลี่ยนสภาพไปเลย แต่ถ้าหากว่าทำชั่วไว้มากลงนรกตรงเลย ก็เป็นกายของสัตว์นรก ก็เป็นกายของเปรต เป็นกายของอสุรกาย เป็นกายของสัมภเวสี หรือไม่ก็เป็นกายของสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเห็นเป็นกายของสัตว์เดรัจฉาน ก็เกิดเป็นสัตว์แน่นอน เห็นเป็นกายอะไรก็เป็นนั้นแน่นอน
       ถาม :      ช่วงเวลา อย่างสมมุติว่า คนเริ่มที่จะเกิดเนี่ยะ สภาวะจิตเริ่มที่จะมาจับเป็นร่าง ...?
       ตอบ :     อย่างนั้น มันแล้วแต่บุญแต่กรรมของเขา บางอย่างทันทีที่เชื้อของพ่อกับไข่ของแม่ผสมกันปุ๊บ จิตจับเลยก็มี แต่ขณะเดียวกันไปจับช่วง ๓ เดือน ๖ เดือนก็มี ไปจับตอนกำลังคลอดก็มี คลอดออกไปแล้วตาย แล้วค่อยไปจับเอาจิตนั้นเข้าแทนก็มี อย่างนี้มันมีตัวอย่าง คือท่านเจ้าคุณเล็ง ท่านตายแล้วคิดถึงน้องสาว ไปเยี่ยมน้องสาว อีคราวนี้น้องสาวคลอดลูกอยู่ น้องสาวตาดีเห็นพี่มา ก็บอกพี่ว่า อย่ามารบกวนหนูเลย อย่ามารบกวนหลานเลยพี่ตายแล้วไปตามทางของพี่เถิด ก็อายน้องสาวขึ้นมา ตั้งใจจะถอยออกไป สะดุดล้มขึ้นมา รู้สึกว่าหัวหมุนวูบ รู้ตัวอีกทีมาอยู่ในตัวหลานแล้ว...
       ถาม :     แล้วจิตในหลานไม่มีอยู่ก่อน ?
       ตอบ :  มีอยู่ก่อน แต่มันถึงวาระพอดี เขาทำกรรมหนักมา ถึงเวลาตอนนั้นเขาตายพอดี อันโน้นออกปุ๊บอันนี้เข้าเลย ในอภิธรรมบอกไว้ชัดเลย ปุเรชาตะ ปัจจะโย ปัจฉาชาตะ ปัจจะโย ปัจจัยของการเกิดก่อนเกิดหลัง อันเกิดก่อนปุ๊บ อันเกิดหลังนี่แทรกเข้าไปเลย ก็เลยกลายเป็นลูกของน้องสาวตัวเอง แต่ไม่ยอมเรียกแม่ เรียกน้องอยู่ตลอด เด็กตัวกะเปี๊ยกเรียกแม่ว่าน้อง (หัวเราะ)
       ถาม :     แล้วตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ไหมคะ ?
       ตอบ :    มรณภาพไปแล้ว ท่านบวชพระ จนกระทั่งเป็นเจ้าคุณ ใครเคยได้ยินมั่ง เขาเรียกเจ้าคุณเล็ง
       ถาม :  จะอธิบายอย่างไงว่าการแสวงหาความเป็นตัวของตัวเองในเยาวชนธิปไตย และแสวงหาประสิทธิภาพบนความทุกข์ตรงนี้ หลวงพี่เป็นพระจะอธิบายหน่อยได้ไหมคะ ?
       ตอบ :    พยายามบอกกับเขาว่าให้อยู่อย่างมีสติ เราจำเป็นต้องรู้เท่าทันโลก
       ถาม :     เห็นด้วยกับการสอนในลักษณะที่บอกกับคนอื่นว่า ?การแสวงหาอย่างนี้นี่มันเป็นทุกข์? หลวงพี่เห็นด้วยกับประโยคนี้ใช่ไหมคะ ?
       ตอบ :  เห็นด้วย แต่ว่าเราบอกเขาทีเดียวไม่ได้ การรับได้ของเขาหรือว่ารับไม่ได้นั้น มันทำให้สิ่งที่เราสามารถบอกตรงหรือว่าต้องอ้อมเป็นระยะอีกยาวไกล สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราจะต้องรู้ว่าแต่ละคนอยู่ในจุดไหน ที่เราจะสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ทางด้านนี้ให้กับเขาได้มากน้อยสักเท่าไร เท่าที่พบ ๆ มา แล้วก็ได้บรรยายให้พวกนักเรียนนักศึกษาฟัง
               ส่วนใหญ่ก็จะย้ำเรื่องนี้ว่า เราจะต้องอยู่กับโลกอย่างมีสติ เราปฏิเสธความเจริญหรือเทคโนโลยีไม่ได้ แต่เราต้องใช้สติสัมปชัญญะกับมันให้มาก ๆ ไว้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าเราไหลคล้อยตามกระแสของมันไป จะดึงตัวเองออกมาได้ยากมาก   
        ถาม :  ทีนี้พูดถึงสติ พูดถึงสัมปชัญญะกับคำว่าคนรุ่นใหม่ แม้แต่บทบาทหน้าที่ ก็ไม่ได้เถียงพวกคนรุ่นใหม่อีกด้านหนึ่ง ยังตีตัวเองด้วยว่า บางทีแม้แต่บทบาท แม้แต่หน้าที่ของตัวเราเองเรายังรักเลย จะไปถ่ายทอดหรือว่าสติ หรือว่าสัมปชัญญะนี่ ได้หรือ เขาก็อาจจะเข้าใจในลักษณะของคำพูด แต่ใจทางปฏิบัติจริง ๆ แล้ว เขาจะเข้าใจหรือคะ ?
       ตอบ :    ตัวเราเองต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ถ้าตัวเราเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วเขาเห็น โดยเฉพาะเขาเห็นแล้วเห็นด้วย เขาก็จะคล้อยตามมาครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วหลังจากนั้นเราให้อะไรเขาก็จะรับได้ง่าย เพราะว่าตัวเราน่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นตรงนี้มันจะสำคัญตรงที่ว่า ตัวเราเองมีความน่าเชื่อถือสำหรับเขาเท่าไร
       ถาม :      ถ้าเป็นการพูด  แน่อนว่าความน่าเชื่อถือจะมีนะคะ
       ตอบ :    ไม่แน่ ข่าวคราวต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้มันอาจทำให้ความน่าเชื่อถือหมดไปเลยก็ได้
       ถาม :  แต่ถ้าอย่างพระนี่ ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในระดับหนึ่ง ความน่าเชื่อถือจะมี แต่ถ้าในลักษณะของครูบาอาจารย์ธรรมดา เป็นปุถุชนคนธรรมดา วิธีการเหล่านี้มันได้ผลไหมคะ ?
       ตอบ :     ถ้าหากตัวเราสามารถเป็นตัวอย่างได้ เราพูดอย่างไร เราทำอย่างนั้น ความน่าเชื่อถือมันจะมีเอง คราวนี้มันสำคัญอยู่ตรงเรานี่ ว่าเราเองนี่แหละ เราจะบอกให้เขาทำโดยที่เราเองไม่ทำให้เห็นผลก่อนนี่ ตัวอย่างมันไม่มี ในเมื่อตัวอย่างมันไม่มี ถ้าปัญหาเกิดขึ้นหรือว่าเกิดการซักถามขึ้นมาเราจะไปตอบเขาอย่างไร มันก็เลยต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน
       ถาม :  เพราะว่าคำถามในลักษณะแบบนี้ คือ ไม่ได้เห็นด้วยโดยเฉพาะมาพูดถึงว่า คนรุ่นใหม่กับสภาพแวดล้อม แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งที่เขาบอกคือมันถูก แต่วิธีการที่จะมานำเสนอ มันเป็นของ ...ตรงนี้แหละ รู้สึกว่าถ้าเป็นคนรุ่นใหม่แล้ว การใช้วิธีการที่เหมือนแบบเดิม
       ตอบ :     มันไม่ได้ มันจะต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัย อย่างที่ไปบรรยาย ๆ ให้พวกนักเรียนนักศึกษาฟัง เราเองต้องทำตัวเป็นคนรุ่นใหม่ ต้องพูดภาษาเดียวกับเขาเลย คนรุ่นใหม่เขามีภาษาเฉพาะของเขาอยู่ เราเองเราก็ต้องเข้าไปกับเขาให้ได้ เท่าที่บรรยายมา ส่วนใหญ่เขาถามว่า ?เมื่อไหร่หลวงตาจะมาอีก?...ติดใจ เพราะเราพูดภาษาเดียวกับเขา พอเขาเห็นว่าเราเป็นพวกเดียวกัน สิ่งที่เราบอกไปเขาก็จะสนใจมากกว่าปกติ คราวของเราเราทำใจได้มั้ย มันจะกลายเป็นว่าแก่แล้วยังต้องทำตัวเป็นเด็กอีก (หัวเราะ)
       ถาม :  ไม่รู้ว่าตอนนี้คือ ฟังไอ้ตัวคำถามนี่ ก็ไม่เห็นด้วย คือมันโดยเฉพาะที่เห็นอาจารย์ทางด้านปรัชญาด้านพระพุทธศาสนา คือมีความรู้สึกว่าทำไมรูปแบบของอาจารย์ทางด้านปรัชญาด้านพระพุทธศาสนาต้องคร่ำครึ ?
       ตอบ :    มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ของเราเองจำเป็นต้องปรับตัวตามโลก แต่ว่าเราไปแค่กรอบของตนเท่านั้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ผิดศีลผิดธรรมไม่เป็นโลกะวัชชะ คือทำให้โลกติเตียนเรา เราก็ทำสิ่งนั้นได้
              โดยเฉพาะที่เราถ่ายทอดประสบการณ์ทางด้านธรรมะสำหรับลูกศิษย์แล้ว จำเป็นมากที่จะต้องเอาสถานการณ์ปัจจุบันแทรกเข้าไปให้มากที่สุด เพื่อให้เค้าเรียนรู้จากปัจจุบันให้มากที่สุด ถ้าเราไปยกอดีต อตีเตพรหมทัตโต สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสีเด็กหลับหมด (หัวเราะ) มันต้องสมัยนี้ สมัยทักษิณเป็นนายก ถ้าเราสามารถเอาตัวอย่างปัจจุบันได้ เขารับรู้ข่าวสารในปัจจุบันนี้อยู่ เขาจะรู้สึกว่า เออ...มันไม่เก่าจนเกินไป มันพอรับไหว แล้วเราก็ค่อย ๆ สอดแทรกเนื้อหาเข้าไป แต่คราวนี้ไปเจออาจารย์เขาเล่นมาอีท่านี้ ใช่ไหม?
       ถาม :  คือ...เขาก็มีคำถามในลักษณะแบบนี้ต่างกัน แต่เป็นตั้งผิด คือ ตอบคำถามแบบนี้ประมาณ ๕ หน้ากระดาษ เราก็ปฏิเสธคำถามนี้ทันที ตรงที่ว่าคือลักษณะของคำถามมีคำตอบให้แล้ว ก็คือบอกว่าการแสวงหาตัวตนหรือการแสวงหาความเป็นตัวของตัวเอง การแสวงหาเสรีภาพเป็นเรื่องของความสงบ เพราะท่านเป็นอาจารย์ปรัชญา ด้านพระพุทธศาสนา ท่านจะนำเสนอยังไง คือเรามองว่ามีคำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่หาเหตุผลเพื่อไปสนับสนุน คือคำตอบปฏิเสธเขาว่า การใช้ลักษณะคำถามแบบเนี้ย ในความเป็นจริงมันไมไ่ได้ถูก
       ตอบ :  ไม่ได้หรอก ประเภทคำถามมันเอาคำตอบอยู่ในตัวแล้ว แล้วทำไมจะต้องให้นักเรียนหาคำตอบอีกล่ะ ความจริงแล้ว ถ้าหากอาจารย์ไม่ใช่ผู้ที่หยุดอยู่กับที่ มีการศึกษาอยู่เสมอ ไอ้เคสแปลก ๆ แบบของเรามันจำเป็นมาก จำเป็นต้องมีเลยล่ะ ถ้าหากว่าไม่มีจะขาดการกระตุ้น ทำให้อาจารย์ไม่กระตือรือร้นขาดความสนใจ แล้วมันจะเกิดการตายนิ่งทางวิชาการ แล้วก็น้ำเน่า
       ถาม :  โดยส่วนตัวแล้วเข้าใจว่าลักษณะของนิพพานเมื่อชัดเจนเหมือนกับภาพมันวูบ ๆ หรือตัวที่มันวูบ ๆ เหมือนกับว่า ...เราคิดไปเอง
       ตอบ :     (หัวเราะ) เอ้า...เดี๋ยวสรุปให้ฟังดีกว่านะ นิพพานมีอยู่จริง ...มีทั้งลักษณะเป็นสถานที่ แล้วก็มีทั้งลักษณะเป็นอารมณ์จิตที่เข้าถึง แต่ว่าทั้งสองอย่างรวมแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือถ้าเราเข้าถึงจุดนั้น เราก็จะรู้ได้ว่าสภาพนิพพานที่แท้จริงเป็นอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องของปุถุชนที่จะมาคิดว่า คาดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ผลของการกระทำจะเกิดขึ้น ผลของการกระทำอันนี้แหละ ทำให้สถานที่ต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อรองรับเขา ถ้าชั่วก็จะมีสัตว์นรก คือแดนนรก แดนเปรต แดนอสุรกาย แดนสัตว์เดรัจฉาน ขึ้นมารองรับเขา ถ้าดีก็มีแดนแทวดา แดนพรหม แดนนิพพาน ขึ้นมารองรับเขา จะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นแน่
              แต่ว่าสภาพของนิพพานนั้นเรียกว่าอัตตาไม่ได้ เพราะว่าถ้าเป็นอัตตา ก็ต้องมีอนัตตาคือเสื่อมสลายไปเป็นปกติ แต่เรียกว่าเกิดขึ้นก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าเกิดขึ้นมันก็ต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามันเป็นทิพย์พิเศษต่างหากออกไปอย่างหนึ่ง ใช้คำว่า อัตตา อนัตตา มันก็มัวแต่ไปง้างกันอยู่ ค้านกันอยู่ คราวนี้อีกสองอย่างนี้ ถ้าเราเอาขึ้้นมาตีกันเมื่อไหร่ ก็คือเราเอากิเลสมาชนกัน เท่าที่ดูมาแล้วในพระไตรปิฎกมีคำเดียวที่อธิบายคำว่า นิพพานได้ชัดเจนที่สุดก็คือคำว่า ตถตา ...ธรรมชาติเขาเป็นเช่นนั้นเอง

chon

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 18 กันยายน 2008, 02:10:27 »

อนุโมทนาสาธุ ท่านโนบอดี้ด้วย ครับ ;khhg

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 18 กันยายน 2008, 21:13:31 »

http://grathonbook.net/book/4.5.html

ถาม :  เมื่อคำถามมันมีมาที่จะพูดจะเล่นโต้กันในระดับของตัวบัญญัติ เพราะฉะนั้นการที่เขาพูดมาถึงสิ่งที่เป็นอนัตตา โดยความข้องใจที่เขาพยายามอธิบาย คือ กำลังจิตในลักษณะที่เป็นดินแดน แต่โดยความเข้าใจของตัวเองคือไม่เคยไป ไม่เคยเห็น ไม่เคยอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าเกิดว่า...มันน่าจะมีจุดนั้นที่รองรับบุคคลที่มีธาตุ รู้ตัวเนี่ย...เขาขึ้นแก่ตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าสถานที่จะเรียกว่าอะไร แต่ก็ข้อสอบไปอีกเหมือนกันว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่ถูกพูดโดยบัญญัติ ตราบใดที่บัญญัติพูดได้ นั่นก็หมายวามว่า เป็นเรื่องของสมมติสัจจะ เพื่อให้เหตุผลเขาไปอีกแบบนั้น ไม่มียกใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าไม่รู้ว่าในคัมภีร์เนี่ย บาลีท่านว่ายังไง
       ตอบ :    (หัวเราะ)  พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อัตถิ ภิขเว ตทายตนัง ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นย่อมมีอยู่ อายตนะ แปลตรง ๆ ว่า สถานที่เลยก็ได้ แปลว่าเครื่องรับรู้ก็ได้ เพราะว่าถ้าไม่มีอายตนตัวรับรู้ได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า นิพพานนัง ปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ใช่ไหมล่ะ แต่เพียงแต่ว่าเราจะเสียเวลาไปยกคัมภีร์ไปทะเลาะกันอะไร ลักษณะที่ว่าต่อให้เป็นการโต้คารมเพื่อความรู้ก็ตาม ถ้าเราไม่รู้จริงไม่สามารถสัมผัสได้จริงพูดเมื่อไหร่ก็ผิดเมื่อนั้น
       ถาม :    ปัญหาก็คือว่าเอาสิ่งที่หลาย ๆ คนไม่รู้มา...
       ตอบ :    คือ ตัวอาจารย์เองก็ไม่รู้จริง แล้วก็มานั่งเพื่อเปิดเวทีโต้วาทะกับลูกศิษย์ว่ามันเป็นอย่า่งไร
       ถาม :  คือ...เหมือนกับคนที่ไม่รู้สองคนกำลังทำอะไรก็ไม่รู้และสิ่งที่พูดกันออกมาก็ไม่รู้ แต่บางทีผลตรงที่ว่ามันถูกจารึกไว้เป็นตัวอักษรลงไป ทั้ง ๆ ที่เห็นว่ามันมีความจำเป็นหรือเปล่าที่จะต้องมานั่งบอกว่าเรียนเรื่องศาสนาเรื่องของปรัชญา ก็เลยเอาสิ่งที่ทุกคนได้ยอมรับว่ามันเหนือสมมุติ มันเป็นปรปักษ์อะไรสักอย่างหนึ่ง ทำข้อสอบก็ปฏิเสธไป แต่ว่าจากความรู้สึกซึ่ี่งมันก็ตอบว่าไม่ใช่ ตอนนั้นสถานการณ์ผู้ที่เรียนปรัชญาและศาสนาก็ผิดแต่อยู่ในความเป็นบุญ
       ตอบ :    คือมันผิดตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะศาสนาพุทธไม่ใช่ปรัชญา ปรัชญามันเป็นแค่การเทียบเคียงเท่านั้น แต่ศาสนาพุทธเป็นอริยสัจคือความเป็นจริง เป็นความเป็นจริงที่ทุกคนสามารถค้นพบได้ไม่ใช่ลักษณะพรรณาโวหารกัน อย่าลืมว่าอริยสัจคือความเป็นจริงของเรามันอะไรล่ะ ทุกข์ใช่มั้ย เหตุของการเกิดทุกข์ แล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร สอนปฏิปทาของความดับทุกข์ เมื่อเข้าถึงทุกข์ดับแล้วก็คือนิโรธ ใช่มั้ย
               สิ่งที่ท่านค้นพบเรียกว่า อริยสัจ คือ ความเป็นจริง เป็นจริงอย่างประเสริฐ คือ เถียงไม่ได้ด้วย สภาพที่แท้จริงของของทุกสิ่งทุกอย่างจัดอยู่ในไตรลักษณ์ คือถือว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้ยึดถือมั่น หมายถึง เวลาตายก็พังไปหมด เพราะฉะนั้นไอ้หลักวิชานี้มันเริ่มต้นขึ้นชื่อวิชามันก็ผิดแล้ว มันผิดตรงที่ว่ามันเป็นปรัชญาแล้ว มันไม่ใช่ปรัชญาแต่เป็นความจริงเลย
       ถาม :  ก็อยากจะถามอาจารย์ด้วยเหมือนกันว่าทำไมต้องนั่งเถียง แต่ว่าในฐานะของผู้สอนต้องทำไปตามนั้น แล้วก็โชว์สิ่งที่ไม่รู้ได้เต็มที่เลย
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วเราทำถูกนะ เราไม่รู้ก็บอกไม่รู้ แต่ว่าผู้ที่สอนน่ะ ในเมื่อมาถึงระดับนี้แล้วน่าจะมีความรู้ที่แท้จริงของตัวเอง ไม่ใช่ศึกษาจากตำราแล้วเชื่อตาม การศึกษาจากตำราแล้วเชื่อตาม พระพุทธเจ้าท่านว่า ในกลามสูตรแล้วใช่มั้ยว่า อย่าเชื่อมันต้องทำให้ได้เห็นผลจริง ๆ แล้วค่อยเชื่อ เราจะเชื่อโดยสมณะนี้เป็นครูของเราก็ไม่ได้ โดยมีอ้างไว้ในตำราก็ไม่ได้ โดยเชื่อเพราะตรองแล้วว่าเข้ากับทิฏฐิ คือ ความเห็นของเราก็ไม่ได้ ท่านให้เชื่อก็ต่อเมื่อพิสูจน์แล้วด้วยตนเอง
       ถาม :     ถ้าพูดถึงเรื่องของการเกิด เวลาที่ผู้หญิงได้ตั้งครรภ์โดยสภาพการณ์หรือว่าคำว่าชีวิตนี่เกิดขึ้นเมื่อไหร่คะ ?
       ตอบ :    เมื่อจิตคือตัวรู้เข้าจับในสังขารที่เริ่มก่อเกิดนั้นซึ่งไม่เท่ากัน บางคนทันทีที่เชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่ปุ๊บตัวจิตนี้ก็เข้าไปจับเลย แต่บางคนอาจจะรอถึง ๓ เดือน ๖ เดือน ถึงเข้าไปจับ บางคนอาจจะรอจนกระทั่งใกล้คลอดแล้วค่อยไปจับ บางคนนี่คลอดออกมาแล้วค่อยเข้าไปจับก็มี
       ถาม :     ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นคะ ?
       ตอบ :    ก็มันแล้วแต่ตัวกรรมที่ชักนำให้จิตนั้นเข้ามา ถ้าหากว่าของเขาเองจำเป็นต้องทรมานมากหน่อยก็เริ่มมันตั้งแต่วันแรกเลย ถ้าหากว่าน้อยหน่อยก็รอจนวาระสุดท้ายก็ได้ แต่ขณะเดียวกันว่าตัวบุญของเขาก็มีอยู่
              อย่างเช่น พระโพธิสัตว์เนี่ย ถ้าหากว่าตั้งแต่วันแรกเลยตัวจิตเข้าไปจับปุ๊บ ด้วยตัวบุญของเขาไม่ทำให้เขารู้สึกเลยว่าทุกข์ แล้วขณะเดียวกัน จิตรู้ก็สามารถรับรู้อาการทั้งภายในและภายนอกพร้อมกันด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีบางรายที่ออกมาข้างนอกแล้ว อาจจะ ๓ เดือน ๖ เดือนแล้วตายแล้วจิตถึงเข้าไปจับก็ได้ จิตเดิมพออกไปจิตใหม่มาแทรกปุ๊บเลย ก็ทำให้ชีวิตนั้นอยู่ต่อไปแต่จิตเป็นคนละดวง
       ถาม :  เหมือนกับว่ามันคงจะจ้องเข้าบ้าน เดินเข้ามาจังหวะของเขาจะเข้าบ้านนี้ ตัวรู้เนี่ย ฟังดูเหมือนไม่ได้ทิ้งไม่ได้ขาดเนื่องเลย คืออยู่นอกบ้านปุ๊บก็เข้ามาถึงบ้านแล้ว แล้วทำไมเราถึงลืมสิ่งที่มันเคยเป็นมา ?
       ตอบ :    มันผ่านประสบการณ์อื่นที่เข้ามาขัดจังหวะอยู่ช่วงหนึ่ง ต้องใช้คำว่า กฎของกรรมก็ได้ อย่างเช่น ถ้าว่าเราตายปุ๊บ เราลงนรกใช่ไหม...เราอาจจะต้องพ้นจากนรกมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว ค่อยมาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย...มันจะทำให้ลืมชาติเก่าที่เป็นมนุษย์ เนื่องจากผ่านระยะเวลาที่นานมาก แต่ถ้าเราตายจากมนุษย์คือตายตอนนี้ปั๊บ แล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์เลย เราจะจำได้เหมือนกับหลับแล้วตื่น เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าสังเกตดูแต่ละคนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการระลึกชาติได้ ส่วนใหญ่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนทันที
              ลองไปอ่าน ๆ ดู พวกที่ว่าระลึกชาติได้ ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนเลย ทำให้เขาสามารถระลึกได้ เพราะมันเหมือนกับว่าหลับแล้วตื่น แต่ถ้ามีประสบการณ์อื่น อยา่งเช่นว่า เป็นเทวดาคั่นอยู่หรือว่าตกนรกคั่นอยู่อะไรนี่วาระของบุญของกรรม ที่มันเป็นตัวควบคุมนี่ก็จะตัดความรู้อันนั้นขาดเนื่องลงไป
       ถาม :    ฟังดูแล้วเนี่ย มันก็คือไม่ว่าจะไปโดยสภาวะหรือสภาพใดก็ตาม มันก็ยังน่า...ตัวสัญญา...
       ตอบ :   ตัวสัญญามันยังบันทึกความจำอันนั้นอยู่ จนกว่าเราจะไปฟื้นมันขึ้นมาใหม่ วิธีการฟื้นก็คือ ฝึกพวกทิพจักขุญาณ แล้วก็ไประลึกชาติย้อนหลังได้   
        ถาม :   อย่างว่า ...เราหมดจากชาตินี้แล้ว พอเราตายไปตัวสัญญามันก็ยังคงอยู่
       ตอบ :      มันคงอยู่ มันไม่ไปไหน
       ถาม :     ทีนี้ ถ้ามันคงอยู่ แล้วทำไมมันเกิดลืม ในเมื่อตัวสัญญาก็ทำงานของมันไป
       ตอบ :  สมมติว่าเราตายปุ๊บจากชาตินี้นะ เราขึ้นไปเป็นเทวดาจริง ๆ แล้วมันยังจำได้ ใครเป็นญาติเป็นโยม เป็นพี่เป็นน้องของเรา แต่ว่าความสุขเฉพาะหน้าที่มันปราณีตยิ่ิงกว่าทำให้เขาเพลินอยู่กับตรงจุดนั้น แล้วก็หลงลืมอันนี้ไป ขณะเดียวกันถ้าเขาลงนรก ทุกข์โทษที่เขาได้รับมันก็สาหัสสากรรจ์ จนกระทั่งความคิดที่จะมาจดจำไอ้เรื่องเก่ามันไม่มี นอกจากภาวะเฉพาะหน้าของตน ก็เลยทำให้สิ่งนั้นเลือนไป
               เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่ามันมีการที่คั่นด้วยสุขหรือทุกข์ของชาิติที่ต้องรับแล้ว โดยไม่ได้เกิดมาเป็นคนทีเดียวส่วนใหญ่จะจำไม่ได้ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านันมันจะไปบันทึกอยู่ในสภาพของจิตเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถจะทำทิพจักขุญาณให้เกิดได้ เราย้อนกลับไปดู เราสามารถที่จะย้อนกลับไปดูทุกชาติที่เราต้องการ
       ถาม :    หมายความว่า ความจำในที่นี้ คือสิ่งที่เราจำไมได้ ไม่ได้หมายความว่ามันถูกเลือนไป ?
       ตอบ :      มันไม่ได้ถูกเลือนไป เพียงแต่เราจำมันไม่ได้ เพราะมันอาจจะนานเกินไป ถามตอนเด็ก ๆ เราทำอะไรมาบ้าง เราจำไม่ได้ ใช่ไหม...แต่ถ้าหากว่าเราฝึกทิพจักขุญาณได้ เราย้อนไปดู ความจำนั้นก็จะคืนกลับมา มันก็มีเครืองมือที่จะย้อนกลับไปค้นคว้าข้อมูลอันนั้นขึ้นมาใหม่ เพียงแต่ว่าอันนี้พอพระพุทธเจ้าท่านสอนแล้ว คนส่วนใหญ่เห็นว่ายาก พอยากแล้วก็ปฏิเสธหรือไม่ก็ไม่มีความสามารถที่จะทำให้ถึงได้ ก็จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนทุกอย่างท่านท้าพิสูจน์เอาไว้เลย
               ในเมื่อท่านต้องการให้เราพิสูจน์แต่เราเองไม่พิสูจน์ แล้วเราก็ปฏิเสธหรือว่าเชื่อโดยตรงเลย มันก็จะทำให้เรากลายไป ๒ สถานก็คือว่าถ้าเชื่อถูกก็เป็นอันว่ากำไร แต่ถ้าเชื่อโดยงมงาย โดยที่ผิดพลาดไป เราก็ขาดทุน เมื่อกี้เข้าใจถูกแล้ว ความจำนั้นยังจำอยู่ มันไม่ได้หายไปไหน แต่ว่าระยะเวลาที่ยาวนานทำให้ความจำนั้นมันเลือนไป เราก็ต้องฟื้นความรู้สภาพจิตเราให้แจ่มใสเหมือนเดิม แล้วเสร็จแล้วก็ย้อนกลับไปดูใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้ว แต่ละชาติแต่ละภพที่ผ่านมาจิตมันโดนพอกด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ทำให้ความแจ่มใสของมันมัวหมองลงไป ไอ้ตัวจำมันก็พลอยเลือนไปด้วย
       ถาม :  เมื่อกี้นี้พูดถึงประเด็นที่ว่า การรับรู้ของแต่ละบุคคลในการที่อยู่ในครรภ์ของมารดาจะต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าจิตของใครจะเข้าไปในช่วงนั้น ถ้ากรณีไปอยู่ประมาณ ๕-๖ เดือนแล้ว จิตก็ยังไม่เข้า แล้วสภาพ สภาวะ ของชีวิตตรงนั้นมันไม่มีตัวจิตเข้าไปอยู่
       ตอบ :  เขามีชีวิตเป็นปกติ เพราะว่าตัววิญญาณคือตัวประสาทความรู้สึกอะไรต่าง ๆ ของมันหมุนทำหน้าที่ปกติหมด ขาดตัวจิตตัวเดียว อย่าลืมว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาครบ เพียงแต่ว่ามันครบในลักษณะแบบเดียวกับพืชน่ะ ใช่ไหม...กินอาหารได้ เจริญเติบโตได้ทุกอย่าง แต่ตัวรู้ไม่มี
       ถาม :    บางที เวลาที่หมอหรือแม่... จิ้ม ๆ ไปถูกตัวเด็ก เขาจะมีการหนี มีการหลบ
       ตอบ :      นั่นแหละ คืออาการของประสาทร่างกายมันรับรู้ แบบเดียวกับพืชกินแมลง หรือไม่ก็ไมยราพน่ะ เราไปจิ้มมันปุ๊บทำไมมันหุบได้หลบได้ล่ะ นั่นเป็นประสาทรับรู้ของมันเฉย ๆ ภาษาพระ ตัวประสาทรับรู้นั้นเรียกว่า วิญญาณ ไอ้วิญญาณในความหมายของคนทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่ เข้าใจว่าเป็นจิต คือตัวรู้ แต่ไม่ใช่ ... วิญญาณคือประสาทร่างกายเท่านั้น
       ถาม :   ก็อยู่อย่างนี้ไปเรื่อย แล้วออกมาไม่มีจิตเข้าไปก็คือตาย ?
       ตอบ :      ถ้าหากว่าไม่มีตัวจิตที่จะเข้าไปอยู่ การที่จะกระทำที่เรียกว่า กรรม มันก็ยังไม่มีน่ะ สามารถเลี้ยงดูไปเรื่อยนะ แต่ว่าตัวรับรู้อื่น ๆ ไม่มี บางทีเขาก็โตมาลักษณะเหมือนตุ๊กตาไขลาน ถ้ามันเป็นไปได้
               แต่เนื่องจากว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าตัวจิตวิญญาณคือตัวรู้ที่พร้อมปฏิสนธิ มันมีมากมหาศาลเหลือเกิน แต่ว่าจุดที่จะเข้าได้มันมีอยู่แค่หนึ่งเดียว เพราะฉะนั้น มันแย่งกันหัวทิ่มหัวตำ แล้วแต่ว่าบุญบาปของใครจะได้เกิดก่อน ยิ่งโบราณบางทีเขาว่าแสบ ๆ ว่าชิงหมาเกิด บางทีก็จริงเหมือนกัน (หัวเราะ) เขาแย่งกันอยู่เพราะฉะนั้น ตัวอย่างที่มันจะโตโดยปราศจากจิตคือตัวรู้มันก็เลยยังไม่มี
       ถาม :     แต่มันมีหรือคะ ถ้าพูดถึงว่าถ้ามันยังไม่มี แสดงว่ามันยังมีหรือคะ ?
       ตอบ :     มันสามารถมีได้
       ถาม :     มันไม่น่าเชื่อนะคะว่ามันจะมีได้ ?
       ตอบ :      ทำไมล่ะ ก็ต้นไม้มันไม่มีจิตทำไมมันโตได้ล่ะ
       ถาม :    เป็นการอยู่โดยไม่มีจิตเนี่ยนะคะ ?
       ตอบ :  เออ...แล้วเขามีอะไรนั่นน่ะ มันไม่รับรู้อะไรหรอก นอกจากสัญชาติญาณในการหากินของมัน รู้ว่าแสงแดดอยู่ด้านไหน ถ้าเอนเข้าไปหาเพราะประสาทสัมผัสของมันมี
       ถาม :    ถ้าอย่างนั้นกรรมของคนไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีการกระทำใด ๆ ก็ไม่มีผล ?
       ตอบ :  ก็ไอ้ตัวนั้นของเขาจริง ๆ มันยังไม่เรียกว่า คน มันยังไม่มีตัวจิตเป็นตัวควบคุม เพราะฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำมันก็เลยไม่จัดเป็นกรรม ในเมื่อไม่จัดเป็นกรรม มันจะเป็นบุญก็ไม่ใช่ เป็นบาปก็ไม่ใช่

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: 19 กันยายน 2008, 17:50:01 »

http://grathonbook.net/book/4.6.html

            ถาม :   ถ้าเกิดสมมุติว่าเขามีฆ่าคนล่ะคะ ?
       ตอบ :  มันจะไปฆ่าอีท่าไหนล่ะ คือเขายังไม่รับรู้อะไรไอ้ตัวอารมณ์ที่คิดจะไปทำอย่างอื่นมันไม่มี
       ถาม :    อย่างถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจล่ะคะ ?
       ตอบ :  เอ้า...สมมุติว่าเหมือนอย่างกับต้นไม้แล้วกันนะ ถ้าหากว่าคนไปอยู่ใต้ต้นไม้ เผอิญกิ่งมันหักลงมาทับคนตาย เอาในลักษณะนี้ใช่ไหม...โทษไม่มีแต่ว่าคน ๆ นั้นเขามีกรรมอยู่ ทำให้ถึงวาระนั้นถึงเวลานั้น คน ๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องสิ้นชีวิตลงไปด้วยสภาพใดสภาพหนึ่ง ก็ทำให้ต้องสิ้นชีวิตในลักษณะนั้น คือต้นไม้ทับตาย คน ๆ นั้นน่ะ เขาสร้างกรรมเอาไว้ แต่ต้นไม้นั้นไม่มีกรรมที่ต่อเนื่องไป เพราะว่าตัวจิตเจตนาที่จะฆ่าของเขานั้นไม่มี ตัวจิตที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่นนั้นเขาไม่มี
       ถาม :     แต่ว่ามันไม่น่าเชื่อที่ว่า เจอ...
       ตอบ :  คือว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ แต่โอกาสนั้นมันยังไม่เกิดขึ้น ก็เลยไม่มีตัวอย่างที่ให้เห็นชัด ๆ เพราะฉะนั้น ที่เรากลัว ๆ กันว่าเออ... ถ้าหากว่าโคลนนิ่งคนขึ้นมาใช่ไหม...
               สมมุติว่าโคลนนิ่งคนขึ้นมาแล้วเสร็จแล้วมันจะเหมือนอย่างกับต้นแบบทุกอย่างน่ะ มันเหมือนได้แค่หน้าตาเท่านั้น แต่จิตมันไปคนละดวงกัน ต่อให้โคลนนิ่งขึ้นมาสัก ๑๐๐ คน มันก็กลายเป็น ๑๐๐ ดวงจิต คือ ๑๐๐ ตัวรับรู้ที่เข้าไปอาศัยอยู่ มันสักแต่ว่าหน้าตาเหมือนกัน แต่การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างมันจะไม่เหมือนกัน มันอาจจะมีใกล้เคียงกันบ้าง เพราะว่าทำบุญทำบาปมาเสมอกัน ถึงต้องมาเกิดในวาระนั้น ในเวลานั้นที่ใกล้เคียงกัน มันอาจจะมีการกระทำอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันได้ แต่ว่าสภาพจิตตัวรับรู้ ไอ้ตัวชอบ ตัวชัง มันคนละเรื่องกันเลย มันเป็นม้วนบันทึกเทปคนละม้วนกัน
       ถาม :    แล้วอย่างในกรณีของเด็กที่ปัญญาอ่อน ถ้าเขาไม่ได้เจตนาจะมีโทษไหมคะ ?
       ตอบ :    โทษมีแต่น้อย เจตนาอย่างเช่นว่าการฆ่าคนตาย มันต้องประกอบไปด้วย
               ๑.   คนนั้นมีชีวิตอยู่ คือถ้าไม่มีชีวิตอยู่เขาเรียกว่าผีจ้ะ (หัวเราะ)
               ๒.   เรารู้ว่าคนนั้นมีชีวิตอยู่
               ๓.   เราตั้งใจฆ่า
               ๔.   เราลงมือฆ่า
               ๕.   เราฆ่าสำเร็จ
               ถ้าประกอบไปด้วย ๕ อย่างนี้โทษปาณาติบาตเต็ม ๑๐๐% ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งก็ลดไปตามส่วน คราวนี้ของเขาไม่มีเจตนาอะไรเลย อย่างเก่งก็โดนข้อสุดท้ายคือ ฆ่าสำเร็จ มันก็กลายเป็นว่ามีโทษแค่ประมาณ ๑ ใน ๕ เท่านั้น 
       ถาม :     ไม่ทราบว่าเด็กที่ปัญญาอ่อนทำเหตุอะไรมา ?
       ตอบ :  ก็เยอะต่อเยอะด้วยกัน สมมุติว่า เราคุยกันเรื่องธรรมะ รู้ก็ทำเป็นไม่รู้ ไขหูไม่ฟังมันอะไรอย่างนี้ แกล้งโง่บ้าง อะไรบ้าง มันมีสารพัด แบบเดียวกับฟังพระทำเป็นไม่ได้ยิน เกิดชาติใหม่ก็เลยหูหนวก เห็นเขาทำบุญกลัวจะเสียสตางค์ทำเป็นไม่เห็น เกิดมาชาติใหม่ก็เลยกลายเป็นคนตาบอด พวกกรรมมันปรุงแต่งได้วิจิตรพิสดารกว่าที่เราคิด เมื่อ ๒-๓ วันที่ผ่านมามันมีเด็กตัวติดกัน พวกนี้อธิษฐานว่าจะไม่พรากจากกันนะ เกิดมาตัวติดกันเพลินไปเลย เหลือเชื่อเลย...
               เรื่องการปรุงแต่งของกรรมบางทีมันเป็นไปตามเจตนาของเราเหมือนกัน เจตนาของเขาก็คือรักกันมาก ไม่อยากจะจากกันนะ ในเมื่อรักกันมากไม่อยากจะจากกันก็เลยอธิษฐานอย่า่งนั้น เลยกลายเป็นว่าไม่พรากจากกันจริง ๆ ตัวติดกัน (หัวเราะ)
       ถาม :    เวลาเกิดเนี่ย สิ่งที่สุขกับสิ่งที่ทุกข์มันไม่มีสัญญาจิตมามั่งหรือคะ ?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันมีติดมา แต่เราเองสามารถจะฟื้นกลับไปได้มั้ย ถ้าหากว่าเราทำความดีไม่เพียงพอในระดับหนึ่ง เราก็ไม่สามารถจะฟื้นมันกลับคืนมาได้ เพราะถ้าหากว่าฟื้นมันกลับมาได้ เราก็กลายเป็นคนดีหมดล่ะสิ มันจะกลายเป็นดีเพราะถูกบังคับ ไม่ใช่ดีโดยธรรมชาติที่จิตต้องการ
       ถาม :     แล้วตัววาสนาที่ติดอยู่ติดตัวมาตั้งแต่ชาติที่แล้วล่ะคะ ?
       ตอบ :    นั่นมันเป็นอาการหนึ่ง มันฝังรากลึกอยู่ในใจถึงเวลาถึงวาระมันแสดงออกโดยที่บางทีตัวเองก็ไม่รู้ตัว
       ถาม :     มันจะไปถูกนิสัยใจคอด้วยไหมคะ ?
       ตอบ :    นั่นแหละ ตัวนั้นเลยล่ะ 
       ถาม :    ลักษณะบุคลิก ดุ๊กดิ๊ก ๆ 
       ตอบ :   พูดชัด ๆ เลยว่า สันดาน (หัวเราะ) สันตติ แปลว่า สืบเนื่อง ภาษาไทยเขาเรียกง่าย ๆ ว่า สันดาน ในเมื่อมันต่อเนื่องกันมาเรื่อย ๆ มันก็ฝังรากลึกอยู่จนกลายเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของเรา อย่างเช่นว่า ทั้ง ๆ ที่เรามีความรู้ แต่เราไม่มั่นใจในความรู้ของเราอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ความรู้ของเรามี แต่ก็ไม่ค่อยที่จะกล้าเอ่ยปากกับใคร รู้มากกว่าเขา บางทีเขาสอนมาผิดก็ไม่กล้าบอกเขา ไม่กล้าเถียงเขา ก็ยุ่งกันใหญ่ มันปล่อยให้รายการของไตรภพเฉลยไปได้ยังไงว่า ศีลของภิกษุณีมี ๓๑๓ ข้อ มันมีแค่ ๓๑๑ ข้อ เถียงมันเข้าไปสิ บอกเขาว่าเปิดตำราแล้ว ๓๑๑ ข้อเนี่ย แจ๊คพอทแตกเลยมั้ย (หัวเราะ) ถ้าหากว่าแตกเลยก็นั่งเถียงไป (หัวเราะ)
       ถาม :     แล้วทำไม ทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงละวาสนาได้ ?
       ตอบ :  ก็ของท่านเอง ทำไว้เยอะกว่าคนอื่นเขากำลังสูงกว่าอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป สาวกปกติแค่หนึ่งเดียว ท่านทำมากกว่า ๔ เท่า ในเมื่อทำมากกว่าตั้ง ๔ เท่า กำลังของท่านมากกว่านี่ สติสมบูรณ์พร้อมในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะตัว สัพพัญญุตญาน ในเมื่อรู้รอบขนาดนั้นก็เลยระวังทัน ระวังทันก็เลยเท่ากับว่าละได้ เพราะว่ายังไง ๆ มันก็ไม่มีโอกาสเกิด ระวังอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ของเราเองเอาอย่างนั้นมั้ยล่ะ พระปัจเจกพุทธเจ้ายังไม่มีสัพพัญญุตญาณเลย (หัวเราะ) สัพพัญญู แปลว่า รู้รอบ รู้ทั่ว รู้ทุกเรื่อง
        ถาม :   ถ้าอย่างนั้นเกิดมาแล้วได้รับการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมไหนก็ไม่เกี่ยวกับตัววาสนาสิคะ ?
       ตอบ :    ไม่ได้เกี่ยวกันจ้ะ
       ถาม :     เพียงแต่ว่านักวิชาการเขาดึงมาปรุง ๆ กันให้เป็นทฤษฎี
       ตอบ :     ก็ดูชินจังสิ แม่ของเจ้าเนเน่จังน่ะ โดนชินจังยั่วหน่อย ทั้งที่ผู้ดี๊ผู้ดี ตบะแตกคว้าตุ๊กตามาอัดใหญ่ นั่นน่ะสันดานเดิม
       ถาม :  คือมองอย่างนี้นะ บางทีว่าใช่ ยอมรับว่า ไม่ได้ปฏิเสธว่า เราทุกคนมีสิ่งที่อยู่ในใจพร้อมที่จะแสดงออกมา แต่ว่าในลักษณะของสภาพแวดล้อมของแต่ละคนที่เป็นอยู่มันก็มีส่วนที่จะขัดเกลา
       ตอบ :    มันขัดเกลาและเปลี่ยนไปได้ แต่ว่่านั่นไม่ใช่จริตนิสัยที่แท้จริงของเรา ให้นั่งนิ่งอย่างนี้ทั้งวันเลยได้ไหมล่ะ ประสาทกลับ
       ถาม :    คือมันต่างกันไงคะ คือการนั่งอย่างนี้ โอเค มันเป็นเรื่องของกริยา เรื่องของความเป็นภูมิ
       ตอบ :  ก็เนี่ยแหละ ตัวอย่างนี้ สมมุติว่าเราได้รับการอบรม เพราะว่าต้องนั่งเรียบร้อย ๆ ท่านี้แล้วก็ให้เรานั่งอย่างนี้ทั้งวันน่ะ ประสาทกลับ มันไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงของเรา เราเองถ้าเราหกคะเมนตีลังกาได้จะมีความสุขมาก เราก็ทำอย่างนั้น แต่เรารู้ว่ากริยานี้สังคมไม่ยอมรับเราเอง เราก็ต้องพยายามปรับปรุงดัดแปลงของเราไปตามที่รับอบรมมา ตามที่สังคมภายนอกเขาต้องการกันอย่างนั้น แต่ใจจริง ๆ ของเรา ๆ ต้องการไหม
       ถาม :    แต่ว่าการที่เราถูกฝึกมาในลักษณะอย่างนี้ ในวันนี้นั่งไม่ได้ แต่วันหน้าก็ต้องนั่งได้
       ตอบ :    ใช่...แต่มันจะค่อย ๆ ไปไง ค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นตัวของตนเองไป
       ถาม :     แต่...เพราะฉะนั้นตรงนี้นี่ มันก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ฝึกที่ขัดสิ่งเดิม ๆ สันดานเดิม ๆ 
       ตอบ :    สามารถทำได้ก็บอกแล้วว่ามันไม่หมด อันนี้กล้ายืนยันว่ามันไม่หมด เพราะกระทั่งพระอรหันต์ก็ไม่หมด ยังเหลืออะไรบางอย่างอยู่ความเคยชินเก่า ๆ อยู่ แต่เพียงความเคยชินเก่าของท่านนั้นมันจะไม่เป็นโทษของคนอื่นเขา
              อย่างเช่นว่า พระสารีบุตรชอบเล่นกับเด็ก ก็เล่นกับเด็กเหมือนเดิมล่ะ (หัวเราะ) ใช่ไหมล่ะ คือมันไม่เป็นโทษต่อคนอื่นเขา เรียกว่ามันไม่ล่วงศีลของความเป็นพระของท่านมันช่วยได้ แต่มันช่วยยังไงก็ไม่หมด เพราะที่ผ่านมานับชาติไม่ถ้วน แต่ขณะเดียวกันว่าชาติที่เราทำความดีนี้เต็ม ๆ ก็คงประมาณ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป หรืออาจจะมากน้อยกว่านั้นตามแต่ความขยันเกิดมากกว่ากัน ความจริงมันไม่ใช่ขยันเกิด ถ้าสร้างกันมากมันก็เกิดนานหน่อย
       ถาม :  ก็ยังเห็นว่า คิดว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อมปัจจัยภายนอกนี่ ยังมีผลที่จะช่วยได้ โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นเด็กเล็ก คือเข้าใจว่าเขาเป็นมายังไง ตอนนั้นเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่การอบรมการค่อย ๆ พูด เหมือนกับว่าเอามีดผ่าภายนอกมันบ้าง
       ตอบ :    แต่แก่นแท้มันยังอยู่้ เราก็บอกแล้วว่าภายนอกไง (หัวเราะ)
       ถาม :    ไม่ได้เถียงนี่คะ  แต่ว่ามันมีส่วนที่ช่วย
       ตอบ :  มีส่วนจ้ะ ช่วยได้เยอะมาก ก็ตัวอย่างในธรรมบท ก็มีนกแขกเต้า ๒ ตัว โดนพายุพัดตกจากรังไป ตัวหนึ่งก็ตกไปในชุมโจรพอดี อีกตัวหนึ่งก็ตกไปอยู่อาศรมฤาษีเข้า แล้วเสร็จแล้ว พระราชาบังเอิญได้ไปทั้ง ๒ ตัว ตัวหนึ่งก็สวดมนต์ไหว้พระว่าตามพระฤาษีไปเรื่อยอีกตัวหนึ่งก็ กูจะฆ่า กูจะปล้น ท่าเดียวตามแบบโจรที่เขาว่านั่นน่ะ ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่นกเท่านั้น แต่ว่าซึมซับภายนอกเข้าไปยังทำให้กริยาวาจาของมันต่างกันขนาดนั้น
              แต่ว่าพระราชาท่านฉลาด ในเมื่อต้องการรู้ก็ถามผู้รู้ วิธีถามง่ายที่สุดก็คือถามพระพุทธเจ้า (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าก็เลยบอกให้ฟังว่า ตัวหนึ่งมันไปตกอยู่ในชุมโจร อีกตัวหนึ่งไปตกอยู่ในอาศรมฤาษีพอดี เลยกลายเป็นเข้าวัดเข้าวาไปตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งเป็นโจรไปเลย (หัวเราะ) มันมีส่วนเยอะ แล้วก็จำเป็น ทุกชาิติที่เราเกิดมาจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ใช้กรรมเฉย ๆ แต่เราพยายามขัดเกลาสภาพจิตของเราให้มันดีขึ้น ๆ ไป เรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็หลุดพ้นได้ แต่ว่ากระทั่งว่า หลุดพ้นแล้วถ้าหากว่ายังดำรงขันธ์ คือยังมีชีวิตอยู่ ถึงสภาพจิตสะอาดถึงที่สุดแล้วก็ตาม จริตนิสัยที่แท้จริงแต่ดั้งเดิมของตนเองมันก็ยังไม่ได้ที่จะขัดเกลาให้มัน ๑๐๐% เต็มในลักษณะนั้น มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะละตัว...
               ท่านใช้คำว่า วาสนา ก็คือสิ่งที่มันสืบเนื่องกันมายาวนานจนประมาณไม่ได้ นี่มีพระพุทธเจ้าท่านละได้องค์เดียว องค์อื่นยังความสามารถไม่ถึงขนาดนั้น แต่ว่าสิ่งที่เป็นวาสนาสืบเนื่องของท่านเมื่อถึงวาระนั้นแล้วมันไม่เป็นโทษกับคนอื่น ท่านก็เออ...ช่างมันเหอะ ไม่ต้องเสียเวลาไปทำมันหรอก
       ถาม :     ความเข้าใจของคนจะเข้าใจว่าวาสนาลักษณะดี
       ตอบ :  บุญเก่าส่ง ใช่ไหม...แต่จริง ๆ แล้วตัวนี้ก็คือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มันสืบเนื่องฝังใจมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมันส่งผลมาให้น่ะ ทั้งส่วนบุญส่วนบาปเลยไม่ใช่เฉพาะบุญอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเขาถึงใช้คำว่า วาสนาดี วาสนาไม่ดี มันเหมือนกับตัวกรรมแต่ถ้าเป็นอกุศลกรรมก็คือชั่ว กุศลกรรมก็คือดี ตัววาสนาก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นทั้ง ๒ สิ่งรวมกันส่งผลให้มาอยู่ปัจจุบันในนี้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 21 กันยายน 2008, 23:51:29 »

http://grathonbook.net/book/4.7.html

ถาม :   อาการดีใจแล้วมันขาดสติ แล้วกระโดดกอดท่านอย่างนี้ถือว่าผิดไหมคะ ?
       ตอบ :  ข้างบนน่ะไม่ผิดหรอก จะกอดท่านกี่ครั้งก็เชิญเถอะจ้ะ แล้วเป็นไงกอดไปกี่ครั้งแล้วล่ะ (หัวเราะ) มันเป็นความคุ้นเคยเก่า ๆ เป็นวาสนาเก่า ๆ ที่ตัดไม่ขาดไม่มีอะไรหรอก มันอยู่ในสภาพของความเป็นทิพย์นะ ยังไง ๆ พระท่านก็ศีลไม่ขาดหรอก แต่ถ้าในสภาพความเป็นมนุษย์อย่าเผลอก็แล้วกัน ดีใจกระโดดกอดคอพระเลย (หัวเราะ)
       ถาม :     เกี่ยวกับความฝัน
       ตอบ :  จำไว้นะ ไม่ต้องไปกังวลมัน เขาบอกจะไม่ให้ตื่นเลย แต่มันก็ตื่นมาจนป่านนี้ ตื่นซะจนแก่ป่านนี้แล้วไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก ฝันมันต่อไปฝันอย่างมีความสุขเลยล่ะ พอตื่นขึ้นมาไชโยเราชนะอีกวันหนึ่งแล้ว เดี๋ยวคะแนนต่อไปดูซิเราจะได้อีกรึเปล่า นี่ตกลงเราชนะมันมาทุกวันเลย ไม่เคยแพ้มันเลย มันยังไม่เก่งจริงหรอก
              ถ้าหากว่าเขาทำให้เราไม่ตื่นได้ก็ดีสิจะได้นอนพักยาว ๆ อะไรที่มันฝันมันก็คือฝัน อาจจะเป็นจิตใต้สำนึกอะไรบางอย่าง เพราะว่าฝันไม่ได้มีแบบเดียว มีตั้งแต่ธาตุวิปริต ท้องไส้ไม่ดีแล้วก็ไปฝันเละเทะ กรรมนิมิต กรรมแสดงเหตุให้รู้ จิตนิวรณ์ เอาความฟุ้งซ่านตอนกลางวันไปฝันตอนกลางคืน เทพสังหรณ์ เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ให้อย่างนี้ 
              เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอะไรกับมันหรอก อาตมาเคยฝันลักษณะนี้เหมือนกันติดต่อกันเป็นสิบ ๆ ปีเลยนะ ฝันเห็นสถานที่หนึ่ง ถ้าหากว่าสู้ใครไม่ได้จะหนีไปตรงนั้นแล้วไม่มีใครไล่ตามได้ เพราะเราชำนาญพื้นที่มาก ฝันถึง ๓๐-๔๐ ปี กว่าจะไปเจอเข้าตอนแรกไปก็ไม่รู้ว่ามันเป็นพื้นที่นั้น คือ ตอนที่เราเห็นน่ะเป็นน้ำตก เราต้องปีนสวนน้ำตกขึ้นไป แล้วก็หลบไปข้างหลัง ในสภาพความเป็นจริง ป่ามันหมด น้ำตกมันแห้ง พอจะกลับปวดปัสสาวะ ก็เลยหลบไปข้างหลัง พอจะฉี่ เอ๊ะ ! ที่มันคุ้น ๆ ตาว่่ะ มองไปมองมาอ้าว...ใช่เลย ก็ฝันอยู่แทบทุกวันน่ะ ฝันอยู่เป็นสิบ ๆ ปีทีเดียว ก็เลยจำได้ ออกมาถามเขาว่า นี่เคยมีน้ำตกมั้ย เขาบอกว่ามีพอหน้าฝนมันเป็นน้ำตก หน้าแล้งน้ำหมดก็เลยกลายเป็นหน้าผาเฉย ๆ
              บางอย่างเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรา อาจจะเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่อะไรก็ตาม ของเราเองหนีมันมาไกลขนาดนี้ไม่ต้องไปกลัว จะบอกว่าถ้ามีปัญญาก็ตามมาเลย เราก็ควบของเราต่อไป ทำบุญให้สม่ำเสมอไว้ กรรมจะห่างอยู่ตามไม่ทัน ถ้ากระแสบุญขาดลงมันอาจจะตามทันได้ เพราะฉะนั้น อย่าประมาทอย่าสร้างกรรมใหม่ ขณะเดียวกันก็อย่าทิ้งบุญใหม่
       ถาม :   แล้วจะแยกได้อย่างไรคะ ว่าเป็นฝันใดใน ๔ ตัว ?
       ถาม :     นอกจากขยันฝันแล้วต้องช่างสังเกตด้วย คือถ้าหากว่าธาตุวิปริต กับจิตนิวรณ์น่ะ ไม่ต้องไปสนใจนะ แต่ถ้าหากว่าเป็นกรรมนิมิต เขาแสดงเหตุนี่ พอถึงเวลา วาระนั้นเราจะรู้ว่าสิ่งนี้เราเคยรู้มาแล้ว แต่ว่าคิดไปคิดมา อ๋อ...เกิดจากฝันเราอาจจะรู้เห็นอย่างชัดเจนเลยอยู่ในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เหตุการณ์นั้นมันยังไม่เกิดขึ้น เราก็ยังไม่รู้จนกว่ามันจะเกิดขึ้น คราวนี้ถ้าหากว่าเราเป็นนักฝันจริง ๆ ขยันฝันบ่อย ๆ เดี๋ยวเราจับจุดได้เองว่า เป็นตัวไหน ถ้ายิ่งเป็นเทพสังหรณ์ บอกหวยก็ครบเลยล่ะ
       ถาม :  บางคนนี่ฝันแล้วพอตื่นมาบางทีเนี่ย...จิตมันสับสน จะรู้สึกว่ากังวลกับวามฝัน เพราะฉะนั้นตรงนี้นี่แนวทางที่ดี คือเราไม่รู้แหละว่ามันจะจริงหรือไม่จริง
       ถาม :   ตัดอารมณ์ให้เป็นนะ ปัจจุบันนี้ที่ใช้ความฝันให้เป็นประโยชน์ จะใช้อยู่ ๒ ทาง ทางแรกก็คือ ถ้าฝันดีเก็บไว้เป็นกำลังใจตัวเอง ถ้าฝันไม่ดีก็ลืมมันซะเดี๋ยวนั้นเลย ขี้เกียจเก็บไว้จะทำให้ใจเศร้าหมองจะตัดขาดไปเลย 
              อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า การฝันจะใช้วัดกำลังใจ วัดกำลังใจตรงที่ว่า ในฝันของเราถ้ามีโอกาสละเมิดศีลได้ แล้วเรารู้ตัวว่าเราเป็นผู้มีศีล เราไม่ยอมละเมิดถือว่ากำลังใจของเราดี หรือว่าในฝันเกิดอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา เรายึดเกาะในคุณพระรัตนตรัย หรือว่ายึดเกาะความดีได้ อันนี้ก็ถือว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดี แต่ถ้าเรายึดเกาะไม่ได้ หรือว่าเราล่วงละเมิดในศีลของเรา แปลว่ากำลังใจของเรายังแย่มากอยู่ เพราะฉะนั้นก็เก็บหลัก ๆ อันนี้ไว้ใช้ก็แล้วกันนะ อันดับแรกถ้าฝันดี เก็บไว้เป็นกำลังใจตัวเอง ฝันไม่ดีลืมมันซะ อันดับที่สองใ้ช้ความฝันเป็นตัววัดกำลังใจของเรา
       ถาม :    นี่อยู่ในข้อหนึ่ง ฝันว่าเหตุของกรรม ที่ฝันเพราะเหตุของแรงกรรม 
       ถาม :     กรรมนิมิต จะดีหรือชั่วก็ตาม
       ถาม :     กรรมในที่นี้ก็คือ...
       ถาม :  ก็ทั้งดีทั้งชั่วนั่นแหละ แต่ว่าเขามีพื้นฐานทิพจักขุญาณเก่ามา เจ้าตัวทิพจักขุญาณนี้ ถ้าจิตมันสงบถึงระดับของมันก็จะเกิดขึ้นใหม่ ลักษณะนี้เราไม่สามารถไปบังคับมันได้ เพราะว่าไม่ได้ผ่านการฝึกเข้มมาอย่างจริงจัง แต่ว่าเป็นตัวของเก่าที่ต้องรอให้ถึงวาระ รอเวลาที่กำลังใจจะถึงระดับนั้นพอดี ก็เลยทำให้ไม่มั่นคงพอที่เราจะรู้ได้ตลอด ยกเว้นว่าที่มันจะรู้ขึ้นมาเป็นพัก ๆ โบราณเรียกว่า ลางสังหรณ์
       ถาม :     คือ...วัดตรงข้ามค่ะ เขาจะเล่นไสยศาสตร์
       ถาม :     ก็ให้เขาเล่นไปสิ
       ถาม :   ส่งของมาหาเรา พอเรานั่งกรรมฐาน แล้วเขาก็เห็นแล้วเขาก็จะ...เราจะไปหยิบมันก็ไม่ลงมา ผ้ายันต์ รูปภาพ แล้วเขาก็ไม่สบาย
       ถาม :     เราเองไม่เป็นอะไร แล้วเราจะไปเดือดร้อนทำไมล่ะ ก็เรื่องของเขาสิ จำไว้ว่าบุคคลถ้ามั่นคงอยู่ในทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะตัวภาวนานะ เรื่องอันตรายจากไสยศาสตร์มันจะทำได้น้อยเต็มที โอกาสจะโดนแทบไม่มีเลย ที่เราเล่ามาก็คือว่า มันมีแต่เขาทำแล้วเขาก็เดือดร้อนคนเดียว เราไม่เป็นอะไรเลย แล้วจะไปกลัวเขาทำไม
       ถาม :    เราทำแบบไม่ให้กลัวเขา แต่เราก็กลัวเขา
       ตอบ :     กลัวไปทำไมล่ะ เขาเรียกว่าเหลวไหลอีกคนแล้วจ้ะ
       ถาม :     ไม่ชอบให้เขามาทำอะไรเสียงดัง ๆ เราจะพลอยสะดุ้งค่ะ
       ตอบ :    อ๋อ ... นั่นแสดงว่ากำลังใจของเรามันไม่มั่นคง   
        ถาม :    แม่เขาสอนให้มีสติ ให้เดินจงกรม
       ตอบ :     แล้วทำได้ไหม
       ถาม :    ทำได้
       ตอบ :  ถ้าทำได้มันไม่สะดุ้งหรอก อาตมานั่งนี่ ถึงโยนระเบิดมาตรงหน้า ก็ยังไม่สะดุ้งเลย จำไว้ว่าถ้าหากว่าเราสะดุ้ง แสดงว่าเราส่งจิตไปเรื่องอื่น คุยกันอยู่ตรงนี้แต่ทะลึ่งไปคิดเรื่องอื่น พอคนเขาทำอะไรอยู่ข้างตัวปุ๊บ เราก็ดึงจิตเข้าไปรับรู้นี่ จิตมันเข้ามาเร็วไป มันก็เกิดอาการสะดุ้ัง
       ถาม :     ผิดไหมคะ ?
       ตอบ :     มันจะผิดตรงไหนล่ะ มันเป็นเรื่องปกติจะตายไป
       ถาม :     เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคูณอะไรอย่างนี้ค่ะ
       ตอบ :     ก็เรื่องของเขา
       ถาม :     แต่เรามองได้ไม่เป็นไร ?
       ตอบ :     ก็มองไปสิ อย่าไปแอบดูตอนเขาแก้ผ้าอาบน้ำก็แล้วกัน เรื่องอื่นจะรู้ไปก็รู้ไป จำไว้ให้แม่น ๆ ว่า เรื่องที่เรารู้เราเห็นจริง ๆ แต่สิ่งที่เราเห็นไม่แน่ที่จะจริง ตอนนั้นอย่าเพิ่งไปเชื่อ กำหนดใจสักแต่ว่่ารู้ไว้เฉย ๆ พอ
              อะไรที่จะเกิดขึ้นแล้วเป็นไปตามนั้นก็ขอบคุณมาก ที่อุตส่าห์มาบอกให้รู้ ถ้าไม่เกิดขึ้นแล้วไม่เป็นไปตามนั้นก็เรื่องของมัน เพราะเราไม่สนใจอยู่แล้ว ทำใจให้ได้อย่างนี้จ้ะ สิ่งที่เราฝึกได้แล้วอย่าทิ้งนะ พยายามทำให้กำลังใจมันมั่นคงขึ้นไปเรื่อย ๆ การรู้เห็นไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เพียงแต่ว่ารู้เห็นแล้วอย่าไปบ้าตามเท่านั้นพอ รู้เห็นต้องมีสติสัมปชัญญะประกอบด้วย ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะประกอบจะลำบากมาก
       ถาม :    หนูถามเรื่องฝันต่อค่ะ ถ้าฝันว่าเราเจอ คู่แข่ง อุปสรรค แล้วเราพลาดพลั้งไว้ แต่ว่าเราเจอมันมาก่อน แล้วผ่องใสดี
       ตอบ :    แสดงว่าจิตใจของเรามันไม่ผ่องใสจริง ๆ ก็เร่งการภาวนาให้มันมากกว่าเดิมหน่อยอย่าไปอ้างว่าไม่มีเวลา
       ถาม :    ถ้าเร่งในฝัน มันจะได้มั้ย ?
       ตอบ :  มันก็ได้แต่ไม่ผ่องใส (หัวเราะ) เพราะอันนั้นมันเป็นผลแล้ว เราไปใช้ผลของมัน เราต้องสร้างเหตุแล้วสร้างเหตุ เราสร้างในฝัน มันไม่มีเวลาสร้างหรอก ต้องสร้างในความเป็นจริง บอกแล้วว่า ฝันมันเป็นตัวกำลังใจของเรา ถ้ากำลังใจของเรามันไม่ผ่องใสจริง ๆ ก็คือว่าในสภาพความเป็นจริงของเราเป็นอย่างนั้น ต้องเร่งสร้างในสภาพความเป็นจริงของเราให้กำลังใจมันทรงตัวมากกว่านั้น มันจะได้ใสมั่ง
       ถาม :  โดยปกติแล้วคนทั่ว ๆ ไปมีศีลบ้าง ไม่มีศีลบ้าง มีโอกาสมั้ยคะที่จะได้ยินเสียง เสียงที่ดีของ ...(ฟังไม่ชัด) ที่จะบอกเราว่าเรายินดีหรือเราพร้อมจะช่วย
       ตอบ :  มีโอกาสเป็นเกินร้อยเปอร์เซนต์ เพราะว่าถึงจะมีศีลบ้างไม่มีศีลบ้างก็ตาม แต่วาระและเวลาที่กำลังใจของเราเปิด ต้องใช้คำว่าสมาธิ บังเอิญมันตรงร่องนั้นพอดี ซึ่งมันไม่ใช่กำลังสูงอะไรเลยเป็นแค่อุปจารสมาธิก็สามารถรับได้แล้ว ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน คือว่าบังเอิญว่าคลื่นมันตรงช่องพอดี เปิดช่องสามปุ๊บ ก็พอดีคลื่นตรง ก็รับภาพรับเสียงได้ เพราะฉะนั้นโอกาสมีเกินร้อยเปอร์เซนต์ที่จะรู้ได้ ที่จะรับได้ แต่ท่านพร้อมที่จะช่วยนะซิ แล้วเราจะทำยังไงท่านถึงจะเต็มใจช่วย
       ถาม :    ไม่ได้ชอบใครลองถามดู...(หัวเราะ)
       ตอบ :    จริง ๆ แล้วก็คือว่าเรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุกับผลที่สมดุลกัน ถ้าเราสร้างเหตุ สมควรแล้ว ผลก็จะเกิด พระหรือว่าเทวดาที่ท่านจะช่วยท่านจะช่วยต่อเมื่อว่า เหตุนั้นมันพร่องอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็อาจบอกวิธีว่าทำอย่างไรมันจะเต็มเร็วอย่างหนึ่ง หรือถ้าหากว่าเราสัญญลักษณะนี้ต้องเรียกว่าบน ใช่มั้ย ? 
               สัญญาว่าจะทำความดีอันนั้น อันนี้ซึ่งท่านเห็นถ้าทำความดีอันนั้นแล้ว เหตุมันจะพอดีว่าทำให้ผลนั้นเกิดได้ ท่านก็จะเพิ่มตรงส่วนที่มันขาดให้ก่อน แล้วหลังจากนั้นพอเราทำความดีส่วนนั้นลงไป เหตุมันเต็มผลมันก็เกิดได้เอง เพราะงั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องของเหตุกับผล ถ้าเราทำไม่พอผลก็ไม่เกิด คราวนี้ท่านจะช่วย ก็อยู่ที่เราว่าเราจะสร้างเหตุที่ดีพร้อมพอที่ท่านจะช่วยเราได้มั้ย
       ถาม :  นอกจากเหตุปัจจัย ๔ อย่างแล้ว จะไม่พูดถึงอาหารหรือว่าฟุ้งซ่านสภาวะของผู้ที่จะฝัน สภาพจิตนั้นจะต้องเป็นยังไงคะ ถึงฝันได้ ?
       ตอบ :  ตัดพวกธาตุวิปริต ความฟุ้งซ่านออกไปมั้ย กำลังใจอย่างน้อยจะต้องเป็นปฐมฌานขั้นหยาบ สภาพจิตจะเกิดอาการนิ่ง พอนิ่งแล้วจะค่อย ๆ คลายตัวของมันออกมาถึงจุดที่เรียกว่า อุปจารสมาธิเมื่อไหร่ก็สามารถรับรู้ได้เมื่อนั้น จะเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ
       ถาม :     เวลาคนที่นอนหลับแล้วถอดฌานได้เพราะว่าหลับ เหมือนว่าเรา จิต...
       ตอบ :    ปฐมฌานมันมีสามระดับ ...หยาบ กลาง ละเอียด ของคนหลับ มันหยาบมาก แต่ว่าเป็นฤทธิ์ที่เป็นไปโดยวิบากกรรมอย่างหนึ่ง คือว่า ร่างกายของเราจำเป็นต้องพักเลยทำให้ทุกคนเข้าถึงตรงจุดนั้นได้ แม้จะไม่ได้รับการฝึกมา ให้สังเกตุว่าถ้าวันไหนเราคิด จิตเราฟุ้งซ่านอยู่จะไม่สามารถหลับได้ ที่หลับไม่้ได้ เพราะว่าใจมันไม่สงบพอ ไม่ถึงตรงจุดปฐมฌานหยาบก็ไม่สามารถจะตัดหลับไปได้ แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไป ถึงจะมีตรงจุดนี้ก็ตาม มันเป็นตัววิบากกรรมที่พาให้เป็นไป เพราะว่าเขาต้องการพักผ่อน ไม่ใช่เกิดจากการสร้างสมขึ้นมา
                เพราะฉะนั้น ผลอันนี้จะไม่ส่งผลว่าคุณได้ปฐมฌานหยาบ คุณจะเกิดตรงพรหมชั้นที่หนึ่งได้ ผลตัวนี้จะไม่เกิด เพราะไม่ใช่สิ่งที่สร้างสมมาด้วยความสามารถตัวเอง แต่เป็นวิบากกรรมชักนำให้เป็น เมื่อขึ้นถึงตรงจุดนั้นปั๊บ จิต...เมื่อพักผ่อนของมันเต็มที่แล้วจะค่อย ๆ คลายออกมา ลักษณะที่พร้อมที่จะตื่น แต่คราวนี้พอยังไม่ถึงจุดนั้น มันอยู่ตรงจุดที่เท่ากับอุปจารสมาธิพอดี มันจะเป็นตัวรับรู้ พอตัวนี้เกิดปั๊บ ก็เป็นอันว่าเริ่มฝันแล้ว

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: 24 กันยายน 2008, 15:15:32 »

http://grathonbook.net/book/4.8.html

ถาม :   มีอีกกรณีที่ชอบสัปหงกแล้วลักษณะจิตจะรู้ตัวเวลาที่สัปหงก เหมือนกับมันรู้หมดเลย
       ตอบ :  ร่างกายมันหลับ แต่จิตมันไม่ได้หลับหรอก ร่างกายเพลียมาก ๆ มันหลับของมัน นักปฏิบัติต้องทำให้ถึงตรงนั้นนะ ถ้าทำถึงตรงนั้นแล้ว หลับกับตื่นสภาพจิตจะรับรู้ได้เท่ากัน ถ้าไม่ทำถึงตรงนั้น ยังอาศัยตัวเองได้ยาก
       ถาม :     มันควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ ก็ต้องคว่ำ ?
       ตอบ :    ประจำแหละ พยายามอีกนิดนึง คือตัวนั้นน่ะ ดีแล้ว
       ถาม :     ยังไม่ทำอะไรเลย ก็หลับ แล้วก็เป็น...
       ตอบ :  มันเป็น เรายืนยันได้ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ว่าก่อนหน้านี้กับชาติก่อนนี้เคยทำมั้ย ?...ไม่กล้ายืนยันใช่มั้ย มันก็แค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นที่ไม่ทำแล้วจะเป็น มันเป็นไปไม่ได้....เพราะเหตุไม่มีแล้วผลมันจะเกิดได้อย่างไร คราวนี้ของเราประเภทสร้างสมให้มันเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม ต่อไปมันก็จะบังคับได้เอง ตัวนี้จะเป็นตัวที่อัศจรรรย์ที่สุดเพราะว่าในชีวิตนี้ก็เพิ่งได้ยินอยู่ ก็คือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ที่จังหวัดลำพูน ท่านเข้านิโรธสมาบัติ นิโรธสมาบัตินี้จะเป็นตัวดับเวทนา คือ ความสุข ความทุกข์ แล้วก็ตัวสัญญาก็คือประสาทร่างกายโดยสิ้นเชิงเลย
                ปกติแล้วที่เข้านิโรธสมาบัติไม่อิริยาบทนอน ก็เป็นนั่ง แต่หลวงปู่ชุ่มท่านเข้านิโรธสมาบัติสี่อิริยาบท มันเป็นเรื่องที่เกินความสามารถที่จะอธิบายว่าท่านทำได้อย่างไร เพราะว่าการดับตัวสัญญาและเวทนาไปแล้ว ท่านจะเอาอะไรไปคุมร่างกายให้มันเดิน อันนี้บอกไม่ได้ มันอาจเป็นตัวอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐานหรือการใช้อภิญญาสมาบัติ บังคับให้ร่างกายมันเดิน ทั้ง ๆ ที่จิตไม่อยู่กับร่างกายแล้ว อันนี้บอกไ่ม่ได้แต่ว่าท่านทำของท่านได้ คราวนี้ของท่าน ท่านทำได้ขนาดนั้นแล้ว ของเรามันไม่ยากหรอก ง่ายกว่านั้นเยอะ ของเราสภาพจิตมันยังอยู่กับร่างกายแท้ ๆ เลย ถ้างั้นเดี๋ยวก็เลิกโขกเองแหละ ตอนนี้ก็หัวปูดไปก่อน (หัวเราะ)
       ถาม :      .............(เสียงไม่ชัด)..................
       ตอบ :  ก็บอกแล้วว่า บางทีก็ไม่จริง เขาให้เรารู้ไว้ เพื่อทดสอบอารมณ์ใจของเราว่ากลัวมั้ย ? ......หรือว่าจะไปกังวลกับมันจนเสียการปฏิบัติมั้ย ? อะไรเหล่านี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นต้องมีสติสัมปชัญญะมาก ๆ อะไรที่เกินการปฏิบัติของเรา ก็อย่าไปสนใจมัน รับรู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไร เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา
       ถาม :      พระต้องคุ้มครองเราเองใช่มั้ยคะ ...?
       ตอบ :  จ้า ...ถ้าเราอยู่ในการปฏิบัติ ต่อให้พระไม่คุ้มครอง กำลังใจเราทรงตัว เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าให้อาราธนาพระคุ้มครองไว้เสมอ ๆ เพื่อความไม่ประมาท
       ถาม :      หลวงพี่สมชายบอกว่าให้เอาพระมาครอบเรา แล้วก็เราไปไหน ก็เอาท่านมาครอบ แล้วท่านร้าวล่ะคะ ก็เป็นจริง ๆ 
       ตอบ :     ก็เอาองค์ใหม่ซิ
       ถาม :  หลวงพี่สมชายบอกว่า ให้เอาพระมาครอบตัวเรา หรือว่าที่ร้านเรา แล้วให้เราทำจิตไปดูว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเราหรือว่าในร้านเราที่เรามองเห็น
       ตอบ :     จ้า....
       ถาม :      ตอนนั้นอยู่ที่น้ำหนาว แต่พอกลับมาที่บ้านเรา พระที่เราเอามาครอบเป็นพระสังกัจจายน์ (ฟังไม่ชัด) ท่านร้าวเลยค่ะ
       ตอบ :    หาองค์ใหม่
       ถาม :      แล้วองค์ที่ร้าว ต้องเอาไปไว้....
       ตอบ :     ไม่ต้องหรอก เก็บไว้บูชาตามเดิม ทำงานมาเยอะแล้ว
       ถาม :      ฝันเห็นเสด็จพ่อ ร. ๕ ดำเป็นตอตะโกเลยค่ะ ก็ถอดจิตถามว่า อะไร ทำอะไรมั้ย ก็คนตะโกนว่า ...(ฟังไม่ชัด).....
       ตอบ :  จ้า ...ก็บอกแล้วว่ารับรู้ไว้เฉย ๆ เขาอาจลงรักโดยไม่ปิดทองก็เลยดำ ไปกังวลมากเราเองน่ะจะเสียเอง ของทุกอย่างมันเชื่อทีเดียวไม่ได้ ค่อยเป็นค่อยไป นักปฏิบัติที่มันเพี้ยนเพราะอย่างงี้แหละ ไปเชื่อ ๒๐ ครั้งแรก พอครั้งที่ ๒๑ ผิด ก็เลยพลอยเชื่อไปด้วย มันยังมีเวลาถูกได้ถึงครั้งที่ ๙๙ แล้วครั้งที่ ๑๐๐ อาจผิด ลีลาของเขาที่หลอกเรานี่ ไม่ต้องห่วงหรอก เด็ดขาดมากเลย เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อเลยว่าใช่ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องใช่อย่างนั้น โอกาสจะโดนเขาหลอกมีเยอะมาก
       ถาม :     เราเห็นเอง
       ตอบ :  ใช่..เพราะว่าเราเห็นเองนี่แหละ ทำให้เราเชื่อหัวปักหัวปำไปเลยใครว่าก็จะไม่ฟังเขาแล้ว ก็เห็นเอง อยู่ ๆ เห็นเขาไล่ยิงกันมา ใช่มั้ย...เราก็เรียกตำรวจ หรือไม่ก็วิ่งเข้าไปขวางเขาไว้ โดนเขาด่าเช็ดซิ เขากำลังเล่นหนังกันอยู่แล้วเราเห็นเค้ายิงกันจริงมั้ยล่ะ แล้วเรื่องที่เราเห็นมันจริงมั้ย มันเป็นหนังใช่มั้ย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้สติสัมปชัญญะให้มาก ๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติ ยิ่งเป็นตัวที่ได้ทิพจักขุญาณหรือได้อภิญญาสมาบัติ ยิ่งชัดเจนแจ่มใส่เท่าไรโอกาสโดนหลอกมากเท่านั้น ใครเคยอ่านสามก๊กบ้าง ? เขาบอกว่าขงเบ้งหลอกได้แต่คนฉลาด ถ้าคนโง่ขงเบ้งหลอกไม่ได้หรอก
              เพราะฉะนั้นตัวทิพจักขญาณก็เหมือนกัน ทิพจักขุญานยิ่งชัดเจนเท่าไร โอกาสเขาหลอกเรายิ่งสูงเท่านั้นก็มันรู้เห็นน่ะ ถ้าไม่รู้ซะอย่างอย่างเก่งก็แหย่เราได้ รัก โลภ โกรธ หลง ธรรมดา ๆ อย่างอื่นไม่สามารถมาทำอะไรเราได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปทึกทัก อย่าไปเชื่อมั่น เราตั้งใจว่า เราทำเพื่อพระนิพพาน อะไรก็ตามที่นอกเหนือจากพระนิพพานไม่ต้องไปสนใจ เรามีหน้าที่ละสังโยชน์สามข้อ เราก็ละของเราไป มีหน้าที่รักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์ก็รักษาไป ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่เราจะไปนิพพาน อันอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น รู้สักแต่ว่ารู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทุกอย่างกรรมดีกรรมชั่วเป็นเครื่องตัวสินอยู่แล้วเราอย่าไปมีส่วนร่วมในกรรมนั้นก็แล้วกัน ฟังดูแล้วเหนื่อยใจมั้ย
       ถาม :     .......(เสียงไม่ชัด)...........
       ตอบ :  ตอนอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อสั่งให้ไปสร้างบ้านให้หมาอยู่ เพราะสงสารหมาตากแดดตากฝน ก็ไป ทำกัน มีเสาเก่าที่สูง ๕ เมตรอยู่ เสาจะเป็นเสาหล่อสำเร็จ เสาหล่อคอนกรีต สูง ๕ เมตร พวกเราก็ไม่มีใครสักคน ที่คิดว่าตัดมันได้ เพราะคิดอยู่อย่างเดียวว่าขุดหลุมฝังมันลงไปให้เหลือ ๒ เมตรครึ่ง ก็คือต้องขุดหลุม ๒ เมตรครึ่ง ก็ตั้งหน้าตั้งตาขุด ขุดลงไปได้เมตรกว่านี่เป็นทรายเลยทองอร่ามเลย เห็นแล้วก็นั่งเซ่อ.....อึ้งไปหมด พักหนึ่งแล้วก็พร้อมใจกันกลบ
              คราวนี้ตัดเสาได้หายโง่แล้ว (หัวเราะ) มันเหมือนกับเขาเจตนาจะให้เราได้เห็นจะได้ยืนยันได้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง ๆ แต่อันนั้นเป็นทองธรรมชาติ เป็นแบบเม็ดทรายตักขึ้นมาเป็นขอบ ๆ ได้เลย เหมือนยังกับเขาต้องการยืนยันคำหลวงพ่อบอกว่า เทวดาเขาย้ายทองมาที่วัดท่าซุงเป็นจำนวนมาก ในที่ ๑๐๐ ไร่นี้ไม่มีที่ว่างแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เขาเอามาไว้เต็มเลย ท่านถึงต้องได้รีบสร้างกำแพง ท่านพูดอย่างนั้น คนที่ได้มโนถึงจะรู้เห็นได้ แต่บางทีก็ไม่มั่นใจว่สิ่งที่รู้เห็นนั้นถูกมั้ย เขาเลยให้พิสูจน์ชัด ๆ ด้วยลูกกะตาเนื้อ ๆ เลย ไปจับไปคลำกันเอาเอง
              ปรากฏว่าเราก็ปากเสีย มอง ๆ เสร็จแล้วบอกว่า นี่ถ้าเป็นฆราวาส ผมเอานะ....เพื่อนพระด้วยกัน ท่านก็แหะ ๆ ไม่มีใครกล้าพูด ....ขึ้นเสามันก็ต้องมีไม้ค้ำ เราก็ขึ้นไปวางคานหัวเสา ไม่น่าเชื่อว่าเหยียบ ๆ อยู่เฉย ๆ ไม้ค้ำสามตัวมันหลุดพร้อมกัน หัวทิ่มลงไปเลย เจ็บตัวอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่เป็นอะไร ข้างใต้ฝ่าเท้าของเราหนังมันหลุดไปแผ่นใหญ่เบ้อเร่อเลย ต้องตะแคงเท้าเดินอยู่เป็นอาทิตย์ ๆ แล้วตะแคงเท้าตอนบิณฑบาตนี่ตะคริวมันจะกินน่ะ ลงโทษซะ โทษฐานปากเสีย....

shinpe uhah

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: 21 เมษายน 2009, 19:35:05 »

จะพยายามอ่านให้จบทุกเดือนละกันครับ ขอบคุณครับแต่ยาวจริงๆ

immasdcd10

  • ว๊องแมน
  • *
  • กระทู้: 1
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2012, 09:21:40 »

ขอบคุณสำหรับข้อมุลๆ