เครดิต Dek-D.comสมมติฐานเกี่ยวกับผี
ในขั้นแรกเราจะตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับผีไว้ดังนี้นะครับ
1. กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ต้องสามารถใช้ได้กับภูติผีปีศาจ นั่นหมายถึง ผีก็อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของฟิสิกส์ซึ่งเราถือว่าเป็นกฏสากลของธรรมชาติ
2. ภูติผีปีศาจไม่ใช่เรื่องมายากล อิทธิปาฏิหารย์ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติใดๆทั้งสิ้น
3. เรื่องภูติผีปีศาจ(Ghost), การหลอกหลอน(Poltergeist), เรื่องวิญญาฯคนตาย (Spirit&Soul) เป็นสิ่งที่มีสาเหตุมาจากต้นตอเดียวกัน แต่เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างกัน
4. ผีปีศาจจัดเป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง หรือ Entity ดังนั้น Entity ใดๆควรจะมีลักษณะร่วมที่เหมือนกัน ผีก็เช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นผีไทย ผีฝรั่ง ผีกระเหรี่ยง ควรจะอยู่ในกฏนี้คือมีลักษณะร่วมที่ไม่แตกต่างกันด้วย
5. ในการปรากฏกายของผีแต่ละครั้ง ร่างของผีจะปรากฏตัวขึ้นโดยคิดเป็นปริมาตร 0.07 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นรูปร่างเฉลี่ยของคนที่มีน้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม (อันนี้เป็นข้อมูลสถิติที่เค้าวิเคราะห์กันมาน่ะนะครับ)
จากสมมติฐานเราก็จะมาหามาตรฐานของผีกัน
Entity ที่เรียกว่าผีมีอยู่หลายชนิดและมักจะพบกันในเวลาค่ำคืนหรือไม่ก็ในที่มืด เสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเราน่าจะจัดให้มันเป็น "สิ่งที่มีธรรมชาติชอบอาศัยอยู่ในความมืด" เราไม่สามารถบอกได้ครับว่าผีนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต(แต่น่าจะ เป็นอย่างหลังมากกว่า) ไม่สามารถบอกได้ว่าผีนั้นเป็นคน เป็นพืช หรือว่าเป็นสัตว์ ดังนั้นผมจึงขอเรียกมันว่า "สิ่งที่มีอยู่อย่างหนึ่ง" หรือ "ตัวตน" ไปพลางๆก่อน สิ่งแรกที่เราควรมาพิจารณากันคือ ISO เอ๊ย... ลักษณะมาตรฐานที่คล้ายคลึงกันของผีทั่วโลก ซึ่งจากบทความของท่านด็อกเตอร์ เราพบลักษณะร่วมของผีดังนี้ครับ
1. ผีจะชอบปรากฏตัวในเวลากลางคืน (พระอาทิตย์ตกดินเป็นได้การละ) การปรากฏตัวแต่ละครั้งกินช่วงเวลาประมาณ 2-10 วินาทีโดยอาจจะมากหรือน้อยกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อผีปรากฏตัวแล้วมันจะหายไปชั่วครู่ จึงจะสามารถปรากฏตัวใหม่ได้อีก
2. ถ้าผีปรากฏตัวในที่มืดแล้วสายตาของเราสามารถมองเห็นมันได้ แสดงว่าผีต้องมีแสงสว่างในตัวเอง จากข้อมูลเรื่องผีทั่วโลกเราพบว่า ผีเปล่งแสงสว่างเรืองๆได้ โดยมีกำลังส่องสว่างอยู่ในช่วงความเข้มแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน
3. การปรากฏตัวของผีพบว่ามีลักษณะรูปร่างคล้ายคน แต่ไม่เคยปรากฏตัวในลักษณะเปลือยร่างล่อนจ้อน(ส่วนผีนางแบบนู้ดนี่ไม่ยังไม่ เคยมีเคสครับ) ผีจะมีเครื่องนุ่งห่มติดตัวมาด้วยเสมอ ส่วนมากจะเป็นลักษณะของผ้าห่อศพ ผ้าตราสัง บางครั้งก็สวมชุดเสื้อผ้าคล้ายคนธรรมดา แต่มีจุดที่แตกต่างออกไปก็คือ ทั้งผิวกายและใบหน้าของผีมักปรากฏในรูปลักษณะสีขาวคล้ายหมอกควัน (บางครั้งก็มีสีต่างๆเช่น น้ำเงิน เหลืองอมแดง หรือสีเขียวเรืองๆปนอยู่ในสีขาวนั้นด้วย) ภาพ"ร่างกาย"ของผีที่มองเห็นมักมีลักษณะเป็นรางๆ โปร่งแสงมองทะลุไปได้ มีขนาดเล็กกว่าตัวคนธรรมดาทั่วไปครับ
4. ส่วนใหญ่แล้ว 99% ผีมักจะหันหน้าเข้าหาผู้ประสบเหตุเสมอ มีส่วนน้อยมากที่ผีจะหันด้านข้างหรือด้านหลังให้ โดยเฉพาะผีของไทยนี่ไม่ธรรมดาครับ เนื่องจากมักจะห้อยหัวลงมาหาผู้ประสบเหตุอยู่เสมอๆ
5. รายงานเรื่องผี 90% พบว่าผีมีร่างเป็นมนุษย์ มีรายงานไม่มากนักที่ปรากฏว่าเป็นผีสัตว์ เช่น ผีสุนัข ผีแมว ผีวัว หรือผีพะยูน เป็นต้น
6. ผู้ที่เคยเจอผีในระยะกระชั้นชิดทุกคน ต่างรายงานสภาพการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบตัวขณะผีปรากฏกายว่า อากาศมักเย็นวูบลงอย่างฉับพลันก่อนหน้าหรือขณะเวลาเดียวกันกับการปรากฏตัว ของผี ณ จุดนั้น
7. ถ้ามีเสียงหรือกลิ่นมาพร้อมการปรากฏตัวของผีล่ะก็ พยานจะรับรู้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเรียกได้ว่าเป็นเสียงหรือกลิ่นที่เบา บางมากว่างั้นเถอะครับ เสียงที่เกิดมักเป็นเสียงธรรมชาติทั่วไป เช่น เสียงหอบหายใจหนักๆ เสียงคนฮัมเพลง เสียงร้องไห้ เสียงกระซิบ เสียงหัวเราะแผ่วๆ เสียงเดินลากเท้า เสียงกระดิ่งหรือระฆังที่เรามักได้ยินตามโบสถ์เป็นต้น กลิ่นที่ปรากฏบางครั้งหอมเอียนเหมือนกลิ่นดอกไม้ป่า กลิ่นธูป กลิ่นสาบสาง กลิ่นอับชื้นเหมือนดินโคลน ที่หนักหน่อยก็เป็นกลิ่นคาวเลือดไปเลยครับ
ลักษณะการปรากฏตัวของผีทั้ง 7 ข้อนี้ ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานการปรากฏตัวของผีกลางคืนทั่วโลก ฝรั่งเค้าเรียกว่ามาตรฐาน SNG ครับ มาจากคำเต็มว่า Standard Night time Ghost สิ่งเหล่านี้เมื่อปรากฏขึ้นจะทำให้ผู้ประสบเหตุรู้สึกเช่นเดียวกับเวลาเผชิญ หน้ากับอัดกุ้ง(ณ All-Final) นั่นคือหวาดกลัว ผวา จึงเรียกปรากฏการนี้ว่าผีหรือการหลอกหลอน(Haunting) เมื่อวิเคราะห์กันให้ดีแล้วจะพบว่าการปรากฏตัวของผีตามมาตรฐาน SNG สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน 2 ประการได้ กล่าวคือ
ประการที่หนึ่ง ปรากฏการณ์ SNG เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ ทั้งนี้อาจจะเกิดจากการรบกวนของกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง อนุมานได้ว่า เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการกระตุ้นโดยกระบวนการป้อนกลับข้อมูลของระบบ ประสาทใต้สำนึกและของสมองเอง กรณีเช่นนี้ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า "เกิดอาการประสาทหลอน" (Hallucination) ซึ่งถือได้ว่าในขณะนั้นผู้ประสบเหตุกำลังเจ็บไข้ได้ป่วยทางความนึกคิด
อีกกรณีหนึ่งก็คือ การกระตุ้นให้สมองเกิดอาการภาพหลอนขึ้นเอง อาจกระทำได้จากสิ่งเร้าภายนอก โดยใช้คลื่นอิเล็คโตรแม็กเนติกที่มีขนาดคลื่นพอเหมาะยิงคลื่นนั้นตรงไปยัง สมองก็เป็นได้ การควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่างซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้สมองของเราเกิดภาพหลอนขึ้นได้เหมือนกัน ทั้งนี้เคสส่วนใหญ่ที่ทดลองมาต้องเกิดจากการกระทำของผู้เชี่ยวชาญและโดย เทคนิคชั้นสูงเท่านั้น ในกรณีหลังเราถือว่าผู้ประสบเหตุถูกสิ่งเร้าควบคุมจากภายนอก เรียกว่า"ถูกควบคุมให้เกิดประสาทหลอน" โดยภาพหลอนที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเป็นภาพหลอนที่ถูกควบคุม(Illusion)
โดยสรุปแล้วสมมติฐานประการที่หนึ่งถือว่าผีไม่มีอยู่ในโลก แต่ปรากฏการณ์ผีมีอยู่จริง คำว่า"จริง"ในที่นี้คือความจริงที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุนั่นเอง
ประการที่สอง ปรากฏการณ์ผีตามมาตรฐาน SNG เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆไม่ใช่เรื่องประสาทหลอนหรือการควบคุมให้ ประสาทหลอน ถ้าสมมติฐานที่สองถูกต้องสมมติฐานที่หนึ่งก็ผิด ถ้าผีปรากฏตัวให้เราเห็นได้จริงๆก็แสดงว่าผีต้องสามารถสร้าง"ร่าง"หรือเปล่ง แสงสว่าง (Photons)ออกมาได้ จึงทำให้เราสามารถมองเห็นในเวลากลางคืนหรือที่มืดๆ
ถ้าผีเป็นภาพหลอนแล้ว ทำไมจากข้อมูลเรื่องผีถึงมีเคสที่ผีปรากฏตัวต่อหน้าคนหมู่มากซึ่งอยู่ในมุม มองที่แตกต่างกัน จากตำแหน่งของแต่ละคนทุกคนสามารถมองเห็นผีตนนั้นได้จากมุมมองของตัวเอง ข้อมูลนี้สนับสนุนสมมติฐานหลังและแสดงให้เห็นว่าผีปรากฏตัวได้ด้วยการเปล่ง โฟตอนออกมา ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุเหล่านั้น