-->

ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดประตูสู่AEC ธุรกิจอสังหาฯ รับผลดีแน่นอน  (อ่าน 544 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

don

  • กรรมการเวป
  • แตกหนุ่ม
  • *
  • กระทู้: 529
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด

ผู้บริหาร ERA ประเทศไทยชี้การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นการเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แนะให้วางแผนและเตรียมบุคลากรให้พร้อม เชื่อก่อให้เกิดผลดีทั้งในและออกนอกประเทศ นายวรเดช ศิวเดชานนท์ ประธานกรรมการบริหาร ERA Franchine (Thailand) กล่าวว่า ในปี 2558 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าที่ไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC นั้น หลายภาคส่วนก็มีความตื่นตัวกันมาก โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของภาคบริการด้วย แต่ในส่วนของ ERA เราเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ในเครือ Realogy Corp. ซึ่งเป็นบริษัทที่มีเครือข่ายแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ใหญ่สุดในโลก ERA เริ่มดำเนินการในประเทศตั้งแต่ปี 2536 ปัจจุบัน ERA Franchise (Thailand) เป็นเจ้าของสิทธิ์ Master Franchise ในประเทศไทย มีเครือข่ายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศและมีตัวแทนขายกว่าเราเป็นเฟรนไชส์ที่ใหญ่มีตลาดที่ครอบคลุมถึง 40 ประเทศ ในส่วนของ ERA ประเทศไทยเองปีนี้ก็เป็นปีที่ 20 “สำหรับธุรกิจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเชียงใหม่ติดตามมาโดยตลอดก็ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย เช่นเดียวกับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งหลายคนกังวลว่าจะเป็นวิกฤตแต่โดยส่วนตัวกลับมองว่ามันจะเป็นโอกาส สำหรับ ERA ประเทศไทยเราขณะนี้มีนักขายมืออาชีพแล้วกว่า 1,500 คนและเราก็พร้อมที่จะสร้างนักการตลาดที่มีอนาคต”ประธานกรรมการบริหาร ERA Franchine (Thailand) กล่าวและว่า ที่เรามองว่าการเป็นประชาคมอาเซียนจะเป็นโอกาสนั้น หากดูในประเทศเองเมื่อเป็นประชาคมอาเซียนก็จะย่อมจะมีนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย หรือเข้ามาในไทยมากขึ้นซึ่งก็จะเป็นผลบวกกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพราะแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีการตั้งสำนักงาน ต้องมีการก่อสร้าง ต้องการมีจัดสร้างโรงงานอุตสาหกรรม มีการจ้างงาน ทั้งหมดก็ต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งนั้น อย่างเช่นในช่วงที่มีน้ำท่วมใหญ่ปีที่ผ่านมา แม้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างฝืด แต่ปรากฏว่าในเขตพัทยา ชลบุรีมีชาวต่างประเทศมาเช่าสำนักงานและให้ทางบริษัทจัดหาบ้านเช่าให้กว่า 20 หลังเพื่อให้ผู้บริหารและพนักงานอาศัย ในกรณีเดียวกันหากมองไปนอกประเทศ ถามว่าแล้ว ERA  มองเห็นโอกาสอย่างไร จุดนี้ก็ต้องมาดูถึงเบื้องหลังของนักลงทุน ซึ่งก็คล้ายกับการขายอสังหาฯมือสองซึ่งเป็นการลงทุนที่น้อย แต่เอามารีโนเวท ตกแต่งใหม่ให้ดูมีสไตล์ก็ทำให้มีกำไรอย่างน้อย 20% ที่สำคัญอย่าลืมว่าการถือครองอสังหาริมทรัพย์นั้นยังมีมูลค่าดีกว่าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะแม้บางทีซื้อมาแล้วยังขายไม่ได้แต่หากทรัพย์ยังอยู่ไม่แน่ในอนาคตราคาประเมินอาจจะเพิ่มขึ้นก็ทำให้มีกำไรเพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงยังน้อยกว่าตลาดหลักทรัพย์ด้วยซ้ำ “สิ่งสำคัญเราต้องสร้างองค์กรของเราให้พร้อม เช่นเดียวกับ ERA เราต้องมองทุกอย่างเป็นโอกาส อย่ากลัวและขอให้พร้อมในการวางแผนและเปิดวิชั่นให้กว้าง อย่าลืมว่าตลาดต่อไปไม่ใช่แค่ 60 ล้านคนแล้ว แต่เป็นอาเซียนรวมกันเป็น 600 ล้านคน และถ้ารวมจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็มากกว่า 600 ล้านคน สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ถ้าวางแผนดี วางแผนด้านบุคลากรให้พร้อมและสร้างให้ได้มาตรฐานเพื่อรองรับชาวต่างประเทศที่จะเข้ามาจะดีกว่า”นายวรเดช กล่าวและว่า ในการทำการตลาดสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นที่ผ่านมามักจะต่างคนต่างขาย โดยทุกโครงการจะออกจุดเด่นของตนเอง แต่เมื่อตลาดเปิดกว้างและหากเจ้าของโครงการมีการรวมตัวกันแล้วนำเสนอขายพร้อมกันจะทำให้ขายได้ง่ายกว่า ไม่ว่าจะเป็นโครงการเล็กหรือโครงการใหญ่อย่าคิดขายโดยลำพัง เนื่องจากความต้องการของคนซื้อจะมีอยู่ 3 อย่างเท่านั้นคือ อยากซื้อ กู้ได้และโครงการนั้นพร้อมเข้าอยู่ได้ ที่สำคัญการทำโครงการจะต้องให้ตรงกับความต้องการของตลาด จากการสำรวจข้อมูลของผู้ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์พบว่า 40% ของผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ซื้อเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย 30% ซื้อเพื่อเก็งกำไร และอีก 30% ซื้อเพื่อลงทุนคือให้เช่าต่อ ดังนั้นในการลงทุนของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน แต่อย่าลืมดูสภาวะเศรษฐกิจ ดูกำลังซื้อของตลาดเป็นองค์ประกอบด้วย.