-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ฮาเธอร์(Hathor) เทพีแห่งความรัก และการเกิดของเด็ก  (อ่าน 6750 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18236
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

ฮาเธอร์(Hathor) เทพีแห่งความรัก และการเกิดของเด็ก



เทพีแห่งความรัก และการเกิดของเด็ก มีสัญลักษณ์เป็นวัวตัวเมีย เป็นเทพีผู้ให้น้ำนมเลี้ยงโฮรัส มีลักษณะคือ หัว และ ตัวเป็นมนุษย์
แต่มีสัญลักษณ์เป็นเขาวัว อยู่บนศีรษะ ทรง เป็นเทวีแห่งนภากาศอีกองค์หนึ่ง และเป็นมหาเทวีที่สำคัญที่สุดของนิกายที่นับถือสุริยะเทพรา
โดยเทวปกรณ์กล่าวว่าทรงเป็นธิดา และชายาขององค์สุริยเทพ ทรงเป็นเทวีแห่งความงาม ความรัก ความสุข พิธีกรรม ศิลปวิทยาการ
และคุณสมบัติที่ดีของเพศหญิง เทวลักษณะเป็นเทพนารีสวมศิราภรณ์รูปเขาวัวคู่โอบดวงสุริยะ หรือปรากฏเป็นรูปวัวทั้งตัว
ทรงถือซิสทรัม พระนามภาษาอียิปต์ว่า เฮ็ท-เฮร์ท




วิหารแห่งเดนเดรา (Dendera) มหาวิหารที่บูชาเทพีแห่งความรักเทพีฮาเธอร์ (Hathor)



วิหารแห่งเดนเดรา ตั้งห่างออกมาทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ (Luxor) ประมาณ 70 กิโลเมตร ตัววิหารเดนเดราโดดเด่นด้วยเสา
ทรงเทพีฮาเธอร์ ประดับด้านหน้าถึง 6 เสา ด้านในมีห้องโถง ห้องเสาไฮโปสไตล์ ห้องบูชาด้านในอีกหลากหลายห้อง ที่สำคัญที่สุด
ก็คือห้องบูชาหลัก (Sanctuary) ของเทพีฮาเธอร์ ที่ประดิษฐานรูปปั้นรวมทั้งเรือศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในขบวนแห่อีกด้วย และบริเวณด้านหลัง
ของวิหารเดนเดราแห่งนี้นี่เองครับ ที่มีช่องทางเดินลงไปยังคูหาใต้ดิน (Crypt) ซึ่งมีภาพหลอดไฟสุดล้ำของชาวอียิปต์โบราณสลักเอาไว้!!

รูปหลอดไฟเดนเดราที่สองนักเขียนชาวออสเตรียและวิศวกรการ์นได้กล่าวอ้างว่าเป็นหลอดไฟโบราณ.

จากหนังสือ "ดวงไฟแห่งฟาโรห์" (Lights of the Pharaohs) ของสองนักเขียนชาวออสเตรียได้กล่าวไว้ว่า ในภาพสลักรูปหลอดไฟนั้น
ประกอบไปด้วย ตัวนักบวชผู้ถือหลอดไฟที่มีส่วนประกอบของตัวหลอด พร้อมทั้งตัวปล่อยกระแสไฟฟ้าที่แสดงด้วยรูปงู ปลั๊กรูปดอกบัว
ตามด้วยสายไฟ และไอโซเลเตอร์ (Isolator) ที่แสดงด้วยภาพเสาดเจด (Djed Pillar) ด้านข้างยังมีเทพเจ้าถือมีด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ
"ผู้นำแสงสว่าง" จารึกประดับไว้ด้วย ในภาพสลักยังมีภาพของเทพเจ้าในท่านั่ง แสดงถึงกระแสไฟฟ้า และมีภาพของตัวจ่ายพลังงาน
หรือที่เราเรียกกันว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) อีกด้วยครับ




นอกจากนั้น วิศวกรนาม ดับเบิลยู การ์น (W. Garn) ยังได้สนับสนุนแนวคิดนี้ แถมด้วยการวาดแผนโครงสร้างของหลอดไฟฟ้าจากภาพ
บนผนังของวิหารเดนเดราเสียด้วย สิครับ โดยเขาได้เสนอว่า หลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ถ้ามีแท่งโลหะ 2 ชิ้นที่สัมผัสกับแขนที่ชูขึ้นมา
ของเสาดเจด ก็จะสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ แต่ก็ขึ้นกับขนาดของหลอดไฟด้วย ถ้าความดันภายในหลอดมีขนาดประมาณ 40 มิลลิเมตรปรอท
เจ้างูในหลอดไฟที่ทำหน้าที่เป็นลวดที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่าน ก็จะค่อยๆเลื้อยตัวออกไปเรื่อยๆ และสามารถสร้างแสงสว่างได้เพิ่มมากขึ้น
เจ้างูลวดตัวนี้สามารถที่จะเลื้อยตัวออกไปได้ยาวมาก จนยาวเต็มหลอดไฟเลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็คือหลักการในการให้แสงสว่างของหลอดไฟ
แห่งเดนเดรา จากมุมมองของวิศวกรอย่างการ์น



แต่แนวคิดที่การ์นนำเสนอมา มันก็ยังขัดแย้งกันอยู่ในตัวของมันเอง เพราะถ้ามองที่ภาพหลอดไฟที่การ์นนำมาอ้างนั้น ภาพของเสาดเจด
ชูแขนสองข้าง ที่เชื่อกันว่าทำหน้าที่เป็นไอโซเลเตอร์ ดูเหมือนว่าจะเข้าไปอยู่ด้านในของหลอดไฟ แต่แท้จริงแล้ว ภาพหลอดไฟแห่ง
เดนเดรานี้ มีถึง 6 หลอดครับ และอีก 5 หลอดที่เหลือ ก็จะเห็นได้ชัดว่าภาพของเสาดเจดนั้น ไม่ได้เข้าไปในตัวหลอดแต่อย่างใด
เพียงแต่ค้ำอยู่ด้านนอกเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลอดไฟ อีก 5 หลอดของเดนเดราจะสามารถทำงานได้ตามหลักการของการ์น[


หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ภายในพีระมิด หรือสิ่งมหัศจรรย์หลายแห่งที่ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างสรรค์ไว้ ไม่เคยพบ
เขม่าควันใดๆเลย แสดงว่าถึงแม้ว่าหลอดไฟแห่งเดนเดราจะไม่ได้หมายถึงหลอดไฟฟ้าจริงๆ แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ควรจะต้องมี
อุปกรณ์ให้แสงสว่างระหว่างการก่อสร้างด้วย แน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสร้างหรือวาดภาพในที่มืดๆ โดยใช้ตะเกียงแบบไม่มีเขม่า
ได้ยังไงกัน

แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าตามสถาน ที่อย่างภายใน ห้องหับของพีระมิดจะไม่มีเขม่าอย่างที่หนังสือหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งบอกไว้ นะครับ
เขม่าควันนั้นมีเช่นกัน แต่เป็นผลมาจากคบไฟของเหล่าโจรปล้นสุสานในสมัยโบราณ รวมทั้งนักเดินทางที่ปรารถนาจะเข้าไปชม
ความอลังการภายในพีระมิดได้ทิ้งเอาไว้




ตะเกียงและไส้ตะเกียงคือหลักฐานที่นักอียิปต์ วิทยาค้นพบจากหุบผากษัตริย์ (Valley of the Kings) ซึ่งบ่งบอกว่าชาวอียิปต์โบราณ
มีการใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในการขุดเจาะและตกแต่งผนังสุสาน แต่เคล็ดลับในการลดควันหรือเขม่าจากตะเกียงของพวกเขานั้น
ก็ทำได้ง่ายดายมากครับ เพียงแค่ผสม "เกลือ" เล็กน้อยลงไปในน้ำมันตะเกียง เท่านี้ก็ไม่หลงเหลือเขม่าเกาะติดผนังมากนักแล้วครับ

ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่นักอียิปต์วิทยาค้นพบในห้องใต้ดินที่มีภาพหลอดไฟ ปริศนาก็คือ "เขม่าควัน" บริเวณภาพหลอดไฟพอดีครับ
ดังนั้น ถ้าในช่วงการแกะสลักภาพหลอดไฟเดนเดรา ชาวอียิปต์ โบราณมีการใช้หลอดไฟรูปร่างเช่นนั้นในการให้ แสงสว่างจริงๆล่ะก็
ไม่น่าจะมีเขม่าควันหลงเหลืออยู่ในห้องนี้ เขม่าที่เห็นควรจะต้องเป็นควันจากการจุดตะเกียงในช่วงของการก่อสร้าง
หรือไม่ก็เป็นเขม่าควันจากกลุ่มคนสมัยใหม่ ที่เข้ามาด้านในครับ

ถ้า ไม่ใช่วิทยาการอันก้าวหน้าของชาวไอยคุปต์ แล้วหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ จารึกภาษาอียิปต์โบราณ
ที่ประดับไว้เคียงข้างภาพหลอดไฟเหล่านี้มีคำตอบให้ ครับ


จารึกในห้องใต้ดินแห่งนี้กล่าวถึงวัฏจักรการโคจรของดวงอาทิตย์ที่กำลังหมดเวลาในวันสุดท้ายของปีเก่าและเข้าสู่เช้าวันรุ่งขึ้นของปีใหม่
รวมทั้งการจัดงานพิธีกรรมเฉลิมฉลองแด่สุริยเทพ ซึ่งก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับหลอดไฟแต่อย่างใด



เริ่มแรกที่ภาพของงู ที่สองนักเขียนชาวออสเตรียกล่าวว่าเป็นลวดที่นำไฟฟ้า แต่ตำนานของชาวอียิปต์โบราณไม่มีตำนานใดกล่าวว่า
งูเกี่ยวข้องกับไฟเลย ภาพวงรีที่เหมือนตัวหลอดไฟนั้น ณ ที่นี้มีความหมายถึงท้องฟ้า ยามรุ่งอรุณ และงูที่อยู่ด้าน ในก็คือ
เทพฮาร์ซัมตัส (Harsomtus) ซึ่งเป็นร่างหนึ่งของเทพฮอรัส เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ ในยามรุ่งอรุณตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมัน
โดยที่พวกเขาจะแสดงภาพของเทพฮาร์ซัมตัสด้วยร่างของงูเสมอในช่วงหลัง 300 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมาครับ

นั่นก็เพราะงูจะมีการลอกคราบ ซึ่งชาวอียิปต์ โบราณมองว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็คล้ายกับพระอาทิตย์ที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ขึ้นมาทุกเช้า
ในแต่ละวันนั่นเอง


สำหรับ เสาดเจดที่เชื่อกันว่าเป็นไอโซเลเตอร์ นั้น นักอียิปต์วิทยายังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ว่า มีความหมายว่าอย่างไร
เพราะว่าโดยตัวของมันเองแล้ว เสาดเจดสามารถสื่อได้หลายความหมาย ไม่ว่าจะหมายถึงเสาโดยตรง หรือหมายถึงความมั่นคง เสถียรภาพ
และหมายถึงสิ่งที่อยู่ไปจนนิรันดร์ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น ด้วยความที่เสาดเจดได้ค้ำท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ และบางภาพก็ได้ค้ำงูฮาร์ซัมตัส
ที่เป็นตัวแทนของพระ อาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ก็อาจจะต้องการสื่อความหมายว่า สุริยเทพจะต้องเป็นผู้ที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ก็เป็นได้

มองลงมาด้านล่าง ที่เชื่อกันว่าเป็นสายไฟซึ่งต่อจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารูปเทพฮีฮ์มายังก้านดอกบัวที่เป็นปลั๊กนั้น แท้จริงแล้วเป็นภาพตัวแทน
ของเรือศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพเจ้ามาก มายนั่งอยู่ คล้ายๆกับเรือที่ปรากฏในคัมภีร์ ต่างๆของชาวอียิปต์โบราณ และหลักฐานที่กล่าวว่าเส้นสายไฟนี้
คือเรือแน่ๆ ก็คืออักขระที่จารึกประกอบภาพเอาไว้บนผนังครับ

ส่วนดอกบัว ก็คือดอกบัวตามที่เห็น ไม่ได้สื่อถึงปลั๊กไฟแต่อย่างใด สำหรับอีกด้านหนึ่งของเรือที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเทพฮีฮ์
ก็สื่อความหมายว่าเทพฮีฮ์ทรงค้ำจุนท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ด้วยความที่เทพฮีฮ์เกี่ยวข้องกับความเป็นนิรันดร์และเกี่ยวข้องกับจำนวนหนึ่งล้าน
ทำให้เทพฮีฮ์สื่อความหมายคล้ายคลึงกับเสาดเจด นั่นคือหมายถึงความเป็นนิรันดร์ของสุริยเทพ




บรรดาสัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงเป็นภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานทางตำนานความเชื่อของชาวอียิปต์
โบราณทั้งสิ้น ที่ประกอบกันเพื่อสื่อความหมายและแสดงออกถึงพิธีกรรมการเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ของสุริยเทพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ
หลอดไฟฟ้าแต่อย่างใด

แต่ถึงแม้ว่าชาวอียิปต์โบราณจะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าถึงขั้นผลิตหลอดไฟฟ้าได้จริง แต่เราก็คงจะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่ไหมครับว่า
วิทยาการที่ชาวอียิปต์มีอยู่จริงนั้น ก็ก้าวหน้าและก้าวล้ำเสียจริงๆครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ตุลาคม 2014, 16:47:09 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่