-->

ผู้เขียน หัวข้อ: >>> พระพักตร์ที่แท้จริงของฟาโรห์ <<<  (อ่าน 1039 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Nick2005

  • บุคคลทั่วไป
>>> พระพักตร์ที่แท้จริงของฟาโรห์ <<<
« เมื่อ: 25 ธันวาคม 2008, 11:15:58 »





พระพักตร์ที่แท้จริงของฟาโรห์
กว่า 3,000 ปี ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ยุวกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอียิปต์โบราณ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษก็สืบเสาะค้นหาจนพบสุสานและมัมมี่ของพระองค์เข้าเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2465 หรือเมื่อ 85 ปีก่อน ทำให้การบรรทมอันสงบสุขเพื่อรอการคืนชีพของพระองค์ที่หุบเขาแห่งกษัตริย์ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณก็ถึงกาลสิ้นสุดลง และท้ายที่สุดโลกก็ได้เห็นพระพักตร์อันเก่าแก่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากทองคำอันสง่างามมาเนิ่นนานหลายพันปีอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมแล้วอีกด้วย ภาพวิดีโอบันทึกการนำพระศพที่เป็นมัมมี่ขึ้นจากใต้ฝาหีบทองคำ ในสุสานของพระองค์ ที่ซีเอ็นเอ็นนำภาพมาเผยแพร่ทางเวบไซต์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้เราได้เห็นภาพพระพักตร์อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่คณะทำงานที่ค่อยๆ บรรจงยกฝาหีบทองคำแกะสลักและระบายสีเป็นภาพเหมือนของพระองค์ที่ครอบอยู่ออกไป เพื่อจะได้ยกพระศพออกมาจากโลงหินที่อยู่ภายใต้ แม้ว่าพระศพจะกลายเป็นสีดำคล้ำตามกาลเวลา แต่อวัยวะทุกส่วนยังอยู่ครบ แม้แต่ผิวหนังชั้นนอกยังดูมีสภาพที่ดีอยู่มาก แม้จะแห้งจนหมือนหนังสีดำยับย่น ทีมงานจะนำมัมมี่สำคัญองค์นี้ไปเอกซเรย์ที่เครื่อง ซีที สแกน อีกครั้งหนึ่งเพื่อเก็บข้อมูลไว้ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์โดยละเอียดต่อไป หลังจากนั้นก็จะผนึกพระองค์ไว้ในโลงแก้วที่มีการรักษาอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ในห้องเก็บพระศพเดิม เปิดให้เห็นพระพักตร์และปลายพระบาทได้
ดร.ซาฮี ฮาวาส ประธานสภาสูงสุดด้านวัฒนธรรมของอียิปต์ กล่าวว่าก่อน 2 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พยายามฟื้นฟูความเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับมัมมี่พระศพ "คิงทัต" อย่างเต็มที่ "โดยเฉพาะส่วนพระพักตร์ ที่เคยแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยถึง 18 ชิ้นทีเดียว ไม่ต่างจากหินที่แตกเป็นเสี่ยงๆ " ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษผู้ค้นพบสุสานของคิงทัต คนแรก ที่ต้องการจะถอดหน้ากากทองคำของพระองค์ออกและย้ายมัมมี่ออกจากสุสาน ทำให้พระองค์เสียหายอย่างร้ายแรงดังกล่าว
ดร.ฮาวาส กล่าวว่า "สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้ คือ ความชื้นและความร้อนจากลมหายใจและร่างกายของคนที่จะทำให้มัมมี่สลายกลายเป็นฝุ่นเร็วขึ้น" เนื่องจากในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวที่เข้าไปชมสุสานใต้ดินแห่งนี้กันเดือนละหลายพันคน "ตอนนี้พระพักตร์ยังมีสภาพดีอยู่ เราต้องเร่งรักษาสภาพของพระพักตร์เอาไว้โดยเร็วก่อน? ฮาวาส กล่าว และเขายังบอกด้วยว่า "เมื่อพระองค์ประทับในโลงแก้วนี้ ก็จะทรงอยู่ต่อไปได้ชั่วนิรันดร์"
หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เรื่องราวของพระองค์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก นักโบราณคดีพยายามศึกษาเรื่องราวของพระองค์ในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะพระองค์สิ้นพระชนม์เพราะอะไร และมีผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้มากมาย ส่วนใหญ่เชื่อว่าทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์ที่ 18 ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ ขึ้นครองราชย์ขณะทรงมีพระชนมายุ 8 พรรษา และสิ้นพระชนม์เมื่อ 19 พรรษา เนื่องจากถูกลอบปลงพระชนม์ ความพยายามที่จะไขปริศนาลี้ลับเกี่ยวกับพระองค์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ถึงขนาดเคยนำมัมมี่ออกจากสุสานไปเอกซเรย์ ด้วยเครื่อง ซีที สแกน มาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2548 โดยใช้เวลา 15 นาที จนสามารถได้ภาพสามมิติของพระองค์ขึ้นมาได้สำเร็จ นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำเครื่องสแกนมาใช้เอกซเรย์มัมมี่ในอียิปต์ ผลจากการเอกซเรย์ สามารถลบล้างความเชื่อที่ว่าพระองค์ถูกลอบปลงประชนม์ด้วยวิธีรุนแรง แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเมื่อประมาณ 1323 ปีก่อนคริสตกาลนั้นพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไร ผู้เชี่ยวชาญในขณะนั้นเชื่อว่าก่อนสิ้นพระชนม์ไม่กี่วัน กระดูกพระชงฆ์ซ้ายของพระองค์อาจจะหัก เพราะอุบัติเหตุ แต่ต่อมาแผลติดเชื้อขั้นรุนแรง จนเป็นสาเหตุทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ นอกจากนั้น เครื่องซีที สแกน ยังทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พระองค์เสวยพระกระยาหารที่มีคุณภาพ มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ขณะที่สิ้นพระชนม์มีพระวรกายสูง 5 ฟุต 6 นิ้ว (165 ซม.) พระทนต์หน้าด้านบนไม่ได้สบกับด้านล่างพอดี ซึ่งก็เหมือนกับฟาโรห์พระองค์อื่นในราชวงศ์ของพระองค์ ซึ่งนักโบราณคดีบอกว่าทำให้หลายคนมองว่าดูเหมือนพระองค์กำลังแย้มพระสรวลเสมอ
คาร์เตอร์ เขียนหนังสือขายดีหลายเล่มเกี่ยวกับการค้นพบครั้งสำคัญระดับโลกของเขา แต่ตำนานและเรื่องราวอันลี้ลับเกี่ยวกับคิงทัตเป็นที่รู้จักและสนใจไปทั่วโลกอย่างมากในช่วงต้นทศวรรษ 1970 นี่เอง เพราะการประดิษฐ์ของเลียนแบบข้าวของเครื่องใช้และเครื่องประดับอันงดงามที่ค้นพบในสุสานของพระองค์และเผยแพร่ไปทั่วโลก เห็นได้ว่างานแสดงนิทรรศการสมบัติจากสุสานของคิงทัต ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอังกฤษกรุงลอนดอน ในปี 2515 มีผู้เข้าชมมากถึง 1,694,117 คน จากการเปิดแสดงทั้งหมด 6 เดือน ถือว่าเป็นนิทรรศการที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของลอนดอนครั้งหนึ่งทีเดียว ปลายเดือนพฤศจิกายนศกนี้ ก็จะมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้และเครื่องประดับของคิงทัตที่กรุงลอนดอนอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งจะมีการนำผลงานศิลปะจำนวนมากจากห้องฝังพระศพของคิงทัตมาแสดงด้วย
ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวอียิปต์ก็หวังว่าต่อไปจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ไปยังเมืองลักซอร์ ที่ตั้งของหุบเขาแห่งกษัตริย์ได้มากขึ้น เพื่อชมสิ่งที่พิพิธภัณฑ์ทั่วไปไม่มีด้วยตาตนเอง นั่นคือมัมมี่นั่นเอง มุสตาฟา วาเซรี หัวหน้าทีมผู้ดูแลหุบเขาแห่งกษัตริย์ของสภาสูงสุดด้านวัฒนธรรมของอียิปต์กล่าว นอกจากนี้เขายังกล่าวด้วยว่ามัมมี่ส่วนใหญ่ที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ใดนั้นส่วนใหญ่จะแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ลักซอร์หรือไคโร เท่านั้น อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งก็ไม่ได้อยากเห็นมัมมี่ของคิงทัตในโลงแก้วทันสมัยที่มองเห็นข้างในได้เช่นนี้ "ผมคิดว่าน่าจะให้พระองค์ได้ประทับอย่างสงบอยู่ที่เดิมของพระองค์มากกว่า" บ็อบ ฟิลพอตต์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่มีโอกาสได้ไปชมมัมมี่ก่อนการเคลื่อนย้ายพระศพ ให้ความเห็น หลังจากนี้ ฮาวาส ก็จะได้ศึกษาต่อไปว่าพระองค์สืบสันตติวงศ์มาอย่างไร เนื่องจากยังไม่มีใครรู้แน่ว่าพระองค์เป็นพระโอรสหรือพระภาดา (ลูกพี่ลูกน้อง) ของฟาโรห์อาเคนาเต็น ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้นำการปฏิวัติจนเปลี่ยนความเชื่อของสังคมจากเรื่องพระเจ้าพระองค์เดียวมาเป็นระบบฟาโรห์ และสร้างราชอาณาจักรอียิปต์โบราณขึ้น ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสของฟาโรห์เอเมนโฮเทปที่ 3





มัมมี่ฟาโรห์ตุตันคามุน หรือ "คิงทัต" เพิ่งเปิดให้สาธารณชนชมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และจะเปิดให้เข้าชมเรื่อย ๆ โดยไม่มีกำหนด

ร่างของฟาโรห์หนุ่มน้อยที่สิ้นพระชนม์ขณะอายุ 19 ชันษา ไปเมื่อกว่า 3,000 ปีก่อน ถูกห่อพระศพด้วยผ้าลินิน จากนั้นจึงเก็บไว้ในโลงหิน ที่สุสานในแวลลีย์ออฟเดอะคิงส์ เมืองลักซอร์ ประเทศอียิปต์

นับตั้งแต่ นายฮาวเวิร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ พบสุสาน "คิงทัต" เมื่อ 85 ปีก่อน มีแต่กลุ่มนักโบราณคดีเท่านั้นที่เห็นพระพักตร์แท้ จนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ทำการซ่อมแซมมัมมี่ของพระองค์ เมื่อการซ่อมเสร็จสิ้น จึงเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมมัมมี่ "คิงทัต" ในโลงแก้ว ซึ่งควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ และป้องกันฝุ่น

ดร.ซาฮี ฮาวาส หัวหน้านักโบราณคดีอียิปต์ กล่าวว่า "มัมมี่ปลอดภัยและถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่เข้ามาชม สุสานจะมีโอกาสเห็นพระพักตร์องค์ฟาโรห์ ตุตันคามุนเป็นครั้งแรก พระพักตร์นั้นน่าประทับใจ แปลกประหลาด ขณะเดียวกันก็มีความลึกลับ" ฮาวาสยังเปิดเผยต่อไปอีกว่า "ที่จริงแล้ว ร่างของพระองค์หักออกเป็น 18 ท่อน ความเสียหายนี้เกิดขึ้นขณะที่คาร์เตอร์และคณะนักโบราณคดีอังกฤษ นำโลงพระศพออกมาจากสุสานและพยายามเปิดโลงหินสีทอง"

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญกำลังมีโครงการใหม่ คือการพิสูจน์ว่า คิงทัตสืบสายมาจากฟาโรห์องค์ใดกันแน่ เพราะยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า พระองค์ทรงเป็นโอรสหรือเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของฟาโรห์อาคีนาเทน สำหรับฟาโรห์อาคีนาเทนนั้นเป็น "นักปฏิรูป" โดยเปลี่ยนจาก เอกเทวนิยม (monotheism) มาเป็นอียิปต์โบราณ และพระองค์เป็นโอรสของฟาโรห์อาเมนโฮเทพที่ 3
การที่รัฐบาลอียิปต์ เปิดให้นักท่องเที่ยวชมมัมมี่ "คิงทัต" ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหวาดเกรงมากว่า การเข้าชมจะทำให้มัมมี่เสื่อมสภาพลง เพราะแต่ละเดือนจะมีผู้เข้าชมสุสานหลายหมื่นคน ดร.ฮาวาสยอมรับว่า ภายใน 50 ปี มัมมี่ของ "คิงทัต" อาจจะกลายเป็นผุยผง เนื่องจากความชื้น ความร้อน ลมหายใจจากตัวนักท่องเที่ยว จะเปลี่ยนมัมมี่ให้กลายเป็นผงฝุ่น และอาจเหลือแต่ พระพักตร์ซึ่งเป็นอวัยวะที่ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด ส่วนสาเหตุที่รัฐบาลอียิปต์นำมัมมี่จริงของ "คิงทัต" มาให้ชมนั้น เป็นเพราะว่าต้องการรายได้จากการท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเมืองลักซอร์ คาดว่า จะมีผู้เข้าชมมัมมี่ของฟาโรห์องค์นี้สูงขึ้นถึงวันละ 700 คน

ฟาโรห์ตุตันคามุน ทรงขึ้นครองอียิปต์เมื่อศตวรรษที่ 18 ขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุ 8 ชันษา เมื่อคาร์เตอร์เปิดเผยให้โลกทราบว่า พบมัมมี่องค์ฟาโรห์ในโลงทอง พร้อมสมบัติมากมาย ทำให้พระนามของ "ฟาโรห์ตุตันคามุน" กลายเป็นที่รู้จักของชนทั่วโลกเพียงข้ามคืน แม้ว่าพระ องค์จะไม่ใช่ฟาโรห์ที่ทรงอิทธิพลและมีความสำคัญมากที่สุดของอียิปต์โบราณ แต่จากข่าวที่คาร์เตอร์และคณะประสบโรคร้าย โดยมีเสียงร่ำลือว่า เป็นเพราะถูกสาปแช่งเมื่อบังอาจไปรบกวนพระศพ ยิ่งทำให้ "ฟาโรห์ตุตันคามุน" เป็นที่น่าสนใจ





นักโบราณคดีพยายามหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของ "คิงทัต" จนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีการนำเครื่องซีทีสแกนไปสร้างภาพ 3D จากมัมมี่ของพระองค์เป็นเวลา 15 นาที และเป็นครั้งแรกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับมัมมี่อียิปต์ การตรวจสอบพบว่า "คิงทัต" สูงประมาณ 5 ฟุต 6 นิ้ว หรือ 165 เซนติเมตร พระองค์มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ดี มีพระทนต์อูมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของฟาโรห์ในราชวงศ์ พระทนต์ซี่หน้าใหญ่ พระทนต์ด้านล่างเรียงไม่ค่อยเป็นระเบียบ "คิงทัต" สิ้น พระชนม์เมื่อประมาณ 1,323 ปีก่อนคริสตกาล ไม่ได้ถูกลอบปลงพระ ชนม์ แต่ก่อนสิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่วัน สะโพกซ้ายของพระองค์หัก อาจเป็นเพราะได้รับอุบัติเหตุ จากนั้นแผลได้ติดเชื้ออย่างรุนแรง จนสิ้นพระชนม์ในที่สุด
เมื่ออียิปต์เปิดให้นักท่องเที่ยวชมมัมมี่ "คิงทัต" แล้ว จากนั้นร่างของพระองค์จะต้องเดินทางไปทัวร์ตามพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษและสหรัฐ เริ่มด้วยวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงลอนดอน ตามด้วยพิพิธภัณฑ์ 3 แห่งในสหรัฐ รวมทั้งดัลลัสมิวเซียมออฟอาร์ต

แม้การเดินทางของ "คิงทัต" จะทำให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจจากมุมอื่นของโลกมีโอกาสเห็นองค์จริง แต่นักท่องเที่ยวหลายคนไม่เห็นด้วยที่จะนำพระองค์มาจัดแสดง เช่น นายบ๊อบ ฟิลพอตต์ส นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ มีความเห็นว่า "ควรให้พระองค์นอนอยู่ในความเงียบและสงบ ซึ่งพระองค์สมควรอยู่ในแวลลีย์ออฟเดอะคิงส์ต่อไป"





3p

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> พระพักตร์ที่แท้จริงของฟาโรห์ <<<
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2008, 13:47:35 »

ขอบคุณครับ   เพิ่งเห็นพระพักต์จิงก็วันนี้ hgjhg

ZOIDS

  • บุคคลทั่วไป
Re: >>> พระพักตร์ที่แท้จริงของฟาโรห์ <<<
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2008, 11:11:27 »

สุดยอดมากครับ ท่าน Nick  hgjhg