-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 10 อันดับ การทดลองในมนุษย์ที่สุดแสนจะน่ากลัว  (อ่าน 1663 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18237
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

10 อันดับ การทดลองในมนุษย์ที่สุดแสนจะน่ากลัว

การทดลองในมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้มาช้านาน แม้มันจะทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าก็ตาม
แต่เนื่องด้วยจริยธรรมและศิลธรรมทำให้การทดลองเหล่านี้เป็นเรื่องโหดร้าย และนี้คือ 10 รายการ
ที่มีชื่อสียงเรื่องการแพทย์ ของการทดลองโดยใช้มนุษย์เป็นๆ มาทดลอง


10. Stanford Prison Experiment




การทดสอบคุกสแตนฟอร์ดเป็นการทดลองทางจิตวิทยาเพื่อการศึกษาการตอบสนองของมนุษญ์ เมื่อถูกจับกุม
และผลกระทบต่อพฤติกรรมเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจำ การทดลองดำเนินการในปี 1971 โดยนักจิตวิทยา
ฟิลิป ซิมบาโด(Philip Zimbardo) ของมหาลัยสแตนฟอร์ดมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยให้อาสาสมัครเป็นนักศึกษาทั้งหมด 20 คน มาเล่นบทนักโทษและผู้คุม(ทั้งหมดไม่รู้จักกันมาก่อน)
ในคุกจำลองในชั้นใต้ดิน ของอาคารจิตวิทยาสแตนฟอร์ด


8 คนที่ถูกสุ่มจะได้เป็น ผู้คุมได้ชุดฟอร์ม อุปกรณ์ครบมือ อีก 12 คนที่เหลือเป็นนักโทษ ซึ่งไม่มีสิทธิ
ในฐานะความเป็นมนุษย์ใดๆทั้งสิ้น แล้วกำหนดเงื่อนไขสถานการณ์ต่างๆ เข้าไประหว่างการทดลอง
เพื่อให้ฝ่ายผู้คุมได้ใช้อำนาจของตน และให้ฝ่ายนักโทษปฏิบัติตาม (โดยห้ามใช้ความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น
หากใช้ความรุนแรงจะถูกตัดออกจากการทดลองทันที และสามารถออกไปกลางคันได้ไม่ได้เงินค่าจ้าง)

โดยตอนแรกกะว่าจะทดลองสองสัปดาห์ แต่ปรากฏว่าล้มเหลวต้องหยุดกลางคันเพียงหกสัปดาห์เท่านั้น
เนื่องจากบทบาทของอาสาสมัครเกินขอบเขตที่จะคาดการณ์ได้และนำไปสู่สถานการณ์ ที่อันตราย
และเสียทางทางจิตใจ และตอนเริ่มต้นการทดลองก็เพิ่งมา ทำความรู้จักกัน พวกเขายังยิ้มแย้ม
หยอกล้อเล่นหัวกันแบบเพื่อน แต่เมื่อการทดลองนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าอาสาสมัครแต่ละคน
แต่ละฝ่าย ค่อยๆ อินกับบทบาทสมมติของตนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มทะเลาะกัน กลั่นแกล้งกัน
ทำร้ายกันไปมา แล้วในที่สุด พวกเขาก็กลายเป็นผู้คุมจอมโหดและนักโทษเดนตายไปได้จริงๆ

หนึ่งในสามของผู้ คุมกลายเป็นคนที่มีนิสัยโหดร้ายทารุณชอบทรมานนักโทษ(จำลอง)หลายคนจนบอบช้ำ
และสองคนถูกตัดจากการทดลอง(บางเว็บบอกเพราะสองคนนั้นตาย) ทำให้การทดลองนี้ล้มเหลวในที่สุด




9. The Monster Study




The Monster Study เป็นการทดสอบการพูด ติดอ่างของเด็ก โดยใช้เด็กกำพร้า 22 คน(อายุ 5-15)
ใน ดาเวนพอร์ท, ไอโอวา ปี 1939 ดำเนินการโดย จอห์นสัน(Wendell Johnson) แห่งมหาลัยไอโอวา


จอห์นสันเลือกหนึ่งในนักศึกษาระดับบัณฑิตของเขาแมรี่ ทิวเดอร์ (Mary Tudor) ดำเนินการทดสอบ
และวิจัยดูแลเด็กกับด้วย สำหรับวิธีการทดลองจอห์นสันจะแบ่งเด็กเป็นสองกลุ่ม
เด็กกลุ่มหนึ่งจะได้รับฟังแต่คำพูดที่ดี คำพูดสรรเสริญในแง่บวก
ด็กอีกกลุ่มได้รับฟังแต่ถ้อยคำที่หยาบช้า ทับถม ติเตียนแง่ลบ



ผลการทดลองพบว่า เด็กที่ฟังแต่คำชมสามารถพูดคล่องแคล่วและพูดจาสุภาพ แต่ปัญหาของการทดลองนี้
คือกลุ่มที่ 2 ที่เป็นกลุ่มเด็กที่ฟังด้วยคำพูดในแง่ลบ มีปัญหาทางจิต ดื้อ เก็บกด ไม่ค่อยกับคนอื่น สร้างโลกส่วนตัว
ชอบพูดติดอ่าง และส่งผลกระทบต่อการใช้ภาษาไปชั่วระยะหนึ่ง

การทดลองนี้ทำให้จอห์นสันเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมากและสังคมเริ่มตื่น ตัวการทดลองนี้เทียบเท่ากับ
การทดลองมนุษย์ของพวกนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมหาลัยไอโอวาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณะชน
ในการทดลอง The Monster Study ในปี 2001

(และจ่ายเงินค่าเสียหายแก่เด็กกำพร้า 6 คน เป็นจำนวนถึง 920,000 ดอลลาร์)

<a href="http://www.youtube.com/v/JlUkzfITiSs" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/JlUkzfITiSs</a>



8. Project 4.1



รัฐบาลสหรัฐได้มี โครงการเกี่ยวกับการศึกษาการแพทย์โดยการนำประชาชนจำนวนหนึ่งไปปล่อยบนเกาะ มาร์แชล (Marshalls)
เพื่อสัมผัสกัมมันตภาพรังสีที่ ออกมาจากของเสียในเหตุการณ์ Castle Bravo ที่เกาะบิ กีนี่ เมื่อ 1 มีนาคม 1954




ซึ่งเกาะแห่งนี้ได้รับปริมาณรังสีนี้ในปริมาณมากกว่าที่คาดคิด ผู้ทดลองได้รับกัมมันตภาพรังสีปริมาณหนึ่งๆอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อสิ้นสุดโครงการ ก็สังเกตผลกระทบ ระยะแรกผู้เข้าร่วมโครงการยังปกติอยู่หากแต่อีกไม่กี่ปีต่อมา ผลกระทบก็ตามมา
เช่น การแท้งบุตร มะเร็งต่อมไทรอยด์ เด็กที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติต่าง ฯลฯ จนโครงการนี้ได้ถูกประณามจากผู้เชี่ยวชาญว่า
“พวกเขาถูกใช้เป็นหนูตะเภาทดสอบรังสี”


7. Project MKULTRA



โครงการ เอ็มเคอัลทราหรืออีกชื่อหนึ่งว่า CIA mind-control research program เป็นการทดลองลับๆ
ที่หน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้น
ไม่ให้ประชาชนรู้


โครงการเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" โดยใช้สารเคมีและสารชีวภาพ
เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงครามแรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่า
ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมีและ ชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อน
เพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขแก่ สถานการณ์ภายภาคหน้าเอาไว้

การทดลองนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 และต่อเนื่องจนถึงปี 1960 มีข่าวลื่อต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับการทดลองนี้
ว่าโครงการนี้ใช้ยาหลายประเภทรวมทั้งวิธีการต่างๆ มาทดลองกับคนทดลองเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมอง
โดยไม่สนจะเต็มใจหรือไม่ สำหรับวิธีการทดลองพวกนักวิทยา ศาสตร์ผู้เข้าร่วมโครงการนี้การทดลองในช่วงแรก
นั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือ
สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health)

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนัก โทษอาสาสมัครคดียาเสพติดนักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาตให้นำสารเสพติด
เข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติดชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด
ต่อมาก็มีทดลองโดยฉีดยาหลอนประสาท LSD((Lysergic acid diethylamide)) ให้กับลูกจ้าง CIA,
ทหาร, แพทย์, ข้าราชการ, โสเภณี, ผู้ป่วยจิตเวช และบุคคลทั่วไปจำนวนหนึ่งซึ่งมีหลายระดับชนชั้น
ตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจน ถึงระดับไฮโซ มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ เพื่อศึกษาฤทธิ์ของยา LSD

ซึ่งคนที่ทดลองบางคนก็ยินยอม บางคนไม่ได้รับเนื้อหาการทดลอง และบางคนไม่ยอมให้ตนเองมาทดลอง
กับโครงการนี้ แต่กระนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากัน ปฏิเสธกันให้พัลวัน
ว่าไม่มีการทดลองที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว ในปี 1973 CIA ถูกสั่ง ให้ทำลายไฟล์ทั้งหมด
ทำให้เอกสารเกี่ยวกับโครงการนี้ถูกทำลายเผาไหม้ไปด้วย ทำให้ไม่มีหลักฐานว่ามีการทดลองนี้เกิดขึ้นจริงใน CIA



6. The Aversion Project



โครงการแห่ง ความเกลียดชัง เป็นการทดลองของหน่วยงานตามนโยบาย การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
ที่บังคับนำทหารรักร่วมเพศผิวขาว (เลสเบี้ยนและเกย์) มาทำการทดลอง "เปลี่ยนเพศ" (The Aversion Project)
ซึ่งดำเนินตั้งแต่ปี 1970 และ 1980


โดยใช้สารเคมีที่มีผลทำให้หมดความรู้สึกทางเพศ/เป็นหมัน (chemical castration) ใช้กระแสไฟฟ้าช็อต
ฮอร์โมน และอื่นๆ การทดลองทางแพทย์ที่ผิดจรรยาบรรณนี้ไม่มีตัวเลขผู้ทดลองที่แน่นอนแต่ก็มีการ
ประเมินว่าผู้ทดลองมีมากถึง 900 คนที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนเพศ และอาจมีการดำเนินการระหว่าง 1971 และ 1989
ที่โรงพยาบาลทหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลับสุดยอด

ผลกระทบต่อการทดลองนี้คือคนที่โดนทดลองกลายเป็นอาการทางจิต ไม่สามารถหายจากการติดยาเสพย์ติดได้
ต้องบำบัดอาการช็อกความเกลียดชังเรื่องเพศของตัวเอง และการรักษาฮอร์โมนและอื่นๆ



5. North Korean Experimentation



มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับการ ทดลองในมนุษย์ในค่ายกักกัน(นรก)ของเกาหลีเหนือ รายงานฉบับนี้
แสดงให้เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและการทดลองนั้น คล้ายกับการทดลองมนุษย์ของนาซี
และญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองไม่มีผิด


แต่กระนั้นข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ถูกปฏิเสธทั้งหมดโดย รัฐบาลเกาหลีเหนือโดยอ้างว่า
นักโทษทั้งหมดในเกาหลีเหนือถือว่าเป็นมนุษย์ อดีต นักโทษเกาหลีเหนือที่สามารถหลบหนีไปยังต่างประเทศ
ได้บอกว่า นักโทษที่ค่ายกักกันเกาหลีเหนือถูกทดลองมนุษย์เสมือนพวกเขาเป็นสัตว์ไม่ใช่ คน
และวิธีการทดลองนั้นสยดสยอง

พวกเขายกตัวอย่างว่า 50 นักโทษหญิงที่สุขภาพดีถูกคัดเลือกและได้ถูกบังคับรับประทานใบกะหล่ำปลีที่
เต็มไปด้วยพิษร้ายแรง(หากนักโทษไม่กินจะโดนซ้อมทั้งตัวนักโทษและครอบครัว) หลังจากที่ได้กินนักโทษ
ส่งเสียงกรี๊ดร้องและทุกข์ทรมาน หลังจากนั้น 20 นาทีต่อมาพวกเขาทั้งหมดอาเจียนเป็นเลือดออกทางปาก
และทางทวารหนัก ก่อนที่จะตายอย่างน่าสงสาร

ควอน (Kwon Hyok) อดีตผู้คุมหัวหน้ารักษาความปลอดภัยที่แคมป์ 22 บอกว่าพวกเขาจะมีห้องปฏิบัติการ
หลายห้องสำหรับทดลองก๊าซพิษ,การสำลักอากาศ และการทดลองเลือด ซึ่งจะเลือก 3 ใน 4 คน
หรือทั้งครอบครัวมาทดลอง หลังจากระยะการตรวจสอบต่างๆ พวกเขาจะถูกส่งไปยังห้องรมก๊าซ
แพทย์จะฉีดยาพิษเข้าสู่ทดลองและพวกเขาก็มองผ่านกระจก มองดูคนทดลองตายอย่างช้าๆ
อดีตผู้คุมอ้างว่าเขาได้เห็น 2 ครอบครัว พ่อ แม่ และลูกสาวตายจากการสำลักก๊าซ และผู้ปกครอง
อีกคนพยายามช่วยเด็กด้วยการเป่าปากกับปากไปตราบเท่าพวกเขายังคง มีลมหายใจอยู่



4. Poison laboratory of the Soviets


ห้องปฏิบัติการพิษของหน่วย ลัยโซเวียต หรือเรียกว่าปฏิบัติการ 1, ปฏิบัติการ 12 และ Chamber
เป็นการทดลองวิจัยเกี่ยวกับพิษต่างๆ ที่พัฒนาในสถานที่หน่วยงานตำรวจลับของโซเวียตภายใต้
การนำของ Pavel Sudoplatov


โดยโซเวียตทดสอบพิษร้างแรงชนิดต่างๆ กับนักโทษจากคุก Gulag (ศัตรูของประชาชน)โดยการสูด
ดมหรือกิน,ดื่มที่มีส่วนผสมของนา เช่น ก๊าซมัสตาร์ด,ไรซิน (Ricin) เป็นสารพิษ อาจอยู่ในรูปของฝุ่นผง
ละอองหรือเป็นเม็ด,ไดจิท็อกซิน(digitoxin) และยาพิษอื่นๆ อีกหลายขนาน

เป้าหมายของการทดสอบเพื่อหาสารพิษที่ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ส่งผลให้เหยื่อการทดลอง
มีร่างกายเปลี่ยนไป และบางรายตายภายในสิบห้านา
ที


3. Tuskegee Syphilis Study



ปี ค.ศ. 1972 เกิดข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับการทดลองศึกษาโรคซิฟิลิสในอเมริกา เรียกว่า Tuskegee Syphilis Study
ซึ่งดำเนินการมา ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 -1972 ระยะเวลานานถึง 40 ปี ใน Tuskegee เมืองชนบทในมลรัฐอลาบามา
โดย U.S. Public Health Service (PHS) ของอเมริกาที่ต้องการศึกษาการเจริญเติบโตของ โรคซิฟิลิส
เพื่อเข้าใจโรคที่ยังไม่มียารักษา


โดยการทดลองนี้คือการการฉีดยาให้แก่ผู้ทดลองแก่คนผิวดำกว่า 412คน(ชุดแรก) ในย่านอาศัยแถวนั้น
โดยคนผิวดำส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือและยากจน จากนั้นก็ศึกษาวิจัยการดำเนินโรคซิฟิลิสตามธรรมชาติ
ในคนโดยที่คนเหล่านั้น ผู้โชคร้ายเหล่านี้เข้าใจว่า ตนกำลังได้รับการรักษาจากรัฐ โดยไม่เคยมีใครบอก
ให้รู้ว่าเป็นโรคอะไร และจะไม่ได้รับการแจ้งว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เลย
มีการทำหัตถการหลายอย่างเพียงเพื่อการศึกษาวิจัย เช่น การเจาะหลังเพื่อนำน้ำไขสันหลังไปตรวจ เป็นต้น

ตอนแรกการทดลองวางกำหนดการณ์ไว้ที่ไม่กี่เดือน แต่การวิจัยครั้งนี้กลับดำเนินการต่อเนื่องถึง 40 ปี
ส่งผลให้ผู้ถูกทดลองรอดชีวิตเพียงประมาณ 70 คนจากทดลอง(ไม่รวมผู้ที่ติดเชื้อจากการทดลองนี้)
แล้วสิ่งที่ได้คือวงการแพทย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับซิฟิลิสอย่างละเอียด นิวยอร์ก ไทม์ได้ประนามการทดลองนี้ว่า
"เป็นการทดลองที่ไม่มีการให้ยารักษา ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์"

เป็นการทดลองที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย อีกทั้งโรคนี้มียารักษามานานแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยง
โดยไม่จำเป็น และมีการกระจายภาระไม่เป็นธรรมโดยเลือกแต่ชาวผิวดำในพื้นที่ยากจน ส่งผลให้ประธานาธิบดี
แถลงขอโทษต่อผู้เข้าร่วมโครงการที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือครอบครัว และชุมชน และเสนอให้ดูแลชดใช้
ความเสียหายอันเกิดจากโครงการวิจัย ในปี ค.ศ. 1997 ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เข้าทำเนียบขาวเพื่อรับฟังคำกล่าว
ขออภัยจากประธานาธิบดีคลินตัน นำไปสู่การออกกฎหมายควบคุมดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา
(National Research Act)




2. Unit 731



ย้อนไปในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 อันเป็นที่มาของการก่อ ตั้งหน่วยปฏิบัติการ 731 ด้วยเหตุว่าเมื่อเกิดสงคราม
เป้าหมายคือชัยชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเล่ห์เพทุบายมาใช้โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมหรือความชอบธรรม ใด ๆ
และสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งคือการใช้สารพิษและ อาวุธชีวภาพ หรือพูดง่าย ๆ
ว่าอาวุธเชื้อโรคเพื่อทำลายพลเมืองทีละเป็นหมื่นเป็นแสนคน จนเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่สุดในอาชญากรรม
สงครามของญี่ปุ่น


หน่วยปฏิบัติการ 731 (1937-1947) เป็นชื่อหน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น ภายใต้การควบคุม
กำกับโดยนายแพทย์ อิชิอิ ชิโร(Shiro Ishii) การทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์ในการสร้างพัฒนาอาวุธเชื้อโรค
เพื่อใช้ในสงครามอย่างมี ประสิทธิภาพ และการทดลองนี้จำเป็นที่ต้องใช้มนุษย์เป็นๆ ในการทดลองจำนวนมาก
หน่วยนี้ได้ถูกส่งมายังประเทศจีนและเลือกเมืองฮาร์ปินเป็นที่ตั้ง และปกปิดชื่อโครงการโดยใช้ชื่อ
“หน่วยงานพิเศษเพื่อ การศึกษาภูมิคุ้มกันและการบำบัดน้ำเสีย”

จากนั้นก็นายทหารผู้ช่วยให้ตระเวนจับชาวจีนหรือรัสเซียผู้โชคร้ายมายังห้อง ปฏิบัติการ เพื่อทดลองมนุษย์เป็นๆ
การทดลองของโครงการ นี้มีหลายอย่าง เช่น การผ่ามนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ, การใส่สารพิษที่คิดค้นมาใหม่
ลงไปในอาหารและน้ำดื่ม เพื่อฆ่าประชาชนทีละมาก ๆ, การบังคับ ให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็น
โรคซิฟิลิส (หนองใน) นับสิบคน เพื่อศึกษาการพัฒนาเชื่อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์,
การฉีดเลือดสัตว์ที่มีเชื้อเข้าร่างกายมนุษย์ที่ถูกจับมา เป็นเหยื่อ เพื่อดูผลการแพร่เชื้อในมนุษย์เป็นๆ,
การจับ เหยื่อห้อยหัวลงจนกว่าจะตาย เพื่อทดสอบความทนในการเอาชีวิตรอด, การจับเหยื่อเข้าไปในห้องทดลอง
และอัดความดันหรือดูดอากาศออกจนร่างระเบิดเละ,การจับ มนุษย์เปลือยร่างแช่ในน้ำอุณหภูมิเป็นลบ,
การตัดเอา ชิ้นส่วนมนุษย์ออก เช่น ตัดกระเพาะออก นำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหารเพื่อดูว่ามนุษย์
ไม่มีกระเพาะอาหารจะมีชีวิต อยู่ได้หรือไม่, การตัดแขนขา และนำต่อใหม่ด้วยการสลับข้าง ฯลฯ

ซากของเหยื่อผู้ เคราะห์ร้ายจะถูกโยนเข้าไปในเตาเผาด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้คือภารกิจ
ของหน่วยปฏิบัติการ 731 สิ่งที่น่าตระหนกคือ หน่วยปฏิบัติการ 731 ได้เคยทดลองใช้อาวุธ ชีวภาพ
เพื่อฆ่ามนุษย์ทั้งในห้องปฏิบัติการและในสนามรบของประเทศจีนมากกว่า 2,700 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตล้มตาย
นับจำนวนไม่ได้ มีการลอบใส่สารพิษลงไปในน้ำดื่มและอาหารที่ประชาชนบริโภค การโปรยหมัด
ที่ติดเชื้อรุนแรงลงไปในเมืองใหญ่ ๆ ปล่อยเชื้อไข้ไทฟอยด์ อหิวาห์ บิด ลงไปในน้ำดื่ม การใช้ก๊าซพิษ
ฆ่าคนทีละ มาก ๆ

ในเวลาต่อมาเมื่อ หน่วยถูกยุบ นายแพทย์อิชิอิ ชิโร ไม่ได้ถูกตัดสินหรือจำคุกในฐานะอาชญากร
ในสงครามใดๆ ทั้งสิ้น เขาเสียชีวิตลงเมื่ออายุ 67 โดยโรคมะเร็งลำคอ



1. Nazi Experiments




การทดลอง มนุษย์ของนาซีเป็นการทดลองมนุษย์ที่ใช้มนุษย์เป็นๆ จำนวนมากและสังเวยชีวิตกับการทดลองนี้
มากเช่นกัน ภายใต้ระบอบนาซีเยอรมันเต็มที่ในการทดลองมนุษย์ในค่ายกักกันในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2
โดนเฉพาะที่"ค่ายเอาชวิตซ์" (Auschwitz) และดาเชา (Dachau) และที่ค่ายกักกันอื่นๆ ทั่วยุโรป


นักโทษที่ส่วนใหญ่เป็นชาวยิวหรือชาวรัสเซียนั้นถูกพวกนาซีใช้เป็นหนูตะเภาใน การทดลองทางการแพทย์หลายอย่าง
ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ในการคิดค้นยา และการหาวิธีการรักษาทหารเยอรมันจากโรคภัยและอันตรายที่เกิดขึ้นเนื่องๆ
ในระหว่างสงคราม วัตถุประสงค์ทางการทหาร การทดลองระดับลับสุดยอด โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองกำลัง
ทหารนาซี แพทย์เหล่านั้นมิใช่ถูกบังคับข่ม ขู่ แต่เป็นการกระหายใคร่รู้ในผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีเหตุผล
ไม่คำนึงถึงศีลธรรมและไร้ซึ่งจรรยาบรรณ เมื่อคำพิพากษาหนึ่งเดียวสำหรับนักโทษชาวเยอรมัน เชลยชาวยิว โปแลนด์
เชค รัสเซียฯลฯ คือ "ไร้ค่า"

แพทย์ในคราบสัตว์กระหายเลือดเฝ้ารอคำสั่งจากท่านผู้นำฮิตเลอร์ให้ใช้นักโทษ "ทดลอง" เพื่อความรุ่งเรือง
ของเยอรมนี นัก วิจัยที่มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงที่สุดก็คือ Dr.Sigmund Rascher เป็นผู้ควบคุมการทดลอง
ในดาเชา และยังเป็นคนคิดค้นวิธีการทดลองแนวไซโคแบบต่างๆ เช่น -การฉีดไข้มาเลียให้นักโทษที่มี
ร่างกายปกติดี(ประมาณ 1,100 ในค่ายคาเคา)เพื่อให้คนเหล่านั้นเป็นไข้ขึ้นมา แล้วจึงทดลองรักษาด้วยการ
ใช้ยาชนิดต่างๆ เพื่อศึกษาผล ปรากฏว่า นักโทษหนูตะเภาและนักโทษอื่นๆ ที่ร่างกายอ่อนแอก็พลอยรับเชื้อ
ติดต่อจากนักโทษคนอื่นๆ ไปด้วย ทำให้มีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตไปในการทดลองครั้งนี้



นอกจากนี้พวกนาซียังทดลองเรื่องสภาวะความกดดันอากาศลดต่ำโดยฉับ พลัน(Decompression)ซึ่ง
สภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินถูกยิงในขณะบินในระดับสูงๆ อันทำให้ความกดดันอากาศในห้องนักบิน
ที่ปรับไว้พอดีสำหรับร่างกายของมนุษย์ เกิดลดต่ำอย่างกะทันหัน นักโทษที่เป็นหนูตะเภาจะต้องถูกนำไป
ใส่ห้องที่ปรับความดันอากาศต่ำ และสังเกตอาการ ซึ่งอาการที่ปรากฏก็คือขาดออกซิเจนจนตัวเขียว
หายใจเร็ว หนาว อาเจียน จนหมดสติ มีบันทึกของนักโทษคนหนึ่งในค่ายคาเคาที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย
ในการทดลองนี้ ว่ามีนักโทษ 200 คนเข้ามาเป็นหนูทดลอง มีคนตาย 70-80 คน


การทดลองเพื่อหาวิธีช่วยชีวิตนัก บินทหารอีกอย่างคือ การทดลองคนที่หนาวจนแข็ง เพราะนักบินอาจตกลง
ในน้ำทะเลที่เย็นจัด เมื่อช่วยนักบินขึ้นจากน้ำแล้วจะมีวิธีใดที่ทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นโดย เร็ว ดังนั้น
นักโทษจึงถูกสวมชุดนักบิน แล้วนำไปแช่อ่างที่มีน้ำเย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง ให้หนาวจนถึงที่สุดแล้วนำไปให้
ความอบอุ่นด้วยวิธีต่างๆ ถ้าไม่สำเร็จก็ตายไปเถอะ

นอกจากนี้ยังมีการ ทดลองเกี่ยวกับโรคทั่วไป เช่น วัณโรค เชื้อหนองที่ทำให้เป็นแผลอักเสบ ซึ่งกระทำโดยการ
ฉีดเชื้อเหล่านี้ให้กับนักโทษเพื่อลองยาเช่นกัน ร่วมประเวณีกับนักโทษโสเภณีจากค่ายกักกัน และที่น่าหดหู่ใจ
กว่านั้นก็คือ ท้ายที่สุดเหยื่อผู้รอดชีวิตทั้งหมดจะต้องถูกยิงตายในที่สุด


การพยายามผ่ากะโหลกศีรษะของเหยื่อออกเป็นสองซีก ในขณะที่เหยื่อยังมีสติดีอยู่ (ถ้าไม่เผลอช็อคตายไปซะก่อน)
ทั้งนี้ก็เพราะต้องการตรวจสอบระบบการทำงานของสมองมนุษย์ขณะที่ยังมีลมหายใจ นั่นเอง

นักวิจัยที่มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงที่สุดอีกคนคือดร.โจเซฟ แม็งเกเล่ (Josef Mengele) ผู้ควบคุมการทดลอง
มนุษย์ในค่ายเอาชวิตซ์ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง -การ ตัดอวัยวะเพศหรืออวัยวะบางส่วนเพื่อการทดสอบเรื่องยีน
โดยไม่ใช้ยาสลบ การนำนักโทษหญิงมาทดลองต่อกระแสไฟฟ้าว่าชาร์ตสูงเพียงใดถึงจะมีชีวิต
การเอานักโทษมาเอ็กซ์เรย์อวัยวะเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ โดยไม่สนใจว่าถ้าปล่อยกระแสไฟฟ้านานๆ
จะทำให้อวัยวะนั้นถูกเผาไหม้ ฯลฯ การทดลองปลูกถ่ายอวัยวะ โดยการผ่าตัดร่างกายของนักโทษคนหนึ่ง
เพื่อเปลี่ยนถ่ายให้กับอีกคน

เหยื่อที่ หมอโจเซฟ ชื่นชอบที่สุด คือ ฝาแฝด และคนแคระ มีฝาแฝดประมาณ14 คู่ที่ต้องจบชีวิต โดยมือของ
หมอโจเซฟ ( รูปซ้ายล่าง คือครอบครัว Ovitzทั้ง หมดเป็นพี่น้องกัน ตระกูลนี้มีพี่น้อง 10 คน 7 คน
เป็นคนแคระ ทั้ง 12ชีวิตถูกจับ ส่งเข้าสู่ค่ายเอาชวิตซ์ เมื่อ หมอโจเซฟ พบครอบครัว Ovitzเขาคิดว่าพระเจ้า
ได้ประทานสิ่งหายากยิ่งให้แก่เขา 2 ใน 12 เสียชีวิตในการทดลอง ที่เหลือโชคดีที่การทดลองยังไม่ทันจบ
เยอรมันก็แพ้สงครามก่อนจึงรอดชีวิตมาได้

ไม่เพียงแต่แพทย์ ชายเท่านั้น แพทย์หญิงก็ไม่เว้นที่จะทำการทดลองมนุษย์ด้วย แพทย์หญิง
เฮอร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์ ( Dr. Herta Oberheuser )หมอ เฮอร์ทา ทำการทดลองเกี่ยวกับ
การรักษาบาดแผล ที่เกิดจากสงครามซึ่งการทดลองของเธอคือการทำให้นักโทษเกิดบาดแผลต่างๆ
เพื่อให้เธอรักษา เช่น ผ่าร่างกายของเชลยให้เกิดบาดแผล แล้วใส่เศษดิน ต้นไม้ใบหญ้า เศษกระจก
เศษเหล็กเป็นการจำลองแผลจากสงครามขึ้น ขอจนอับแสบอย่างรุนแรง แล้วทำการรักษาด้วยตัวยาสูตรต่างๆ

ส่วนบาดแผลไฟไหม้ เธอก็ทำเหมือนเช่นเดิน เธอจะกีดร่างกายเหยื่อแล้วใส่สาร Phosphorous ลงในแผล
แล้วจุดไฟ จะเกิดการลุกไหม้อย่างแรงทำให้เกิดแผลไฟไหม้รุนแรง สุดท้าย ก่อนที่สงครามโลกจะยุติ
หลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับการทดลองเหล่านี้ถูกทำลายไปภายในระยะเวลาอันแสน สั้น กลุ่มแพทย์นาซี
ที่มีเอี่ยวกับการทดลองมนุษย์ที่รอดชีวิตจากสงคราม ส่วนหนึ่งถูกพิจารณาคดีในฐานะอาชญากรสงคราม
และอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย ได้กลับเข้ามาทำงานในแวดวงการศึกษาโดยมีทั้งที่ใช้ชื่อเดิม และชื่อใหม่
บางคนก็หลบหนีไปยังต่างประเทศและใช้ชีวิตจนหมดสิ้นอายุไข ทำให้เรื่องของการทดลองมนุษย์ของนาซี
กลายเป็นเพียงแค่ฝันร้ายข้ามคืนของชาว โลกเท่านั้นเอง





credit :: toptenthailand.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 พฤษภาคม 2014, 10:13:47 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

nawin

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 98
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: 10 อันดับ การทดลองในมนุษย์ที่สุดแสนจะน่ากลัว
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2014, 04:27:23 »

 eta06 หดหู่สงสาร

gamesun

  • V.I.P.
  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 100
  • คะแนนจิตพิสัย +1/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: 10 อันดับ การทดลองในมนุษย์ที่สุดแสนจะน่ากลัว
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2014, 17:12:24 »

 uilo uilo uilo นั่งอ่านจนจบเลยครัชช น่ากลัวมาก

muscle2

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 73
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: 10 อันดับ การทดลองในมนุษย์ที่สุดแสนจะน่ากลัว
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 11:49:53 »

หดหู่เลย ทำไมสมัยนั้นไม่ทดลองกับสัตว์บ้างนะ