cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: etatae333 ที่ 16 พฤศจิกายน 2018, 13:23:56

หัวข้อ: สโนไวท์ เธอคือใครในประวัติศาสตร์
เริ่มหัวข้อโดย: etatae333 ที่ 16 พฤศจิกายน 2018, 13:23:56
สโนไวท์ เธอคือใครในประวัติศาสตร์
cr.ทีมงานนักเขียนเด็กดี

หนึ่งในเทพนิยายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นเรื่องของสโนไวท์ ซึ่งถ้าหากจะนับกันแล้ว พบว่ามีการนำเสนอออกมา
มากถึง 400 เวอร์ชั่น แต่เวอร์ชั่นที่เรารู้จักกันดีและได้รับความนิยมมากที่สุด ชื่อว่า สโนว์ดร็อป มาจากตำนานพื้นบ้านของ
พี่น้องกริมม์ เวอร์ชั่นนี้ก็อย่างที่เคยฟังกันมาไปหลายหนแล้วว่า


(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1542427441-4669.jpeg)

พระราชินีได้ขอพร ให้ได้ลูกสาวที่มีผมดำสนิทเหมือนไม้อีโบนี่ ผิวขาวเหมือนหิมะ และปากแดงดังสีเลือด แต่เมื่อให้กำเนิดทารก
พระราชินีก็เสียชีวิต และพระราชาได้แต่งงานใหม่กับหญิงสาวที่ทะเยอทะยานและเจ้าเล่ห์ ราชินีองค์ใหม่นี้มาพร้อมกระจกวิเศษ
และชอบถามกระจกเสมอว่า ใครสวยที่สุดในปฐพี ซึ่งคำตอบก็จะเป็นพระนางอยู่เสมอ จวบจนกระทั่งสโนไวท์เริ่มเติบโตขึ้นเป็นสาว
และความงามเริ่มล้ำหน้าพระนาง

เมื่อนั้นแหละ ปัญหาจึงบังเกิด เพราะราชินีอิจฉาในความงามของสโนไวท์ จนตัดสินใจออกคำสั่งให้พรานป่านำตัวสโนไวท์ไปฆ่า
และนำหัวใจกลับมาให้เป็นหลักฐาน แต่พรานป่าเกิดความสงสารจึงปล่อยตัวสโนไวท์ไป แล้วเอาหัวใจของกวางมาให้แทน
สโนไวท์เข้าไปในป่าและได้พบกับคนแคระ จึงใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขา ในฐานะคนรับใช้ ช่วยทำความสะอาดและปรุงอาหาร

จนกระทั่งวันหนึ่ง ราชินีก็สืบรู้ความจริง จึงตามมาไล่ล่าสโนไวท์ด้วยตัวเอง สโนไวท์รอดจากกลอุบายของพระนางไปได้สองครั้ง
แต่เมื่อถึงครั้งที่สาม เธอสลบไปด้วยพิษจากแอปเปิ้ล คนแคระนำร่างของสโนไวท์ไปใส่ไว้ในโลงแก้ว และคอยดูแลอย่างดี
จนวันหนึ่งเจ้าชายผ่านมา และตกหลุมรัก จึงขอโลงไป เพื่อจะจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ ระหว่างที่เดินทางอยู่ รถม้ากระแทกแรง
จนแอปเปิ้ลหลุดจากปาก และสโนไวท์ก็ฟื้นคืนชีวิต ทั้งคู่ได้แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก
 


ตำนานแอปเปิ้ลทองคำที่ใครได้ครอบครองจะสวยที่สุด
 
ตำนานสโนไวท์อื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน นอกจากเรื่องสโนไวท์ของพี่น้องกริมม์แล้ว ก็ยังมีเรื่อง The Young Slave ของ
จิอามบาสทิสต้า เบซิล เจ้าพ่อเทพนิยายแห่งอิตาลี นักวิจารณ์สันนิษฐานว่า เบซิลน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง
“Gold-Tree and Silver-Tree” และ “Maria, the Wicked Stepmother, and the Seven Robbers”


(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1542427441-3163.jpeg)

สำหรับ “Gold-Tree and Silver-Tree” เป็นเรื่องของพระราชาที่มีภรรยาชื่อว่า ซิลเวอร์ทรี และบุตรสาวชื่อ โกลด์ทรี
วันหนึ่งทั้งคู่ไปที่ทะเลสาบ และได้พบกับปลาวิเศษพูดได้ ราชินีถามปลาว่า พระนางงามที่สุดในโลกใช่หรือไม่ ปลาตอบว่า
ไม่ใช่ เป็นบุตรสาวต่างหาก ซิลเวอร์ทรีเกิดความริษยาในตัวบุตรสาว จึงวางแผนจะฆ่า และนำหัวใจกับตับมากิน ซิลเวอร์ทรี
แกล้งป่วย และบอกพระราชาว่า อาการป่วยนี้รักษาได้ด้วยหัวใจและตับของโกลด์ทรี แต่พระราชาแก้ปัญหาด้วยการให้
โกลด์ทรีแต่งงานไปกับเจ้าชายที่ไว้ใจได้ และส่งนางไปห่างไกล จากนั้นจึงนำหัวใจกับตับของแพะมาให้ราชินีกินแทน
 
ส่วนเรื่อง “Maria, the Wicked Stepmother, and the Seven Robbers” เป็นเรื่องของมาเรีย ผู้ถูกแม่เลี้ยงขับไล่
ออกจากบ้านเพราะริษยาในความสวยงาม เมื่อเข้าไปในป่า มาเรียได้ไปเจอกระท่อมที่มีโจรอาศัยอยู่ 7 คน พวกโจรไม่ทำ
อันตรายมาเรียแต่ให้เธออาศัยอยู่ด้วยในฐานะคนใช้ ให้ปรุงอาหารและเป็นแม่บ้านให้ พอแม่เลี้ยงสืบรู้ว่ามาเรียยังไม่ตาย
ก็รีบมาที่กระท่อม และมอบแหวนพิษให้ เมื่อมาเรียสวม ก็เสียชีวิต

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1542427442-129.jpeg)
 
ถ้าดูจากการประยุกต์แล้ว เราจะเห็นว่าปลาวิเศษก็ถูกนำมาแปลงให้เป็นกระจก เพื่อเป็นการปรับให้เข้ากับยุคสมัย เพราะใน
ช่วงที่พี่น้องกริมม์รวบรวมเนื้อหานั้น เป็นช่วงที่กระจกกำลังได้รับความนิยมมาก ส่วนเรื่องแอปเปิ้ลพิษที่มาแทนแหวนพิษ
สันนิษฐานว่ามาจากตำนานกรีก ที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่ เอริส เทพธิดาแห่งความขัดแย้งได้รับเชิญไปงานแต่งงาน นางอยาก
จะป่วนงานก็เลยเอาแอปเปิ้ลทองคำที่มีคำจารึกว่า สำหรับคนที่สวยที่สุด โยนขึ้นไปบนโต๊ะทำให้เทพธิดาที่ทะนงในความสวย
ทั้งสามอย่าง เฮร่า, อะเธน่าและอะโฟรไดท์ แย่งชิงกันเป็นพัลวัน จนต่อมาได้เกิดเป็นสงครามกรุงทรอยในที่สุด ก็เท่ากับว่า
แอปเปิ้ลนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความสวยงามนั่นเอง


 
ตัวจริงของสโนไวท์ในประวัติศาสตร์คือใคร..?

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1542427441-3596.jpeg)

นอกจากตำนานต่างๆ แล้ว นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า สโนไวท์เป็นตำนานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบุคคลจริง นั่นก็คือ
Margarete von Waldeck เคาน์เตสสาวชาวเยอรมัน บุตรสาวของพระเจ้าฟิลิปที่ 4 มาร์กาเร็ตถือกำเนิดในปี ค.ศ. 1533
เมื่ออายุได้ 16 แม่เลี้ยงของเธอ Katharina of Hatzfeld เกิดความอิจฉาในรูปร่างหน้าตาของลูกเลี้ยงสาวสวย เลยหาทาง
ขับไล่ไปอยู่ที่ บรัสเซลล์ มาร์กาเร็ตได้พบรักกับเจ้าสาว ผู้ภายหลังดำรงตำแหน่งพระเจ้าฟิลิปที่สองแห่งสเปน


(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1542427441-4285.jpeg)

อย่างไรก็ตาม ทั้งพ่อและแม่เลี้ยงต่างไม่เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้ เพราะมองว่าเป็นปัญหาทางการเมือง ท้ายที่สุด มาร์กาเร็ต
ก็เสียชีวิตในวัยเพียง 21 ผลจากการชันสูตรพบว่า เธอโดนวางยาพิษ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ไปที่พระเจ้าฟิลิปที่สอง
ว่าแค้นใจที่ถูกปฏิเสธ จึงฆ่าเธอเสีย แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักประวัติศาสตร์หลายคนมองว่า... บางที ผู้อยู่เบื้องหลังอาจเป็น
แม่เลี้ยงของมาร์กาเร็ตก็เป็นได้
 
นอกจากตำนานของมาร์กาเร็ตแล้ว ก็ยังมีผู้หญิงอีกคนจากบาวาเรีย คนนี้มีชื่อว่า Maria Sophia von Erthal เกิดเมื่อ
วันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1729 เธอเป็นบุตรสาวของเจ้าชายฟิลิป คริสทอพ วอน เออร์เทล และบารอนเนส วอน เบทเทนดอฟฟ์
หลังจากบารอนเนสเสียชีวิต เจ้าชายฟิลิปได้สมรสใหม่กับคลอเดีย เอเลิซาเบ็ธ มาเรีย วอน เวนนิงเก็น เคาน์เตสแห่ง Reichenstein
เคาน์เตสชังลูกเลี้ยงเป็นอย่างมาก ต่อมา เจ้าชายได้มอบกระจก อันเป็นผลผลิตของ Lohr Mirror Manufacture
(Kurmainzische Spiegelmanufaktur) ให้กับแม่เลี้ยงสาวผู้นี้ โดยกระจกมีความพิเศษคือ สามารถโต้ตอบได้ แต่จะเป็นการ
พูดซ้ำๆ ที่ถูกบันทึกเอาไว้ ตัวกระจกถูกเรียกว่า “กระจกพูดได้” และเป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมกันมากในหมู่ชนชั้นสูงในยุคนั้น

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1542427442-1899.jpeg)
 
200 ปีต่อมา เชื่อกันว่า พี่น้องกริมม์ ได้มีโอกาสพบเห็นกระจกบานนี้ ในปราสาทของเจ้าชายหรือที่เรียกกันว่าปราสาท von Erthal
ซึ่ง ณ ตอนนั้นถูกนำมาปรับเป็นพิพิธภัณฑ์ในชื่อ Spessart Museum ประวัติเล็กๆ น้อยๆ ของกระจก และเรื่องเล่าที่น่าสนใจของ
แม่เลี้ยงสาวผู้หลงใหลความสวยความงาม น่าจะทำให้พี่น้องกริมม์เกิดแรงบันดาลใจ และเป็นที่มาของเรื่องสโนว์ไวท์ในเวลาต่อมา
เป็นของยอดนิยมในยุคนั้นที่สามารถพูดได้ (ปัจจุบัน กระจกบานนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Spessart Museum) ตัวกระจกนั้น
ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1720 

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1542427441-6645.jpeg)

จะเห็นได้ว่าแก่นเรื่องของสโนไวท์ไม่ใช่อื่นใด นอกจากปัญหาเรื่องการอิจฉาริษยาในความสวยความงามของหญิงผู้อยู่ในฐานะแม่
กับลูกสาว ที่กำลังเติบโตเป็นสาว ปัญหานี้ เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย เราเห็นอยู่ตามสื่อปัจจุบันได้มากมาย และเชื่อว่าน่าจะเห็นได้
ต่อไปเรื่อยๆ จะมีเด็กสาวที่ต้องเจอเรื่องแบบสโนไวท์อีกมากมาย และคงมีตำนานสโนไวท์ออกมาอีกหลายเรื่องอย่างแน่นอ
น 
หัวข้อ: Re: สโนไวท์ เธอคือใครในประวัติศาสตร์
เริ่มหัวข้อโดย: autobluesky ที่ 22 พฤศจิกายน 2018, 16:53:11
ที่แท้เราถูกดิส piuyty บิดเบือนเรื่องราวมาตลอดหรอกหรือนี่