-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 5 บทความแปลกๆ ที่มีอยู่บน Wikipedia  (อ่าน 633 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18210
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
5 บทความแปลกๆ ที่มีอยู่บน Wikipedia
« เมื่อ: 01 ธันวาคม 2017, 12:08:39 »

5 บทความแปลกๆ ที่มีอยู่บน Wikipedia
cr.พี่นิทาน@dek-d

1. ฟาร์มพิซซ่า (Pizza farm)



ฟังชื่อแล้วตอนแรกก็นึกภาพว่าพอเข้าไปในฟาร์มนี้แล้วต้องเห็นพิซซ่างอกขึ้นมาจากดินเรียงกันเป็นแถวเยอะๆ
แต่เดี๋ยวก่อนนะ... นี่มันเรื่องจริง ไม่ใช่ในการ์ตูนซักหน่อย!


ฟาร์มพิซซ่านี้อาจไม่ใช่แบบที่คุณๆคิดอยู่ เพราะความจริงแล้วเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีฟาร์มปลูกพืชผักชนิดต่างๆ
ที่ใช้ใส่ในพิซซ่า เช่น มะเขือเทศ, เห็ด, เครื่องเทศต่างๆ รวมไปถึงเลี้ยงสัตว์ชนิดต่างๆ ที่อนาคตจะมาเป็นส่วนผสมในหน้า
ของพิซซ่าด้วย


นอกจากจะมีแปลงปลูกผักและเล้าสัตว์แล้ว ที่ฟาร์มพิซซ่ายังนิยมเปิดร้านพิซซ่าไปด้วยในตัว โดยฟาร์มพิซซ่านี้
จะมีหลายที่ในสหรัฐอเมริกา บางแห่งก็ถือเป็นสถานที่ๆ ให้ความรู้เรื่องพืชผักและประวัติเกี่ยวกับพิซซ่าไปในตัวด้วย
หนึ่งในฟาร์มพิซซ่าที่น่าสนใจก็มีที่ Cobb Ranch ฟาร์มในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ออกแบบแปลงผักเรียงตัวกันให้เหมือน
รูปพิซซ่า 



แต่ความน่าสนใจมาก-น้อยก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละฟาร์ม ส่วนฟาร์มไหนที่ขายพิซซ่าด้วยก็ถือว่าดีเลย
เพราะใช้วัตถุดิบจากฟาร์มตัวเอง รับรองว่าสดใหม่แน่นอน

ลิงค์จากวิกิฯ : https://en.wikipedia.org/wiki/Pizza_farm




2. โรค ‘เต้นไม่หยุด’ ระบาดในค.ศ. 1518

เรื่องนี้ถือว่าแปลกมากและเชื่อว่าหลายคนต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่ๆ เพราะในปีค.ศ. 1518 นั้นเคยมี
การระบาดของโรคเต้นไม่หยุดที่เมืองสตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส คือมีคนเต้นกันติดต่อกันหลายคืน หลายวัน
จนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน (ห๊ะ...เต้นไปได้ไงเนี่ย) บางคนก็ต้องเลิกเต้นเพราะเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย
เฉียบพลัน และเหนื่อยตาย




ฟังดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง แต่เหตุการณ์เริ่มในช่วงเดือนกรกฎาคม 1518 มีหญิงคนหนึ่งเริ่มเต้นอย่างเมามันส์
บนถนนในสตราสบูร์ก แล้วก็เต้นอยู่อย่างนั้นประมาณ 6 วัน ระหว่างนั้นก็มีคนจำนวนมากมาร่วมเต้นกับเธอด้วย
จนเวลาผ่านไปเป็นเดือนคนก็เพิ่มมาเป็นประมาณ 400 กว่าคน ซึ่งส่วนมากก็เป็นผู้หญิง และพอเต้นกันอย่าง
สนุกสนานเมามันส์แบบนี้นานเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนก็ย่อมต้องเหนื่อยและเสียชีวิตจากหลายๆ อาการที่เล่ามา
ตอนต้น และในบันทึกแพทย์ต่างๆ ก็หาสาเหตุไม่ได้เช่นกันว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงเต้นกันนานและระบาดกันขนาดนั้น

ช่วงที่โรคเต้นไม่หยุดระบาดหนัก เหล่าชนชั้นสูงและหลายๆ คนก็เริ่มเป็นห่วงประชาชน จึงขอแนะนำจากแพทย์
และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ และประกาศให้ประชาชนรู้ว่าโรคนี้ "เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ" ที่มาจากอาการเลือดร้อน บ้าคลั่ง

แต่แทนที่จะหยุดโรคเต้น ทางการก็ดันสนับสนุนให้มีการเต้นมากขึ้น ถึงขนาดสร้างเวทีไม้ให้คนขึ้นไปเต้นกัน
อย่างเป็นที่เป็นทางซะงั้น เพราะเชื่อกันว่าพวกนักเต้นทั้งหลายน่าจะหายบ้าคลั่งขึ้นถ้าได้เต้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

แต่นอกจากนั้นแล้วก็มีหลายๆ คนเชื่อกันว่าภายใต้การเต้นอย่างบ้าคลั่งนี้อาจมีคนคลั่งศาสนาบางคนที่สาปพวกเขา
ให้เต้นไม่มีวันหยุด หรือไม่ก็คนเหล่านี้อาจเป็นสมาชิกของกลุ่มศาสนาบางกลุ่ม ที่เต้นเพื่อทำพิธีบางอย่างในกลุ่ม
ของพวกเขา หรือไม่ก็อาจเป็นเชื้อราบางชนิดที่อยู่ในข้าว ที่ทำให้พวกเขากินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว และทำให้เกิดภาพหลอน

(ฤทธิ์คล้ายยาเสพติด)

ลิงค์จากวิกิฯ : https://en.wikipedia.org/wiki/Dancing_Plague_of_1518



3. รั้ว “ยกทรง” ที่นิวซีแลนด์

บนโลกนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และในแต่ละเมืองของแต่ละประเทศนั้นก็มีสถานที่ ที่น่าสนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยว
เยอะแยะไปหมด
  และ “รั้วยกทรง” แห่งนี้ก็ (เคย) เป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชอบมาชมกันในใจกลางเมือง Otago
ประเทศนิวซีแลนด์




ต้นกำเนิดของรั้วยกทรงแห่งนี้อยู่ในช่วงคริสต์มาสปี 1998 และวันปีใหม่ในปี 1999 โดยอยู่ๆ ก็มียกทรง 4 ตัวมาแขวนไว้
ที่รั้วธรรมดาๆ ริมถนนแห่งหนึ่งในเมือง สาเหตุที่มียกทรงมาแขวนไว้ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดเลยค่ะว่าทำไม และยกทรงเหล่านี้
เป็นของใครกันแน่ และพอมีคนเริ่มพูดถึง ข่าวก็กระจายออกไปทั่ว หลังจากนั้นจึงมียกทรงมาแขวนเพิ่มอีกเรื่อยๆ จนนับ
ได้ประมาณ 60 ตัว ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน แต่ในช่วงเวลานั้นยกทรงเหล่านี้ก็มักจะโดนใครก็ไม่รู้มาเอาออกไป
เป็นประจำ อาจเพราะบางคนไม่พอใจและคิดว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ยกทรงก็เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อยๆ
และเพิ่มไปถึงจำนวน 200 ตัวในช่วงปี 2000 แล้วก็มีคนมาเอาออกไปอีก จนกระทั่งในที่สุดรั้วยกทรงแห่งนี้ก็เริ่มมีชื่อเสียง
และนักท่องเที่ยวก็แวะมาเยี่ยมเยียนถ่ายรูปกันมากขึ้น

แต่ถึงแม้ว่ารั้วยกทรงจะแปลกและแหวกแนวจริงๆ หลายคนในท้องถิ่นหรือในเมืองก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย และไม่ใช่เรื่อง
ที่ควรภูมิใจที่เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ขณะเดียวกันเจ้าของฟาร์มแกะคนหนึ่งที่อาศัยอยู่แถวนั้นก็อาสาเป็นคนดูแล
รั้วยกทรงนี้เอง และยืนยันจะไม่ให้ใครมาเอายกทรงออกไป จนในที่สุดเมื่อชาวบ้านและคนส่วนมากเห็นพ้องต้องกันว่าการที่มี
คนมาคอยหยุดรถเพื่อถ่ายรูปรั้วนี้ ก็เป็นอันตรายต่อการจราจรแถวนั้นด้วยเช่นกัน จึงจำเป็นต้องเอายกทรงออกไปให้หมด

แต่การเอายกทรงทั้งหมดออกจากรั้วก็ไม่ใช่เรื่องราวเศร้าหรือน่าเสียดายอะไร เพราะด้วยจำนวนยกทรงที่มากขนาดนั้นทำให้
พวกเขาเอามาต่อกันได้ถึง 7,400 ตัว และนำไปจัดแสดงที่งานเทศกาลประจำปีในเขตนั้นจนได้เงินรางวัลมาทำการกุศลซะเลย


ลิงค์จากวิกิฯ : https://en.wikipedia.org/wiki/Cardrona_Bra_Fence




4. “กฎ 5 วินาที” เวลาที่ของกินตกพื้น



เวลาเรากำลังถืออาหารหรือขนมอยู่แล้วทำตกพื้น เรามักจะพูดขำๆ กับเพื่อนว่า  “เฮ้ย ไม่เป็นไร เชื้อโรคยังเดินทางมาไม่ถึง”
แล้วก็รีบเก็บขึ้นมากินต่อ (เชื่อว่าเคยทำกันทุกคนแน่ๆ) ที่เป็นแบบนี้เพราะเรามีความเชื่อในกฎ 5 วินาที หรือบางคนอาจเป็น
3 วินาทีก็ได้ แล้วแต่สะดวก คือเชื่อกันว่าใน 3 หรือ 5 วินาทีนั้น เชื้อโรคต้องยังไม่มาถึงแน่นอน


ความจริงแล้วกฎนี้ก็ไม่ได้มีนักวิทยาศาสตร์แขนงไหนออกมาแถลงหรอกว่า เชื้อโรคมันยังมาไม่ถึง หรืออะไรทำนองนี้
แต่กฎนี้คนส่วนมากมักใช้พูดกันขำๆ เพื่อแก้ตัวในการเก็บอาหารเหล่านั้นขึ้นมากินกันต่อ และขณะเดียวกันก็มีคนที่เชื่อจริงๆ
ว่ามันไม่มีเชื้อโรค แต่อย่าลืมว่าไม่ว่าจะมีเชื้อโรคหรือไม่ หรือเชื้อโรคจะเป็นยังไง ชนิดไหนและเยอะขนาดไหน มันก็ขึ้นอยู่กับ
พื้นที่ๆ เราทำอาหารหล่นตังหาก เพราะความจริงเราจะใช้กฎ 5 วินาทีนี้ ได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นว่าพื้นนั้นไม่ได้สกปรกจนเกินไป
ใช่มั้ยล่ะ เช่น พื้นห้องนอนตัวเอง พื้นห้องครัวที่บ้าน ฯลฯ แต่ถ้ามันตกลงบนพื้นตลาดแฉะๆ อะไรแบบนี้ เชื่อว่าคงไม่มีใคร
อยากเก็บขึ้นมากินต่อแน่ๆ ต่อให้เป็นเวลาแค่เพียง 1 วินาทีก็ตาม!

ในปี 2003 มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในเมืองนอกก็ลองทำแบบสำรวจและวิจัยกับอาหารจริงๆ กับพื้นผิวที่แตกต่างกันจริงๆ
ซึ่งผลสรุปนั้นก็ค่อนข้างละเอียดและแตกต่างกันไป ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ คือ ไม่ว่าจะตกพื้นกี่วินาที เชื้อโรคก็สามารถสัมผัสกับอาหาร
ได้ทุกเมื่อ แต่นอกจากพื้นผิวของพื้นแล้ว อาหารแต่ละอย่างก็มีการดูดซับเชื้อโรคที่ต่างกันด้วย คืออาหารที่มีความชุ่มชื้นหรือ
เปียกจะดูดเชื้อโรคได้มากกว่าอาหารแห้งหลายเท่า ก็สรุปง่ายๆ เลยแล้วกันว่าอย่าทำอาหารตกพื้นไว้ก่อนจะดีกว่า

ลิงค์จากวิกิฯ : https://en.wikipedia.org/wiki/Five-second_rule



5. โรค “ตั้งครรภ์ลูกสุนัข” ระบาดในอินเดีย



ในต่างจังหวัดหรือที่กันดารมากๆ ในประเทศอินเดียเคยมีอุปาทานหมู่ที่เรียกว่า “โรคตั้งครรภ์ลูกสุนัข” ระบาดหนัก  คือพวกเขา
จะเชื่อว่าใครที่โดนสุนัขกัด โดยเฉพาะถ้าสุนัขตัวนั้นกำลังติดสัด หรือมีอาการทางเพศในตอนที่กัดคนๆ นั้น จะทำให้คนที่โดนกัด
ตั้งท้องเป็นลูกสุนัขได้ ฟังดูตลกนะ แต่สาเหตุที่ชาวบ้านเชื่อกันแบบนี้ก็เพราะขาดการศึกษา และก็พูดกันจนคิดว่ามันเกิดขึ้นจริงได้
ถึงขนาดว่ากันว่าใครที่โดนสุนัขกัดแล้วติดเชื้อนี้ไปก็มักจะออกอาการแปลกๆ เหมือนสุนัข คือเห่าได้


บางคนก็มโนไปเองว่าเวลามองหน้าตัวเองในเงาสะท้อนในน้ำจะเห็นลูกสุนัขอยู่ในตัว หรือไม่ก็ได้ยินเสียงลูกสุนัขหอนหรือร้องออกมา
จากร่างกายตัวเอง และที่มากกว่านั้นคือชาวบ้านเชื่อว่าใครเป็นโรคนี้มักจะตาย โดยเฉพาะผู้ชายที่จะต้องคลอดลูกสุนัขออกมาจาก
อวัยวะเพศ (ทำไมถึงคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ล่ะ...) โรคดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับอาการทางจิตที่เรียกว่า “อาการป่วยทางวัฒนธรรม”
(Cultural-Bound Syndrome) และจะหายได้ต้องได้รับการบำบัด

ส่วนการรักษาตอนนั้นก็เป็นไปในสไตล์ชาวบ้านๆ คือต้องให้หมอมาแก้ความเข้าใจผิดว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นไม่ได้ และมีการสอน
ความรู้เบื้องต้นให้ชาวบ้านกันยกใหญ่ ส่วนคนที่เป็นโรคนี้ไปแล้ว ก็ต้องได้รับการบำบัดจิตกันไปตามระเบียบ


ลิงค์จากวิกิฯ : https://en.wikipedia.org/wiki/Puppy_pregnancy_syndrome
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 ธันวาคม 2017, 12:10:35 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

VALHALLA

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 99
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: 5 บทความแปลกๆ ที่มีอยู่บน Wikipedia
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2017, 23:38:09 »

ช่างคิดจริงๆ lol