-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Joe Ball นักหั่นศพแห่งเอลเลเมนดอร์ฟ  (อ่าน 474 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18211
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Joe Ball นักหั่นศพแห่งเอลเลเมนดอร์ฟ
« เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2018, 15:53:55 »

Joe Ball นักหั่นศพแห่งเอลเลเมนดอร์ฟ



Eaten Alive (1977) อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่โด่งดัง หลายคนรู้จักมากนัก โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
เจ้าของโรงแรมชาวเท็กซัส ซึ่งมีนิสัยชอบสังหารผู้คนและนำไปให้จระเข้ที่เขาเลี้ยงไว้กินเป็นอาหาร

อย่างไรก็ตาม Eaten Alive (1977)  เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง ในช่วงทศวรรษที่ 1930
โจ บอล (Joe Ball) พ่อค้าขายสุราเถื่อน ที่เป็นเจ้าของร้านเหล้าโซไซเอเบิลอินน์ ในเมืองที่เงียบสงบของเอลเมนดอร์ฟ 
ในเท็กซัส เพื่อความบันเทิงของเขา บอลได้สร้างแอ่งน้ำด้านหลังโรงแรงที่เต็มไปด้วยจระเข้ จำรวนห้าตัว และเขามักให้
ลูกแมวและสนุขเป็นอาหาร จนกระทั่งเขาเกิดมีความคิดโรคจิตจับมนุษย์มาเป็นอาหารจระเข้บ้าง จนทำให้พนักงานเสริฟ์
และผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับบอลหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย




ระหว่างปี 1934 และ 1938 ผู้หญิงในท้องถิ่น มินนี ก๊อตฮาร์ดต์, ดอเลอร์ บัดดี กู๊ดวิน, ฮาเซล บราวน์ และ มินนี ก๊อตฮาร์ดต์
ได้หายตัวไปในขณะทำงานให้โจ บอล และพยานได้อ้างว่าพวกเขาได้เห็นร่างเน่าเปื่อยของมนุษย์และกลิ่นเหม็นลอยมาจาก
ยุ้งฉางของบอล เมื่อตำรวจไปสอบสวนบอล เขาก็ฉวยโอกาสใช้ปืนยิงหัวใจตนเองตายเสียก่อน


 

 
โจ บอล (Joe Ball) (ชื่อเต็ม Joseph D. Ball)

ปลายทศวรรษที่ 18 ชายแดนสหรัฐอเมริกา ในตอนนั้นพื้นที่นั้นว่างเปล่าตอนนั้นยังไม่มีผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นอาศัยกันมาก
เหมือนในปัจจุบัน เพราะสงครามกับพวกอินเดียนแดงกับเม็กซิโก ทำให้ผู้คนต่างหนีหายและต่างคนต่างอพยพไป
หาที่เจริญกว่า เช่นเดียวกับแฟรค์ บอล คนอพยพ เขาย้ายมาอยู่เมืองเอลเลเมนดอล์ฟ เท็กซัส เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ทาง
ตะวันออกเฉียงใต้ ของซานแอนโตนิโอ เขาอพยพในปี ค.ศ. 1885




หลังจากที่ต้องรกรากที่เมืองนี้ไม่นาน แฟรงค์ก็กู้เงินจากธนาคารเพื่อตั้งโรงงานปั่นฝ้าย และดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขา
เพราะมีการสร้างรางรถไฟผ่านเมืองนี้ มันทำให้ธุรกิจของแฟรค์บูมมาก มันทำให้เขากลายเป็นบุรุษที่มั่งคงด้วยทรัพย์สิน
จากนั้นก็จับธุรกิจเรียลเอสเตท ด้วยการซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์

ท้ายสุดเขาก็เปิดร้านขายของขนาดใหญ่ขึ้นในเมือง ธุรกิจฟูถึงขีดสุด แฟรค์และอลิซาเบธ รวมทั้งลูก ๆ ทั้ง 8 คน กลายเป็น
ครอบครัวแข็งแรงสุดแกร่งและทรงพลังอำนาจในเมืองเอลเลเมนดอล์ฟแห่งนี้ เด็ก ๆ ทุกคนในครอบครัวต่างก็ประสบผลสำเร็จ
และหลายคนได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในชุมชน

แต่ยกเว้นเด็กคนหนึ่งที่เปรียบเสมือนกับแกะดำในครอบครัว เขาคือโจ-บอล

โจบอล หรือโจเซฟ ดี บอล เขาเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนที่สองของครอบครัว เกิดวันที่ 7 มกราคม 1896 ในวัยเด็ก
โจเป็นเด็กที่เก็บตัว น้อยครั้งนักที่เขาจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เหมือนกับเด็กอื่น ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร โจก็เป็นเด็กที่ชอบ
กิจกรรมทางแจ้ง เช่น ตกปลา และการออกสำรวจไปยังสถานที่ต่าง ๆ    


เมื่อโจบอลโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขามีรูปร่างใหญ่โต หน้าเหลี่ยม เขาเริ่มหันไปชอบปืนและหลงรักมัน และใช้เวลาต่าง ๆ หลายชั่วโมง
ในการฝึกยิงปืน เขาฝึกมันจนกระทั่งเกิดความชำนาญสามารถยิงนกเกาะอยู่บนต้นไม้ได้ทีเดียว

อย่างไรก็ตาม โจไม่รู้เลยว่า ทักษะนี้จะช่วยให้เขาก่อกรรมทำขวัญได้สะดวกในอนาคตข้างหน้า

วันที่ 6 เมษายน 1917 ช่วงนี้อเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมัน และกระโจมเข้าไปในความขัดแย้งของยุโรป โจสมัครเข้าไป
เป็นทหารและถูกส่งไปยังแนวหน้าในยุโรป  จนกระทั่ง 1919 โจก็รอดชีวิตมาได้ เขาได้รับการเชิดชูเกียรติจากกองทัพ เขาเดินทาง
กลับสู่บ้านเกิดที่เอลเลเมนดอร์ฟในเวลา นิสัยที่ติดตัวของโจมาด้วย คือ ชอบความท้าทาย บ้าบิ่น

เมื่อโจกับมาถึงบ้านเกิด ระยะแรกเขาเข้ามาทำงานกับบิดาระยะหนึ่งแต่ก็ลาออกเพราะรู้สึกว่ามันไม่ท้าทาย เนื่องจากเขาใช้ชีวิต
แบบทหารมานานปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมไม่ค่อยได้ จากนั้นเขาจึงเริ่มการขายเหล้าเถื่อน แม้เป็นงานที่เสี่ยงอันตราย
แต่โจสนุกไปกับมัน เขาขับรถฟอร์ดตระเวนไปจนทั่วเมืองพร้อมกับข่าวเหล้าจำนวน 50 แกลลอนต่อบาเรลให้แก่ชาวเมือง

ต่อมาโจได้ว่าจ้างหนุมอเมริกันท่าทางอ่อนต่อโลกคนหนึ่งเขามีนามว่า คลิฟตัน วีลเลอร์ ซึ่งต่อมาเขาก็คือผู้ช่วยของโจก่อคดีฆาตกรรม
วีลเลอร์พึ่งมารู้ที่หลังว่าตนโดนลากมาทำงานสกปรก แต่เขาจำเป็นต้องทำ เพราะนายจ้างของเขาข่มขู่ให้ทำงานต่อ และต้องทำงาน
อย่างหวาดผวาอีกเมื่อโจเมา เขามักอาละวาดและมาระบายอารมณ์ลงที่เขา มีอยู่ครั้งหนึ่งโจจะยิงไปที่บริเวณเท้าของวีลเลอร์
เพื่อบังคับให้เขาเต้นจิตเตอร์บั๊กให้ดู (การเต้นบิดตัวแบบหนึ่ง)




ต่อมา เมื่อหมดยุคของการห้ามผลิตเหล้าและขายสุรา โจก็ตัดสินใจเปิดร้านขายเหล้า ด้วยการลงทุนซื้อที่ดินผืนเล็ก ๆ ที่นอกเมือง
โจตั้งชื่อร้านว่าโซไซเอเบิลอินน์ ที่ด้านหลังของโรงแรมจะมีห้องนอนอยู่ 2 ห้อง ขณะที่ชั้นบนของหน้าด้านนั้นเป็นบาร์ มีคนเล่นเปียโน
และการแสดงรื่นเริงเช่นการชนไก่ การเฮฮาด้วยการดื่มเหล้า

บาร์ของโจฮิตติดระเบิดได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วกับการขายเหล้า แต่โจรู้สึกไม่พอใจกับมันมากนัก เขาต้องการอะไรอย่างหนึ่ง
อะไรที่ทำให้ร้านของเขาเป็นจุดเด่น และน่าสนใจ และนั่นเอง ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเลี้ยงจระเข้ บนที่ว่างบริเวณด้านหลังของบาร์ 
โจสั่งช่างก่อซีเมนต์ทับหลุมหนึ่งแล้วก็น้ำหล่อเอาไว้ พร้อมกับสร้างรั้วสูง 10 ฟุต ขึ้นมาล้อมเอาไว้ จากนั้นก็นำจระเข้ ที่ซื้อมา
ปล่อย 5 ตัว ดูเหมือนโจจะรักจระเข้พวกนั้นมาก


ความคิดของโจได้ผล ลูกค้าจำนวนมากสนใจกับสัตว์เลี้ยงของโจ โดยเฉพาะวันเสาร์บาร์ของโจวุ่นวายมาก เพราะโจจัดโชว์พิเศษ
ด้วยการโยนสัตว์เป็น ๆ อาทิ แร็กคูน แมว สุนัข รวมทั้งสัตว์อื่นๆ ลงในบ่อจระเข้เพื่อให้มันกินเป็นอาหาร เป็นที่บันเทิงใจของแขก
ที่มาเที่ยวอย่างมาก

เอลตัน คูด เจอาร์.ลุกชายคนรอง ของนายอำเภอในเขตเบ็กซาร์เปิดใจภายหลังคดีของโจบอลว่า

"เมื่อพวกเขาโยนลูกแมวเข้าไปในบ่อจระเข้ มันก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด จระเข้ตัวใหญ่อ้าปากของมันขึ้น
จากนั้นก็ปิดลงคล้ายกับเครื่องหนีบ เจ้าลูกแมวส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดขาดออกเป็นสองท่อน
'ทุก ๆ ท่านจะมีอะไรสนุกไปยิ่งกว่านี้ นี้คือสัตว์เลี้ยงผม'โจ บอล ตะโกน  จากนั้นเขาก็โยนลูกสุนัข
เข้าไปในบ่อที่เต็มไปด้วยเลือดเป็นลำดับต่อไป"




ปี 1934 โจก็ได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ มินนี ก๊อตฮาร์ดต์ สาวใหญ่ที่ใครๆต่างเรียกว่า มินนีใหญ่ โจตกลงหลงรักเธอทันที
และชวนให้มาทำงานที่บาร์ของร้าน แต่เพื่อน ๆ ของโจไม่ชอบหน้าเธอมากนัก เพราะเธอชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน
และทำตัวน่ารังเกียจ แต่โจไม่สนกับคำนินทานั้น ทั้งสองยังดำเนินกิจกรรมบาร์ไปด้วยกัน 3 ปี

3 ปีต่อมาโจได้ตกหลุมรักคนหนึ่ง ดอเลอร์ บัดดี กู๊ดวิน หนึ่งในสาวเสิร์ฟวัยรุ่นสุดสวยในบาร์เขา ดอเลอร์ก็ตกหลุมรักโจเช่นกัน
แต่ไม่นานอีกโจก็ตกหลุมรักผู้หญิงสาวสวยอีกคน ฮาเซล บราวน์ เธอมาสมัครงานที่ร้านบาร์ของเขา และด้วยเธอมีท่าทีเต็มไปด้วย
ความเชื่อมั่นและความสวย ก็ทำให้โจตกหลุมรักเธออีกคน แต่มันกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของโจเพราะน้ำพริกถ้วยเก่า 2 ถ้วย
ยังอยู่ เขาต้องพยายามสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างผู้หญิงสองคนที่ทำงานที่เดียวกัน…..

ฤดูร้อน 1937 มินนี ก๊อตฮาร์ดต์ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ เธอไม่ส่งจดหมายไปให้ญาติอีกเมืองหนึ่งไปหลายเดือนแล้ว
พวกเพื่อนและญาติ ๆ ของมันนีไต่ไถ่ถามโจอย่างหนัก คำตอบของโจคือ
"มันหายไปตัวไปน่ะ ตั้งแต่มันคลอดทารกผิวดำออกมา"

หลักจากอีก 2-3 เดือนต่อมา โจแต่งงานกับดอเลอร์  ไม่กี่วันต่อมาเขาได้สารภาพเรื่องการหายตัวของมินนีว่า
"ความจริงแล้ว ช่วงมินนีหายตัวไปไหนหรอก ฉันเป็นคนฆ่าหล่อนเอง ฉันแอบนัดหล่อนไปที่ชายหาด รอมันเผลอ
ฉันระเบิดกระสุนยิงเธอที่หัวเลยล่ะ ไม่มีเสียร้องสักแอะ สมองกระจายเลยล่ะ และจากนั้นก็ฝังหล่อนไว้ในทรายตรงนั้นแหละ"


ดอเลอร์ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องโจเล่ามากนัก แต่ก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่น

]

เดือนมกราคม 1938 ดอเลอร์ได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนทำให้เธอต้องตัดแขนซ้ายทิ้ง แต่จู่ ๆ ก็มีข่าวลือหนาหูว่า
สาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะจระเข้ของโจงับแขนเธอในขณะให้อาหาร ดอเลอร์ขอโจให้ฆ่าจระเข้ที่งับแขนเธอ
แต่โจไม่สนใจกับคำพูดเธอมากนัก


ไม่ว่าเธอจะสูญเสียแขนไปเพราะสาเหตุใดก็ตาม ในเดือนเมษายนดอเลอร์ก็หายตัวไปอย่างลึกลับอีกคน และในเวลาไม่นานนัก
ฮาเซสก็หายตัวไปอีกคน ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับผู้หญิงของโจ ต่างกับจระเข้ของโจที่มันยังรอเขาอยู่ที่เดิมเสมอ
นับวัน โจรักจระเข้เขามาก เขาพร้อมปกป้องจระเข้ของเขาสุดความสามารถถ้ามีอันตรายเข้ามารุกล้ำจระเข้ของเขา

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนบ้านของโจพูดจาเป็นเชิงตำหนิออกไปว่าเหม็นกลิ่นเนื้อเน่า มันลอยจากหลังบาร์ของโจ ขอให้โจแก้ไขกลิ่นนี้
แต่เมื่อโจได้ยินเขาก็ชักปืนออกมาพร้อมกับตะโกนว่า

"จระเข้น่ะมันต้องการอาหารโว๊ย ไม่ใช้เรื่องของแกมายุ่ง ถ้าไม่อยากเป็นอาหารจระเข้ซะเอง ออกไปจากบาร์ชั้นเดียวนี้"
เพื่อนบ้านของโจเหล่านั้นจำต้องย้ายไปอยู่เมืองอื่นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขามีปืนนี้

ถึงแม้ว่าปมปริศนาคดีการหายตัวลึกลับของผู้หญิง 3 คน จะยังไม่คลี่คลาย แต่ธุรกิจบาร์ของโจกำลังดำเนินไปด้วยดี
จนกระทั่งในกลางปี 1938 ครอบครัวของมินนีเริ่มออกตามหาเธออีกครั้ง คราวนี้พวกเขาขอความช่วยเหลือจากสำนักงาน
นายอำเภอเขตเบ็กซาร์ นายอำเภอได้ไปหาโจ และตั้งคำถามหลายข้อ แต่เขาก็ยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย


2-3 เดือนต่อมา มีครอบครัวหนึ่งแจ้งความตำรวจว่า ลูกสาวของเขาหายไป เธอชื่อว่าจูเลีย เทอร์เนอร์ วัย 23 ปี
เธอทำงานเป็นพาร์ตไทม์ของโจ และเมื่อเจ้าหน้าที่ของโจอีกครั้ง โจก็อ้างว่าเธอมีปัญหาส่วนตัวจึงขอย้ายออกไป 
และไม่ได้ข่าวของเธออีกเลย

แต่เมื่อตำรวจไปค้นห้องเช่าของจูเลียเช่ารวมกับเพื่อน ก็พบว่าเธอไม่ได้เอาข้าวของเครื่องใช้ไปด้วย เจ้าหน้าที่
จึงตัดสินใจไปที่บาร์เพื่อหาความกระจ่างอีกครั้ง โจจำต้องบอกว่า เขาจำได้ว่าเธอเบื่องาน และอยากออกไปหางานใหม่
เขาให้ยืมเงิน 500 ดอลลาร์ ส่วนสาเหตุที่เธอไม่กลับไปเพราะเธอมีปัญหากับเพื่อนร่วมห้อง


ในอีก 2-3 เดือนต่อมา ลูกจ้างของโจหายไปอีก 2 คน แต่ไม่มีใครจำอายุและชื่อของพวกเขาได้ คราวนี้เจ้าหน้าที่
ลงมือสอบสวนโจอย่างเข้มงวดนานนับชั่วโมง แต่โจก็ยังยืนยันในความบริสุทธิ์ของเขา เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถเอาผิด
อะไรกับโจได้ เพราะไม่มีพยานหลักฐานโดยสิ้นเชิง

วันที่ 23 กันยายน 1938 มีพยานแจ้งตำรวจ ว่าเห็นโจกำลังตัดเนื้อมนุษย์ออกจากร่างด้วยอีโต้ขนาดใหญ่และให้จระเข้กิน
เมื่อเกรย์และจอห์น เคิลเวนฮาเกน มาถึงที่บาร์ของโจ เพื่อพาโจไปที่ซานแอนโตนิโอเพื่อสอบสวนเล็กน้อย โจได้บอกให้
เจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งรอ และสักพักหนึ่งเขาดึงลิ้นชัก แล้วก็หยิบปืน.45 คาลิเบอร์รีวอลเกอร์ กระบอกหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็
จี้กระบอกปืนไปที่หัวใจของเขาเอง โจเหนี่ยวไกพร้อมกับล้มลงนอนตายบนพื้นบาร์

แม้จะมีหลายคนเล่าภายหลังว่า เขายิงตัวเองที่หัว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็คือการยินตัวตายนั้นเอง

ในเมื่อ โจ บอล ตายแล้ว ผู้ที่จะช่วยตำรวจกระจ่างได้มีคนเดียวเท่านั้นคือ คลิฟตัน วีลเลอร์ ลูกจ้างคนสนิทของโจ
เกลย์และเคิลเวนฮาเกน ได้นำวีลเลอร์กลับไปที่ซานแอนโตนิโอเพื่อทำการสอบสวน ในตอนแรกวีลเลอร์ปฏิเสธ
ไม่รู้ไม่เห็นใด ๆ ทั้งสิ้น แต่แล้วเมื่อเจอคำถามรุกหนักก็สารภาพออกมา ว่าโจเป็นฆาตกรที่ทำเรื่องราวทั้งหมด


เขาเล่าว่า ฮาเซล บราวน์ แฟนสาวอีกคนตกหลุมรักผู้ชายอีกคน และมีแผนหนีไปด้วยกัน โจโกรธมากกับข่าวนี้
เขาจึงลงมือสังหารฮาเซล และฝังเธอไว้ในที่หนึ่ง ในวันต่อมา วีลเลอร์ได้นำตำรวจไปยังสถานที่รกร้างห่างไกล
จากผู้คนจุดหนึ่ง ห่างจากเมือง 3 ไมล์ ใกล้ๆ กับแม่น้ำซานแอนโตลิโอ เขาชี้ตรงจุดที่ฝังศพ   



เมื่อเจ้าหน้าที่ขุดลงไปที่พื้นดิน หลังจากนั้นไม่กี่นาที เลือดก็เริ่มซึมออกจากดินในหลุม และกลิ่นเหม็นอันสุดจะทานทน
ก็โซยไปทั่ว มันเป็นกลิ่นเหม็นเน่าชวนคลื่นเหียนอันสุดบรรยาย วีลเลอร์ดึงแขนของศพขึ้นมาจากหลุม ซึ่งมีอยู่ 2 แขน
2 ขา และลำตัวเท่านั้น จากนั้นวีลเลอร์ก็ชี้ไปที่แคลป์ไฟที่อยู่ใกล้ ๆ ตำรวจทำการค้นหาอย่างละเอียดก็พบซากกรามฟัน
รวมถึงชิ้นส่วนศพที่เหลือทั้งหมดของ ฮาเซส บราวน์


วีลเลอร์ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ภายหลังการพบศพว่า
"คืนวันหนึ่ง หลังจากที่ผมเมาได้ที่ จู่ ๆ โจมาชักชวนผมมายังสถานที่นี้ โดยให้ผมนำถังขนาด 55 แกลลอน
ใส่รถปิกอัพมาด้วย เมื่อไปถึงที่หมาย ทันทีที่เปิดถังออกก็พบว่า นี้เป็นศพของฮาเซล เขาบอกว่า
'ฉันใช้ปืนยิงหล่อนเองแหละ ส่วนแกไปขุดหลุม'

จากนั้นก็เอาปืนมาจ่อหัวผมบังคับให้ทำตาม ผมจำเป็นต้องขุด และเมื่อขุดเสร็จ เขาก็บังคับอีกว่าให้หั่นศพ ผมปฏิเสธ
โจจำเป็นต้องลงมือเสียเอง แต่เนื่องจากเขาเมามาก ผมต้องช่วยจับแขนขาของศพให้ และเมื่อหั่นศพเสร็จ ผมและโจ
ก็ช่วยกันกลบเกลี่ยดินฝังศพและโยนหัวของฮาเซลเข้าไปที่แคมป์ไฟ"


เมื่อตำรวจถามมินนี ก็อตฮาร์ดต์ วีลเลอร์ก็เล่าว่า
"โจพามินนีไปยังอินกิลไซด์ที่อยู่ใกล้ ๆ กับโบสถ์คอปัส คริสตี้ เมื่อพบสถานที่เงียบสงบ ก็ลงมือเดิมขนาดหนัก
โจรอมินนีว้าวุ่นใจอย่างมากก็เอาปืนยิงที่หัว สาเหตุที่โจฆ่าเธอก็เพราะเธอท้อง เขาไม่ต้องการให้มินนีเข้ามา
แทรกแซงความสำพันธ์ระหว่างเขากับดอเลอร์ ผมและโจฝังร่างของมินนีไว้ใต้ฝืนทรายและขับรถกลับที่บาร์"


14 ตุลาคม 1938 ตำรวจก็พบร่างที่ยังหลงเหลือของมินนีใต้ทรายที่วีลเลอร์ชี้ หลังจากนั้นตำรวจสอบสวนเกี่ยวกับ
ผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่หายไป วีลเลอร์ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ ท้ายสุดตำรวจก็ค้นพบดอเลอร์ใน
แคลิฟอร์เนีย เธอสุขสบายดีและเริ่มต้นชีวิตใหม่ และตำรวจก็พบผู้หญิงอีกคนในบัญชีสูญหายที่ฟินีสซ์

เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจค้นบ่อน้ำข้างโรงแรม แต่ไม่พบชิ้นส่วนของมนุษย์แต่อย่างใด ทำให้ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า
โจบอลล่ามนุษย์เพื่อเอามาเป็นอาหารของจระเข้จริงหรือไม่



 
ในปี 1939 คลิฟตัน วีลเลอร์ ถูกสั่งจำคุกในข้อหาหั่นศพ หลังจากถูกปล่อยตัวออกมา เขาก็ไปทำอาชีพเปิดบาร์เป็นของตัวเอง!
ส่วนจระเข้ของโจนั้นถูกบริจาคให้กับสวนสัตว์ซานแอนโตลิโอ และพวกมันก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีเสียด้วยสิ!

สรุปคือคดีนี้ปิดลง โดยไม่รู้แน่ชัดว่าโจฆ่าคนไปเท่าไหร่กันแน่หรือมีสักกี่คนตกเป็นเหยื่ออาหารของจระเข้ แต่เรื่องราว
ของเขายังมีชีวิตชีวาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในโลกอาชญากรรมต่างรู้จักเขาในนาม โจ บอล นักหั่นศพแห่งเอลเลเมนดอร์ฟ 
(Butcher of Elmendorf) และกลายเป็นแรงบันดาลใจ Eaten Alive (1977) ในเวลาต่อมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 กุมภาพันธ์ 2018, 10:48:31 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่