ชาวบ้านเชื่อว่าดอยหลวงเชียงดาว เป็นที่สถิตของผีเมืองเชียงใหม่ทุกตน ตั้งแต่ก่อนพญามังรายสร้างเมือง ผีเมืองเชียงใหม่มีเจ้าหลวงคำแดงเป็นประธานใหญ่ มีเรื่องเล่าว่าทุกวันพระ ผีทุกผีในเชียงใหม่จะมาเฝ้าและประชุมที่ดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งในถ้ำเชียงดาวมีห้องโถงใหญ่เชื่อว่าเป็นห้องประชุม วันนั้นผีจะไม่หลอกชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า ผีเมืองที่ดอยหลวงเชียงดาวเก็บข้าวจากชาวนาทุกคนที่วางเซ่นไหว้พระแม่โพสพและเป็นค่าน้ำหัวนา ก่อนที่ชาวนาจะนำข้าวไปไว้ในยุ้งฉาง ข้าวเหล่านี้มีผีดอยนำมากินแล้วจะเหลือเพียงเปลือกหรือแกลบไว้ ซึ่งจะเก็บเปลือกข้าวหรือแกลบไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งทางทิศใต้ ไม่ไกลจากดอยหลวงเชียงดาว ชื่อว่าถ้ำแกลบ ดังเช่นที่ คุณป้าจิตรา กองสถาน
ซึ่งเป็นคนเชียงดาวโดยกำเนิด ได้เล่าถึงความผูกพันของชาวบ้านที่มีต่อเจ้าหลวงคำแดงว่า คนเชียงดาวนอกจากจะรัก และศรัทธาต่อเจ้าหลวงคำแดงแล้ว ยังไม่กล้าทำความชั่ว เพราะกลัวว่าเจ้าหลวงคำแดงจะเห็นการกระทำที่ไม่ดีแล้วจะลงโทษเอาได้
ความศักดิ์สิทธิ์ของดอยหลวง มิเพียงชาวบ้านจะเล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน พระสงฆ์ในล้านนายังแต่งและคัดลอกคัมภีร์ใบลานชื่อตำนานถ้ำเชียงดาวไว้หลายสำนวน ทั้งที่พบในเชียงใหม่และเมืองอื่น ๆ ที่ห่างไกลออกไป เช่น เมืองน่าน เป็นต้น ดังเช่นที่ อ.มาลา คำจันทร์ ปราชญ์ล้านนาและกวีซีไรต์ ได้กล่าวถึงการยอมรับนับถือ เจ้าหลวงคำแดงว่าไม่เพียงแต่ชาวบ้านที่เชียงดาวเท่านั้น แต่เจ้าหลวงคำแดงยังเป็น สัญลักษณ์ร่วมของชนเผ่าไทในลุ่มน้ำโขง
สำหรับเรื่องราวของเจ้าหลวงคำแดงกับนางอินเหลานั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับชาวลัวะ โดยบริเวณเมืองเชียงใหม่ใน ปัจจุบันนี้ เคยเป็นที่ตั้งเมืองของชาวลัวะมาก่อน เจ้าหลวงคำแดง ถือกำเนิดขึ้นก่อนที่พญามังรายจะมาสร้าง เวียงกุมกามและเชียงใหม่ โดยอาณาจักรล้านนาที่มีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางนั้น สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1839 แต่บริเวณที่สร้างเมืองขึ้นมาใหม่นี้ เคยเป็นบ้านเมืองมาก่อนแล้ว ดังจะเห็นได้จากตำนาน พื้นเมืองหลายฉบับที่กล่าวถึง เวียงเชษฐบุรี (เวียงเจ็ดลิน) เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรี
ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของชนชาวลัวะมาก่อน เจ้าหลวงคำแดงติดตามกวางทองมาถึงอ่างสลุง แล้วมาพบหญิงงามนางหนึ่ง เกิดรักใคร่ชอบพอกันจึงค้างแรมอยู่ที่อ่างสลุงด้วยกัน ต่อมามีฤาษีแนะนำว่า เจ้าหลวงคำแดงควรจะสร้างเมืองตรงนี้ เจ้าหลวงคำแดงจึงสร้างเมืองขึ้น แล้วตั้งชื่อว่าเมืองล้านนาตามน้ำหนักของแท่นบรรทมของพระองค์ จากนั้นก็ปกครองเมืองจนขยายอาณาจักรไปกว้างไกล คนล้านนาเชื่อว่าผู้ใดสร้างเมือง เมื่อตายไปจะเป็นผู้ปกป้องรักษาเมือง ดังนั้นเจ้าหลวงคำแดงจึงถือเป็นหัวหน้าผีเมืองที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินล้านนาทั้งหมด รวมถึงเมืองเชียงดาวด้วย
ส่วนตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรื่อง เจ้าสุวรรณคำแดง ซึ่งเริ่มต้นด้วย การกล่าวถึงหมู 4 ตัวที่มีชื่อตามทิศทั้งสี่ว่า บุพพจุนทะ ทักขิณจุนทะ ปัจฉิมจุนทะ และอุตตระจุนทะ หมูทั้งสี่วิวาทผิดเถียงกันเป็นประจำ หลังจากตายไปแล้ว หมูแห่งทิศเหนือคือ อุตตระจุนทะได้ไปเกิดเป็นพระยาโจรณี มีโอรสชื่อ เจ้าชายสุวรรณคำแดง
ต่อมาเทวบุตรชื่อโวหารได้จำแลงกายมาเป็นเนื้อทรายทอง ปรากฏ ณ สวนอุทยานของพระยา โจรณี กษัตริย์พร้อมทั้งโอรส และบริวารจึงพากันออกมาล้อมจับ พระยาโจรณีลั่นวาจาว่า หากทรายทองหลุดออกไปทางผู้ใด ผู้นั้นต้องรับโทษ บังเอิญเนื้อทรายหลุด หนีออกไปทางโอรส เจ้าชายสุวรรณคำแดงจึงพาทหารออกติดตาม
จนกระทั่งมาถึงบริเวณถ้ำเชียงดาว ทรงพบนางอินเหลา ทั้งสองเกิด ความรักใคร่กัน จึงอยู่กินด้วยกัน แต่เจ้าชายจำเป็นต้องออกติดตามเนื้อทรายทองต่อไป และครั้งนี้เจ้าชายได้พบกับ ?คนที่เกิดใน รอยเท้าสัตว์? อันหมายถึงชาวลัวะ ซึ่งฤาษีกล่าวว่าให้เลี้ยงดูไว้เป็นไพร่ฟ้า
?อันสูได้คนยังรอยตีนช้างนั้น ก็พร่ำดั่งบอนเกิดกับห้วยนั้นแล หื้อสูท่านทังหลายเอาเมือเลี้ยงไว้รักษาหื้อดีๆ แท้เทอะหื้อได้ที่จื่อที่จำเอายังคำเขาไว้สืบกันไปเมื่อหน้าเทอะ?
วันต่อมา เจ้าชายสุวรรณคำแดงพาทหารติดตามมาถึงบริเวณที่ราบลุ่มน้ำแม่ระมิงค์ ทรงพบหนองน้ำที่มีดอกบัว 7 กอ จึงกลับ มาเล่าให้ฤาษีฟังว่าไม่พบทรายทอง พบแต่หนองน้ำ ฤาษีแนะนำว่าชัยภูมิ แห่งนั้น เหมาะแก่การสร้างเมืองเป็นอย่างยิ่ง ทำนา 1 ปีกินได้นานถึง 7 ปี หลังจากนั้น เจ้าชายสุวรรณคำแดงจึงสร้างเมืองขึ้นตามคำบอกของฤาษี โดยให้ชื่อเวียงว่า ?ล้านนา? ซึ่งได้มาจาก น้ำหนักเตียงหินของ เจ้าชายที่หนักหนึ่งล้านสุวรรณคำแดง ปฐมกษัตริย์แห่งเมืองล้านนา มีมเหสีรองอีกสองนางคือ นางผมเผือ และ นางสาดกว้าง ทรงมีโอรส 7 องค์ ส่วน ไพร่ฟ้าที่เป็นลัวะพระองค์แต่งตั้งให้ ?มามุตตะลาง? เป็นขุนหลวงคอยสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมต่อมาภายหลังพระยาสุวรรณคำแดง ได้ยกราชสมบัติให้โอรสปกครอง ส่วนพระองค์เสด็จออกไปอยู่กับนางอินเหลาในถ้ำเชียงดาว ณ ดอนอ่างสรง ตราบจนสิ้นพระชนม์