-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 10 เรื่อง หลอกลวง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก  (อ่าน 1341 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18237
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

10 เรื่อง หลอกลวง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ในแต่ละปีหลายคนทั่วโลกมักถูกหลอกลวง มีหลายเรื่องที่เผยแพร่ไปในอินเตอร์เน็ตหรือหนังสือพิมพ์
ที่ทำให้เราหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงและต่อไปนี้ก็คือ 10 อันดับเรื่องหลอกลวงในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง
มากที่สุด แม้ว่าจะมีการยืนยันว่าเป็นเรื่องหลอกลวงแล้วก็ตามแต่บางคนก็ยังเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงอยู่ดี
(ถึงเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก)

ที่มา : unigang.com

10. The Cardiff Giant 1869




ยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์เป็นหนึ่งในเรื่องหลอกลวงที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน โดยเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1869
ที่คาร์ดิฟฟ์ นิวยอร์ก คนงาน 2 คน กำลังขุดดินที่ฟาร์มของนายวิลเลียม นิวเวลได้พบร่างยักษ์ที่กลายเป็นหิน ข่าวยักษ์
แห่งคาร์ดิฟฟ์จึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง


ซึ่งความจริงแล้ว ยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์เป็นของปลอมที่สร้างขึ้นโดยจอร์จ ฮัลเป็นนักค้ายาสูบชาวนิวยอร์ก (ญาติของวิลเลียม นิวเวล)
ที่มาจากการที่เขาทะเลาะกับบาทหลวงชื่อเติร์ก ถึงบทหนึ่งในไบเบิลที่ระบุว่า ยักษ์เคยอาศัยอยู่บนโลก เขาเลยตัดสินใจที่จะ
สร้างยักษ์โดยจ้างคนไปแกะสลักหินยิปซั่มให้เป็นยักษ์โดยเขาบอกคนแกะสลักว่าจะทำเป็นอนุสาวรีย์ของอับราฮัมลินคอล์น
ในนิวยอร์กจากนั้นเขาก็เอาคราบและกรดต่างๆ มาราดลงในรูปปั้นให้เหมือนของเก่า แถมด้วยการปักฝังเข็มลงไปให้ดูเหมือน
รูขุมขน ก่อนที่จะเตรียมบทจ้างคนงานสองคนทำเป็นขุดพบเจอยักษ์แล้วประกาศว่า “พบยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์ที่นี่”

และมันก็ได้ผล มีผู้สนใจดูยักษ์จำนวนมากมาย จนเงินเข้ากระเป๋านิวเวล และฮัลมากมาย ขนาดพิที. บาร์นัม ผู้ยิ่งใหญ่
แห่งโชว์แสดงของแปลกยอมจ่ายเงินเพื่อชมสิ่งหลอกลวง และขอเช่ายักษ์ถึงหกหมื่นดอลลาร์ แต่ก็ได้รับปฏิเสธกลับมา
บาร์นัม จึงสร้างของเลียนแบบยักษ์คาร์ดิฟฟ์ฮันนัมจึงฟ้องร้องบาร์นัมต่อศาล และวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1870
เรื่องของยักษ์คาร์ดิฟฟ์ก็มาความมาแตกในการพิจารณาคดีนี่เอง…เอวัง


9. The Protocols of the Elders of Zion 1890



“บันทึกข้อสนธิสัญญาของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” เป็นนิยายที่เขียนขึ้นมาโดยมีเจตนาในการตำหนิความเลวร้ายของยิว
ในความพยายามครอบครองโลกโดยใช้อำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ ใช้เล่ห์กลเข้าครอบงำสื่อ และให้ทุนเพื่อป่วน
ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา และเรียกบรรดาผู้นำทางปัญญา เจ้าของความคิดชั่วร้ายว่า
“ปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน”

และนี้เป็นเป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดีว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ที่เริ่มต้นจากหนังสือพิมพ์รัสเซียเอ็มไพร์ ตีความครั้งแรกในปี 1903
ข้อความได้ถูกแปลหลายภาษาและเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางตอนต้นศตวรรษที่ยี่สิบ และมันก็แพร่หลายไปในประเทศ
อเมริกาในปี 1921นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือของฮิตเลอร์ในการทำให้เกิดความเกลียดชังของชาวยิวในเยอรมนี
และใช้ในการปฏิวัติรัสเซียเพื่อก่อกรรมทำเข็น และความรุนแรงต่อชาวยิว(โดยอ้างว่าสมาคมลับชาวยิวอยู่เบื้องหลัง)
ก่อนจะถูกพบว่าเป็นเรื่องหลอกลวงที่เกิดขึ้นจากงานเสียดสีทางการเมือง แต่กระนั้นเรื่องราวเหล่านี้ได้กลายทฤษฏี
สมคบคิดและแรงบันดาลใจกับสื่อต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย



8. Loch Ness – the Surgeon's Photo 1934



เนสซี หรือ สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ คือ สิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนสส์
แคว้นสกอตแลนด์ ที่มีพยานหลายคนเห็น และมีภาพถ่ายจำนวนมากมาย (เกือบทั้งหมดเป็นของปลอม)
จนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาไม่มีใครรู้แน่ว่าเจ้าสัตว์ที่ถูกขนานนามว่า “เนสซี” นี้มีตัวตนจริงหรือไม่


หนึ่งในภาพลักษณ์ของเนสซีที่มีชื่อเสียงคือ ภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดของเนสซีเป็นภาพของศัลยแพทย์
(The Surgeon's Photo) ถ่ายโดย น.พ.เคนเนท วิลสันศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ถ่ายไว้เมื่อเดือนเมษายน
ในปี ค.ศ. 1934 โดยภาพนี้เป็นรูปสัตว์คอยาวโผล่เหนือน้ำ โดยวิลสันได้อ้างว่าตอนนั้นเขา และเพื่อนคนหนึ่ง
กำลังขับรถเลียบไปตามถนนริมทะเลสาบล็อคเนสส์

เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่พวกเขาหวังว่าคงได้ถ่ายภาพสัตว์ป่าไว้ได้บ้าง และในขณะที่หยุดพักแรม
ใกล้กับอินเวอร์มอร์ริสัน ขณะที่วิลสันนั่งเหยียดขาอยู่ริมทะเลสาบนั่นเอง เขาได้เห็นอะไรบางอย่างพ้นน้ำ
จึงคว้ากล้องถ่ายรูปมาไว้บันทึกภาพได้ชุดหนึ่งซึ่งภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงส่วนหัวและคอ ที่สะโอดสะอง
และลำตัวของมันเห็นเลือนรางอยู่ใต้ผิวน้ำ ภายนี้ถูกเผยไปให้สาธารณะชน และถึงมือบรรดาผู้เชี่ยวชาญ
ได้ลงความเห็นว่า ยังคงเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของเนสสีเท่าที่เคยมีมา และในไม่ช้าทะเลสาบก็คลาคล่ำ
ไปด้วยนักท่องเที่ยว

นักวิทยาศาสตร์ นักล่า นักเรียน ชาวบ้านร้านตลาดพากันไปทำธุรกิจอาหารและที่พักอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
และอึกทึกครึกโครมต่อมาในปี 1990 ภาพก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นของหลอกลวง โดยสารคดี
Discovery Communications' documentary Loch Ness จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดก็พบว่า
วัตถุที่อยู่ในภาพไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไรมากมาย (แค่ 2-3 ฟุต เท่านั้น) เห็นได้จากระลอกในน้ำ
เหมือนวัตถุถูกลากจูงโดยบางสิ่งบางอย่าง มันเป็นภาพที่เรือดำน้ำของเล่นที่ดัดแปลงให้เหมือนหัวไดโนเสาร์
คอยาวมากกว่าแต่กระนั้น น.พ.เคนเนท วิลสันก็อ้างว่า “บางสิ่งบางอย่างในน้ำ” ไม่ได้บอกว่าเป็นเนสซีอะไรสักหน่อย
(ก่อนที่เขาเสียชีวิตก็ได้สารภาพว่า นี้เป็นของปลอมโดยแรงจูงใจเป็นการแก้แค้นที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพบ
รอยเท้ามอนสเตอร์ แต่หลายคนบอกว่ามันคือรอยเท้าฮิปโป)

แต่กระนั้นภาพนี้ได้ส่งผลทำให้มีคนถ่ายรูปที่อ้างว่า เป็นเนสซีมากมายในเวลาต่อมา



7. The Turk 1717



ใครเคยอ่านการ์ตูน C.M.B. (เล่ม 7) ก็จะร้องเอ๋อ โดย “ชาวตรุกี” เป็นกลหรือหุ่นยนต์ที่เล่นหมากรุก ที่เปิดตัว
ในปี 1770 โดยเคนเปเลน (Wolfgang von Kempelen) วิศวกรชาวฮังการี 1734-1804 ที่ต้องการสร้าง
ความประทับใจแก่จักรรพดินี มาเรีย เธเรเซียแห่งออสเตรียโดยเขาอ้างว่าตุ๊กตากลนี้มีความคิดเป็นของตนเอง
และมันสามารถเดินหมากรุกเองได้และผลปรากฏว่ามันเล่นหมากรุกได้เก่งกว่าฝ่ายตรงข้าม จนข่าวลือแพร่สะพัด
ไปทั่วยุโรป ส่งผลทำให้ชาวตรุกีได้แข่งหมากรุกกับผู้มีชื่อเสียงมากมาย


ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินโปเลียนจักรพรรดินีเอกาเตนีนาที่ 2 แห่งรัสเซียไปจนถึง เบนจามิน แฟรงคลิน
ที่อเมริกาโดย “ชาวตรุกี” ได้รับความนิยมไปแสดงเล่นหมากรุกไปทั่วโลกนานถึง 84 ปีโดยมีการปกปิด
กลไกอย่างเข้มงวด จนทำให้มีบรรดาเศรษฐีต่างยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อ “ชาวตรุกี” นี้ เพื่อไขความลับ

แต่ที่น่าพิศวงคือคนที่ซื้อ “ชาวตรุกี” ซึ่งมีหลายคนที่เป็นเจ้าของต่างไม่ยอมเปิดเผยความลับกลไกนี้
จนกระทั้งในปี 1820 ก็เกิดเพลิงไหม้ที่พิพิธภัณฑ์ในอเมริกา ซึ่งต้นแบบ “ชาวตรุกี” ก็ถูกทำลายไปด้วย
อีกทั้งความลับก็ถูกเปิดเผยซึ่งความจริงแล้ว “ชาวตรุกี” ไม่ใช่ตุ๊กตากลที่คิดเองได้ แต่เป็นเพียงตุ๊กตา
ที่มีคน (ที่เก่งมหากรุก) เข้าไปควบคุมข้างใน (คนเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ) จนกลายเป็นมายากลแทนที่จะเป็นกลไก

ส่วนสาเหตุที่พวกเศรษฐีที่ซื้อไปไม่ยอมเปิดเผยความลับกลไกนี้ก็เพื่อจะได้หลอกขายต่อในราคาแพงๆ
อีกต่อหนึ่งนั่นเอง




6. The Priory of Sion 1956



ไพรเออรี ออฟไซออน หรือ สำนักศาสนาแห่งไซออน กล่าวกันว่าเป็น ชื่อขององค์กรลับที่มีอิทธิพลมากที่สุด
ในยุโรปตะวันตก ที่ก่อตั้งและถูกยุบในฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1956) โดยปิแอร์ ปลองตาร์ด
(Pierre Plantard)


ในทศวรรษที่ 1960 ปลองตาร์ดได้แต่งประวัติศาสตร์ขององค์กรขึ้นมา โดยกล่าวว่ามันเป็นสมาคมลับที่ก่อตั้งขึ้น
ในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อปีพ.ศ. 2142 (ค.ศ. 1099) ซึ่งได้ปกป้องสายเลือดของ ราชวงศ์เมโรแว็งเชียง เรื่องโกหกนี้
ถูกขยายขึ้นและโด่งดังในหนังสือชื่อ The Holy Blood and the Holy Grail ในปีพ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982)
และต่อมาในนวนิยายสืบสวนชื่อรหัสลับดาวินชี

หลังจากเป็นคดีดังตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1960-1980 ไพรเออรี ออฟไซออนถูกเปิดเผยว่าเป็นสิ่งที่ ปลองตาร์ด
สร้างขึ้นเพื่ออ้างสิทธิในราชบัลลังก์ของฝรั่งเศสหลักฐานที่สนับสนุนการมีอยู่ในประวัติศาสตร์และกิจกรรมของกลุ่ม
ก่อนปีพ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) ถูกค้นพบว่าถูกหลอมและนำไปไว้ในที่ต่างๆ ทั่วฝรั่งเศส โดยปลองตาร์ด
และผู้สมรู้ร่วมคิด

ถึงกระนั้นผู้คนมากมายที่เชื่อว่าไพรออรี ออฟ ไซออนเป็น สมาคมลับในยุคเก่าซึ่งได้ปกปิดความลับที่จะล้มล้าง
เอาไว้ตำนานของไพรเออรี ออฟไซออนถูกหักล้างอย่างมาก โดยนักข่าวและนักปราชญ์ว่ามันเป็นเพียงเรื่องโกหก
ในศตวรรษที่ 20 ผู้สงสัยบางคนแสดงความรู้สึกว่าหนังสือมากมายที่โด่งดัง เว็บไซต์ และภาพยนตร์ที่ได้รับ
แรงบันดาลใจจากสิ่งนี้ได้ทำให้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ประวัติศาสตร์เทียม และการสับสนอื่นๆ กลายมาเป็นกระแสหลัก
ทำให้พวกอื่นๆได้รับปัญหาจากแนวคิดฝั่งขวาที่ทำให้พวกเขามีส่วนร่วมในผลงานเหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ



5. Feejee Mermaid 1842



ซากเงือกฟิจิ เป็นหนึ่งในเรื่องที่คนไทยเรายังเชื่ออยู่ โดยเป็นคำเรียกซากของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งปลาที่นิยม
ออกมาโชว์ให้ประชาชนของโลกตะวันตกได้ดูนามหลายศตวรรษโดยซากเงือกฟิจิมักเป็นตัวชูโรงของ
ห้องสารภัณฑ์ (สิ่งที่อาจจะเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา(ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นของปลอมก็ได้ ส่วนมากเป็นของสะสมส่วนตัว)
ของ พินีอัส เทย์เลอร์ บาร์นัม (ย่อว่าพีที (5 กรกฎาคม 1810 -- 7 เมษายน 1891)


โดยตอนแรกที่ซากเงือกฟิจิไม่ได้รับการเปิดเผยว่า เป็นของปลอมที่ทำมาจากหางปลาที่สตั๊ฟไว้มาต่อเข้ากับ
ท่อนบนของมัมมี่ลิงตัวเมียนั้น พิทีได้ซื้อพิพิธภัณฑ์ที่นิวยอร์กแต่พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวคนเข้าน้อย เขาเลยคิด
เอาของแปลกๆ ที่ไม่ใครคิดมาตั้งโชว์และเขาก็นึกถึงเรื่องเงือกปลอมมาได้ เขาเลยเอาเงือกปลอมดังกล่าวมา
ตั้งโชว์โดยบอกว่ามันเป็นของหายากจากตะวันออกไกล

ผลคือมีหลายคนเชื่อ ถึงขั้นมีนักข่าวสำนักพิมพ์รุมสัมภาษณ์ นอกจากนี้ฟิทียังสร้างเรื่องให้น่าเชื่อถือโดยการจ้าง
นักชีววิทยาตัวปลอมในชื่อดร.กริฟฟิน แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาไลเซียมเป็นคนจับเงือกนี้ได้ในปี 1842
พิทีสามารถหลอกคนดูได้อย่างแยบยลและร่ำรวย จนเขาตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า

"เจ้าแห่งการหลอก" (Prince of Humbug)

และชื่อของเขาก็โด่งดังว่าเป็นคนที่สร้างความสุขให้แก่คนดูด้วยการหลอก ซึ่งกว่ามีคนรู้ว่าเป็นของปลอมหลาย
ศตวรรษเลยทีเดียว ส่วนซากเงือกฟิจินั้นถูกนำไปแสดงทั่วประเทศจนกระทั้งมันหายสาบสูญไปในปี 186
และปัจจุบันเงือกฟิจิยังคงมีการหลอกลวงขายในเว็บอีเบย์และเอามาล้อเลียนในสื่อต่างๆ มากมาย


4. Piltdown Man 1912



“พิลต์ดาวน์แมน” เป็นเล่ห์เลี่ยมที่มีชื่อเสียงทางโบราณคดี ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1912 เมื่อชาร์ลส์ ดอว์สัน
ชาวอังกฤษได้ค้นพบชิ้นส่วนของกะโหลกศีรษะและขากรรไกรจากหลุมกรวดที่หมู่บ้านพิลต์ดาวน์ แคว้นอีสต์ซัสเส็กซ์
โดยชิ้นส่วนเหล่านี้วิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากแล้ว พบว่าเป็นฟอสซิลที่ไม่รู้จักมาก่อน และน่าจะเป็นฟอสซิล
ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ พร้อมกับตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้กับมนุษย์สายพันธุ์ใหม่เป็นภาษาลาตินว่า
Eoanthropus dawsoni (รุ่นอรุณมนุษย์ของดอว์สัน)

และเรื่องของพิลต์ดาวน์แมนก็กลายเป็นเรื่องชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ด้วยเหตุผลคือการมันเกี่ยวข้องกับการไข
วิวัฒนาการมนุษย์ และมันสามารถโกหกได้ยาวนาน 40 ปีขึ้น มีผู้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกบริเวณที่พบฟอสซิล
ลวงโลกเมื่อค.ศ. 1938 กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าดอว์สันสร้างเรื่องขึ้นมาเอง ก็ปาเข้าไป ค.ศ. 1953 โดยพบว่า
ดอว์สันทำการมิกซ์แอนด์แมตช์ด้วยการเอากะโหลกมนุษย์ ประกอบกับขากรรไกรล่างของลิงอุรังอุตัง
และฟันชิมแปนซีมาติดเข้าด้วยกัน ส่วนสาเหตุที่จับได้ก็เพราะฟอสซิลของพิลต์ดาวน์แมนไม่สอดคล้อง
กับเส้นทางการวิวัฒนาการของฟอสซิลที่พบจากที่อื่นๆ



3. Alien Autopsy 1995

<a href="http://www.youtube.com/v/FZouZJSG4ic" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/FZouZJSG4ic</a>

เรื่องราว เริ่มขึ้นในปี 1992 เมื่อ ผู้สร้างภาพยนตร์เรย์ ซานติลีได้ จัดนำ “ฟิล์มภาพยนตร์การผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว”
มาเปิดเผยให้สาธารณะชนได้รับทราบโดยเขาอ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนตร์ขาวดำขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาว
กว่า 17 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) จากช่างภาพของกองทัพ (ไม่เปิดเผยชื่อ) ซึ่งเนื้อหาภาพยนตร์เป็นภาพ
ผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาว


โดยซานติลีได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวนี้คือตนเดียวกับที่มากับจานบินในเหตุการณ์การจานบินตกที่รอสเวลส์
เมื่อปี 1947 โดยช่างภาพที่ขายให้กับเรย์ได้ถูกทางกองทัพเรียกตัวให้มาที่ฐานทัพในเท็กซัสเพื่อทำการถ่าย
ก่อนที่ช่างภาพจะลักลอบนำฟิล์มไปขายให้กับเรย์ในที่สุดภาพยนตร์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง นี้ออกอากาศ
ในปี 1995 ในรายการ One-hour Special

ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจากนั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไป
ในอังกฤษ, เยอรมัน, ฮอลล์แลนด์, บราซิลและอิตาลี (และอีก 32 ประเทศทั่วโลก) แน่ละความสงสัยได้ก่อตัวขึ้น
มาในทันทีว่าเทปดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ เพราะว่าภาพยนตร์ดังกล่าวมีสภาพสมบูรณ์เกินไป และศพมนุษย์ต่างดาว
เป็นของจริงหรือเปล่าเพราะไม่เห็นอวัยวะภายในของมนุษย์ต่างดาวเลย มันน่าจะเป็นหุ่นมากกว่าอีกทั้งมีอะไรหลายอย่าง
ที่ไม่สมจริง เช่นห้องที่ใช้ทำการผ่าตัด หมอที่ผ่าตัด อีกทั้งนาฬิกา โทรศัพท์และเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัด
เหมือนเป็นเทคโนโลยีที่มีขึ้นหลังปี 1940 ในปี 2006

เรย์ก็ออกมารับสารภาพว่าฟิล์มภาพยนตร์นี้เป็นของปลอมแต่กระนั้นเขาก็บอกว่าภาพยนตร์ของเขานั้นมีความจริง
บางส่วนเท่านั้น (“ไม่กี่เฟรม” ในคำพูดของเขา) ในขณะส่วนที่เหลือได้รับการบูรณะตัดต่อใหม่ โดยเขาบอกว่า
ห้องผ่าตัดดังกล่าว สร้างจากห้องนั่งเล่นในโรเชสเตอร์สแควร์ในลอนดอน เครื่องในก็ใช้เครื่องในไก่แม้ว่าเรย์จะยอมรับ
ว่าภาพยนตร์นี้เป็นของปลอมแล้วก็ตาม แต่กระนั้นภาพยนตร์ผ่าตัดมนุษย์ต่างดาวก็กลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ
หลักทฤษฏีสมคบคิด นวนิยาย และสื่อต่างๆอีกมากมาย

2. The Cottingley Fairies 1917




แฟรี่แห่งคอททิงเลย์ เป็นชุดภาพถ่ายที่เป็นรูปเด็กผู้หญิงเล่นกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่านางไม้มีทั้งหมดห้าใบ ที่ถ่ายใน
เดือนกรกฎาคมปี 1917 โดยเอลซี่ ไรท์ (16 ปี) และฟรานซิส กรีฟิส (11 ปี) ซึ่งเป็นญาติของเธอ ทั้งสองสาว
อาศัยอยู่ในหุบเขาคอททิงเลย์ใกล้ แบรดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ วันนั้นพวกเธอได้เอากล้องที่ยืมจากพ่อ และถ่ายรูป
นางไม้โนมมาได้ ซึ่งครอบครัวของพวกเธอเชื่อว่าภาพเหล่านี้เป็นของจริง


ในฤดูร้อนปี 1919 รูปถ่ายนี้ก็ถูกแพร่หลายและเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์(ผู้เขียนเซอร์ล็อคโฮล์ม) ได้ทำการตรวจสอบ
ภาพดังกล่าว เขาได้เขียนบทความลงในนิตยสารชั้นนำไว้ว่าภาพของพวกเธอนั้นเป็นของจริง
“จากหลักฐานที่ได้ ผมมีความลังเลที่จะบอกได้ว่าภาพเหล่านี้เป็นขอปลอม” และ
"เด็กๆ ของคนชั้นกรรมกรจะมีความรู้เรื่องการตัดต่อภาพได้ยังไง"

ซึ่งท่านเซอร์เชื่อว่ารูปถ่ายนี้เป็นของจริงจนวาระสุดท้ายของชีวิตเลยทีเดียวเดือนธันวาคมปี 1920 ดอยล์ได้ทำการ
ประกาศรูปเหล่านี้ลงนิตยสารพร้อมกับยืนยันว่าแฟรี่ในรูปเป็นของจริง ซึ่งเรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับมากมาย ทำให้
นักข่าวและผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลไปยังคอททิงเลย์ดอยล์นั้นถึงกับออกหนังสือเกี่ยวกับแฟรี่แห่งคอททิงเลย์
และกล่าวว่าเขาเชื่อเด็กหญิงทั้งสองคนว่าพวกเธอพูดจริง

จนกระทั้งในวันที่ 24 พฤษภาคม 1965 เอลซี่ก็ได้ให้สัมภาษณ์แก่นิตยสารเดลี่เอกซ์เพรสว่ารูปของแฟรี่เหล่านั้น
เป็นภาพที่เธอกับฟรานซิสทำปลอมขึ้นมาโดยไม่ได้ใช้เทคนิคการตัดต่อภาพใดๆทั้งสิ้น พวกเขาแค่วาดรูปของแฟรี่
ลงบนกระดาษแข็ง ระบายสีตัดออกมาติดไว้กับต้นไม้หรือพื้นเพื่อถ่ายรูปง่ายๆ แค่นั้น ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพราะ
ต้องการล้อเล่น แต่ท่านเซอร์โคนันกลับทำให้เรื่องใหญ่โตทำให้พวกเธอไม่รู้จะบอกความจริงยังไงดี

แม้ว่าเด็กสองคนจะบอกว่าภาพเป็นของปลอมแล้วก็ตาม แต่กระนั้นทั้งสองก็บอกว่าพวกเธอ
เห็นแฟรี่จริงๆแต่ไม่สามารถถ่ายรูปของพวกเขาเอาไว้ได้




1. The Book of Mormon 1830



นายโจเชพ สมิธ (1830-1844) ผู้ก่อตั้งลัทธิมอร์มอธ เขาได้อ้างว่า ในวันที่ 21 กันยายน 1823 สมิธอ้างว่า
ทูตสวรรค์มาพบเขาที่เนินเขาใกล้บ้านของเขาและเขาได้พบแผ่นโลหะทองคำเนื้อหาจารึกประวัติกลุ่มชาวยิว
ที่เดินทางมาจากกรุงเยรูซาเล็ม มายังประเทศอเมริกา


นอกจากนั้นเขายังพบสองวัตถุหนึ่งที่เป็นรูปร่างเหมือนแว่นตาที่เรียกว่า อูริมและทูมมิม ซึ่งอ้างว่าเขาใช้มัน
ในการแปลภาษาอียิปต์ปรับปรุงใหม่ ให้เป็นภาษาอังกฤษ จากปี 1827-1829 และพิมพ์ออกมาในปี 1830
ซึ่งคือ พระคัมภีร์มอร์มอน (The Book of Mormon) และเขาได้เรียกมอร์มอนของตัวเอง ว่า
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์



เนื้อหาของหนังสือนั้นค่อนข้างผิดหลักศาสนาคริสต์เป็นอย่างมาก แต่กระนั้นมันก็ได้รับความนิยมไปทั่ว และลัทธิ
นอร์มอธก็โด่งดังในอเมริกา แต่กระนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาได้กล่าวว่าหนังสือทั้งเล่มนั้นเขียนโดยคนเดียวกัน
นอกจากนั้นหนังสือยังอ้างสัตว์และพืชที่ไม่มีอยู่ในอเมริกาหลายชนิด

สมิธอ้างว่าหนังสือคัดจากคำจารึกที่ถูกฝังไว้ในปี ค.ศ. 428 แต่จากการศึกษา พบว่า ประมาณ 25,000 คำ
ในคัมภีร์มอร์มอน คัดมาจากพระคัมภีร์ฉบับ King James Version ซึ่งเขียนในช่วง ค.ศ. 1611
ทำให้เชื่อว่าเรื่องของโจเซฟ สมิธนั้นเป็นเรื่องโกหก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กันยายน 2014, 11:15:14 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

usher

  • เด็กหัดเสียว
  • **
  • กระทู้: 419
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-2
    • ดูรายละเอียด

เยี่ยมครับ .,mn

meaw_meow

  • X5 Club
  • อาชาคะนองศึก
  • *
  • กระทู้: 1127
  • คะแนนจิตพิสัย +1/-1
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด

 hgjhg เยียมครับ ยังคงเกร็ดความรู้แบบเต็ม ๆ เช่นเดิม

happy007

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 105
  • Country: 00
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด

ติดตามทุกสัปดาห์เลย  ;khhg ;khhg ;khhg

cmclub55

  • เด็กหัดเสียว
  • **
  • กระทู้: 210
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด

 eta06 ขี้จุ๊แต้ๆ